กองทัพต้องเดินด้วยท้อง คำกล่าวนี้ไม่เกินจริง หลังสะสางปัญหาปากท้องเรียบร้อยแล้ว พอท้องอิ่มสมองก็โลดแล่น ต่อไปก็ต้องจัดการกับปัญหาชีวิต
นางคิดตริตรองใคร่ครวญเรื่องราวในชีวิตของร่างนี้อยู่หลายวัน เมื่อคิดสิ่งใดไม่ออกก็จะเรียกหาของกิน ชีวิตในแต่ละวันของนางวนเวียนอยู่เช่นนี้ จากสตรีรูปร่างผอมบางบัดนี้กลายเป็นหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้งมองเห็นชัดเจน การเพิ่มน้ำหนักเป็นอะไรที่ง่ายมากราวกับพลิกฝ่ามือ
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังกินอาหารจนอิ่มท้องเจียงม่านก็ออกมาเดินย่อยอาหาร และถือโอกาสนี้เดินสำรวจจวนตระกูลเจียง ทั้งยังคิดทบทวนความทรงจำอันบางเบาของเจ้าของร่างที่ดูสับสนวุ่นวายจนแยกไม่ออกและจับใจความสำคัญใดๆ ไม่ได้ จนนางนึกกังวล นางต้องการจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าของร่างเดิมให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะวางแผนการใช้ชีวิตต่อไป นางตระหนักได้ว่าจะมัวแต่หมกตัวอยู่เพียงในเรือนและโรงครัวไม่ได้ จะอย่างไรนางก็ต้องออกมาเผชิญกับความจริง
จวนตระกูลเจียงถือว่ากว้างขวางและงดงามตระการตาเป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของตระกูลเจียงได้เป็นอย่างดี ประตูทางเข้าขนาดใหญ่ประดับประดาด้วยงานแกะสลักอันวิจิตรประณีต เลยประตูไป มีทางเดินทอดยาวนำไปสู่เรือนหลักที่เรียงรายไปด้วยสวนเขียวชอุ่ม ดอกไม้หลากสีสันและต้นไม้ประดับ บริเวณโดยรอบมีสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ศาลาแปดเหลี่ยมหรูหรากลางสระบัวเชื่อมกับสะพานโค้งงามวิจิตร
เรือนหลักของจวนเป็นพื้นที่เปิดโล่งกว้างใหญ่ มีศาลากลางล้อมรอบด้วยอาคารขนาดเล็ก ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงด้วยภาพวาดจากจิตรกรเลื่องชื่อ ภายในเรือนหลักแบ่งแยกเป็นห้องมากมาย แต่ละห้องล้วนตกแต่งด้วยฉากกั้นไม้แกะสลักอย่างวิจิตรประณีต พรมผ้าไหม และแจกันกระเบื้องเคลือบละเอียดอ่อน เครื่องเรือนหรูหรา และของโบราณอันล้ำค่า
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นเพียงภาพความทรงจำ
เจียงม่านมองเหล่าบุรุษรูปร่างกำยำกำลังขนของล้ำค่ามีราคาออกไปจากเรือนหลักตาละห้อย สิ่งเหล่านั้นกำลังถูกทยอยขายออกไป ของล้ำค่าที่เคยมีค่อยๆ หายไปทีละน้อย อีกไม่นานคงไม่เหลือสักชิ้นเป็นแน่ มีเพียงเรือนของนางที่ยังคงเดิม ข้าวของและทรัพย์สมบัติส่วนตัวของนาง ผู้เป็นบิดาไม่ได้แตะต้องแม้แต่ชิ้นเดียว บ่งบอกได้ว่าเขานั้นรักและหวงแหนบุตรีผู้นี้เพียงใด
นางช่างไร้วาสนา ได้ชื่นชมของล้ำค่าเหล่านั้นเพียงชั่วครู่ ผู้อื่นก็มาขนผ่านหน้าผ่านตาไปโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้
บรรดาบ่าวไพร่ในจวนตระกูลเจียงก็มองภาพนั้นด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ต่อไปคงเป็นพวกเขาที่จะถูกทยอยขายออกไป ถึงแม้จะเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อย แต่พวกเขาก็อยู่อย่างสุขสบายได้กินอิ่มนอนอุ่นในตระกูลเจียง นายท่านเจียงถงมีเมตตาต่อพวกเขา ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นเจ้านายที่มีคุณธรรมเป็นอย่างมาก แม้คุณหนูของจวนจะอารมณ์ร้ายแต่นางก็ไม่เคยลงมือกับบ่าวคนใดจนถึงตาย
เจียงม่านทอดตามองทุกอย่างด้วยความหม่นเศร้า เพราะตระกูลเจียงกำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก บิดาจึงจำต้องขายทรัพย์สมบัติออกไปเพื่อชดใช้หนี้สินบางส่วน นั่นจึงทำให้เจียงม่านคนเดิมไม่อาจรับได้ เพราะรู้สึกอับอายหากจะต้องกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว จึงได้อาละวาดอย่างหนักเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นจนนางได้มาอยู่ในร่างนี้แทน
เฮ่อ เจียงม่านผู้นั้นช่างหน้าบางและใจเสาะนัก ไม่คิดจะลุกขึ้นสู้เลยหรืออย่างไร จะว่าไปเป็นนางเองที่มีส่วนสำคัญทำให้ตระกูลของตัวเองตกต่ำลงเช่นนี้ แต่ไม่คิดที่จะโทษตัวเอง เอาแต่พาลโทษผู้อื่น
"โอ้ นี่คุณหนูม่านม่านหรอกหรือนี่ ข้ารึก็นึกว่าโฉมงามที่ไหนเสียอีก"
เจียงม่านหรี่ตามองบุรุษท่าทางยียวนที่เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้านาง ทั้งยังใช้สายตากวาดมองนางอย่างไร้มารยาท
