ลู่ลู่ลี่ลี่ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ วันนี้ท่านป้าจางปรุงดีหมีหัวใจเสือให้ผู้เป็นนายของนางกินหรืออย่างไร วันนี้ถึงได้กล้าเล่นงานคุณชายสามเว่ยจนโกรธตัวสั่นไปแบบนั้น ทุกทีเห็นแต่ผู้เป็นนายของพวกนางที่ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า
เจียงม่านรู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเดินชมความวิจิตรของจวนหลังนี้อีกต่อไป แต่ในขณะที่นางคิดจะหันหลังกลับเรือนของตนเพราะถึงแม้นางจะอยู่ก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ อยู่ๆ ก็มีเรื่องราวหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวของนาง
ตระกูลเจียงนั้นมีชื่อเสียงในด้านการหมักสุรามาหลายชั่วอายุคน แต่กิจการหอสุราตระกูลเจียงริเริ่มในรุ่นของท่านปู่ของเจียงม่าน และรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดเมื่อบิดาของนาง นายท่านเจียงถงเข้ามารับช่วงต่อ หลังจากที่ผู้เป็นปู่จากไป
เถ้าแก่เจียงที่ผู้คนในเมืองฉางนั้นรู้จักและนับหน้าถือตา เขานั้นมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่แต่งงานกันตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งอายุล่วงเข้าวัยสามสิบตอนปลายแต่กลับยังไร้ซึ่งทายาท ผู้เป็นภรรยาของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์เสียที และเพราะเขานั้นรักผู้เป็นภรรยามากจึงไม่คิดที่จะรับอนุหรือสตรีนางใดเข้าจวน
แต่แล้วสวรรค์ก็มีเมตตาเห็นแก่ความรักที่เขามีต่อภรรยา จึงมอบบุตรีผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจให้แก่ทั้งสองมาคนหนึ่ง แต่ความสุขนั้นก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากล้มป่วยและจากไปเมื่อตอนที่บุตรสาวของทั้งสองมีอายุได้เพียงห้าขวบ ดังนั้นบุตรสาวที่เกิดจากสตรีผู้เป็นที่รักจึงเป็นเพียงความสุขเดียวของเขา นายท่านเจียงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้แก่บุตรสาวเพียงคนเดียว ไม่ว่านางจะต้องการสิ่งใดผู้เป็นบิดาล้วนหามาให้ ไม่เคยที่จะขัดใจนางให้นางต้องขุ่นข้องหมองใจ จนนางกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน ในตอนที่เจียงม่านมีอายุได้สิบสามขวบปี ตระกูลเจียงก็ได้เกิดคลื่นลมครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อเมืองฉางได้มีครอบครัวตระกูลคหบดีจากเมืองหลวงย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
ตระกูลหม่าของนายท่าน หม่าชิงหลุน อีกฝ่ายนั้นมาเปิดกิจการอยู่ตรงกันข้ามกับหอสุราตระกูลเจียง ทั้งยังกว้านซื้อที่ดินโดยรอบจนเกือบหมด ซึ่งมันคงจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้นหากกิจการนั้นหาใช่การเปิดหอสุราเช่นเดียวกัน และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจตั้งตัวเป็นศัตรูทางการค้ากับตระกูลเจียง โดยการใช้เส้นสายและเงินทอง ขายสุราในราคาต่ำ เพื่อล่อลวงคู่ค้าของตระกูลเจียง อีกทั้งยังใช้วิธีสกปรกสารพัดเพื่อแย่งชิงความเป็นหอสุราอันดับหนึ่ง
นับแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งสองตระกูลก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย ต่อสู้กันมาตลอดสองปี
นายท่านเจียงถงนั้นเป็นคนที่ซื่อตรงไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม เป็นคนที่ยึดถือในหลักการ และความซื่อสัตย์ นั่นจึงทำให้มีทั้งคนที่รักและนับถือเขา และผู้ที่ชิงชังความซื่อตรงของเขา โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์เพราะความซื่อตรงของเขา
ในขณะที่นายท่านหม่าชิงหลุนคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเขี้ยวเล็บมากมาย ในระยะเวลาเพียงสองปีเขาก็มีเส้นสายที่เป็นทั้งเหล่าพ่อค้าและขุนนางในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันมากมาย
กิจการของตระกูลเจียงต้องหยุดชะงักลงครั้งแล้วครั้งเล่า และต้องสูญเสียเม็ดเงินมากมายเพื่อชดใช้ให้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกลั่นแกล้งของฝั่งตรงข้าม
