วันนี้คือวันคิดบัญชี บ่าวรับใช้ที่ดูแลเอาบัญชีทั้งหมดมาวางไว้ตรงหน้าหรงจือจือ รวมถึงเงินตำลึงที่ได้รับมาของทั้งฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมดห้าพันกว่าตำลึงเงินแต่หลังหรงจือจือตรวจสอบทรัพย์สินคงเหลือและตรวจสอบบัญชีเสร็จ ก็ชักออกไปสี่พันแปดร้อยตั๋วเงิน ฉะนั้นผู้ดูแลหลี่จึงลำบากใจด้วยเหตุนี้หรงจือจือเอ่ยขึ้นชืด ๆ “ผู้ดูแลหลี่ ตอนแรกที่ข้าแต่งเข้ามา บัญชีร้านบางส่วนของจวนโหวขาดทุน ต้องการเงินโปะไปก่อน ถึงจะดูว่าสร้างกำไรได้หรือไม่”“สี่พันแปดร้อยตำลึงนี้ เป็นสินเดิมที่ข้านำมาจากบ้านเดิม เพียงแค่ให้จวนโหวยืมชั่วคราว ต้องมีการลงบัญชีทั้งสิ้น”“ตอนนี้ร้านมีกำไร ที่ขาดทุนก็เปลี่ยนเป็นรายได้แล้ว ข้าจะเอาเงินทุนของตัวเองคืน มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?”นางไม่ได้คิดดอกเบี้ย ก็นับว่าบุญโขแล้วผู้ดูแลหลี่ “พูด...พูดเช่นนี้ไม่ถูกนะขอรับ แต่ฮูหยินซื่อจื่อ อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านแบ่งเป็นสัดส่วนเช่นนี้ นี่...”ลูกสะใภ้ควักเงินช่วยที่บ้าน ยังต้องเอาคืนอีก ฮูหยินซื่อจื่อไม่กลัวว่าทางฮูหยินจะไม่พอใจหรือ?หรงจือจือหัวเราะเบา ๆ ออกมาเสียงหนึ่ง นางมองผู้ดูแลหลี่พลางเอ่ยว่า “ผู้ดูแลหลี่ แม้ท่านจะเป็นคนข
เมื่อนึกถึงจุดนี้ นางก็กล่าวกับเจาซีว่า “ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ท่านปรมาจารย์ซื่อคง บอกว่าบัวไหมสวรรค์ดอกที่สองนั้น ข้าไม่ต้องการแล้ว ให้ท่านปรมาจารย์จัดการได้ตามสะดวกเลย”ทุกคนต่างรู้ว่า นางเคยวิงวอน ร้องขอดอกบัวไหมสวรรค์ให้ฉีจื่อฟู่แต่นอกจากปรมาจารย์ซื่อคงและเจาซีที่ติดตามนางทั้งวันแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ดอกบัวไหมสวรรค์ที่นางขอมานั้น ทั้งหมดมีสองดอกเนื่องจากพิษบนร่างของฉีจื่อฟู่ได้รับมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จำเป็นต้องรับประทานสองดอกจึงจะหายดี แต่เนื่องจากฤทธิ์ยาของดอกบัวไหมสวรรค์แรงกล้าเกินไป ร่างกายที่อ่อนแอในตอนนั้นของเขารับไม่ไหว จึงได้แต่กินดอกที่สองในอีกสามปีให้หลังทว่าไม่ได้รับประทานดอกที่สอง ในไม่ช้า ร่างกายก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นเหมือนดังเก่าหากแต่ยามนั้น ปรมาจารย์ซื่อคงมิได้มอบดอกบัวไหมสวรรค์ทั้งสองดอกแก่นาง แต่กล่าวว่า สามปีให้หลัง หากตนคิดว่ายังมีความจำเป็น ค่อยกลับมารับไป และยังบอกตนมิให้กล่าวเรื่องนี้ต่อผู้ใดก่อนหน้านี้ หรงจือจือเห็นว่า ฉีจื่อฟู่กลับมาในระยะเวลาสามปีพอดี ก็ถอนใจอย่างโล่งอก ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวเรื่องนี้กับเขา คิดไม่ถึงว่