ไอ้ตี๋หน้าหล่อนี่เป็นใครกัน
"จุ๊จุ๊จุ๊ เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ขนาดว่าบิดากำลังลำบาก ตระกูลขัดสนเงินทอง แต่เจ้ากลับยังกินอิ่มนอนอุ่น ช่างเป็นบุตรที่กตัญญูโดยแท้"
เจียงม่านมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งหน้า ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาจะหล่อเหลาราวกับพระเอกในซีรี่ย์จีนที่บรรดาสาวแก่แม่หม้ายในยุคของนางหลงใหลคลั่งไคล้ รวมถึงตัวนางเองด้วย แต่ปากสุนัขไม่รับประทานแบบนี้ นางกระเดือกไม่ลงจริงๆ
"คุณชายสามเว่ย"
ลู่ลู่ลี่ลี่ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยใบหน้าจืดเจื่อน มือน้อยๆ นั้นกระตุกชายอาภรณ์ของผู้เป็นนายจนอีกฝ่ายหันกลับมาถลึงตามองพวกนางตาเขียว
"คุณหนูกลับเรือนเถิดนะเจ้าคะ"
ลู่ลู่เอ่ยกับผู้เป็นนายเสียงเบา กลัวเหลือเกินว่าคุณหนูจะอาละวาดขึ้นมาอีก
"เงียบเถอะน่าลู่ลู่ ลี่ลี่พาพี่สาวของเจ้าถอยออกไปเสีย"
หลังจากจัดการกับคนของตน เจียงม่านก็หันกลับมาจ้องตากับคนตรงหน้าที่ปากดีใส่นางอีกครั้ง
ที่แท้ก็ไอ้ตี๋ที่ริจะทำตัวเป็นมาเฟียนี่เอง
คุณชายสามเว่ยซีหยวน คู่แค้นในวัยเด็กของเจียงม่าน และนางก็มองคนผู้นี้เป็นศัตรูมาตลอดเพราะอีกฝ่ายมักจะทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์โฉมงาม คุณหนูหม่าลี่เซียน ผู้ที่เจียงม่านเกลียดชัง
คุณชายเว่ยซีหยวนผู้นี้เป็นบุตรชายคนที่สามของท่านเจ้าเมือง เว่ยหนาน ผู้ปกครองเมืองฉาง แต่กลับทำตัวเป็นอันธพาลไม่สมกับเป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ชั่วช้าถึงขนาดตบเด็ก เตะหมา ด่าผู้หญิง กระทืบคนแก่ แต่ก็เป็นพวกอันธพาลที่มักจะมีเรื่องต่อยตีกับผู้อื่นอยู่เสมอ
อ้อ ยกเว้นเจียงม่านเอาไว้ผู้หนึ่งที่อีกฝ่ายมักจะปากดีใส่ ไม่ถึงกับด่าแต่มักจะกล่าววาจาให้แสบๆ คันๆ
ทั้งเขายังเป็นเจ้าของหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉาง รวมถึงบ่อนการพนันที่ได้รับอนุญาตจากทางการอย่างถูกต้อง โดยอาศัยอำนาจของบิดา และที่สำคัญไปกว่านั้น ไอ้ตี๋อันธพาลผู้นี้คือเจ้าหนี้ของบิดานาง แต่คิดหรือว่านางจะกลัว รู้จักเจียงม่านผู้นี้น้อยไปเสียแล้ว
"แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรกับข้ามิทราบ เว่ย ซี หยวน"
เว่ยซีหยวนเห็นสายตาของสตรีที่จ้องมองเขาเขม็งอย่างเอาเรื่อง ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้ท่าทางอวดดี จองหองพองขนของนางถึงได้ดูน่าแกล้งชะมัด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาชิงชังความถือดีของสตรีร้ายกาจผู้นี้อย่างที่สุด
"แล้วถ้าหากข้าบอกว่ามีเล่า เจ้าจะทำไม ม่านม่าน"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้สตรีที่สูงแค่อกของเขาจนทั้งสองห่างกันเพียงแค่หนึ่งก้าว ทั้งยังโน้มใบหน้าหล่อเหลาของตนลงมาสบตากับนางในระยะประชิด
เจียงม่านมองอีกฝ่ายตาโต ถึงนางจะไม่ชมชอบบุรุษปากหมา แต่เอาความหล่อเข้ามากระแทกตาเช่นนี้ก็รู้สึกเสียอาการอยู่เหมือนกัน
"หน็อยไอ้ลูกเต่า เดรัจฉานสวมเสื้อผ้า คิดว่าอาศัยบารมีบิดาของเจ้า แล้วจะมากลั่นแกล้งผู้อื่นได้หรือ"
เจียงม่านด่าทอเจ้าคนหน้าไม่อายผู้นี้ ทั้งยังผลักอกแกร่งนั้นเต็มแรงจนอีกฝ่ายเซไปหลายก้าวเพราะกำลังตกตะลึงกับคำด่าของนาง
ทุกครั้งที่ต้องปะทะกันมีเพียงเขาที่มักจะกล่าววาจาร้ายกาจกับนาง และสตรีนางนี้ก็ทำเพียงกรีดเสียงร้องอย่างคนเอาแต่ใจ ก่อนจะวิ่งแจ้นไปฟ้องมารดาของเขาก็เท่านั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่อีกฝ่ายจะด่าเขาจนหน้าหงายเช่นนี้
และคำด่านั้นของนางก็ทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น
"ปากดีนักนะม่านม่าน ข้าเป็นเจ้าหนี้ของเจ้านะ ทั้งข้ายังแก่กว่าเจ้าตั้งหลายปี เจ้ารู้จักให้ความเคารพยำเกรงข้าบ้าง"
เจ้าของใบหน้าแดงก่ำเอ่ยกับนางอย่างเกรี้ยวกราด แต่มีหรือที่นางจะกลัว
"แก่กว่าข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าแก่กว่าก็แค่อายุเท่านั้น ไอ้คนไม่รู้จักโต"
"เจียงม่าน"
เว่ยซีหยวนเอ่ยเรียกนามของอีกฝ่ายเสียงลอดไรฟันอย่างพยายามข่มกลั้นโทสะ
นางช่างกล้า
"ทำไม เว่ยซีหยวน เจ้ายอมรับความจริงมิได้หรือ"