นายท่านเจียงในวัยใกล้จะครึ่งร้อยต้องโหมทำงานอย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาตลอดสองปี เริ่มมีสุขภาพที่ย่ำแย่ลง เพราะเขานั้นต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพัง
ฝั่งของตระกูลหม่า นายท่านหม่านั้นมีบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก บุตรชายที่เขาภาคภูมิใจ คุณชายใหญ่หม่าลู่เฟิง เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ฉลาดและมีไหวพริบ มีบุตรชายที่เกิดจากเหล่าอนุภรรยาอีกสองคน พวกเขาล้วนเป็นคนมีฝีมือ ไหนเลยตระกูลเจียงจะใช่คู่ต่อสู้ ในที่สุดตระกูลเจียงก็ถึงวันที่จะต้องจบสิ้นลง
และนายท่านหม่ายังมีบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาคนโปรด หม่าลี่เซียน บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูล ที่ตอนนี้ถูกยกฐานะให้เป็นบุตรสาวของภรรยาเอก บุตรสาวผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองฉางในขณะนี้ สตรีที่งดงามและเพียบพร้อม สตรีที่เหล่าบุรุษในเมืองฉางต่างใฝ่ฝันหา
ในขณะที่บุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านเจียงถูกกล่าวว่าคือสตรีแสนร้ายกาจที่ไม่ได้เรื่อง ไร้ความสามารถทั้งยังเอาแต่ใจ ผู้ที่ไม่เคยสร้างประโยชน์ใดๆ ซ้ำยังใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ผลาญทรัพย์สมบัติ และหลงใหลบุรุษจนตระกูลล่มจม
ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะเจียงม่านคือผู้ที่มอบสูตรลับในการหมักสุราของตระกูลเจียงให้แก่คุณชายใหญ่หม่าลู่เฟิง หลงใหลในคำหวานและคำหลอกลวงของบุรุษ จนอีกฝ่ายใช้เล่นงานตระกูลตน แต่ผู้เป็นบิดากลับไม่เคยกล่าวโทษนาง
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เจียงม่านเกลียดชังตระกูลหม่า เกลียดชังคุณชายใหญ่ตระกูลหม่าผู้นั้นที่หลอกใช้ความรักของนางและนางเกลียดชังหม่าลี่เซียนที่สวมหน้ากากเข้าหานางจนนางยอมรับอีกฝ่ายเป็นสหายแต่กลับหักหลังนางจนเข้ากระดูก
เรื่องราวเหล่านั้นทำให้น้ำตาของเจียงม่านไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว รสชาติเค็มพร่าที่สัมผัสริมฝีปาก ทำให้นางรีบยกฝ่ามือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงได้อ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้ ภายในอกของนางรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจ ราวกับเรื่องราวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับตัวนางเอง ทั้งๆ ที่นางเป็นเพียงวิญญาณที่มาสวมร่างผู้อื่นเท่านั้น
นางได้แต่เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่าสวรรค์ส่งนางมาอยู่ในร่างของสตรีนางนี้เพราะเหตุใดกัน เพื่อให้นางมองดูตระกูลเจียงจบสิ้นลง ปล่อยให้ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ จบลงอย่างที่มันควรจะเป็น
"คุณหนูนั่นท่านลุงเหวินนี่เจ้าคะ คงจะมาพบนายท่านเรื่องหอสุราเป็นแน่"
เสียงของลี่ลี่ที่เอ่ยขึ้นดึงสติและสายตาของนางให้มองไปยังชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้าไปในเรือนอย่างเร่งรีบ
ท่านลุงเหวิน หลงจู่ผู้ดูแลหอสุราตระกูลเจียง
"นี่นายท่านจะขายหอสุราจริงๆ น่ะหรือ"
ลู่ลู่รำพึงออกมาอย่างโศกเศร้า หอสุราตระกูลเจียงคือท่อน้ำเลี้ยงหลักที่หล่อเลี้ยงอีกหลายชีวิตในจวนตระกูลเจียง เห็นทีทุกคนคงต้องถูกขายออกไปจริงๆ
เจียงม่านกวาดตามองบรรดาบ่าวไพร่กว่าสิบชีวิตที่ต่างชะโงกหน้าจ้องมองไปยังเรือนใหญ่ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น โดยไม่รู้ว่าต่อไปพวกตนจะมีชะตากรรมเช่นไร ทั้งยังคนงานในหอสุราและโรงหมักสุราอีกกว่าครึ่งร้อย
ไม่ได้ นางจะปล่อยให้หอสุราตระกูลเจียงจบสิ้นลงเพียงเท่านี้ไม่ได้
นางยังไม่ได้ลิ้มรสชาติของสุราเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
"ลู่ลู่ลี่ลี่ ไปกันเถอะ ข้า อยากจะพบท่านพ่อ"
