"คุณหนูเจ้าคะ"
เจียงม่านที่กำลังศึกษาประวัติและกรรมวิธีลับการผลิตสุราของตระกูลเจียงอย่างจริงจังมาตลอดหลายวัน ทั้งนางยังเรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับการหมักสุราในโลกปัจจุบันไว้มากมายเพื่อมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคนี้ เงยหน้าจากตำราตรงหน้า
"มีอันใดหรือลี่ลี่"
ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นคลึงขมับและหัวคิ้วของตน รู้สึกอ่อนล้าไปหมดขณะที่เอ่ยถามอีกฝ่าย
ลู่ลู่เห็นเช่นนั้นก็รีบรินชาน้ำผึ้งชุ่มคอส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะบีบนวดไหล่เล็กให้อย่างเอาใจ จนได้รับรอยยิ้มหวานส่งมาให้
"เว่ยฮูหยินมาเยือนเจ้าค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่เรือนรับรอง"
ลี่ลี่เอ่ยบอกผู้เป็นนายพร้อมกับเดินเข้ามาจัดอาภรณ์ที่ยับย่นของนายสาวให้เข้าที่
เจียงม่านหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เว่ยฮูหยิน มารดาของเว่ยซีหยวนน่ะหรือ
แล้วดวงตาคู่งามก็ปรากฏประกายระยิบระยับ ดูเหมือนนางจะจมอยู่กับความเคร่งเครียดมาหลายวันแล้วสินะ คงจะได้เวลาผ่อนคลายแล้ว
"ท่านป้ามาอย่างนั้นหรือ ดีจริง"
ที่นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้นั่นก็เพราะ เว่ยฮูหยิน ภรรยาเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมืองคือสหายสนิทของมารดานางนั่นเอง ในอดีตทั้งสองเป็นสหายที่รักกันมาก ตั้งแต่ที่เว่ยฮูหยินยังเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว ทั้งสองคอยช่วยเหลือดูแลกันและกันมาตลอด จนเมื่อมารดาของนางจากไป ความรักและความปรารถนาดีเหล่านั้นของเว่ยฮูหยินก็มิได้จางหาย มันถูกส่งต่อมาให้นาง อีกฝ่ายนั้นรักและเอ็นดูเจียงม่านเป็นอย่างมาก เพราะนางนั้นไม่มีบุตรสาว แต่กลับมีบุตรชายถึงสามคน และนางมาดหมายเอาไว้ว่าจะให้เจียงม่านแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของนาง
ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อดูฉ่ำน้ำคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง แต่ทว่าแววตานั้นกลับฉายประกายเจ้าเล่ห์ จนสองแฝดใจคอไม่ดี
"เช่นนั้นข้าคงต้องรีบออกไปต้อนรับท่านป้า"
เพราะตอนนี้ตระกูลเจียงมีเพียงนางเท่านั้น ส่วนผู้เป็นบิดานั้นกินนอนอยู่ที่โรงหมักสุราตระกูลเจียง เพราะกำลังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการทดลองหมักสุราหลากหลายรสชาติที่นางมอบสูตรให้มากมายหลายสูตรอย่างไรเล่า
"คุณหนูคิดจะทำสิ่งใดอีกเจ้าคะ"
ลี่ลี่โอดครวญออกมาอย่างรู้ทัน ลู่ลู่เองก็ส่งสายตาละห้อยมาให้
"เจ้าสองคนคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพียงจะฝากความคิดถึงไปให้หยวนเกอก็เท่านั้น"
หึ ไอ้ตี๋อันธพาลเจ้าเสร็จข้าแน่
"คุณหนู/คุณหนู"
ลู่ลู่ลี่ลี่ประสานเสียงกันเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงหลง แต่อีกฝ่ายกลับหาได้ฟังพวกนาง เดินตัวปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนบ่าวอย่างพวกนางก็ได้แต่หลั่งน้ำตา
คุณหนูลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเมื่อวันก่อนถูกคุณชายสามเว่ยขูดเลือดขูดเนื้อไปมากมายเท่าใด
