หญิงสาวชาวไทยรับเอกสารเอาไว้ก่อนจะเดินไปอีกด้านเพื่อขึ้นลิฟท์ตามที่พนักงานประชาสัมพันธ์บอก มษยากุมสายสะพายกระเป๋าไว้แน่นและก้มลงมองซองเอกสารที่เธอกดมันไว้แนบอกกับความรู้สึกตื่นเต้นมากเกินบรรยาย แม้ตำแหน่งที่เธอได้เข้าทำงานที่นี่จะไม่ใหญ่โตอะไร เป็นเพียงพนักงานบัญชีเล็ก ๆ แต่การได้รับเลือกให้มาทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ก็ทำให้หญิงสาวทั้งภูมิใจและตื่นเต้นไม่ใช่น้อย
หญิงสาวยิ้มกับตัวเองก่อนจะเงยหน้าและต้องหยุดชะงักพร้อมกับริมฝีปากอิ่มที่คลี่ออกเป็นรอยยิ้มคลายลงจนเป็นราบเรียบเมื่อสายตาคู่นั้นเลื่อนไปหยุดที่ด้านหน้าของลิฟท์และเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น มษยาหยุดนิ่งอยู่กับที่และจ้องมองร่างสูงใหญ่กว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรที่แม้ตอนนี้จะอยู่ในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่คัตติ้งเนี๊ยบกริบซึ่งแตกต่างจากวันวานที่เธอเคยเห็น เขา หากทว่าแม้เพียงเสี้ยวหน้าอันคมคายหล่อเหลานั้นหญิงสาวก็ยังคงจดจำได้ดี
“เคน...”
เสียงเบาหวิวลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มสั่นระริกพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วรัว และเมื่อเขาหันกลับมาหญิงสาวก็รีบหลบเข้าไปแอบที่ด้านหลังแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ มษยายืนชิดผนังและลอบมองผ่านช่องกิ่งก้านดอกไม้ก็เห็นว่า เขา คนนั้นยังคงจ้องมองมาก่อนจะหันกลับไปเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ใบหน้าคร้ามเข้มของหนุ่มอเมริกันผิวสีแทนเข้มหันมาอีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟท์ มษยาซึ่งยืนหลังชิดฝาเอามือปิดปากตัวเองพร้อมกับหยาดน้ำรื้นขึ้นมากบเบ้าตา
“เคน...คุณจริง ๆ ด้วย...คุณมาทำอะไรที่นี่”
หญิงสาวพูดกับตัวเองเบา ๆ และรู้สึกเหมือนมีแรงเหวี่ยงอันหนักหน่วงเข้ามากระทบความรู้สึกที่ถูกเก็บกลั้นเอาไว้เนิ่นนานข้างใน มษยายืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ก่อนจะนึกได้ว่าเธอมาที่นี่ก็ไม่ใช่ด้วยจุดประสงค์อื่นใด นี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่เธอได้พบกับ เขา คนนั้นโดยไม่คาดฝันในเมื่อเรื่องระหว่างเธอกับเขากลายเป็นเถ้าธุลีไปในอดีตแล้ว
ร่างบางยืดตัวยืนหลังตรงและกลอกตามองสูงเพื่อบังคับให้หยาดน้ำรอบเบ้าตาซึมกลับลงไปกับความคิดที่ว่าเธอต้องเข้มแข็งแม้เป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเล็ก ๆ ว่าอาจจะพบเขาอีกครั้งก็เป็นได้ หญิงสาวรีบเดินตรงดิ่งไปที่ลิฟท์ซึ่งมีสามตัวและก้าวเข้าไปในลิฟท์ตัวที่สามโดยไม่ทันได้สังเกตว่าลิฟท์ตัวแรกที่เธอเห็น เขาคนนั้น ก้าวเข้าไปมีป้ายระบุไว้ด้านหน้าว่า