เกรงว่าในหัวนางคงมีถุงขนาดใหญ่อย่างไร้สาเหตุ จึงได้คิดว่าอาจมีสักวันที่คุณหนูจะเสียใจ คงมีวันหนึ่งที่ซื่อจื่อจะรู้ว่าตนทำผิดเมื่อเห็นท่าทางโมโหฟึดฟัดของฉีจื่อฟู่ หรงจือจือเพียงแต่ยิ้มบางๆ เท่านั้น “อนุชั้นต่ำ? ท่านพี่คิดว่าตระกูลหรงของข้าไร้คนแล้วจริงหรือ?”สีหน้าของฉีจื่อฟู่ชะงักลง ในใจก็เข้าใจดีว่า ต่อให้ราชครูหรงจะอุปนิสัยดีเพียงใด เกรงว่าไม่มีทางยอมให้บุตรสาวของตนเป็นอนุชั้นต่ำแน่ เพราะอนุชั้นสูงกับอนุชั้นต่ำแตกต่างกันมากเกินไปนั่นเท่ากับเป็นการด่ามหาราชครูหรงว่าเลี้ยงบุตรสาวที่ไม่คู่ควรแก่การยกย่องออกมา ถึงเวลานั้น เกรงว่าอีกฝ่ายคงรวบรวมพรรคพวกในฝ่ายตนมาเล่นงานเขาแล้วแต่เขาโมโหจริงๆ!ท่านแม่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ไม่ง่ายเลยที่อาการจะดีขึ้นหน่อย หรงจือจือทำเช่นนี้ ก็ทำให้ท่านแม่โมโหจนสุขภาพเสียอีกแล้วนางก็ไม่กลัวว่าหากท่านแม่เป็นอันใดขึ้นมา ตนจะไม่มีวันให้อภัยนางไปตลอดชีวิตหรือ?หรงจือจือยังคงมองฉีจื่อฟู่ แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อนว่า “ท่านพี่ ท่านคิดเสร็จแล้วหรือยัง? จะให้ข้าเป็นอนุชั้นต่ำหรือไม่”ฉีจื่อฟู่ขมวดคิ้ว มองนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตำหนิ “ข้าก็แค่กำลังโมโห พ
หรงจือจือ “ดังนั้นในสายตาของท่านพี่ การที่ร่างกายของท่านหายดีแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด คือข้าสินะ?”ฉีจื่อฟู่ก็มิได้กล่าวผิด นางทำเพื่อสถานะของตนในจวนโหวจริงๆในเมื่อแต่งให้ซื่อจื่อของจวนโหว ก็ย่อมต้องเป็นนายหญิงของจวนโหว เป็นตัวอย่างที่ดีให้เหล่าน้องสาวในตระกูล ย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาเอาแต่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยไปตลอดได้แต่การที่ฉีจื่อฟู่สามารถลงมาเดินเตร็ดเตร่บนพื้นเหมือนคนปกติได้ถึงสามปี หรือนี่มิใช่การได้ติดหนี้น้ำใจนางหรือ? ประโยชน์ที่เขาได้รับมิใช่มากกว่านางมากหรือ?แล้วเหตุใดจึงถูกเขาพูดจนราวกับว่ามีแต่นางที่ได้ประโยชน์เล่า?เมื่อคิดเช่นนั้น หรงจือจือก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันอีกคราว่า “หลังจากท่านพี่ถูกข้ารักษาจนหายดี ลงจากเตียงได้แล้ว ผลงานแรกที่ทำ ก็คือข้ามแม่น้ำรื้อสะพานทิ้ง เฉดหัวผู้มีพระคุณทิ้ง ให้ภรรยาเอกเช่นข้าไปเป็นอนุ คิดว่าในสายตาของท่าน นี่ก็เป็นประโยชน์ที่ข้าหาให้ตนเองด้วยกระมัง”เมื่อฉีจื่อฟู่ได้ยินถึงจุดนี้ ก็กล่าวอย่างด้วยความโมโหว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน? เจ้าคิดจะบอกว่า เจ้าเสียใจที่ไปขอยามารักษาข้าจนหายอย่างนั้นหรือ?”ในเวลานี้ ใบหน้าที่อ่อนโยนข
หากถกกันในแง่คุณูปการต่อแคว้นต้าฉี่แล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉิน ‘เฉินเยี่ยนซู’ ท่านสมุหราชเลขาธิการ ผู้เป็นอดีตอัครมหาเสนาบดีแห่งรัชสมัยก่อนที่ยังรับราชการในสมัยปัจจุบัน และได้รับการนับถือจากฮ่องเต้ประดุจบิดาในฐานะ ‘เซียงฟู่’ สามารถกล่าวได้ว่า เขาเปรียบได้กับแสงสุริยาและจันทรา ส่วนฉีจื่อฟู่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ก็เป็นได้เพียงแสงหิ่งห้อยเท่านั้น”หากสามารถช่วยท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินได้จริง ก็จะยิ่งทำให้ความปรารถนาของหรงจือจือ ในการสร้างคุณประโยชน์ต่อแคว้นต้าฉีสัมฤทธิผลยิ่งกว่าเดิม!เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวกับฉีจื่อฟู่ด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่วางใจเถิด วันหลังข้าจะไม่พูดถึงเรื่องการรักษาท่านจนหายดีอีกแล้ว!”เพราะอีกไม่เกินสามเดือน ท่านก็จะต้องกลับไปนอนอีกครั้งแล้ว แล้วนางจะไปพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วอีกทำไมทว่า หรงจือจือยังคงกล่าวว่า “แต่ช่วงนี้ หากมีผู้อื่นต้องการเอ่ยถึง ข้าก็ไม่อาจไปควบคุมปากของพวกเขาได้ ถึงเวลานั้น ยังต้องขอให้ท่านพี่ เอ่ยคำพูดที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ให้พวกเขาฟังอีกครั้ง จะได้ทำให้พวกเขาหยุดปากเสีย”ฉีจื่อฟู่ “…”ถ้อยคำที่เขาเอ่ยเมื่อครู่พวก
คุณหนูกล่าวว่าวันนี้พระชายาอ๋องเฉียนจะเป็นฝ่ายเรียกหานาง ก็หามาจริงๆ แล้วหรงจือจือย่อมปรารถนาอย่างที่สุด เนื่องจากนางไม่อยากอยู่ใต้หลังคาเดียวกับฉีจื่อฟู่อยู่พอดี จึงลุกยืนขึ้นทันที “เมื่อพระชายาเชื้อเชิญย่อมไม่อาจชักช้า จงไปเตรียมรถม้าเถิด!”ฉีจื่อฟู่มองไปที่หรงจือจือ แล้วสั่งการว่า “ท่านแม่ไม่พอใจอย่างมาก ต่อความวุ่นวายที่นางเซี่ยมาก่อไว้เมื่อคืน ในเมื่อพระชายาอ๋องเฉียนให้ความสำคัญกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าจงบอกให้พระชายาตำหนินางเซี่ยให้ดี จะมาดูแคลนตระกูลของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร! ”หรงจือจือฟังจนตกตะลึงไปแล้ว พระชายาอ๋องเฉียนให้ความสำคัญกับนางกว่าคนทั่วไปขั้นหนึ่ง นางก็ลำพองจนลอยไปถึงฟ้า ไม่รู้ตำแหน่งฐานะของตนแล้ว?เกรงว่านางคงต้องหยิบยืมความกล้าจากสวรรค์ จึงจะไปล่วงเกินนางเซี่ยเพื่อฉีอวี่เยียน เพราะนางเซี่ยมิใช่แค่ชายาซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องเฉียน แต่ยังเป็นพี่สาวแท้ๆ ของไทเฮาองค์ปัจจุบันอีกด้วยเห็นหรงจือจือมองตนอย่างตะลึงค้างฉีจื่อฟู่ก็กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมกัน? เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ยังไม่อาจพูดแทนท่านแม่และน้องสาวข้าสักคำหรืออย่างไร?”“เจ้ายังคงคิดจริงหรือว่า ที่พระชายาอ๋องเฉี
ก็เห็นฉีอวี่เยียนพุ่งออกมาอย่างเร่งร้อนมายืนอยู่เบื้องหน้าของหรงจือจือ เชิดคางสั่งการอย่างผยองว่า “พี่สะใภ้ ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจพี่ชายของข้าอยู่บ้าง แต่เมื่อท่านไปจวนอ๋องเฉียน ห้ามกล่าวคำพูดที่เกิดผลลบต่อข้าเด็ดขาด ท่านได้ยินแล้วหรือไม่?”หรงจือจือขำแล้ว ดูท่า แท้จริงแล้วฉีอวี่เยียนเองก็รู้เช่นกัน ว่าครอบครัวพวกนางทำผิดต่อตน ดังนั้นจึงได้กลัวว่า ตนจะกล่าวสิ่งที่ส่งผลเสียต่อนางออกมาเพราะความไม่พอใจเมื่อเห็นหรงจือจือมิได้รับปากในทันที ฉีอวี่เยียนก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอำมหิตว่า “หากท่านกล้ากล่าววาจาเกี่ยวกับข้าในแง่ร้ายแม้เพียงครึ่งคำ ข้าก็จะบอกให้พี่ชายขอข้าหย่าท่าน ให้ท่านไม่อาจเงยหน้าในเมืองหลวงแห่งนี้ได้อีกเลย!”