หยางหมัวมัวมองสีหน้าของนายหญิงของตน ก็เข้าใจทุกอย่างในทันทีในใจนางถอนหายใจ นางรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงในที่สุดนางเซี่ยก็กัดฟัน นางเชื่อว่าบุตรชายของนางจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ ตราบใดที่ผ่านพ้นไปได้ ก็ถือว่าผ่านพ้นเคราะห์กรรมรักนี้ไปได้แม้นางจะเสียใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิด!ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น......เมื่อหรงจือจือเพิ่งกลับมาถึงหน้าประตูจวนหรง นางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “จือจือ”นางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ หันไปมองกลับกลายเป็นฉีจื่อฟู่เขากลับมาด้วยความมุ่งมั่น แม้จะลุกจากเตียงไม่ได้ ก็ยังนั่งรถเข็นมาถึงหน้าประตูจวนตระกูลหรงฉีจื่อฟู่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าว “จือจือ ข้าขอคุยกับเจ้าตามลำพังได้หรือไม่”หรงจือจือรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น นางกำลังจะเบนสายตาหนีฉีจื่อฟู่ก็กล่าว “เป็นเรื่องของม่านหวา! ข้าอยากจะคุยกับเจ้าเรื่องของม่านหวา”หรงจือจือลังเลไปชั่วขณะ คิดในใจ หรือว่าฉีจื่อฟู่จะรู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรบางอย่าง นางจึงกล่าวเสียงเรียบ “คุยกันตามลำพังไม่จำเป็นหรอก ท่านมีอะไรก็พูดตรงนี้เถอะ”ฉีจื่อฟู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมอ
“ตอนนี้ข้าไม่ใช่สะใภ้ตระกูลฉี ไม่มีอำนาจจัดการเด็กในท้องของอวี้ม่านหวา หากข้าทำจริง ย่อมต้องถูกลงโทษ”ฉีจื่อฟู่รีบกล่าวว่า “ข้าก็กลัวเจ้าจะถูกลงโทษ อยากจะช่วยเจ้า ถึงได้มานี่! ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าก็บอกว่า ข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าไปทำแท้ง นั่นลูกของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะไม่เอา อย่างนี้เจ้าก็จะพ้นผิดไปได้!”หรงจือจือหมดแรงจะต่อว่าเขาจริงๆ “ต่อไปนี้ท่านอย่าคิดจะช่วยข้าเลย การที่ท่านไม่ปรากฏตัวต่อหน้าข้า ก็คือการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้าแล้ว”“จำไว้ ข้าหรงจือจือไม่คิดจะลดตัวไปจัดการกับเด็กที่ยังไม่เกิด ท่านเอาแต่พูดว่ารักข้า แต่ท่านไม่เคยเข้าใจข้าอย่างแท้จริงเลย”เมื่อกล่าวจบแล้ว นางไม่มองฉีจื่อฟู่อีกแม้แต่แวบเดียว ก้าวเร็วๆ เข้าจวนตระกูลหรงไปฉีจื่อฟู่ “จือจือ…”แต่ก็ไม่ได้รับแม้แต่การเหลียวหลังกลับมามอง ประตูใหญ่ของจวนตระกูลหรงปิดลงต่อหน้าเขาชิวยี่กระซิบเสียงเบาอย่างกระอักกระอ่วน “คุณชาย บ่าวก็บอกแล้วว่า ท่านควรจะถามก่อนว่าใช่ท่านหญิงทำหรือไม่…”นี่พอมาถึงก็ตัดสินว่าท่านหญิงผิดเลย ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ท่านหญิงโกรธแล้วฉีจื่อฟู่ขมวดคิ้วกล่าว “มีอะไรต้องถามอีก? เรื่องนี้มันไม่ชั
เมื่อหรงจือจือเพิ่งกลับถึงเรือนของตน นางหวังก็ปรี่เข้ามาราวกับคนเสียสติ เงื้อฝ่ามือหมายจะทำร้าย ทว่านางกำนัลเฉินคว้าข้อมือนางไว้ได้ทัน ยังบิดมันอย่างแรงในที่สุดนางหวังก็กรีดร้องออกมา “อ๊าก...”นางกำนัลเฉินก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าเฉยเมย “ฮูหยิน บ่าวเคยเรียนท่านแล้วว่าบ่าวพอมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง หากใครบังอาจไม่เคารพท่านหญิง บ่าวจะไม่ไว้หน้าเป็นอันขาด” สีหน้าของนางหวังบิดเบี้ยว นางกุมแขนที่เจ็บปวดแทบขาดใจ มองหน้านางกำนัลเฉิน “เจ้ากล้าทำร้ายข้าจริงๆ หรือ?”