แค่ก แค่ก แค่กเสียงไอถี่ของนายท่านเจ้าของจวนดังออกมาให้ได้ยินทันทีที่หญิงสาวย่างเท้าก้าวเข้ามาภายในบริเวณห้องหนังสือที่เจ้าของจวนมักจะหมกตัวอยู่ในนั้น เรียกว่าอีกฝ่ายแทบจะกินนอนอยู่ที่นี่ นั่นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก ภายในอกรู้สึกวูบไหวจนสะท้าน"ท่านพ่อ"เสียงเรียกของผู้มาใหม่ทำให้บุรุษทั้งสองที่กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียดหันกลับมามองนางในทันที ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่"ยัยหนูม่านม่านมาหาพ่อเช่นนี้ เจ้าหายขุ่นเคืองพ่อแล้วหรือ"บุรุษวัยกลางคนท่าทางใจดีกล่าวกับนางในทันที ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มยินดีแต่เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้นาง ก็ทำให้เจียงม่านถึงกับชะงักนิ่งงัน รับรู้ได้ว่าหัวใจของนางเต้นแรงขึ้น ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยสายหนึ่งโอบรัดนางไว้กับคนตรงหน้า รอยยิ้มของคนผู้นี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาของนางที่อยู่ในความทรงจำเหลือเกิน และภาพวาดขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ทางด้านหลังของเขา ยิ่งทำให้นางยิ่งรู้สึกมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลทางฝั่งมารดาของนางไม่ผิดแน่ เพราะสตรีในรูปนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับมารดาของนางถึงแปดส่วน เจียงม่านรวบรวม
"คุณหนูเจ้าคะ"เจียงม่านที่กำลังศึกษาประวัติและกรรมวิธีลับการผลิตสุราของตระกูลเจียงอย่างจริงจังมาตลอดหลายวัน ทั้งนางยังเรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับการหมักสุราในโลกปัจจุบันไว้มากมายเพื่อมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคนี้ เงยหน้าจากตำราตรงหน้า"มีอันใดหรือลี่ลี่"ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นคลึงขมับและหัวคิ้วของตน รู้สึกอ่อนล้าไปหมดขณะที่เอ่ยถามอีกฝ่ายลู่ลู่เห็นเช่นนั้นก็รีบรินชาน้ำผึ้งชุ่มคอส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะบีบนวดไหล่เล็กให้อย่างเอาใจ จนได้รับรอยยิ้มหวานส่งมาให้"เว่ยฮูหยินมาเยือนเจ้าค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่เรือนรับรอง"ลี่ลี่เอ่ยบอกผู้เป็นนายพร้อมกับเดินเข้ามาจัดอาภรณ์ที่ยับย่นของนายสาวให้เข้าที่เจียงม่านหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยฮูหยิน มารดาของเว่ยซีหยวนน่ะหรือแล้วดวงตาคู่งามก็ปรากฏประกายระยิบระยับ ดูเหมือนนางจะจมอยู่กับความเคร่งเครียดมาหลายวันแล้วสินะ คงจะได้เวลาผ่อนคลายแล้ว"ท่านป้ามาอย่างนั้นหรือ ดีจริง"ที่นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้นั่นก็เพราะ เว่ยฮูหยิน ภรรยาเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมืองคือสหายสนิทของมารดานางนั่นเอง ในอดีตทั้งสองเป็นสหายที่รักกันมาก ตั้งแต่ที่เว่ยฮูหยินยังเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ตระ
"ไป ไปตามนายของพวกเจ้าออกมาประเดี๋ยวนี้"เสียงตวาดเหวที่ดังลั่นอยู่ด้านหน้าเรือน ทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนกายกำยำสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ถึงแม้ขณะนี้ดวงตะวันจะขึ้นอยู่ตรงศีรษะแต่เจ้าตัวยังคงซุกกายอยู่ในผ้าห่มผืนหนา แต่เสียงนั้นเรียกให้เขาตื่นเต็มตา ทะลึ่งกายคว้าเอาอาภรณ์ที่ถอดพาดไว้เมื่อตอนย่ำรุ่งขึ้นมาสวมอย่างลวกๆเจ้าของเสียงแหลมแสบแก้วหูนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลเว่ย ใหญ่กว่าท่านเจ้าเมืองก็เว่ยฮูหยินผู้นี้นี่แหละสตรีผู้ที่ใบหน้ามักจะปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนเต็มไปด้วยความมีเมตตาอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้กลับไม่อาจรักษาใบหน้าเช่นนั้นเอาไว้ได้ ตอนนี้มันแดงก่ำเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ เสียงร้องแสบแก้วหูนั้นมาพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังสั่นระริกชี้ไปยังทิศทางที่เป็นเรือนนอนของเจ้าของเรือนเมื่อเห็นว่าผู้ที่นางต้องการพบเดินสะโหลสะเหลออกมาด้วยสภาพที่ดูแทบไม่ได้ เลือดในกายของนางก็ราวกับกำลังเดือดพล่าน"ยอมโผล่หัวออกมาแล้วหรือพ่อตัวดี"ร่างบอบบางปรี่ตรงเข้าไปฟาดแผ่นหลังของบุตรชายไปทีหนึ่งด้วยแรงที่ไม่เบานัก นางอยากจะบิดหูเจ้าบุตรชายผู้นี้ให้ขาดเหลือเกิน"โอ๊ย โอ๊ย ท่านแม่ตีลูกทำไมกันขอร