Senior executive managing director
(สำหรับประธานกรรมการผู้บริหารระดับสูง)
“มิสมษยา ดารินทรา...คุณมารายงานตัวเข้าทำตำแหน่งพนักงานบัญชีใช่ไหมคะ?”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลซึ่งเป็นหญิงชาวอเมริกันวัยเกือบห้าสิบกล่าวขึ้นขณะกุมเอกสารไว้ในมือพร้อมทั้งมองลอดแว่นดูผู้หญิงชาวไทยร่างเล็กบอบบางซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมและประหม่าด้วยซ้ำ มษยาพยักหน้ารับและจ้องมองหญิงผิวขาวใบหน้ารูปไข่ใต้กรอบเรือนผมสีบลอนด์เงินถูกมุ่นเป็นมวยไว้ข้างหลังและสวมชุดสูทบนร่างระหงมีท่าทีน่าเกรงขามหากทว่ากลับมีรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างไม่น่าเชื่อ
“ค่ะ...ฉันคือมษยา ดารินทราค่ะ”
“ฉันคือโดโรธี เบสท์...เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลของนอร์ธเทิร์นซี อิงค์ นะคะ...นั่งก่อนสิจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
มษยาพยักหน้าก่อนเห็นว่ามีพนักงานอีกคนรีบเดินมาหยุดข้าง ๆ โดโรธีและก้มลงกระซิบก่อนจะเดินออกไป
“เอ้อ...อย่าพึ่งนั่งจ้ะที่รัก”
โดโรธีรีบยกมือขึ้นห้ามหญิงสาวที่กำลังจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มษยาชะงักก่อนได้ยินหัวหน้าฝ่ายบุคคลกล่าวว่า
“เอ้อ...มีคำสั่งด่วน...จากท่านประธาน ขอพบพนักงานคนใหม่ของแผนกบัญชี...ก็คือ...เธอนะจ๊ะ”
“พบท่านประธานเหรอคะ?”
หญิงสาวถามกลับไปด้วยสีหน้าบอกความประหลาดใจเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเธอไม่ได้หูฝาด...ว่าประธานบริษัทจะเรียกพนักงานใหม่ในตำแหน่งเล็ก ๆ อย่างเธอไปพบ ทว่าโดโรธีกลับพยักหน้า
“ใช่...เดี๋ยวฉันจะให้คนพาเธอไป ห้องทำงานของท่านประธานอยู่ชั้นที่หกสิบ”
“เอ้อ...แล้วไม่ทราบว่าฉันต้องทำอะไรที่นี่ก่อนหรือเปล่าคะ...หมายถึงต้องจัดการเรื่องการรายงานตัวเข้าทำงานกับคุณให้เรียบร้อยก่อนหรือเปล่า”
“เอาไว้ทีหลังก็ได้ ตอนนี้สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ...เธอจะต้องไปพบทานประธานนะจ๊ะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลโดยที่มษยาไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างฉายวาบขึ้นในดวงตาของคู่สนทนาขณะที่เธอหันหลังให้และเดินตามพนักงานสาวอีกคนที่เดินเข้ามาเพื่อพาเธอออกไปจากห้องนั้น โดโรธีก้มลงมองเอกสารในมือซึ่งเป็นประวัติส่วนตัวของพนักงานคนใหม่ที่พึ่งเข้ามารายงานตัวก่อนจะวางมันลงในขณะที่มีใครอีกคนเดินเข้ามาหยุดข้าง ๆ
“บอสคะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ เห็นทำหน้าเครียดจัง?”