หรงจือจือ “รู้แล้ว”เมื่อรู้แล้ว นางก็สามารถกล่าวเรื่องราวมากมายที่ไม่ส่งผลดีต่อฉีอวี่เยียนได้อย่างวางใจแล้วเดิมยังคิดว่า หากตนทำลายการหมั้นหมายและชื่อเสียงของฉีอวี่เยียน จะเกินไปหน่อยหรือไม่ แต่บัดนี้นางกลับพบว่า คนตระกูลฉีค่อนข้างมีความสามารถนัก ทุกครั้งล้วนสามารถทำให้นางสามารถพูดทุกสิ่งได้ดังใจ โดยไม่ต้องรู้สึกเป็นภาระด้านคุณธรรมแม้แต่น้อยฉีอวี่เยียนก
หรงจือจือเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า เอ่ยปากว่า “เป็นข้าที่ทำผิดต่อพระชายา”จากนั้น หรงจือจือก็เล่าพฤติกรรมต่างๆ ในหลายวันนี้ของฉีอวี่เยียนให้พระชายาฟังอย่างไม่ขาดตก ทว่านางมิได้ตัดสินใด เพียงแต่กล่าวถึงมุมมองของตนออกไปอย่างมีระเบียบเท่านั้นอย่างเมื่อพระชายาอ๋องเฉียนและนางเซี่ยได้ฟัง สีหน้าก็ยิ่งเคร่มขรึมขึ้นเรื่อยๆสุดท้าย หรงจือจือกล่าวว่า “ตามหลักแล้ว ไม่ควรนำเรื่องไม่งามในบ้านมาเปิดเผยต่อภายนอก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ควรพูดออกมา แต่เนื่องจากการแต่งงานครั้งนี้มีข้าเป็นผู้มาขอ หากไม่กล่าวกับพระชายาให้ชัดเจน ในใจข้าก็ไม่อาจให้อภัยตนเองเช่นกัน”กล่าวจบ นางก็จะลุกขึ้นยืนทำการคารวะครั้งใหญ่ เพื่อแสดงถึงการขอขมาทว่า พระชายาอ๋องเฉียนขัดขวางนางไว้ “เอาเถิด ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นดอก! แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ถูกพวกเขาทั้งบ้านหลอกเช่นกัน แม้บ้านข้าจะพลอยถูกทำให้เดือดร้อนไปด้วย แต่เจ้าจึงจะเป็นเหยื่อรายใหญ่ที่สุด แม้ข้าจะอายุมากแล้ว แต่เหตุผลแค่นี้ข้ายังพอเข้าใจอยู่!”“นั่งลงเถิด! แม้เจ้าจะช่วยข้าไว้ แต่ตอนนั้น ที่หมั้นหมายก็มิใช่เพราะบุญคุณในเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะฉีอวี่เยียนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้า
เมื่อนางพูดเช่นนั้น สายตาของคนจำนวนมากก็จับจ้องไปที่หรงจือจืออย่างไรก็ตาม หรงจือจือไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงท่าทีประหลาดใจ “ท่านแม่...ท่านช่างกล่าวหาข้าจริง ๆ ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย ฮูหยินทั้งหลายเป็นพยานให้ข้าได้!”นางสวีเป็นคนแรกที่พูดขึ้น “ที่จริงแล้ว ข้าถือถ้วยชาไม่มั่นคงเอง ทำให้น้ำชาหกใส่ท่านหญิง!”ฉีอวิ่นตะลึง “ท่านหญิง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉีจื่อฟู่ก็รู้สึกอับอายขายหน้าเช่นกัน แต่เขาก็ยังอธิบาย “จือจือเคยช่วยท่านเสนาบดีไว้ ฝ่าบาทจึงทรงแต่งตั้ง และรอเพียงฤกษ์งามยามดี”ฉีอวิ่นอยากถามหรงจือจือมากว่าทำไมนางถึงไม่บอกคนในครอบครัวเรื่องที่นางช่วยท่านเสนาบดีไว้เร็วกว่านี้ คราวที่แล้วที่เขาถาม นางตอบว่าไม่รู้จักแต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้!เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง แล้วหันไปมองนางถานอีกครั้ง “เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว! ที่จือจือมาที่นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ!”นางถานพูดอย่างโกรธเคือง “ใครจะรู้ว่านางสมรู้ร่วมคิดกับนางสวีหรือไม่?"คราวนี้ นางสวีก็ไม่ยอม นางพูดกับฉีอวิ่น “นายท่านฉี นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของท่าน ตามหลักแล้วข้าไม่ควร
“แต่ตอนนี้... ท่านกลับเอาเงินของข้าไปเลี้ยงชู้รักของท่าน? แถมยังตั้งครรภ์ลูกของเขาอีกด้วย! ท่านแม่ ท่านทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร?”นางหลิวครานี้ก็ไม่พอใจเช่นกัน “ข้าทำอะไรผิดกัน? ข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโต เอาสินสอดของเจ้ามาใช้แล้วอย่างไร? เจ้าก็ควรกตัญญูต่อข้าไม่ใช่หรือ?"นางถานที่มึนงงอยู่ก็เริ่มเข้าใจเรื่องราว จึงถามด้วยความเหลือเชื่อ “ถ้าเช่นนั้น นางหลิว สินสอดของข้าที่แบ่งไปครึ่งหนึ่ง ท่านเอาไปเลี้ยงชายอื่นหมดเลยหรือ? มิน่าล่ะ ลูกสาวของท่านถึงได้เอาแค่ของไร้ค่าเป็นสินเดิมเข้าบ้าน! ท่านทำแบบนี้กับพี่ชายข้าได้อย่างไร?”นางหลิวกล่าวว่า “เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ? วันนี้เจ้าคบชู้กับเขาต่อหน้าต่อตาข้า แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าไม่ผิดกับใครเลยหรือ?”ฉีอวี่เยียนได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด เพราะนางเข้าใจแล้วว่า แม่ของนางทำเรื่องเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คนมากมาย ในฐานะลูกสาวของนาง ชื่อเสียงของตนคงพังทลายอย่างสิ้นเชิง!ซิ่วไฉที่นางหมายปอง เกรงว่าคงไม่ยอมแต่งงานกับนางอีกแล้ว!เสียงเอะอะโวยวายดังขนาดนี้ฝั่งแขกชาย ไม่นานนักข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว ทุกคนไม่สนใจเรื่องการแยกชายหญิงอีกต่
นางหลิวเห็นสีหน้าของสาวใช้ ก็รู้ในทันทีว่าเกรงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว!ตอนนี้ยังได้ยินเสียงสามีหนุ่มของตนอีกต่างหาก นางยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก?เสียงครวญครางของนางถานยังแว่วดังออกมาอีกว่า “โอ๊ย! เจ้าอย่ามุทะลุเช่นนี้ แขนของข้ายังไม่หายดีเลยนะ เจ้าแตะถูกแผลแล้ว...”เหล่าฮูหยินที่อยู่ข้างหน้าต่างมองหน้ากัน ไหนเลยพวกนางจะฟังไม่ออก นั่นคือเสียงของนางถานหรงจือจือเองก็หน้าซีดเผือดไปหมด “นี่...”ในใจนางกลับเลื่อมใสอันธพาลผู้นั้นอยู่หลายส่วน ฟังจากเสียงนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่านางถานจะถูกเขาทำให้หลงได้เร็วขนาดนี้? มิน่าล่ะถึงมีความสามารถหลอกฮูหยินได้มากมายขนาดนั้น!ในตอนนี้นางหลิวเดือดดาลจนจะบ้าแล้วนางพุ่งเข้าไปโดยตรง แล้วถีบเปิดประตูสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าประตูกล่าวเสียงดังว่า “ฮูหยิน ฮูหยินใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ...”นางหลิวใจเย็นลงเสียที่ไหน ถีบนางกระเดือนไปข้าง ๆ ด้วยบรรดาฮูหยินและคุณหนู ในใจกระวนกระวายราวกับถูกแมวข่วนก็มิปาน อยากเข้าไปดูเรื่องสนุก ทว่าก็กลัวเห็นภาพอะไรที่ไม่อาจทนดูได้ จนทำให้คนซุบซิบนินทาตนได้ดังนั้น พวกนางจึงเลือกวิธีที่อยู่ระหว่างกลาง : เอามือปิดหน้าแล้วแอบมองจ