"ได้ ได้สิ แล้วเจ้าก็ยอมรับการกระทำของเจ้าในวันนี้ให้ได้ด้วยก็แล้วกัน จะมากล่าวหาว่าข้าใจร้ายทีหลังไม่ได้นะ"
ว่าแล้วคนที่เอ่ยข่มขู่นางก็เดินสะบัดหน้าออกไปอย่างคนโกรธจัด
"หึ นึกว่าจะแน่ คิดว่าข่มขู่ข้าเช่นนี้แล้วข้าจะกลัวหรือ ไอ้อันธพาลกระจอกเอ๊ย"
ลู่ลู่ลี่ลี่ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ วันนี้ท่านป้าจางปรุงดีหมีหัวใจเสือให้ผู้เป็นนายของนางกินหรืออย่างไร วันนี้ถึงได้กล้าเล่นงานคุณชายสามเว่ยจนโกรธตัวสั่นไปแบบนั้น ทุกทีเห็นแต่ผู้เป็นนายของพวกนางที่ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเจียงม่านรู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเดินชมความวิจิตรของจวนหลังนี้อีกต่อไป แต่ในขณะที่นางคิดจะหันหลังกลับเรือนของตนเพราะถึงแม้นางจะอยู่ก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ อยู่ๆ ก็มีเรื่องราวหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวของนางตระกูลเจียงนั้นมีชื่อเสียงในด้านการหมักสุรามาหลายชั่วอายุคน แต่กิจการหอสุราตระกูลเจียงริเริ่มในรุ่นของท่านปู่ของเจียงม่าน และรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดเมื่อบิดาของนาง นายท่านเจียงถงเข้ามารับช่วงต่อ หลังจากที่ผู้เป็นปู่จากไปเถ้าแก่เจียงที่ผู้คนในเมืองฉางนั้นรู้จักและนับหน้าถือตา เขานั้นมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่แต่งงานกันตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งอายุล่วงเข้าวัยสามสิบตอนปลายแต่กลับยังไร้ซึ่งทายาท ผู้เป็นภรรยาของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์เสียที และเพราะเขานั้นรักผู้เป็นภรรยามากจึงไม่คิดที่จะรับอนุหรือสตรีนางใดเข้าจวนแต่แล้วสวรรค์ก็มีเ
แค่ก แค่ก แค่กเสียงไอถี่ของนายท่านเจ้าของจวนดังออกมาให้ได้ยินทันทีที่หญิงสาวย่างเท้าก้าวเข้ามาภายในบริเวณห้องหนังสือที่เจ้าของจวนมักจะหมกตัวอยู่ในนั้น เรียกว่าอีกฝ่ายแทบจะกินนอนอยู่ที่นี่ นั่นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก ภายในอกรู้สึกวูบไหวจนสะท้าน"ท่านพ่อ"เสียงเรียกของผู้มาใหม่ทำให้บุรุษทั้งสองที่กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียดหันกลับมามองนางในทันที ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่"ยัยหนูม่านม่านมาหาพ่อเช่นนี้ เจ้าหายขุ่นเคืองพ่อแล้วหรือ"บุรุษวัยกลางคนท่าทางใจดีกล่าวกับนางในทันที ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มยินดีแต่เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้นาง ก็ทำให้เจียงม่านถึงกับชะงักนิ่งงัน รับรู้ได้ว่าหัวใจของนางเต้นแรงขึ้น ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยสายหนึ่งโอบรัดนางไว้กับคนตรงหน้า รอยยิ้มของคนผู้นี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาของนางที่อยู่ในความทรงจำเหลือเกิน และภาพวาดขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ทางด้านหลังของเขา ยิ่งทำให้นางยิ่งรู้สึกมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลทางฝั่งมารดาของนางไม่ผิดแน่ เพราะสตรีในรูปนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับมารดาของนางถึงแปดส่วน เจียงม่านรวบรวม
"คุณหนูเจ้าคะ"เจียงม่านที่กำลังศึกษาประวัติและกรรมวิธีลับการผลิตสุราของตระกูลเจียงอย่างจริงจังมาตลอดหลายวัน ทั้งนางยังเรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับการหมักสุราในโลกปัจจุบันไว้มากมายเพื่อมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคนี้ เงยหน้าจากตำราตรงหน้า"มีอันใดหรือลี่ลี่"ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นคลึงขมับและหัวคิ้วของตน รู้สึกอ่อนล้าไปหมดขณะที่เอ่ยถามอีกฝ่ายลู่ลู่เห็นเช่นนั้นก็รีบรินชาน้ำผึ้งชุ่มคอส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะบีบนวดไหล่เล็กให้อย่างเอาใจ จนได้รับรอยยิ้มหวานส่งมาให้"เว่ยฮูหยินมาเยือนเจ้าค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่เรือนรับรอง"ลี่ลี่เอ่ยบอกผู้เป็นนายพร้อมกับเดินเข้ามาจัดอาภรณ์ที่ยับย่นของนายสาวให้เข้าที่เจียงม่านหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยฮูหยิน มารดาของเว่ยซีหยวนน่ะหรือแล้วดวงตาคู่งามก็ปรากฏประกายระยิบระยับ ดูเหมือนนางจะจมอยู่กับความเคร่งเครียดมาหลายวันแล้วสินะ คงจะได้เวลาผ่อนคลายแล้ว"ท่านป้ามาอย่างนั้นหรือ ดีจริง"ที่นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้นั่นก็เพราะ เว่ยฮูหยิน ภรรยาเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมืองคือสหายสนิทของมารดานางนั่นเอง ในอดีตทั้งสองเป็นสหายที่รักกันมาก ตั้งแต่ที่เว่ยฮูหยินยังเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ตระ