นางนึกว่าอีกฝ่ายคงแค่มาทำทีขู่ให้กลัว แต่บัดนี้นางเพิ่งรู้ว่าตนเองคิดผิดมหันต์ กระดูกข้อมือแทบจะแหลกละเอียด!นางกำนัลเฉินเตือนว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ บ่าวเป็นทูตของฮ่องเต้!”นางหวังตวัดสายตาอย่างดุดัน “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกสาวข้าเจียวเจียว กำลังจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี หากเจ้ากล้าหือกับข้า เจ้าจะไม่มีวันได้ตายดี!”นางกำนัลเฉินกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน “เช่นนั้นบ่าวก็ขอให้ฮูหยินทำให้บ่าวตายสมใจปรารถนาเถิดเจ้าค่ะ”นางหวัง “เจ้า...”นางเบนสายตาจากนางกำนัลเฉินอย่างเคียดแค้น พยายามสงบสติอารมณ์ นางกำนัลเฉินเป็นแม่นมของฮ่องเ
นางก็ไม่ได้พูดแข็งกร้าวเกินไป เพียงแค่กล่าวว่า “ลูกจะเชื่อฟังท่านพ่อ และพิจารณาให้ดีเจ้าค่ะ”สีหน้าของมหาราชครูหรงอ่อนลงเล็กน้อย พลางพยักหน้าเบา ๆ และกล่าว “ไปเถอะ! ท่านแม่ของเจ้าเลอะเลือนไปบ้าง แต่นางถึงอย่างไรก็ให้กำเนิดเจ้า เจ้าอย่าได้โต้เถียงกับนางเลย!”คำพูดนี้ของเขา ไม่ได้เกินความคาดหมายของหรงจือจือเลยแม้แต่น้อยท่านพ่อเป็นคนให้ความสำคัญกับความกตัญญูมากที่สุด เพราะเหตุนี้ จนถึงตอนนี้นางยังไม่เคยบอกท่านพ่อเลยว่า ความสัมพันธ์ของตนเองกับนางหวังถึงจุดทะเลาะกันจนขาดสะบั้นไปนานแล้วหากพูดเช่นนี้แล้ว นางหวังจะโดนดุ ส่วนตนเองไม่แน่ว่าจะต้องโดนตีหรงจือจือ “ลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”มหาราชครูหรงพยักหน้าเล็กน้อย หลังนางจากไป เขาก็ถอนหายใจยาว ๆ ทีหนึ่ง หากบุตรสาวสามารถแต่งงานกับลู่อวี๋ซินอย่างเชื่อฟัง และใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ดีได้ ตนเองก็ถือว่ามีคำอธิบายต่อท่านแม่แล้ว……เมื่อออกมาจากห้องหนังสือ และกลับเรือนของตนเอง หรงจือจือก็พบกับหรงซื่อเจ๋อนางไม่มองเขา และยิ่งไม่มีความคิดจะทักทายท่าทางเช่นนี้ ทำให้หรงซื่อเจ๋ออึดอัดใจ “หรงจือจือ เจ้าไม่เห็นข้าหรือ?”หรงจือจือทำเป็นไม่ได้ยินหรงซื
เซิ่งเฟิง “...”เจ้ารู้จักหาเหตุผลในตัวเองนี่นะครานี้เสิ่นเยี่ยนซูนิ่งเงียบลง ก็กล่าวเพียงว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ข้ายังมีน้ำหมึกที่ประเมินราคาไม่ได้อยู่ ประเดี๋ยวจะส่งคนเอาไปให้เจ้าทีหลังแล้วกัน”เซินเฮ่อยืดอกและเชิดคางขึ้น พลางยิ้มออกมาด้วยฟันขาวใหญ่อีกครั้ง “ขอบคุณท่านเสนาบดีมากขอรับ!”แถมยังมองเซิ่งเฟิงอย่างยั่วยุอีกครั้งหนึ่งเซิ่งเฟิง “?”บางครั้งยังรู้สึกว่าเซินเฮ่อป่วยหรือไม่ แม้ทุกคนจะแข่งขันกันทั้งแบบเปิดเผยหรือซ่อนเร้นเพื่อชิงตำแหน่งคนสำคัญอันดับหนึ่งของท่านเสนาบดี แต่คนผู้นี้กลับมักจะทำตัวราวกับหญิงสาวในเรือนหลังที่แย่งชิงความโปรดปรานอยู่เสมอช่างทำให้รู้สึกหนาวสะท้านใจจริง ๆเมื่อเห็นเสิ่นเยี่ยนซูยังคงดูกลยุทธ์พวกนั้นอยู่ เซิ่งเฟิงก็ประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านเสนาบดี สิ่งนี้ยังมีอะไรน่าดูอีกหรือขอรับ?”เสิ่นเยี่ยนซูกล่าวด้วยเสียงเรียบว่า “ดูเสียหน่อย วันหลังจะได้รู้ว่าควรจะคุยกับนางอย่างไร”หลายครั้งที่พบนาง ก็มักจะหาบทสนทนาไม่เจอมาโดยตลอดหรือจะบอกว่าเพราะกังวลว่าหัวข้อของเขา นางจะไม่สนใจ จึงมักจะนิ่งเงียบจนเกินไปอยู่เสมอแต่กลยุทธ์สามร้อยข้อที่เซินเฮ่อให้มา แม้จะวนเว