เจียงม่านที่เดินกึ่งวิ่งอย่างเสียกิริยามายังเรือนรับรองชะลอฝีเท้าลงทันทีเมื่อมาถึงประตูเรือน ตอนนี้เหลือเพียงภาพโฉมงามเดินเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือน ดวงหน้างดงามดูเศร้าหมองไร้ซึ่งร่องรอยของความรื่นเริงเมื่อครู่
"ม่านม่านคารวะท่านป้าเจ้าค่ะ"
หญิงสาวทำความเคารพสตรีวัยกลางคนท่าทางใจดีที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรับแขกกลางห้องอย่างอ่อนช้อย จนผู้อาวุโสยกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู
เว่ยฮูหยินลุกขึ้นมาประคองเด็กสาวพาเข้ามานั่งด้วยกัน พิศมองใบหน้างดงามนั้นอย่างพึงพอใจ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ฝ่ามืออุ่นอ่อนนุ่มลูบไล้ใบหน้าและเนื้อตัวของนางอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
"ไม่พบกันเพียงไม่นาน ม่านเอ๋อร์ของป้างดงามถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่"
เจียงม่านทำเพียงยิ้มรับคำชมนั้น มือเรียวขาวราวกับหยกมันแพะเนื้อดียกขึ้นรินน้ำชาส่งให้ผู้อาวุโส ทว่าดวงตางดงามที่ทอดมองกาน้ำชาและจอกชานั้นดูหม่นหมองยิ่งนัก จนอีกฝ่ายชะงักงันไป
"ขายหน้าท่านป้าแล้ว"
เจียงม่านวางกาน้ำชานั้นลงด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน พร้อมทั้งยื่นจอกชาส่งให้อีกฝ่ายที่รับชาจอกนั้นขึ้นมาดื่ม สายตาของเว่ยฮูหยินมองสำรวจจอกชาในมือของตนก่อนจะวางลง สายตาเหลือบมองกาน้ำชาและรอบๆ เรือนรับรองแห่งนี้ พร้อมกับระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา
นางรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเรือนหลังนี้ตั้งแต่ที่ย่างเท้าเข้ามาแล้ว ภายในเรือนรับรองที่เคยประดับตกแต่งอย่างหรูหราบัดนี้กลับดูโล่งตาไร้ซึ่งเครื่องเรือนและของประดับล้ำค่าเช่นเมื่อครั้งก่อนยามที่นางมาเยือน ภายในห้องนี้มีเพียงชุดโต๊ะน้ำชาที่เอาไว้ต้อนรับผู้มาเยือนเก่าๆ ชุดหนึ่ง กับภาพวาดทิวทัศน์ธรรมดาประดับตกแต่งมิให้ห้องโล่งจนเกินไป ทั้งยังชุดน้ำชาที่เคยงดงามหรูหรา ตอนนี้ก็เป็นเพียงชุดน้ำชาธรรมดาดาษดื่น ทุกอย่างช่างไม่เข้ากับเรือนอันงดงามแห่งนี้แม้แต่น้อย
"ม่านเอ๋อร์"
เว่ยฮูหยินคว้ามือเล็กของเด็กสาวที่นางรักดังบุตรของตัวเองมากุมไว้ พร้อมทั้งตบลงบนหลังมือขาวผ่องนั้นเบาๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม
นางไม่คิดเลยว่าเวลาเพียงแค่สองปีที่ตระกูลเจียงประสบปัญหาจะตกต่ำลงถึงเพียงนี้ แม้จะรับรู้มาบ้างถึงปัญหาเหล่านั้น แต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปวุ่นวายกับกิจการของผู้อื่น จนกระทั่งนางรู้จากบุตรชายคนเล็กของตนว่านายท่านเจียงบิดาของเด็กสาวผู้นี้มากู้เงินจากเขา นางจึงตระหนักได้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญคงจะหนักหนาไม่น้อย จึงได้แต่บอกกับบุตรชายไป ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการเงินเท่าไหร่ก็ให้มอบให้เขาไป นางจะเป็นคนให้พวกเขายืมเอง แต่บุตรชายของนางกลับปฏิเสธบอกเพียงว่านางไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไม่คิดเลยว่ามาวันนี้อีกฝ่ายจะถึงกับต้องขายทรัพย์สิน บุตรชายของนางมัวทำอันใดอยู่กัน กลับไปคงต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