"ไป ไปตามนายของพวกเจ้าออกมาประเดี๋ยวนี้"เสียงตวาดเหวที่ดังลั่นอยู่ด้านหน้าเรือน ทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนกายกำยำสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ถึงแม้ขณะนี้ดวงตะวันจะขึ้นอยู่ตรงศีรษะแต่เจ้าตัวยังคงซุกกายอยู่ในผ้าห่มผืนหนา แต่เสียงนั้นเรียกให้เขาตื่นเต็มตา ทะลึ่งกายคว้าเอาอาภรณ์ที่ถอดพาดไว้เมื่อตอนย่ำรุ่งขึ้นมาสวมอย่างลวกๆเจ้าของเสียงแหลมแสบแก้วหูนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลเว่ย ใหญ่กว่าท่านเจ้าเมืองก็เว่ยฮูหยินผู้นี้นี่แหละสตรีผู้ที่ใบหน้ามักจะปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนเต็มไปด้วยความมีเมตตาอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้กลับไม่อาจรักษาใบหน้าเช่นนั้นเอาไว้ได้ ตอนนี้มันแดงก่ำเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ เสียงร้องแสบแก้วหูนั้นมาพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังสั่นระริกชี้ไปยังทิศทางที่เป็นเรือนนอนของเจ้าของเรือนเมื่อเห็นว่าผู้ที่นางต้องการพบเดินสะโหลสะเหลออกมาด้วยสภาพที่ดูแทบไม่ได้ เลือดในกายของนางก็ราวกับกำลังเดือดพล่าน"ยอมโผล่หัวออกมาแล้วหรือพ่อตัวดี"ร่างบอบบางปรี่ตรงเข้าไปฟาดแผ่นหลังของบุตรชายไปทีหนึ่งด้วยแรงที่ไม่เบานัก นางอยากจะบิดหูเจ้าบุตรชายผู้นี้ให้ขาดเหลือเกิน"โอ๊ย โอ๊ย ท่านแม่ตีลูกทำไมกันขอร
เจียงม่านหาได้สนใจความสงสัยใคร่รู้และไม่เข้าใจของบ่าวทั้งสอง เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าอยู่เบื้องหน้าของนาง เมืองฉางแห่งนี้ดูครึกครื้นไปด้วยผู้คน ตลาดของที่นี่กว้างขวางมีถนนทอดยาวและตรอกแคบๆ ที่มีแผงไม้สำหรับขายของตั้งเรียงรายเป็นแถว สองฟากถนนยังเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย มีผู้คนหลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากมาจัดแสดงสินค้าของตน ทำให้เกิดภาพและเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ดูมีชีวิตชีวา บริเวณโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่แปลกใหม่ ชาที่ชงสดใหม่ และอาหารข้างทางที่ร้อนฉ่า ผ้าไหมสีสันสดใสพลิ้วไหวตามสายลม ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมามีสินค้าแปลกๆ มากมายที่นางไม่เคยเห็น ดูงดงามแปลกตา พ่อค้าแม่ค้านำเสนอผักผลไม้และธัญพืชหลากหลายชนิด ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ช่างฝีมือผู้มีทักษะจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีต เครื่องลายครามที่ละเอียดอ่อน และงานหัตถกรรมไม้แกะสลักอย่างสวยงามในมุมหนึ่ง นางสังเกตเห็นตลาดปลาที่คึกคัก โดยมีพ่อค้าแม่ค้าทะเลาะกันเสียงดังเกี่ยวกับปลาที่จับได้ในแต่ละวัน เสียงเหรียญกระทบกันดังก้องไปทั่ว ขณะที่ลูกค้าต่อรองราคาที่ดีที่สุด ในบริเวณใกล้เคียงกัน มีพ
ขณะที่เจียงม่านก้าวไปข้างหน้าเดินสวนกับผู้คนมากมาย แต่ราวกับว่ารอบตัวของนางนั้นเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน นางจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย ในหัวครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวของคนผู้นั้น คุณชายใหญ่ตระกูลหม่า บุรุษผู้ที่หลอกให้เจ้าของร่างตกหลุมรักเพื่อสูตรลับการหมักสุราของตระกูลเจียง และเรื่องราวในชีวิตก่อนของตนเมื่อครั้งเป็นม่านไหมชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของนางที่คบหากันถึงสี่ปีในรั้วมหาลัย และวางแผนจะใช้ชีวิตร่วมกันเมื่อเรียนจบ แต่หลังจากจบการศึกษา ความสัมพันธ์ของเราก็ดูเหมือนจะจบลงด้วย เราทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปเติบโต โดยการที่เขาเลือกใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงอีกคนที่รู้จักกันเพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายนั้นตั้งครรภ์ใช่แล้ว นางเองก็ถูกบุรุษหักหลังเช่นเดียวกันหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยวางหัวใจของตัวเองไว้บนฝ่ามือของบุรุษใดอีกเลย ความผิดหวังในครั้งนั้นยิ่งทำให้นางแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และมีความมุ่งมั่นมากขึ้น แทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด นางเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่การหาเงิน และทำในสิ่งที่ตัวเองรักโอ๊ย!!แต่แล้วความคิดทั้งหมดของนางก็หยุดชะงักลงเมื่อชนเข้ากับกำแพงมนุษย์เต็ม
หอสุราตระกูลเจียงที่ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งที่ลูกค้าดูจะบางตาเรียกได้ว่าเงียบเหงามีเพียงเหล่าลูกค้าขาจรและคนต่างถิ่นที่แวะเวียนเข้ามาบ้างประปราย หาใช่การแขวนป้ายประกาศขายล้างหนี้สินเช่นดังที่มีข่าวลือออกมา ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นและผู้ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางอยู่บ้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นายท่านตระกูลเจียงช่างเป็นบุรุษที่ดื้อดึง แทบจะหมดเนื้อหมดตัวอยู่รอมร่อแต่ก็ยังไม่ยอมที่จะขายกิจการ ยังคงดึงดันจนน่าขัน หากเป็นพวกตนคงจะยอมแพ้และตัดสินใจขายเสีย อย่างน้อยก็ยังมีเงินให้เหลือเลี้ยงชีพ ดึงดันเช่นนี้ต่อไปคาดว่าคงได้สิ้นเนื้อประดาตัวเข้าจริงๆ แต่พวกเขาก็ได้แต่รอดูต่อไปเพียงเท่านั้นเพล้ง!"ทำไมมันถึงยังไม่ยอมขาย"จอกน้ำชาถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ตามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดอย่างที่สุดของผู้นำตระกูลหม่า เมื่อทุกอย่างไม่เป็นเช่นดังที่คิดหม่าชิงหลุนที่เชื่อว่าตระกูลเจียงคงไม่อาจจะพลิกฟื้นกิจการขึ้นมาใหม่ได้อีกแล้ว เวลานี้เจียงถงผู้นั้นแทบไม่เหลือทรัพย์สมบัติใดๆ อีก ทั้งยังกู้หนี้ยืมสินเป็นหนี้ท่วมหัว เช่นนั้นหนทางเดียวที่ตระกูลเจียงจะอยู่รอดก็เหลือเพียงการขายหอสุราตระกูลเจียง
"ตรงไปหอสุราเลยนะ ไม่ต้องหยุดที่ใด"ทันทีที่นางก้าวเข้ามานั่งบนรถม้า ก็ได้ยินเสียงลี่ลี่เอ่ยกำชับคนบังคับรถม้าในทันที อีกทั้งนางยังนั่งประกบด้านข้างคนบังคับรถม้าราวกับว่าหากอีกฝ่ายหยุดรถม้านางจะเป็นผู้บังคับม้าเองในทันที ส่วนแฝดผู้พี่นั้นก็กำลังนั่งประกบอยู่ด้านข้าง จ้องมองนางตาใส ราวกับจะบอกนางกลายๆ ว่า หากนางขยับตัวจะลงจากรถม้าเมื่อใด แขนป้อมๆ คู่นั้นจะเข้ามากอดขาของนางเอาไว้เจียงม่านจึงทำได้เพียงเปิดม่านชื่นชมความครึกครื้นผ่านหน้าต่างรถม้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนักหอสุราตระกูลเจียงตั้งตระหง่านมองเห็นโดดเด่นแม้จะมองจากที่ไกลๆ นับว่าเป็นทำเลที่ดีมาก ในที่สุดนางก็มาถึงหอสุราตระกูลเจียงโดยที่ไม่ได้แวะที่ใด พร้อมกับใบหน้าโล่งใจของบ่าวทั้งสอง"คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ลงหรอกหรือเจ้าคะ"ลู่ลู่เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยใบหน้าฉงน เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางไม่ยอมก้าวลงจากรถม้า แต่กลับขยับไปยังฝั่งรถม้าอีกด้านหนึ่ง ทั้งยังแง้มเปิดม่านหน้าต่างหรี่ตาลงด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ"ลี่ลี่ที่เห็นว่ารถม้าจอดอยู่นานแต่ผู้เป็นนายยังไม่ออกมาเสียทีจึงชะโงกหน้าผ่านม่านประตูรถม้าเข้