เจียงม่านหาได้สนใจความสงสัยใคร่รู้และไม่เข้าใจของบ่าวทั้งสอง เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าอยู่เบื้องหน้าของนาง เมืองฉางแห่งนี้ดูครึกครื้นไปด้วยผู้คน ตลาดของที่นี่กว้างขวางมีถนนทอดยาวและตรอกแคบๆ ที่มีแผงไม้สำหรับขายของตั้งเรียงรายเป็นแถว สองฟากถนนยังเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย มีผู้คนหลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากมาจัดแสดงสินค้าของตน ทำให้เกิดภาพและเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ดูมีชีวิตชีวา บริเวณโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่แปลกใหม่ ชาที่ชงสดใหม่ และอาหารข้างทางที่ร้อนฉ่า ผ้าไหมสีสันสดใสพลิ้วไหวตามสายลม ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมามีสินค้าแปลกๆ มากมายที่นางไม่เคยเห็น ดูงดงามแปลกตา พ่อค้าแม่ค้านำเสนอผักผลไม้และธัญพืชหลากหลายชนิด ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ช่างฝีมือผู้มีทักษะจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีต เครื่องลายครามที่ละเอียดอ่อน และงานหัตถกรรมไม้แกะสลักอย่างสวยงามในมุมหนึ่ง นางสังเกตเห็นตลาดปลาที่คึกคัก โดยมีพ่อค้าแม่ค้าทะเลาะกันเสียงดังเกี่ยวกับปลาที่จับได้ในแต่ละวัน เสียงเหรียญกระทบกันดังก้องไปทั่ว ขณะที่ลูกค้าต่อรองราคาที่ดีที่สุด ในบริเวณใกล้เคียงกัน มีพ
ขณะที่เจียงม่านก้าวไปข้างหน้าเดินสวนกับผู้คนมากมาย แต่ราวกับว่ารอบตัวของนางนั้นเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน นางจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย ในหัวครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวของคนผู้นั้น คุณชายใหญ่ตระกูลหม่า บุรุษผู้ที่หลอกให้เจ้าของร่างตกหลุมรักเพื่อสูตรลับการหมักสุราของตระกูลเจียง และเรื่องราวในชีวิตก่อนของตนเมื่อครั้งเป็นม่านไหมชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของนางที่คบหากันถึงสี่ปีในรั้วมหาลัย และวางแผนจะใช้ชีวิตร่วมกันเมื่อเรียนจบ แต่หลังจากจบการศึกษา ความสัมพันธ์ของเราก็ดูเหมือนจะจบลงด้วย เราทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปเติบโต โดยการที่เขาเลือกใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงอีกคนที่รู้จักกันเพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายนั้นตั้งครรภ์ใช่แล้ว นางเองก็ถูกบุรุษหักหลังเช่นเดียวกันหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยวางหัวใจของตัวเองไว้บนฝ่ามือของบุรุษใดอีกเลย ความผิดหวังในครั้งนั้นยิ่งทำให้นางแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และมีความมุ่งมั่นมากขึ้น แทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด นางเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่การหาเงิน และทำในสิ่งที่ตัวเองรักโอ๊ย!!แต่แล้วความคิดทั้งหมดของนางก็หยุดชะงักลงเมื่อชนเข้ากับกำแพงมนุษย์เต็ม
หอสุราตระกูลเจียงที่ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งที่ลูกค้าดูจะบางตาเรียกได้ว่าเงียบเหงามีเพียงเหล่าลูกค้าขาจรและคนต่างถิ่นที่แวะเวียนเข้ามาบ้างประปราย หาใช่การแขวนป้ายประกาศขายล้างหนี้สินเช่นดังที่มีข่าวลือออกมา ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นและผู้ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางอยู่บ้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นายท่านตระกูลเจียงช่างเป็นบุรุษที่ดื้อดึง แทบจะหมดเนื้อหมดตัวอยู่รอมร่อแต่ก็ยังไม่ยอมที่จะขายกิจการ ยังคงดึงดันจนน่าขัน หากเป็นพวกตนคงจะยอมแพ้และตัดสินใจขายเสีย อย่างน้อยก็ยังมีเงินให้เหลือเลี้ยงชีพ ดึงดันเช่นนี้ต่อไปคาดว่าคงได้สิ้นเนื้อประดาตัวเข้าจริงๆ แต่พวกเขาก็ได้แต่รอดูต่อไปเพียงเท่านั้นเพล้ง!"ทำไมมันถึงยังไม่ยอมขาย"จอกน้ำชาถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ตามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดอย่างที่สุดของผู้นำตระกูลหม่า เมื่อทุกอย่างไม่เป็นเช่นดังที่คิดหม่าชิงหลุนที่เชื่อว่าตระกูลเจียงคงไม่อาจจะพลิกฟื้นกิจการขึ้นมาใหม่ได้อีกแล้ว เวลานี้เจียงถงผู้นั้นแทบไม่เหลือทรัพย์สมบัติใดๆ อีก ทั้งยังกู้หนี้ยืมสินเป็นหนี้ท่วมหัว เช่นนั้นหนทางเดียวที่ตระกูลเจียงจะอยู่รอดก็เหลือเพียงการขายหอสุราตระกูลเจียง