ในฐานะที่เขาเป็นลูกศิษย์ของท่านเสนาบดี เขาจะต้องรู้ให้ได้ และเขาไม่เชื่อว่าลู่อวี๋ซินจะกล้าไม่พูด!แม้เช่นนี้จะเป็นการเปิดเผยความจริงเรื่องที่ตนเองแอบฟังคนอื่นคุยกัน แต่เพื่อความสุขของท่านเสนาบดี เขาไม่สนใจเรื่องนี้มากนักแต่ทว่านั่งรถม้าออกไปได้ไม่นาน บ่าวรับใช้ก็บอกว่า เห็นรถม้าของจวนสกุลลู่แล้วเซินเฮ่อคิดสักพัก ก็ให้คนตามไปกลับพบว่าอีกฝ่ายไปหอคณิกาขณะที่กำลังวางแผนว่าจะคุยเรื่องนี้กันวันหลัง สุดท้ายกลับเห็นเกี้ยวของเซียวจวิ้นอ๋องก็จอดอยู่ที่ปากประตู และลู่อวี๋ซินยังก้าวไปคารวะอยู่ด้านหน้าเซียวจวิ้นอ๋องอย่างนอบน้อมเซินเฮ่อรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา จึงแอบตามเข้าไปแล้วแม่เล้าเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านชอบแม่นางแบบใดหรือ ข้าน้อยจะจัดเตรียมให้ท่านเองเจ้าค่ะ...”เซินเฮ่อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าอยากรู้ว่าสองคนนั่นมาคุยอะไรกัน”รอยยิ้มที่อยู่ใบบนหน้าของแม่เล้าแข็งค้าง “คุณชายพูดล้อเล่นแล้ว พวกแขกคนอื่น ๆ คุยอะไรกัน ท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้ข้าน้อยจัดคนมาให้ท่านเสียสองสามคนไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ...”เซินเฮ่อยื่นเงินให้นางหนึ่งใบ “นี่คือเงินห้
เสิ่นเยี่ยนซูชะงักไปเล็กน้อยเซิ่งเฟิงก็รีบกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าคงไม่ได้เห็นว่ากลยุทธ์ของเจ้าไร้ประโยชน์ จึงจงใจมาขู่ท่านเสนาบดีหรอกกระมัง?”เซินเฮ่อตัวชาไปหมดแล้ว จึงรีบกล่าว “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้ายังจะล้อเล่นได้อีกหรือ?”จากนั้น เขาก็เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลู่อวี๋ซินทั้งหมดให้ฟังหลังพูดจบ เซินเฮ่อถ็ถาม “ท่านเสนาบดี ตอนที่ท่านขอแต่งงานกับมหาราชครูหรง ได้พูดชัดเจนหรือไม่ว่าเป็นบุตรสาวคนใดขอรับ?”คำถามนี้กลับถามไปยังเสิ่นเยี่ยนซูแล้วเขากล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่น่าจะเป็นหรงจือจือ”เซิ่งเฟิงก็กล่าวต่อทันทีว่า “คนปกติก็คงคิดว่าเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหรงกระมัง ตอนนั้นมหาราชครูหรงได้ถามก่อนแล้วว่า ท่านเสนาบดีมองเรื่องที่คนนอกพูดไม่ดีเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่หรงว่าอย่างไร”“ท่านเสนาบดีพูดไปว่าข่าวลือย่อมหยุดลงที่ผู้มีปัญญา จากนั้นเขาก็คุยเรื่องแต่งงานแล้ว”“หรือว่าประโยคหน้าถามถึงบุตรสาวคนโต และประโยคหลังกลับพูดถึงบุตรสาวคนเล็กงั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง มหาราชครูหรงบ้าไปแล้วหรือไร?”คนคนนี้พูดคุย แบบนั้นก็กระโดดข้ามไปมาเกินไปแล้ว!คนปกติที่ใดจะพูดคุยอย่
สวีเจ๋อไม่โง่ถึงขนาดตั้งใจจะไปต่อต้านอาจารย์ของตนเองหรอก ก็แค่ไม่พอใจเสิ่นเยี่ยนซูเท่านั้นเขาสั่งการอย่างใจเย็น “ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือน คำสั่งแต่งตั้งและโยกย้ายขุนนางออกจากตำแหน่งในปีหน้าก็จะส่งออกมา ลู่อวี๋ซินมีความประพฤติที่ไม่ดี แจ้งเสนาธิการฝั่งซ้ายของกรมขุนนาง ปลดเขาออกจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องอธิบายรายละเอียดของเหตุผล”เซินเฮ่อ “ขอรับ”ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนและราชเลขาธิการ การแต่งตั้งหรือโยกย้ายอาลักษณ์ในกรมโยธาธิการคนเดียว ท่านเสนาบดีไม่จำเป็นต้องให้เหตุผล......เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อบ้านหวงก็ส่งบัตรเยี่ยมไปที่จวนมหาราชครู เพื่อแสดงเจตนาว่าเสิ่นเยี่ยนซูต้องการจะเข้าไปเยี่ยมเยียนพ่อบ้านหวง “ท่านเสนาบดี รอจวนมหาราชครูตอบกลับมาแล้ว บ่าวจะไปรายงานท่านขอรับ”เสิ่นเยี่ยนซูหยักหน้า “อืม”หลังจากขานรับ เขาก็นั่งอยู่บนรถม้า ไปยังพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าในท้องพระโรงหลายวันมานี้รักษาบาดแผล การเข้าเฝ้าเช้าควรได้รับยกเว้นไปหลายวัน เพียงแต่เขาไม่มีเวลาว่างมากนัก เพราะเรื่องที่ฝ่าบาททรงลังเล ล้วนส่งมาให้เขาตัดสินใจทั้งหมดภาระราชการไม่มีละเลย แต่บาดแผลบนร่างกายกลับหายช้าลงเสียเล็กน้อย
ทว่าฮูหยินหลี่กลับไม่รู้วิธีปฏิบัติและกฎของสกุลดังในเมืองหลวงเลย หนำซ้ำตอนนี้ยังคิดว่าตนจัดงานเลี้ยงได้ดีอย่างยิ่งอีกฉีกยิ้มพร้อมกล่าวกับหรงเจียวเจียวว่า “ข้ายังต้องออกไปรับแขก พวกเจ้าเข้าไปเล่นกันก่อน พวกฮูหยิน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จากแต่ละจวนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปสนุกกันเองเถอะ”ส่วนพวกผู้ใหญ่ พวกบัณฑิต ย่อมอ่านกวีแต่งบทกลอน พูดคุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองอยู่อีกที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีทางอยู่รวมกับพวกเด็ก ๆ เหล่านี้งานเลี้ยงเขียนกวีของแคว้นต้าฉี แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดเช่นนี้หรงเจียวเจียวฉีกยิ้มหวานพลางตอบกลับ “ท่านป้าไปเถิด พวกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินหลี่เรียกหลี่เซียงเหยาบุตรสาวของตนมา “เหยาเหยา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงสามของเจ้าให้ดี อย่าให้คนมาล่วงเกิน จำขึ้นใจหรือยัง?”หลี่เซียงเหยามองหรงจือจือทีหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกล่าวว่า “จำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”ครั้นสิ้นเสียง ก็เดินฉีกยิ้มไปกอดแขนของหรงเจียวเจียว ทำทีท่าสนิทกันเป็นอย่างมากตอนหลี่เซียงเหยายังไม่มาเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่ของตนโดดเด่นอย่างไร ในใจของนางโหยหาเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตนมา
เหวินหมัวมัว “นี่...เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”นางหวังยังรีบไปกำชับข้างหูนางอีกว่า “ถ้าไม่สะดวกจะเรียกกลับมา ก็อย่าให้พวกนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเป็นอันขาด”เหวินหมัวมัว “เจ้าค่ะ”นางลุกลี้ลุกลนออกไปจากจวน นางหวังร้อนใจกระวนกระวายดั่งด้ายพันกัน หากไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกจะไปงานเลี้ยงเขียนกวี นางแทบอยากจะรุดหน้าไปด้วยตัวเองแล้ว...ในขณะนี้ จวนสกุลหลี่จวนสกุลหลี่แม้จะเป็นจวนที่ซื้อมาใหม่ ทว่าในหลายวันนี้ก็ซ่อมแซมอย่างดีไปยกหนึ่ง ฮูหยินหลี่เสียแรงตกแต่งไปอย่างมากครั้นเห็นพวกเด็ก ๆ จากสกุลหรงมาถึงท่านลุง ท่านป้าสะใภ้สกุลหลี่ ก็ฉีกยิ้มออกมารับหน้า “ท่านพี่มีใจแล้วจริง ๆ ถึงให้พวกเจ้ามา นับเป็นเกียรติกับเราจริง ๆ”หรงจือจือในฐานะพี่สาวคนโต ย่อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นสิ่งสมควรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเขียนกวีของจวนท่านป้าสะใภ้ ก็ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว”ฮูหยินหลี่มองนางทีหนึ่ง ทว่าในสายตากลับมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะนางหวังส่งจดหมายมา บอกให้นางให้ความร่วมมือพูดฉีกหน้าหรงจือจือสักครา ทำให้ต่อไปนางไม่กล้าทำตัวบ้าคลั่งต่อหน้า