ตระกูลเจียงในตอนนี้เป็นตระกูลอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสุรา สุราของตระกูลเจียงกลายเป็นสุราสร้างชื่อของเมืองฉาง ทั้งยังโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นและแคว้นข้างเคียง เพียงเวลาไม่นานกิจการของหอสุราตระกูลเจียงก็ขยับขยายใหญ่โต และกำลังดำเนินการที่จะขยายกิจการไปยังเมืองต่างๆ รวมไปถึงเมืองหลวงของแคว้น และคาดว่าต่อไปในอนาคตก็จะไปเปิดกิจการยังต่างแคว้นอีกด้วย เรียกได้ว่าตระกูลเจียงเข้าสู่ยุคที่รุ่งโรจน์จนฉุดไม่อยู่ส่วนหอสุราตระกูลหม่านั้น ในตอนนี้ได้ปิดตัวลง หันมาเอาดีทางด้านการค้าข้าวสารและธัญพืช โดยมีหม่าลู่เฟิงที่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่ากิจการนั้นจะไปได้ดีอยู่ไม่น้อยถึงแม้ว่าจะมีร้านค้าใหญ่อยู่หลายร้านก็ตาม ส่วนหม่าลี่เซียนข่าวว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเถ้าแก่เผย แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เถ้าแก่เผยได้ประกาศวางมือจากกิจการทั้งหมดและยกทุกอย่างให้บุตรชายของเขา ส่วนตนนั้นใช้เวลาอยู่กับภรรยาและเหล่าอนุทั้งหลาย จากบุรุษผู้รักมั่นในตัวภรรยาผู้ล่วงลับ แต่ยามเมื่อได้สัมผัสอารมณ์ความใคร่อีกครั้งกลับกลายเป็นบุรุษผู้หมกมุ่นในกามา บัดนี้จึงมีอนุภรรยาอยู่เต็มจวนเมืองฉางในตอ
"คนเก่งของข้า ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนเถิด"เว่ยซีหยวนเอ่ยเรียกสตรีที่นอนสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอยู่บนเตียงน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ประคองถาดใบเล็กที่มีข้าวต้มหอมกรุ่นและถ้วยยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ มาวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ก่อนจะโน้มกายลงจุมพิตแก้มนวลของสตรีที่ยังหลับตาพริ้มอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้นางช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก เขามีความสุขจนแทบจะล้นออกมานอกอก นางนั้นแสนซนและอยากรู้อยากลองไปเสียทุกอย่างแม้เขาคิดจะยั้งมือเมื่อรู้ว่าเป็นครั้งแรกของนาง แต่ถูกยั่วยวนเช่นนั้นก็หมดสิ้นความยับยั้งช่างใจ นางออดอ้อนน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้น ใครจะไปอดใจได้ไหว จึงได้จัดหนักจัดเต็มจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วยาม และนางเองก็ยังสู้ไม่ถอย สภาพจึงได้ออกมาเช่นตอนนี้หักโหมถึงเพียงนั้นเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหลังจากนั้นนางจะต้องป่วยเป็นแน่ จึงได้ลุกขึ้นไปเคี่ยวยาเตรียมไว้ให้นางตั้งแต่รุ่งสางและนางก็ป่วยจริงๆใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวในคราแรก ตอนนี้ซับสีเลือดจนแดงก่ำมาจนถึงลำคอ แพขนตางอนขยับยุกยิก นั่นทำให้ชายหนุ่มที่คลอเคลียนางอยู่ไม่ห่างยกยิ้มขึ้น ดวงตาคมเผยประกายเจ้าเล่ห์สอดฝ่ามืออุ่นร้
เจียงม่านหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกชายหนุ่มยกตัวจนลอยขึ้นจากพื้น ทั้งที่ริมฝีปากของทั้งสองยังคงแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม สองแขนของนางกอดกระชับลำคอแข็งแกร่งเอาไว้ ยามเมื่ออีกฝ่ายก้าวเดินสองขาเรียวก็ยกขึ้นเกี่ยวรัดสะโพกสอบทรงพลังไว้แน่นจนเมื่อเขาวางนางลงบนเตียง ชายหนุ่มถึงได้ยอมปล่อยให้นางได้พักหายใจ แต่กระนั้นทั้งจมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวก็หาได้ผละออกห่างจากใบหน้าของนางแม้แต่น้อย เขายังคงคลอเคลียพรมจูบไปทั่วใบหน้าของนางอย่างรักใคร่หลงใหล"ม่านม่าน เราแต่งงานกันเถอะนะ"เขาไม่อยากห่างจากนางอีกแล้ว ไม่อยากให้นางมองบุรุษอื่นอีก อยากให้ทั้งหัวใจและสายตาของนางมีเพียงแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเสียงกระซิบแหบพร่าร้องบอกหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส ดวงตาคู่งามฉ่ำหวาน เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ หญิงสาวไม่ได้ยินที่เขาเอ่ยถามแม้แต่น้อย ในแววตาของนางมีเพียงความสับสนมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลงเจียงม่านไม่รู้เลยว่าการนิ่งเงียบไม่ตอบคำของนาง จะทำให้ชายหนุ่มที่เฝ้ารอคำตอบรู้สึกเช่นไร ความผิดหวังน้อยใจไหววูบในดวงตาของเขา หัวใจปวดหนึบวูบโหวง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็แทนที่ด้วยคว