"ตรงไปหอสุราเลยนะ ไม่ต้องหยุดที่ใด"ทันทีที่นางก้าวเข้ามานั่งบนรถม้า ก็ได้ยินเสียงลี่ลี่เอ่ยกำชับคนบังคับรถม้าในทันที อีกทั้งนางยังนั่งประกบด้านข้างคนบังคับรถม้าราวกับว่าหากอีกฝ่ายหยุดรถม้านางจะเป็นผู้บังคับม้าเองในทันที ส่วนแฝดผู้พี่นั้นก็กำลังนั่งประกบอยู่ด้านข้าง จ้องมองนางตาใส ราวกับจะบอกนางกลายๆ ว่า หากนางขยับตัวจะลงจากรถม้าเมื่อใด แขนป้อมๆ คู่นั้นจะเข้ามากอดขาของนางเอาไว้เจียงม่านจึงทำได้เพียงเปิดม่านชื่นชมความครึกครื้นผ่านหน้าต่างรถม้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนักหอสุราตระกูลเจียงตั้งตระหง่านมองเห็นโดดเด่นแม้จะมองจากที่ไกลๆ นับว่าเป็นทำเลที่ดีมาก ในที่สุดนางก็มาถึงหอสุราตระกูลเจียงโดยที่ไม่ได้แวะที่ใด พร้อมกับใบหน้าโล่งใจของบ่าวทั้งสอง"คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ลงหรอกหรือเจ้าคะ"ลู่ลู่เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยใบหน้าฉงน เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางไม่ยอมก้าวลงจากรถม้า แต่กลับขยับไปยังฝั่งรถม้าอีกด้านหนึ่ง ทั้งยังแง้มเปิดม่านหน้าต่างหรี่ตาลงด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ"ลี่ลี่ที่เห็นว่ารถม้าจอดอยู่นานแต่ผู้เป็นนายยังไม่ออกมาเสียทีจึงชะโงกหน้าผ่านม่านประตูรถม้าเข้
สุราที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล จนเจียงม่านกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นี่คือสุราดั้งเดิมแบบดั้งเดิมจริงๆ ที่นางย้อนกลับมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงยุคโบราณ ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นของปลอมในยุคนี้สุรานั้นยังมีอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกเหล้าขาวเป็นสุราสีขาว ที่เรียกว่าสุราไป๋จิ่ว สุราเหมาไถที่โด่งดังนางยังไม่เห็นมีปรากฏ ไม่รู้ว่านางมาอยู่ในยุคสมัยไหนกันแต่ผู้คนที่นี่ล้วนดื่มสุราเก่ง ดื่มสุราเป็นยาและกินเป็นอาหาร ดื่มเป็นสุราคือดื่มเพื่อเมามาย อันเป็นภาพสะท้อนของวิถีชีวิต สามัญชนคนธรรมดาดื่มเพราะเป็นยา เพราะยาส่วนใหญ่มักใช้สุราเป็นส่วนผสมหรือดื่มเป็นกระษัย กินเป็นอาหารเพราะอาหารจีนส่วนหนึ่งมีสุราเป็นส่วนผสมคนรักสุรามักเรื่องมากในการดื่ม ดื่มให้เป็น เพื่อรสชาติไม่ใช่เพื่อเมา แต่คนเมาสุรามักไม่เรื่องมาก ขอให้สาดลงคอแล้วเมาเป็นใช้ได้นางจึงคิดผลิตสุราที่มีความหลากหลาย ผลิตสุราที่สตรีก็กินได้ บุรุษก็กินดี ดังนั้นคงต้องเริ่มจากลิ้มรสชาติสุราของยุคนี้เพื่อเป็นแนวทางว่าจะสามารถดัดแปลงได้มากแค่ไหนมือเล็กบอบบางหยิบเอาสุราไหหนึ่งขึ้นมาจรดปลายจมูกสูดดมกลิ่นอันน่าหลงใหล โดยมีท่านลุงเ
ตระกูลเจียงในตอนนี้เป็นตระกูลอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสุรา สุราของตระกูลเจียงกลายเป็นสุราสร้างชื่อของเมืองฉาง ทั้งยังโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นและแคว้นข้างเคียง เพียงเวลาไม่นานกิจการของหอสุราตระกูลเจียงก็ขยับขยายใหญ่โต และกำลังดำเนินการที่จะขยายกิจการไปยังเมืองต่างๆ รวมไปถึงเมืองหลวงของแคว้น และคาดว่าต่อไปในอนาคตก็จะไปเปิดกิจการยังต่างแคว้นอีกด้วย เรียกได้ว่าตระกูลเจียงเข้าสู่ยุคที่รุ่งโรจน์จนฉุดไม่อยู่ส่วนหอสุราตระกูลหม่านั้น ในตอนนี้ได้ปิดตัวลง หันมาเอาดีทางด้านการค้าข้าวสารและธัญพืช โดยมีหม่าลู่เฟิงที่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่ากิจการนั้นจะไปได้ดีอยู่ไม่น้อยถึงแม้ว่าจะมีร้านค้าใหญ่อยู่หลายร้านก็ตาม ส่วนหม่าลี่เซียนข่าวว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเถ้าแก่เผย แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เถ้าแก่เผยได้ประกาศวางมือจากกิจการทั้งหมดและยกทุกอย่างให้บุตรชายของเขา ส่วนตนนั้นใช้เวลาอยู่กับภรรยาและเหล่าอนุทั้งหลาย จากบุรุษผู้รักมั่นในตัวภรรยาผู้ล่วงลับ แต่ยามเมื่อได้สัมผัสอารมณ์ความใคร่อีกครั้งกลับกลายเป็นบุรุษผู้หมกมุ่นในกามา บัดนี้จึงมีอนุภรรยาอยู่เต็มจวนเมืองฉางในตอ