ถานผิงถิงบอกสถานการณ์กับนาง ในใจนางไม่ชอบหรงจือจือ แต่เมื่อรู้ว่านางสวีเป็นคนไม่ได้ตั้งใจทำหกใส่ นางเองก็ไม่ควรที่จะพูดอะไรได้แต่ฉีกยิ้มพลางกล่าว “ข้าในฐานะเจ้าบ้าน ก็จะไปด้วยเช่นกัน!”หรงจือจือย่อมยิ่งไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้วดูท่าสวรรค์กำลังช่วยตนอยู่ ไม่คิดเลยว่านางหลิวยังกลับมาพอดิบพอดีอีก คิดว่าเรื่องสนุกนี้จะยิ่งยอดเยี่ยมไปกันใหญ่...ทว่ากล่าวถึงนางถานที่ถูกสาวใช้พาไป มาถึงเรือนชิงเฟิงแล้วครั้นหญิงรับใช้แซ่หลี่เห็นสาวใช้ผู้นั้น ก็กล่าวขึ้นย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้ารออยู่ข้างนอกนี่แหละ ข้าเข้าไปปรนนิบัติฮูหยินก็พอแล้ว!”สาวใช้ “เจ้าค่ะ!”แม้หญิงรับใช้แซ่หลี่ไม่กล่าวออกมาเช่นนี้ นางเองก็จะเป็นฝ่ายเสนอออกมาก่อนอยู่ดี นางจะเฝ้าให้คุณชายอยู่ข้างนอกนางถานเริ่มเปลื้องผ้า ภายใต้การปรนนิบัติของหญิงรับใช้แซ่หลี่ทว่ามีคนผู้หนึ่ง ซุ่มซ่อนอยู่ในห้องนี้มานานแล้ว เข้ามาใกล้ช้า ๆ ฉวยโอกาสตอนที่หญิงรับใช้แซ่หลี่ไม่ทันสังเกต ตีท้ายทองของนางจากเบื้องหลังจนเป็นลมไปนางถานได้ยินเพียงเสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง กำลังจะหันหน้ากลับไปทว่าถูกคนโอบเอวเอาไว้อย่างแรง ครั้นเบือนศีรษะไปนางก็เ
นางถานไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก บวกกลับช่วงนี้เกลียดชังนางหลิวมากจริง ๆกล่าวทั้งหน้าคล้ำดำหมอง “ตอนนี้สกุลถานมีแต่คนไร้ประโยชน์เช่นเจ้าแล้วหรืออย่างไร? กระทั่งน้ำชายังถือไม่อยู่! นางหลิวดูแลจวนอย่างไรกันแน่?”ครั้นนางด่าเช่นนี้ออกมา คนที่อยู่ในงานต่างพากันเงียบกริบสาวรับใช้ผู้นั้นถือน้ำยังถือไม่อยู่มือ ก็เลอะเลือนนิดหน่อยจริง ๆ ทว่าสตรีที่แต่งงานออกไปอยู่ที่อื่นหลายปีเช่นนางถาน ว่าพี่สะใภ้ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไม่มีกฎเกณฑ์และทำให้ผู้คนรังเกียจเป็นอย่างมากสาวใช้ผู้นั้นรีบหมอบกราบแล้วกล่าวว่า “ขอฮูหยินใจเย็น ๆ ด้วยเจ้าค่ะ!”ต่อให้นางถานเดือดดาลแค่ไหน แต่จะสวมเสื้อผ้าเปียกไปตลอดไม่ได้ จึงลุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เช่นนั้นพาข้าไปเปลี่ยนชุดเสีย! เปลี่ยนชุดเสร็จค่อยมาจัดการทาสชั้นต่ำไร้ประโยชน์อย่างเจ้า!”สาวใช้กล่าวทั้งน้ำตาอาบหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจะนำทางให้ฮูหยินไปยังเรือนชิงเฟิงที่บรรดาแขกมีเกียรติเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน!”ก่อนไป นางถานยังนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางหันหน้ากลับไปมองทีหนึ่ง “ตำแหน่งประธานเป็นของข้า ท่านหญิงขั้นสองเป็นลูกสะใภ้ของข้า! เดี๋ยวหากผู้ใดนั่งตำแหน่งของข้า ก็ต