ผ่านมาสองวันเจียงม่านก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเว่ยซีหยวน อีกฝ่ายจงใจที่จะหลบหน้านางแน่แล้ว เพราะเขาหายหน้าหายตาไป ไม่มาหานางที่จวนเช่นดังปกติที่มักจะมาขลุกอยู่กับนางหรือมารับนางออกไปยังหอสุราด้วยกัน จนเรียกได้ว่าทั้งสองแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาเขามักจะทำตัวติดกับนางเสมอ หรือหากแม้ว่ามีธุระก็จะส่งคนมาแจ้งพร้อมด้วยของฝาก แต่ครั้งนี้กลับหายหน้าหายตาไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อนางเลือกที่จะเป็นฝ่ายไปหาเขาก่อน คนของอีกฝ่ายกลับแจ้งกับนางว่าเขาไม่ได้อยู่ในจวน เมื่อนางถามว่าอีกฝ่ายไปไหน กลับตอบกลับมาว่าไม่ทราบ ไม่รู้ว่าผู้เป็นนายไปไหนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังไม่ยอมที่จะสบตานาง ท่าทางมีพิรุธเช่นนั้น พวกเขาคิดว่านางโง่หรืออย่างไร รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมโผล่หัวมา จนย่างเข้าวันที่สาม ยอมรับว่าตอนนี้นางมีโทสะอยู่เต็มท้องคนบ้าผู้นั้นหลบหน้านางทำไมกัน นางไปทำอันใดให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เหตุใดจึงไม่ยอมบอกกล่าว เล่นหายไปแบบนี้ใครมันจะไปรู้หรือจะเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดมิใช่หรอกหรือ ตอนนี้ยังมีข่าวว่าเถ้าแก่เผยส่งแม่สื่อไปจวนตระกูลหม่าแล้ว อีกไม
"เจ้าจะยังรั้งรออันใด หรืออยากจะเป็นคนที่ขึ้นไปนอนบนเตียงนั่นเอง"เว่ยซีหยวนเมื่อตั้งสติได้ก็หันมาถลึงตาใส่กวนป๋อเหวินที่กำลังใช้สายตาต่อว่าเขากวนป๋อเหวินส่งค้อนวงโตให้ผู้เป็นสหายป่าเถื่อนของตน ก่อนจะลากร่างที่หนักอึ้งของเถ้าแก่เผยไปโยนลงบนเตียงด้วยแรงที่ไม่เบานัก ทั้งยังจับอีกฝ่ายเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าหม่าลี่เซียนที่เห็นการกระทำของคนทั้งสองก็เบิกตาโพลง รับรู้ได้ว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด แต่ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดทั้งยังความเจ็บปวดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้นางไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ดั่งใจ ตอนนี้ความร้อนรุ่มกำลังเล่นงานนางอย่างหนัก อยากจะปลดปล่อยความต้องการภายในร่างกาย แต่การจะต้องร่วมเตียงกับชายแก่อ้วนฉุเช่นเถ้าแก่เผยนั้นทำให้นางไม่อาจที่จะยอมรับได้ จึงกัดกระพุ้งแก้มของตนอย่างแรงเพื่อรั้งสติเอาไว้ จนรสเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปากดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำจ้องมองบุรุษที่นางหลงใหลด้วยสายตาเจ็บปวดและเจ็บแค้น ก่อนที่เสียงหัวเราะขื่นขมจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีซีดฮ่าฮ่าฮ่าหม่าลี่เซียนหัวเราะออกมาเสียงขื่น ในขณะที่น้ำตาของนางไหลพราก ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนั
งานเลี้ยงในวันนี้เริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง เพราะผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ล้วนเป็นเหล่าคหบดี พ่อค้าแม่ค้า และคนที่รู้จักมักคุ้นกันดีในเมืองฉางแห่งนี้เจียงม่านอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อเป็นตัวนางเองที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางแผนการร้ายของผู้อื่น ยามเมื่อคอยลุ้นในซีรี่ย์ที่เคยดูนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากแล้ว ยามนี้กลับยิ่งตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าแม้ว่าจะรู้ตัวล่วงหน้า แต่พวกนางยังไม่รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะวางยาเว่ยซีหยวนเช่นไร หันไปมองเจ้าตัวก็เห็นว่าเขาไม่ยอมแตะต้องเครื่องดื่มหรืออาหารบนโต๊ะแม้แต่น้อย นั่นทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล หากเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะเป็นไปตามแผนการของอีกฝ่ายได้อย่างไรกันใช่ว่านางจะไม่หวงแหนหรือเป็นห่วงเขาแต่นางลงทุนลงแรงไปถึงเพียงนี้จะให้สูญเปล่าได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียวันนี้หม่าลี่เซียนก็จะต้องมีสามีที่ไม่ใช่บุรุษของนางนางยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อว่าจ้างคนมีฝีมือที่เป็นวรยุทธ์คอยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างไรก็มั่นใจว่าเขาจะต้องปลอดภัย ก่อนที่จะถูกหญิงนางนั้นกลืนลงท้อง อีกทั้งยังมีคนของคุณชายกวนที่กระจายตัวอยู่อีกอย่างใช่ว่าพ่ออันธพาลของนางจะร