"คนเก่งของข้า ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนเถิด"เว่ยซีหยวนเอ่ยเรียกสตรีที่นอนสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอยู่บนเตียงน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ประคองถาดใบเล็กที่มีข้าวต้มหอมกรุ่นและถ้วยยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ มาวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ก่อนจะโน้มกายลงจุมพิตแก้มนวลของสตรีที่ยังหลับตาพริ้มอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้นางช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก เขามีความสุขจนแทบจะล้นออกมานอกอก นางนั้นแสนซนและอยากรู้อยากลองไปเสียทุกอย่างแม้เขาคิดจะยั้งมือเมื่อรู้ว่าเป็นครั้งแรกของนาง แต่ถูกยั่วยวนเช่นนั้นก็หมดสิ้นความยับยั้งช่างใจ นางออดอ้อนน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้น ใครจะไปอดใจได้ไหว จึงได้จัดหนักจัดเต็มจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วยาม และนางเองก็ยังสู้ไม่ถอย สภาพจึงได้ออกมาเช่นตอนนี้หักโหมถึงเพียงนั้นเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหลังจากนั้นนางจะต้องป่วยเป็นแน่ จึงได้ลุกขึ้นไปเคี่ยวยาเตรียมไว้ให้นางตั้งแต่รุ่งสางและนางก็ป่วยจริงๆใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวในคราแรก ตอนนี้ซับสีเลือดจนแดงก่ำมาจนถึงลำคอ แพขนตางอนขยับยุกยิก นั่นทำให้ชายหนุ่มที่คลอเคลียนางอยู่ไม่ห่างยกยิ้มขึ้น ดวงตาคมเผยประกายเจ้าเล่ห์สอดฝ่ามืออุ่นร้
เจียงม่านหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกชายหนุ่มยกตัวจนลอยขึ้นจากพื้น ทั้งที่ริมฝีปากของทั้งสองยังคงแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม สองแขนของนางกอดกระชับลำคอแข็งแกร่งเอาไว้ ยามเมื่ออีกฝ่ายก้าวเดินสองขาเรียวก็ยกขึ้นเกี่ยวรัดสะโพกสอบทรงพลังไว้แน่นจนเมื่อเขาวางนางลงบนเตียง ชายหนุ่มถึงได้ยอมปล่อยให้นางได้พักหายใจ แต่กระนั้นทั้งจมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวก็หาได้ผละออกห่างจากใบหน้าของนางแม้แต่น้อย เขายังคงคลอเคลียพรมจูบไปทั่วใบหน้าของนางอย่างรักใคร่หลงใหล"ม่านม่าน เราแต่งงานกันเถอะนะ"เขาไม่อยากห่างจากนางอีกแล้ว ไม่อยากให้นางมองบุรุษอื่นอีก อยากให้ทั้งหัวใจและสายตาของนางมีเพียงแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเสียงกระซิบแหบพร่าร้องบอกหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส ดวงตาคู่งามฉ่ำหวาน เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ หญิงสาวไม่ได้ยินที่เขาเอ่ยถามแม้แต่น้อย ในแววตาของนางมีเพียงความสับสนมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลงเจียงม่านไม่รู้เลยว่าการนิ่งเงียบไม่ตอบคำของนาง จะทำให้ชายหนุ่มที่เฝ้ารอคำตอบรู้สึกเช่นไร ความผิดหวังน้อยใจไหววูบในดวงตาของเขา หัวใจปวดหนึบวูบโหวง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็แทนที่ด้วยคว
ผ่านมาสองวันเจียงม่านก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเว่ยซีหยวน อีกฝ่ายจงใจที่จะหลบหน้านางแน่แล้ว เพราะเขาหายหน้าหายตาไป ไม่มาหานางที่จวนเช่นดังปกติที่มักจะมาขลุกอยู่กับนางหรือมารับนางออกไปยังหอสุราด้วยกัน จนเรียกได้ว่าทั้งสองแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาเขามักจะทำตัวติดกับนางเสมอ หรือหากแม้ว่ามีธุระก็จะส่งคนมาแจ้งพร้อมด้วยของฝาก แต่ครั้งนี้กลับหายหน้าหายตาไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อนางเลือกที่จะเป็นฝ่ายไปหาเขาก่อน คนของอีกฝ่ายกลับแจ้งกับนางว่าเขาไม่ได้อยู่ในจวน