"มีสิ่งใดให้ป้าช่วยเหลือก็บอกป้า อย่าได้เกรงใจเชียว บิดาของเจ้าก็กระไร ตัวเองเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่คิดจะเอ่ยปาก ไม่คิดจะคบหากันแล้วหรืออย่างไร แล้วนี่บิดาของเจ้าไปไหนเสีย เหตุใดป้าจึงไม่เห็นเขาเลย"
เว่ยฮูหยินอดไม่ได้ที่จะตำหนิสามีของสหายที่นับถือกันมานาน มีเรื่องเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่ยอมขอความช่วยเหลือ ดูสิม่านเอ๋อร์ของนางจึงต้องมาทุกข์ใจไปด้วย
"ตอนนี้ท่านพ่อยุ่งอยู่ที่โรงหมักสุราเจ้าค่ะท่านป้า"
เจียงม่านเอ่ยตอบอีกฝ่ายเสียงเบา จ้องมองอีกฝ่ายน้ำตาคลอ
"ม่านเอ๋อร์เกิดสิ่งใดขึ้นอย่างนั้นหรือ บอกป้าได้หรือไม่ เหตุใดจึงได้ขายทรัพย์สินไปมากมายเช่นนี้"
เจียงม่านได้ยินเช่นนั้นก็นึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ หากขายจริงๆ นางคงจะไม่นึกเสียดายมากนัก แต่นี่มันกลับกลายเป็นค่าดอกเบี้ยของไอ้ตี๋อันธพาลมหาโหดนั่น นางไม่ได้ราคาค่างวดของข้าวของเหล่านั้นแม้แต่อีแปะเดียว
"ทรัพย์สินเหล่านั้นมิได้ขายหรอกเจ้าค่ะท่านป้า แต่เป็นดอกเบี้ยของเงินที่หยิบยืมมา"
"ดอกเบี้ยอันใดกันม่านเอ๋อร์"
เว่ยฮูหยินมีสีหน้าตกใจ ดอกเบี้ยอันใดถึงได้มากมายถึงเพียงนั้น หรือว่าตาเฒ่าเจียงผู้นั้นจะไปหยิบยืมเงินจากผู้อื่นอีก
เจียงม่านแสร้งทำสีหน้าฉงน ก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับไม่มั่นใจ
"นี่ ท่านป้ามิรู้หรอกหรือเจ้าคะ ว่าท่านพ่อหยิบยืมเงินของหยวนเกอมา"
"ม่านเอ๋อร์นี่มันเกิดอันใดขึ้น บอกป้ามาเร็วเข้า"
นางรู้สิว่าเฒ่าเจียงหยิบยืมเงินจากบุตรชาย แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย บุตรชายนางทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
"อึก อึก ท่านป้า"
เจียงม่านเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วก่อนจะสะอื้นออกมาอย่างน่าสงสาร ซบหน้าลงกับอกสตรีที่โอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน หากจะสังเกตสักนิดคงจะเห็นมุมปากอวบอิ่มนั้นกดลึกลงเป็นรอยยิ้ม นางบอกเล่าอีกฝ่ายเสียงอู้อี้ถึงวันที่เว่ยซีหยวนพาคนมาขนข้าวของภายในเรือนออกไปเพื่อชดใช้เป็นค่าดอกเบี้ย
ไอ้ตี๋อันธพาลนั่นมันต้องโดนเช่นนี้ ในวันนั้นแม้กระทั่งชุดน้ำชาอีกฝ่ายยังเอาไปไม่เหลือ
ไอ้เราก็คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียด้วยสิ ฝ่ายนั้นก็คงจะว้าวุ่นเลยทีนี้
"ไป ไปตามนายของพวกเจ้าออกมาประเดี๋ยวนี้"เสียงตวาดเหวที่ดังลั่นอยู่ด้านหน้าเรือน ทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนกายกำยำสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ถึงแม้ขณะนี้ดวงตะวันจะขึ้นอยู่ตรงศีรษะแต่เจ้าตัวยังคงซุกกายอยู่ในผ้าห่มผืนหนา แต่เสียงนั้นเรียกให้เขาตื่นเต็มตา ทะลึ่งกายคว้าเอาอาภรณ์ที่ถอดพาดไว้เมื่อตอนย่ำรุ่งขึ้นมาสวมอย่างลวกๆเจ้าของเสียงแหลมแสบแก้วหูนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลเว่ย