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงม่านมาเยือนจวนตระกูลหม่าในฐานะของแขกคนหนึ่ง ข้างกายของนางคือบุรุษรูปงามที่ตามประกบนางไม่ยอมห่างกาย ยามก้าวเข้ามาจึงตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าสตรีน้อยใหญ่ที่ต่างมองมาด้วยความอิจฉา จนสาวเจ้าแย้มยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เดินเชิดหน้าเข้าไปยื่นเทียบเชิญเข้าประตูจวนที่ถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามยามเมื่อเข้ามาถึงยังบริเวณด้านหน้าเรือน เจียงม่านกวาดตามองความวิจิตรงดงามของจวนตระกูลหม่าด้วยดวงตาชื่นชม นับว่าตระกูลหม่ามั่งคั่งร่ำรวยไม่น้อย จวนตระกูลหม่าถึงได้ใหญ่โตและงดงามเช่นนี้ นางชื่นชอบมากๆ กับการได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมในยุคนี้เหอะ จวนเจ้าเมืองของข้างดงามกว่าเป็นไหนๆเว่ยซีหยวนหรี่ตามองสตรีที่ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาคู่งามเปล่งประกาย ชื่นชมการจัดแต่งจวนของผู้อื่นให้เขาฟังเสียงเจื้อยแจ้ว นางคงลืมไปแล้วกระมังว่าตอนนี้กำลังอยู่ในรังของศัตรูเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วเขาไม่อยากห่างจากกายคนรักแม้แต่น้อย เพราะอดที่จะกังวลไม่ได้ กลัวว่าการมาร่วมงานเลี้ยงของตระกูลหม่าในครั้งนี้จะเกิดความผิดพลาดขึ้น จนทำให้สตรีข้างกายมีอันตรายไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด หากต้องห่างจากนางแ
กวนป๋อเหวินทำอย่างที่เขาตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ชายหนุ่มนั่งจิบสุราอย่างเบิกบานใจ ไม่สนแววตาดุดันของสหายที่ถลึงตามองมายังเขา ประกาศขับไล่เขาทางสายตา ทั้งยังคงพูดคุยยิ้มแย้มให้กับสตรีเพียงหนึ่งเดียว ที่ตอนนี้ใบหน้างามนั้นแดงก่ำ ดวงตากลมโตที่จ้องมองสหายของเขาหวานหยาดเยิ้ม เพราะฤทธิ์สุราที่ถูกยกเข้ามาเป็นรอบที่สามแล้ว หากไม่มีเขานั่งอยู่ตอนนี้คงมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันเกิดขึ้นเป็นแน่ยิ่งเห็นใบหน้ามืดครึ้มของสหายตัวดีที่มองกดดันเขา แต่ใบหูนั้นแดงก่ำเพราะสตรีข้างกาย ยิ่งทำให้คุณชายเช่นเขาสำราญใจอย่างที่สุด"ม่านม่านแล้วงานเลี้ยงฉลองการรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปของคุณชายหม่าลู่เฟิงเล่า เจ้าจะไปร่วมหรือไม่"กวนป๋อเหวินเมินเฉยใส่สหายของตน หันมาเอ่ยถามสตรีตรงหน้าถึงงานเลี้ยงของตระกูลหม่าที่กำลังจะถึงนี้"ก็ต้องไปสิเจ้าคะ คุณชายหม่าได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ข้าย่อมต้องไปแสดงความยินดี"การที่หม่าลู่เฟิงขึ้นเป็นผู้นำตระกูลย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง เขามิได้โลภมากและกระหายในอำนาจเช่นดังผู้เป็นบิดา ย่อมไม่มีเรื่องการเบียดเบียนผู้อื่นเช่นดังที่ผ่านมาเว่ยซีหยวยเผยสีหน้า
ในขณะที่ข่าวลือระหว่างเว่ยซีหยวนกับหม่าลี่เซียนแพร่สะพัดราวกับไฟป่า กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างร้อนระอุ ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปร่วมเดือนแล้วก็ตาม เพราะมีผู้ที่พัดกระพือข่าวลือถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสอง กล่าวว่าครั้งหนึ่งคุณหนูหม่าได้เคยช่วยชีวิตของคุณชายสามเว่ยเอาไว้ มาครั้งนี้อีกฝ่ายก็ได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้เช่นกัน นั่นมิได้หมายความว่าทั้งสองมีวาสนาต่อกันหรอกหรือแต่ระยะหลังมานี้ไม่มีผู้ใดไม่รับรู้ว่าคุณชายสามเว่ยกำลังสานสัมพันธ์อยู่กับคุณหนูตระกูลเจียงถึงกับมีข่าวว่าทั้งคู่กำลังจะหมั้นหมายกันอีกด้วย จนกระทั่งข่าวลือนั้นบานปลายไปถึงคุณหนูเจียงม่าน ว่าเป็นมือที่สามระหว่างความสัมพันธ์ของคุณหนูหม่าและคุณชายสามเว่ย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ แพร่สะพัดลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนล้วนอยากรู้อยากเห็นเรื่องโสมมของผู้อื่น ส่วนผู้ที่กลายเป็นมือที่สามอยู่ในหัวข้อของข่าวลือนั้นกลับขลุกอยู่แต่ในจวนตระกูลเจียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"หยวนเกอ เราสองคนเดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะเจ้าคะ"เจียงม่านเอ่ยสัพยอกบุรุษข้างกายที่มีสีหน้าดำคล้ำกับข่าวลือที่ออกมา ตอนนี้ทั้งสองกำลังอยู่บนรถม้ามุ่งหน้าไป