เมื่อนางถามว่าอีกฝ่ายไปไหน กลับตอบกลับมาว่าไม่ทราบ ไม่รู้ว่าผู้เป็นนายไปไหนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังไม่ยอมที่จะสบตานาง ท่าทางมีพิรุธเช่นนั้น พวกเขาคิดว่านางโง่หรืออย่างไร รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมโผล่หัวมา จนย่างเข้าวันที่สาม ยอมรับว่าตอนนี้นางมีโทสะอยู่เต็มท้องคนบ้าผู้นั้นหลบหน้านางทำไมกัน นางไปทำอันใดให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เหตุใดจึงไม่ยอมบอกกล่าว เล่นหายไปแบบนี้ใครมันจะไปรู้หรือจะเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดมิใช่หรอกหรือ ตอนนี้ยังมีข่าวว่าเถ้าแก่เผยส่งแม่สื่อไปจวนตระกูลหม่าแล้ว อีกไม
"เจ้าจะยังรั้งรออันใด หรืออยากจะเป็นคนที่ขึ้นไปนอนบนเตียงนั่นเอง"เว่ยซีหยวนเมื่อตั้งสติได้ก็หันมาถลึงตาใส่กวนป๋อเหวินที่กำลังใช้สายตาต่อว่าเขากวนป๋อเหวินส่งค้อนวงโตให้ผู้เป็นสหายป่าเถื่อนของตน ก่อนจะลากร่างที่หนักอึ้งของเถ้าแก่เผยไปโยนลงบนเตียงด้วยแรงที่ไม่เบานัก ทั้งยังจับอีกฝ่ายเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าหม่าลี่เซียนที่เห็นการกระทำของคนทั้งสองก็เบิกตาโพลง รับรู้ได้ว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด แต่ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดทั้งยังความเจ็บปวดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้นางไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ดั่งใจ ตอนนี้ความร้อนรุ่มกำลังเล่นงานนางอย่างหนัก อยากจะปลดปล่อยความต้องการภายในร่างกาย แต่การจะต้องร่วมเตียงกับชายแก่อ้วนฉุเช่นเถ้าแก่เผยนั้นทำให้นางไม่อาจที่จะยอมรับได้ จึงกัดกระพุ้งแก้มของตนอย่างแรงเพื่อรั้งสติเอาไว้ จนรสเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปากดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำจ้องมองบุรุษที่นางหลงใหลด้วยสายตาเจ็บปวดและเจ็บแค้น ก่อนที่เสียงหัวเราะขื่นขมจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีซีดฮ่าฮ่าฮ่าหม่าลี่เซียนหัวเราะออกมาเสียงขื่น ในขณะที่น้ำตาของนางไหลพราก ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนั
งานเลี้ยงในวันนี้เริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง เพราะผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ล้วนเป็นเหล่าคหบดี พ่อค้าแม่ค้า และคนที่รู้จักมักคุ้นกันดีในเมืองฉางแห่งนี้เจียงม่านอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อเป็นตัวนางเองที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางแผนการร้ายของผู้อื่น ยามเมื่อคอยลุ้นในซีรี่ย์ที่เคยดูนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากแล้ว ยามนี้กลับยิ่งตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าแม้ว่าจะรู้ตัวล่วงหน้า แต่พวกนางยังไม่รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะวางยาเว่ยซีหยวนเช่นไร หันไปมองเจ้าตัวก็เห็นว่าเขาไม่ยอมแตะต้องเครื่องดื่มหรืออาหารบนโต๊ะแม้แต่น้อย นั่นทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล หากเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะเป็นไปตามแผนการของอีกฝ่ายได้อย่างไรกันใช่ว่านางจะไม่หวงแหนหรือเป็นห่วงเขาแต่นางลงทุนลงแรงไปถึงเพียงนี้จะให้สูญเปล่าได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียวันนี้หม่าลี่เซียนก็จะต้องมีสามีที่ไม่ใช่บุรุษของนางนางยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อว่าจ้างคนมีฝีมือที่เป็นวรยุทธ์คอยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างไรก็มั่นใจว่าเขาจะต้องปลอดภัย ก่อนที่จะถูกหญิงนางนั้นกลืนลงท้อง อีกทั้งยังมีคนของคุณชายกวนที่กระจายตัวอยู่อีกอย่างใช่ว่าพ่ออันธพาลของนางจะร