โดโรธีเงยหน้ามองคนถามซึ่งเป็นพนักงานสาวลูกครึ่งเกาหลีอเมริกันที่ทำงานกับเธอในฐานะผู้ช่วยมานานหลายปีก่อนจะถอนหายใจและเลิกคิ้วสูง
“ฉันแค่แปลกใจเท่านั้นล่ะลิลลี่”
“แปลกใจเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“ก็ฉันทำงานมานานหลายปีแต่ไม่เคยเห็นท่านประธานเรียกพนักงานคนไหนไปพบเป็นการส่วนตัวแบบนี้เลย”
“พบเป็นการส่วนตัว...บอสหมายถึงพนักงานใหม่ที่เป็นผู้หญิงเอเชียตัวเล็กเมื่อกี๊นี้นะเหรอคะ”“อืม...ใช่...ฉันดูจากโปรไฟล์ส่วนตัวของเธอก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษแถมยังเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ ถ้าเป็นระดับผู้บริหารก็ว่าไปอย่าง ที่สำคัญท่านประธานก็พึ่งกลับมาจากการประชุมที่สวีเดนและพึ่งเข้ามาสำนักงานใหญ่วันนี้ ฉันแค่แปลกใจว่าเธอมีอะไรพิเศษถึงได้ทำให้ท่านประธานอยากพบ”“บอสก็รู้นะคะว่าท่านประธานน่ะเป็นคนที่ทำอะไรค่อนข้างจะเดายากสักหน่อย ท่านอาจอยากเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่างในที่ทำงานก็ได้นะคะ”“ฉันจะคิดในแง่บวกเหมือนเธอนะลิลลี่”ผู้ช่วยสาวยิ้มให้โดโรธีซึ่งยังนั่งจ้องมองเอกสารบนโต๊ะทำงานอย่างใช้ความคิดแม้จะยังรู้สึกตงิด ๆ กับสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในที่ทำงานก็ตาม“เชิญด้านในเลยนะคะ มิสดารินทรา”พนักงานสาวสวยของบริษัทหันมาเอ่ยกับมษยาเมื่อพาหญิงสาวชาวไทยซึ่งมีฐานะเป็นพนักงานใหม่มาหยุดที่หน้าบานประตูห้องหนึ่งบนชั้นที่หกสิบของตึกนอร์ธเทิร์นซี งหญิงสาวชาวไทยยิ้มให้อย่างประหม่าก่อนผลักประตูห้องเข้าไปเบา ๆ และก้าวเข้าไปภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่เธอถึงกับตกตะลึงในความโอ่โถงและอลังการของการตกแต่งสมกับเป็นห้องของท่านป
เขาไม่เคยลืมเลือนว่าเคยมีความสัมพันธ์งดงามกับหญิงสาววัยสิบแปดคนหนึ่งที่ฐานะแตกต่างจากเขาแม้มากเพียงใดหากก็ไม่ใช่อุปสรรคขวางกั้นความตั้งใจจริงที่เขาจะ รัก เธอได้ กระทั่งถึงวันที่เขาต้องเดินทางไปเรียนต่อแดนไกล เคนรู้สึกได้ถึงความห่างเหินระหว่างกันแม้เขาพยายามที่จะสานความสัมพันธ์นั้นไว้ให้ยืนยาวมากที่สุด เรียกได้ว่านั่นเป็นรักครั้งแรกและฝังใจสำหรับเขา เป็นความทรงจำปวดร้าวของผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกคนรักหักหลังอย่างเลือดเย็น“คุณไปเรียนต่อเถอะนะคะเคน และคงไม่ต้องติดต่อกลับมาหาลูกสาวของฉันอีกแล้ว”“ทำไมล่ะครับ ผมแค่อยากพบญาญ่าอีกสักครั้ง”“เธอไม่อยากพบคุณอีกแล้วล่ะค่ะ เพราะมันอาจไม่เหมาะสม”“มีอะไรที่ไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือครับ ในเมื่อก่อนหน้านี้เราก็คบกันแล้ว”“ฟังนะคะ คุณเคน คลีฟตัน...ฉันอยากจะบอกคุณว่ายะหยาเขาคบกับคุณไม่ได้ เพราะเขากำลังจะหมั้นกับคนที่จะเลี้ยงดูเขาได้ ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ใหญ่และมีเงินมากพอจะเลี้ยงดูให้ลูกสาวฉันสบาย”“ผู้ใหญ่เหรอครับ เขาเป็นใคร?”“ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องมารับรู้หรอกนะคะ เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็จะมาหมั้นกับลูกสาวฉันแล้ว กลับไปซะเถอะนะคะ ฉันได้ยินว่าคุณกำลังจะไปเรีย