“ครั้งนี้เจ้าจะได้พูดกับนางให้เข้าใจด้วยพอดี ให้นางพิจารณาตัวเองเสีย เหตุใดเป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน พี่สาวนางแต่งงานครั้งที่สองแล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉินมาสู่ขอแล้ว แต่นางกลับยังทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าเหี่ยว ๆ ไปซุกไว้ที่ไหน!”ครั้นนางหวังได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเพียงราวกับบนหน้าตนถูกคนฟาดสองฉาด เจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมดสิ่งเดียวที่เจียวเจียวกับจือจือแตกต่างกัน ก็คือคนหนึ่งตนอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ ส่วนอีกคนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอบรมสั่งสอนมานี่ไม่เท่ากับกำลังว่าตนสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเท่ายายแก่ที่ตายไปแล้วนั่นหรอกหรือ?มหาราชครูหรงพูดจบ ก็ยังกล่าวต่อทั้งสายตาเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ในเมื่อจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี สินเดิมจะน้อยไม่ได้ ไม่รวมกับสินติดตัวเจ้าสาวที่ท่านแม่ให้จือจือในก่อนหน้านี้ เจ้าก็เตรียมเพิ่มให้นางอีกหน่อยแล้วกัน”นางหวังเดือดดาลจนเสียงหาย “ท่านพี่! การแต่งงานดี ๆ ของเจียวเจียวถูกจือจือแย่งไป ท่านยังให้ข้าเตรียมสินเดิมให้จือจือเพิ่มอีก ท่านอยากบีบเจียวเจียวให้ตายหรืออย่างไร?”มหาราชครูหรง “พอได้แล้ว! พูดจาเพ้อเจ้อแย่งงานแต่งอะไรกัน เจ้าอย่าได้พูดอีกเชียวนะ ลูกสาวท
เห็นนางหวังดีอกดีใจ และพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้คำพูดที่มหาราชครูหรงอยากจะกล่าว แทบจะติดอยู่ที่คอหอยพูดไม่ออกนางหวังยังพูดเป็นต่อยหอย “ท่านพี่ ข้าว่า เราต้องให้สินเดิมเจียวเจียวเพิ่มอีกหน่อย จะให้น้อยกว่าจือจือไม่ได้ อย่างไรก็แต่งงานกับท่านเสนาบดี จะให้คนดูถูกได้อย่างไร...”มหาราชครูหรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “พอได้แล้ว”นางหวังอึ้งไป ครั้นเห็นว่าสีหน้าของมหาราชครูหรงไม่ดีจริง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”ในตอนนี้มหาราชครูหรงถึงตอบกลับว่า “จับคู่ผิดแล้ว! คนที่อัครมหาเสนาบดีเฉินอยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่เจียวเจียว!”นางหวังฉงนไปเลย “ฮะ? ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ใช่เจียวเจียวแล้วจะเป็นผู้ใดได้? หรือว่าในใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่ดีกว่าเจียวเจียวของเราอีกหรือ?”นางหวังยิ่งกล่าว ก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านพี่กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”มหาราชครูหรงลูบหว่างคิ้วพลางตอบกลับ “ข้าไม่มีทางเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นเป็นอันขาด! คนที่ท่านเสนาบดีต้องการคือจือจือ ไม่