นางถานยิ่งไม่เชื่อเข้าไปกันใหญ่ “ท่านอัครมหาเสนาบดีจำผิดคนหรือเปล่า?”นางสวีกล่าว “ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นคนระดับไหน? จำผิดกระทั่งผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตน? กลับกันฮูหยินฉีเจ้าแปลกยิ่งนัก ลูกสะใภ้ของตัวเองได้เป็นท่านหญิงแท้ ๆ กลับไม่ดีใจเลยสักนิด ยังทำราวกับว่าถูกโจมตีอะไรอีก!”สีหน้าของนางถานคล้ำดำหมองเป็นอย่างมากสีหน้าของอวี้ม่านหวาเองก็ไม่สู้ดีนักต่อให้ฝันก็ยังคิดไม่ถึงเลยว่า นางประสมโรงนางถานเพียงไม่กี่คำ ขยะแขยงหรงจือจือด้วยกัน ทว่าสุดท้ายกลับทำให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าจนหมดสิ้น มิน่าล่ะสองวันนี้ฉีจื่อฟู่ถึงดูแปลก ๆนางสวีกล่าวจบ ก็แสร้งมาคว้ามือของหรงจือจืออย่างสนิทสนมฉีกยิ้มพลางเอ่ยว่า “พอข้าเห็นเจ้า ก็รู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก! ตอนแรกเจ้าช่วยท่านอัครมหาสนาบดีเอาไว้ คิดว่าวิชาแพทย์ก็คงยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่?”หรงจือจือตอบกลับอย่างมีมารยาท “รู้งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ”นางถานเองก็นึกขึ้นได้ว่าหรงจือจือรู้วิชาแพทย์ พลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แค่เจ้าบังเอิญโชคดีอีกครั้งก็เท่านั้นแหละ!”“ไม่แน่ว่าเดิมทีท่านอัครมหาเสนาบดีอาจจะไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว แต่เข้าใจผิดคิดว่า
พูดคำพวกนี้จบยังไม่เท่าไรนางถานยังใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรั้งอวี้ม่านหวาเอาไว้ด้วย “ม่านหวา เจ้าวางใจ แม้เจ้าจะเป็นเพียงแค่อนุ แต่จื่อฟู่ก็รักและให้ความสำคัญกับเจ้า ขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งฮูหยินตราตั้งเพื่อเจ้า เจ้ามีหน้ามีตามากเสียยิ่งกว่าภรรยาเอกจอมปลอมบางคนเสียอีก!”อวี้ม่านหวาฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ท่านแม่ จิตใจของท่านพี่ ข้าย่อมรู้ดีที่สุด! เพียงแต่อย่างไรพี่หญิงก็แต่งเข้ามาก่อน แม้ว่าตอนนี้ฐานะของข้าจะอยู่เหนือกว่านาง แต่ข้าก็ยังยินดีให้หน้าบาง ๆ แก่พี่หญิงสองสามส่วน”“หากพี่หญิงอยากนั่งก่อนจริง ๆ เช่นนั้นก็นั่งเถิด! ข้าไม่ใช่คนกระเปิ๊บกระป๊าบเช่นนี้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้พี่หญิงจะให้ข้าเรียกท่านว่าฮูหยินให้ได้ ไม่ยอมให้ข้าเรียกพี่หญิง ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านรู้สึกอิหลักอิเหลื่อบ้างหรือไม่?”นางถานกลอกตาขาวทีหนึ่ง “หากข้าเป็นเจ้านะ คงหากระสอบมาคลุมหัวตัวเองแล้ว จะได้ไม่ต้องออกมาขายขี้หน้าคนอื่นเขา!”พวกนางแม่ผัวลูกสะใภ้ผลัดกันพูดไปมาพูดจนฮูหยินนางหนึ่งอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่า นางหรงจะถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงแล้วมิใช่หรือ?”นางถานตกตะลึง “ฮะ? เจ้าว่าอะไรนะ?”หา