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงม่านมาเยือนจวนตระกูลหม่าในฐานะของแขกคนหนึ่ง ข้างกายของนางคือบุรุษรูปงามที่ตามประกบนางไม่ยอมห่างกาย ยามก้าวเข้ามาจึงตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าสตรีน้อยใหญ่ที่ต่างมองมาด้วยความอิจฉา จนสาวเจ้าแย้มยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เดินเชิดหน้าเข้าไปยื่นเทียบเชิญเข้าประตูจวนที่ถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามยามเมื่อเข้ามาถึงยังบริเวณด้านหน้าเรือน เจียงม่านกวาดตามองความวิจิตรงดงามของจวนตระกูลหม่าด้วยดวงตาชื่นชม นับว่าตระกูลหม่ามั่งคั่งร่ำรวยไม่น้อย จวนตระกูลหม่าถึงได้ใหญ่โตและงดงามเช่นนี้ นางชื่นชอบมากๆ กับการได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมในยุคนี้เหอะ จวนเจ้าเมืองของข้างดงามกว่าเป็นไหนๆเว่ยซีหยวนหรี่ตามองสตรีที่ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาคู่งามเปล่งประกาย ชื่นชมการจัดแต่งจวนของผู้อื่นให้เขาฟังเสียงเจื้อยแจ้ว นางคงลืมไปแล้วกระมังว่าตอนนี้กำลังอยู่ในรังของศัตรูเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วเขาไม่อยากห่างจากกายคนรักแม้แต่น้อย เพราะอดที่จะกังวลไม่ได้ กลัวว่าการมาร่วมงานเลี้ยงของตระกูลหม่าในครั้งนี้จะเกิดความผิดพลาดขึ้น จนทำให้สตรีข้างกายมีอันตรายไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด หากต้องห่างจากนางแ
กวนป๋อเหวินทำอย่างที่เขาตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ชายหนุ่มนั่งจิบสุราอย่างเบิกบานใจ ไม่สนแววตาดุดันของสหายที่ถลึงตามองมายังเขา ประกาศขับไล่เขาทางสายตา ทั้งยังคงพูดคุยยิ้มแย้มให้กับสตรีเพียงหนึ่งเดียว ที่ตอนนี้ใบหน้างามนั้นแดงก่ำ ดวงตากลมโตที่จ้องมองสหายของเขาหวานหยาดเยิ้ม เพราะฤทธิ์สุราที่ถูกยกเข้ามาเป็นรอบที่สามแล้ว หากไม่มีเขานั่งอยู่ตอนนี้คงมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันเกิดขึ้นเป็นแน่ยิ่งเห็นใบหน้ามืดครึ้มของสหายตัวดีที่มองกดดันเขา แต่ใบหูนั้นแดงก่ำเพราะสตรีข้างกาย ยิ่งทำให้คุณชายเช่นเขาสำราญใจอย่างที่สุด"ม่านม่านแล้วงานเลี้ยงฉลองการรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปของคุณชายหม่าลู่เฟิงเล่า เจ้าจะไปร่วมหรือไม่"กวนป๋อเหวินเมินเฉยใส่สหายของตน หันมาเอ่ยถามสตรีตรงหน้าถึงงานเลี้ยงของตระกูลหม่าที่กำลังจะถึงนี้"ก็ต้องไปสิเจ้าคะ คุณชายหม่าได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ข้าย่อมต้องไปแสดงความยินดี"การที่หม่าลู่เฟิงขึ้นเป็นผู้นำตระกูลย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง เขามิได้โลภมากและกระหายในอำนาจเช่นดังผู้เป็นบิดา ย่อมไม่มีเรื่องการเบียดเบียนผู้อื่นเช่นดังที่ผ่านมาเว่ยซีหยวยเผยสีหน้า
ในขณะที่ข่าวลือระหว่างเว่ยซีหยวนกับหม่าลี่เซียนแพร่สะพัดราวกับไฟป่า กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างร้อนระอุ ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปร่วมเดือนแล้วก็ตาม เพราะมีผู้ที่พัดกระพือข่าวลือถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสอง กล่าวว่าครั้งหนึ่งคุณหนูหม่าได้เคยช่วยชีวิตของคุณชายสามเว่ยเอาไว้ มาครั้งนี้อีกฝ่ายก็ได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้เช่นกัน นั่นมิได้หมายความว่าทั้งสองมีวาสนาต่อกันหรอกหรือแต่ระยะหลังมานี้ไม่มีผู้ใดไม่รับรู้ว่าคุณชายสามเว่ยกำลังสานสัมพันธ์อยู่กับคุณหนูตระกูลเจียงถึงกับมีข่าวว่าทั้งคู่กำลังจะหมั้นหมายกันอีกด้วย จนกระทั่งข่าวลือนั้นบานปลายไปถึงคุณหนูเจียงม่าน ว่าเป็นมือที่สามระหว่างความสัมพันธ์ของคุณหนูหม่าและคุณชายสามเว่ย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ แพร่สะพัดลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนล้วนอยากรู้อยากเห็นเรื่องโสมมของผู้อื่น ส่วนผู้ที่กลายเป็นมือที่สามอยู่ในหัวข้อของข่าวลือนั้นกลับขลุกอยู่แต่ในจวนตระกูลเจียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"หยวนเกอ เราสองคนเดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะเจ้าคะ"เจียงม่านเอ่ยสัพยอกบุรุษข้างกายที่มีสีหน้าดำคล้ำกับข่าวลือที่ออกมา ตอนนี้ทั้งสองกำลังอยู่บนรถม้ามุ่งหน้าไป