เฉินเยี่ยนซูแทบจะเดือดดาลจนโพล่งขำ “เช่นนั้นท่านมหาราชครูเคยคิดหรือไม่ เป็นบุตรสาวของท่านเหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดคนหนึ่งไร้เดียงสาใสซื่อได้ แต่อีกคนกลับไม่เข้มแข็งไม่ได้?”“ท่านหญิงก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุยี่สิบปีผู้หนึ่ง ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายขนาดนี้ ลำบากมามากมายขนาดนี้ มหาราชครูยังคิดจะให้นางเข้มแข็งอย่างไร?”มหาราชครูหรงพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยขึ้นพร้อมเปลี่ยนเรื่องว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับท่านเสนาบดี อย่างไรจือจือก็เคยผ่านการหย่ามาก่อน สู้สตรีบริสุทธิ์อย่างเจียวเจียวได้เสียที่ไหน? นี่ถึงได้...”เฉินเยี่ยนซูพูดแทรกขึ้นมา “ท่านมหาราชครู นายหญิงผู้เฒ่าหรงให้ท่านดูแลท่านหญิงให้ดี ข้าคิดว่าที่เรียกว่าดูแล นอกจากเป็นห่วงในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเคารพในด้านตัวตนด้วย”“ในในของท่านดูถูกท่านหญิงแล้ว คิดว่านางสู้คุณหนูสามของจวนท่านไม่ได้ หรือว่านี่ไม่ใช่ความอัปยศอย่างหนึ่งสำหรับนาง?”“นางก็แค่แต่งงานผิดคน ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร ตามที่ข้ารู้ การแต่งงานในตอนแรกนั้นนางไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นเหยื่อ และยิ่งเป็นค
เฉินเยี่ยนซูราวกับเดือดดาลจนขำ เขาวางจอกชาในมือลง “เยี่ยมจริง ๆ มหาราชครูหรงยกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับข้า แล้วก็คิดจะให้นางแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย”“ที่ข้ามาเพราะอยากขอคำอธิบาย มหาราชครูไม่มีเจตนาจะขอโทษไม่พูดถึง แต่ยังจะยัดเยียดบุตรสาวให้ข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราไปตัดสินกันต่อหน้าฝ่าบาทเถอะ!”ครั้นมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จะเรียกว่ายัดเยียดบุตรสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร? หรือว่าหากเปลี่ยนเจียวเจียว ท่านเสนาบดีก็ไม่พอใจอีก?”เฉินเยี่ยนซูมองเขาทีหนึ่ง “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย มีเพียงท่านหญิงแห่งหนานหยางผู้เดียวเท่านั้น”มหาราชครูหรงเริ่มรู้สึกว่า ตนถูกคำของนางหวังหลอกเข้าแล้ว บางทีผู้ที่เฉินเยี่ยนซูต้องการตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสตรีที่เขาชื่นชม แต่มิใช่สตรีที่มุ่งแต่จะแต่งงานกับเขามหาราชครูหรงที่รู้สึกว่าตนคล้ายตัวตลก ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เฉินเยี่ยนซูเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเข้าใจแล้ว คิดว่าท่านพ่อตาก็คงจะไม่ถอนหมั้นใช่หรือไม่?”การเรียกท่านพ่อตานี้ แสดงถึงความเคารพออกมาอีกสองสามส่วน ทำให้ในใจของมหาราช
เขาจงใจพูดไล่หลังหรงจือจือด้วยเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินหรงเจียวเจียวหน้าแดงด้วยความเขินอายโดยพลัน นางกระทืบเท้าว่า “ท่านพี่!”แต่หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด นางไม่แม้แต่จะหันมามองนี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อโมโหหนักกว่าเดิม เขากัดฟันว่า “นางมีนิสัยแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่สกุลฉีจะรังเกียจ! คงมีแต่ต้องแต่งงานไปอยู่ตระกูลเล็กๆ และพึ่งพาการปกป้องจากท่านพ่อไปจนตาย ข้ารู้สึกสงสารว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยซ้ำ!”แต่พูดถึงตรงนี้ หรงซื่อเจ๋อก็ต้องสำลักคำพูดตัวเองนั่นเพราะนึกถึงเรื่องที่หรงจือจือบอกให้เขาแต่งงานไปอยู่สกุลฉีเมื่อคราก่อน หากนางได้ยินว่าเขาสงสารฉีจื่อฟู่ เกรงว่าคงพูดแบบนั้นให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอีก เขารีบปิดปากเงียบหรงเจียวเจียว “พอแล้วๆ ท่านรีบขึ้นรถม้าเถิด! หากไปสาย ท่านพ่อคงตำหนิว่าพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์”หรงซื่อเจ๋อจำใจต้องขึ้นรถม้าเป็นเพราะแผลที่หลังเขายังไม่หายดีและกลัวว่าท่านพ่อจะโบยตีอีกรอบหรอกนะ มิเช่นนั้นเขาจะด่าหรงจือจือชุดใหญ่……รถม้าของพวกเขาเพิ่งจะออกจากสกุลหรงได้ไม่นานรถม้าของจวนราชเลขาธิการก็มาถึงหน้าจวนสกุลหรง มหาราชครูหรงทราบเรื่องแล้วยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอ
หรงจือจือสะกดกลั้นความโมโหในใจ ตอนนี้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกที่มีเพียงคนตรงไปตรงมาแบบเจาซีที่จะมีได้!หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ มันก็มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากไปที่จวนราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปบอกว่าตัวเองยินดีแต่งงานกับเฉินเยี่ยนซู หรงเจียวเจียวจะได้เลิกเห่าเสียทีนางยกยิ้มมุมปากมองหรงเจียวเจียว “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูวันที่เจ้าได้แต่งเข้าจวนราชเลขาธิการ น้องสามต้องพยายามเข้าล่ะ อย่าได้พลาดเด็ดขาด”นางอยากรู้เหมือนกันว่าหรงเจียวเจียวจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดหรงเจียวเจียวแค่นเสียงเบาและวางท่ามั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้นเชิญพี่หญิงเบิกตาดูให้ดีได้เลย!”“ถึงเวลานั้นก็อย่าอิจฉาจนร้องไห้ล่ะ ข้าได้ยินว่าบุรุษที่ท่านพ่อหาให้ท่านเป็นแค่เสมียนกรมเล็กๆ นี่ต่างหากที่น่าขัน!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “หวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะยังยิ้มออกนะ”ฟังจากที่เฉินเยี่ยนซูพูด เขาจะมาคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป หรงเจียวเจียวคงทำหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไม่ได้อีกหรงเจียวเจียวมีหรือจะรู้ว่าหรงจือจือคิดอะไรอยู่?นางพูดด้วยความดูถูก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะยิ
“แต่ราชเลขาธิการเฉินผู้นี้ เขาเป็นคนประเภทที่ข้ารู้สึกชื่นชมตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ข้ากลัวว่าหากแต่งงานกับเขาจริงๆ เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตัวข้าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเขาได้”“ความจริงแล้วเขาเป็นตัวเลือกที่อันตรายสำหรับข้า”“หลังจากที่ท่านย่าจากไป ข้าก็ชอบคิดอยู่เสมอ หากข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเอง ห้ามให้ผู้ใดมีโอกาสกรีดแทงหัวใจข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้”ในการพบกันเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วหรงจือจือเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเฉินเยี่ยนซู หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันสองสามวัน บทสนทนาที่มีร่วมกับเขาก็ทำให้นางประทับใจเช่นกันแต่ตอนนั้นนางรู้ตัวว่าตัวเองมีการหมั้นหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทว่าบัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว ส่วนเขาก็มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน มีบางครั้งที่นางเผลอมองนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนวันนี้ก็มีอาการหน้าแดง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร?เคราะห์ดีที่เฉินเยี่ยนซูต้องการแต่งงานกับนางเพื่อให้ช่วยดูแลอาการป่วย ไม่ใช่เพราะพึงใจในตัวนาง มิเช่นนั้น นาง