หรงจือจือหัวเราะ “ดูท่า สถานการณ์เอื้ออำนวยที่ข้ารอก็มาถึงแล้ว!”ปกติแล้วหากไม่ใช่ขุนนางตำแหน่งสูงมีอำนาจมากระดับแถวหน้า ก็มีน้อยคนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดอายุสี่สิบปีอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ที่จัดล้วนจัดงานเลี้ยงวันเกิดอายุหกสิบปีให้ผู้อาวุโสในบ้านทั้งนั้นนางหลิวทำเช่นนี้ อันธพาลผู้นั้นต้องเป็นคนยุยงเป็นแน่แต่เป้าหมายของอันธพาลผู้นั้นคืออะไร ชัดเจนไม่กว่านี้ไม่ได้แล้วมิใช่หรือ?อวี้หมัวมัวเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนู เราจะไปหรือไม่เจ้าคะ?”หรงจือจือ “มีเรื่องสนุกในตอนท้าย จะไม่ไปได้อย่างไรกัน? หวังก็แต่สามีน้อยที่นางหลิวเลี้ยง จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”อวี้หมัวมัวฉีกยิ้มตามพริบตาเดียวก็ถึงวันงานเลี้ยงวันเกิดของนางหลิวแล้วนางถานเสนอว่าช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่สู้ไปร่วมงานเลี้ยงกันยกบ้าน ได้สัมผัสความครึกครื้นเสียหน่อย ในใจจะได้ผ่อนคลายลงสองสามส่วน ฉะนั้นคนทั้งจวนจะออกเดินทางไปครั้นเห็นหรงจือจือปรากฏตัว นางถานก็กล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “หรงจือจือ เจ้ามาทำไม?”หรงจือจือตอบกลับด้วยน้ำเสียงจืดชืด “ท่านพ่อ ข้าไปไม่ได้หรือ?”ฉีอวิ่นรีบตอบกลับว่า “ไปได้สิ! ไปได้อยู่แล้ว!”หลังจากนั้นก
มิน่าล่ะ ขอเพียงตนทำไม่ดีกับจือจือ ท่านอัครมหาเสนาบดีก็ไม่ชอบขี้หน้าตนถึงเพียงนี้นางก็จริง ๆ เลย! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงปิดบังตน? ตกลงนางเห็นตนเป็นสามีบ้างหรือเปล่า?ครั้นฮ่องเต้หย่งอันได้ยินถึงตรงนี้ ก็เอ่ยปากกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีมีคุณูปการต่อแว่นแคว้น หรงจือจือเคยช่วยชีวิตท่านอัครมหาเสนาบดี ก็เท่ากับเคยช่วยต้าฉี ข้าจะแต่งตั้งหรงจือจือเป็นเสี้ยนจู่[1] มอบศักดินาหนานหยาง ให้ศักดินาที่ดินเป็นหนานหยาง ที่ศักดินาแปดร้อยหลังคาเรือน!”ครั้นฮ่องเต้กล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงทีแรกทุกคนคิดว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งตำแหน่ง รักษาหน้าตาของหรงจือจือก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะประทานศักดินาที่ดินและดินแดนให้จริง ๆ!ผู้ตรวจการหูกล่าวเตือนขึ้นว่า “ฝ่าบาท ในประวัติศาสตร์ต้าฉี มีเพียงองค์หญิงและจวิ้นจู่[2]เท่านั้นที่มีศักดินาที่ดิน เสี้ยนจู่ไม่เคยมีศักดินาที่ดินมาก่อน...”นโยบายของแคว้นต่างกัน แคว้นหมินที่ทั้งทำสงครามและเจรจาสันติกับพวกเขา ท่านหญิงจวิ้นจู่มีศักดินาที่ดิน ทว่าต้าฉีไม่เคยมีมาก่อนฮ่องเต้หย่งอันมองไปที่เขา “เช่นนั้นท่านหมายความว่า ข้าควรแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่?