ภายใต้ภาพฝันของชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ร่ำรวยและแสนอบอุ่น เขาเคยทุ่มชีวิตให้ผู้หญิงคนหนึ่ง และเมื่อเธอจากไปโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ นอกจากบาดแผลที่รอวันเยียวยาด้วยความแค้นและเกลียดชัง และเมื่อเขาพบเธออีกครั้ง เขาทำให้เธอรักเขา และค่อย ๆ เฉือนหัวใจของเธออย่างเลือดเย็นเธอไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากปลดปล่อยคนที่เธอรักให้เขาพบกับอนาคตอันสดใส ครั้งนั้นที่เธอตัดสินใจออกจากเส้นทางเดินของผู้ชายที่เธอรักเขามากกว่าชีวิต และเมื่อได้พบเขาอีกครั้ง เธอปรารถนาที่จะได้แก้ตัวโดยไม่รู้เลยว่า เขา กำลังใช้ความผูกพันที่ยังฝังลึกเป็นเสมือนโซ่สวาทพันธนาการเธอไว้เป็นทาสเสน่หาเพื่อฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น “เคนคะ...ยะหยาไปหาหมอมาค่ะ...เอ้อ...หมอบอกว่ายะหยาท้องได้เดือนกว่า ๆ แล้วค่ะ”“คุณแน่ใจเหรอว่าเด็กในท้องของคุณ...เป็นลูกของผม ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะญาญ่า ที่ผมจำเป็นต้องบอกว่าคุณไม่สามารถเป็นอะไรได้มากไปกว่า...ผู้หญิงที่ผมแค่อยากนอนด้วยโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ก็เท่านั้น!”กริ๊ง!!! เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นภายในบ้านหลังเล็กตั้งอยู่ในรั้วไม้เขตชานเมืองลอสแองเจลิสใกล้ย่านที่พักเบล แอร์อันหรูหราทำให้มษยาต้องรีบรั
“เอ้อ...แม่คะ...หนูกำลังจะเก็บไว้แล้วล่ะค่ะ...เอ้อ...” น้ำเสียงหวานปนแหบเมื่อเงยหน้าขึ้น“ถึงป่านนี้แล้วลูกยังไม่ลืมเขาอีกหรือ ยะหยา”คำถามของมารดาทำให้มษยาที่พูดอึกอักชะงักกึก เธอมองสิ่งที่มารดาเอาไปจากมือตัวเองพลางยิ้มจาง ๆ“หนูแค่เอาของที่เขาเคยให้ออกมาดูก็เท่านั้นล่ะค่ะ”“ลืมเขาได้แล้วล่ะ” ทิพย์ธารากล่าวพลางวางของสองสิ่งนั้นลงบนโต๊ะด้านบนลิ้นชักที่ชั้นล่างถูกเปิดค้างไว้ “ป่านนี้เขาคงเป็นเจ้าของกิจการและมีครอบครัวไปแล้ว ผู้ชายรวย ๆ ไม่เคยคอยใคร คนมีเงินเลือกที่จะทำอะไรก็ได้โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง”“หนูทราบค่ะ”เสียงตอบนั้นเบาหวิว มษยาพยายามเก็บกลั้นน้ำริ้นที่เริ่มซึมออกมารอบ ๆ ขอบตาเอาไว้ หลายครั้งที่นึกถึงแล้วเจ็บปวดหากหญิงสาวก็ต้องเก็บมันไว้แต่เพียงผู้เดียว“ยะหยา...”หญิงวัยเกือบห้าสิบขานเรียกบุตรสาวเบา ๆ พลางเกลี่ยผมปอยผมที่เรี่ยลงมาบนใบหน้าสวยหวานของมษยา“แม่อยากให้ลูกเข้าใจว่าตอนนี้เราอยู่ในสถานะอะไร เราเป็นแค่คนธรรมดาในอเมริกาที่ต้องทำงานหาเงินมาประทังชีวิตแค่ได้มีกินและอยู่ภายใต้สวัสดิการของรัฐ เรามีชีวิตได้แค่นี้เท่านั้น แม่เข้าใจว่าลูกจะต้องมีความรักในวันหนึ่ง ลูกจะต้องมีคร