ใหญ่กว่าท่านเจ้าเมืองก็เว่ยฮูหยินผู้นี้นี่แหละสตรีผู้ที่ใบหน้ามักจะปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนเต็มไปด้วยความมีเมตตาอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้กลับไม่อาจรักษาใบหน้าเช่นนั้นเอาไว้ได้ ตอนนี้มันแดงก่ำเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ เสียงร้องแสบแก้วหูนั้นมาพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังสั่นระริกชี้ไปยังทิศทางที่เป็นเรือนนอนของเจ้าของเรือนเมื่อเห็นว่าผู้ที่นางต้องการพบเดินสะโหลสะเหลออกมาด้วยสภาพที่ดูแทบไม่ได้ เลือดในกายของนางก็ราวกับกำลังเดือดพล่าน"ยอมโผล่หัวออกมาแล้วหรือพ่อตัวดี"ร่างบอบบางปรี่ตรงเข้าไปฟาดแผ่นหลังของบุตรชายไปทีหนึ่งด้วยแรงที่ไม่เบานัก นางอยากจะบิดหูเจ้าบุตรชายผู้นี้ให้ขาดเหลือเกิน"โอ๊ย โอ๊ย ท่านแม่ตีลูกทำไมกันขอร
เจียงม่านหาได้สนใจความสงสัยใคร่รู้และไม่เข้าใจของบ่าวทั้งสอง เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าอยู่เบื้องหน้าของนาง เมืองฉางแห่งนี้ดูครึกครื้นไปด้วยผู้คน ตลาดของที่นี่กว้างขวางมีถนนทอดยาวและตรอกแคบๆ ที่มีแผงไม้สำหรับขายของตั้งเรียงรายเป็นแถว สองฟากถนนยังเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย มีผู้คนหลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากมาจัดแสดงสินค้าของตน ทำให้เกิดภาพและเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ดูมีชีวิตชีวา บริเวณโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่แปลกใหม่ ชาที่ชงสดใหม่ และอาหารข้างทางที่ร้อนฉ่า ผ้าไหมสีสันสดใสพลิ้วไหวตามสายลม ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมามีสินค้าแปลกๆ มากมายที่นางไม่เคยเห็น ดูงดงามแปลกตา พ่อค้าแม่ค้านำเสนอผักผลไม้และธัญพืชหลากหลายชนิด ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ช่างฝีมือผู้มีทักษะจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีต เครื่องลายครามที่ละเอียดอ่อน และงานหัตถกรรมไม้แกะสลักอย่างสวยงามในมุมหนึ่ง นางสังเกตเห็นตลาดปลาที่คึกคัก โดยมีพ่อค้าแม่ค้าทะเลาะกันเสียงดังเกี่ยวกับปลาที่จับได้ในแต่ละวัน เสียงเหรียญกระทบกันดังก้องไปทั่ว ขณะที่ลูกค้าต่อรองราคาที่ดีที่สุด ในบริเวณใกล้เคียงกัน มีพ
ขณะที่เจียงม่านก้าวไปข้างหน้าเดินสวนกับผู้คนมากมาย แต่ราวกับว่ารอบตัวของนางนั้นเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน นางจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย ในหัวครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวของคนผู้นั้น คุณชายใหญ่ตระกูลหม่า บุรุษผู้ที่หลอกให้เจ้าของร่างตกหลุมรักเพื่อสูตรลับการหมักสุราของตระกูลเจียง และเรื่องราวในชีวิตก่อนของตนเมื่อครั้งเป็นม่านไหมชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของนางที่คบหากันถึงสี่ปีในรั้วมหาลัย และวางแผนจะใช้ชีวิตร่วมกันเมื่อเรียนจบ แต่หลังจากจบการศึกษา ความสัมพันธ์ของเราก็ดูเหมือนจะจบลงด้วย เราทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปเติบโต โดยการที่เขาเลือกใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงอีกคนที่รู้จักกันเพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายนั้นตั้งครรภ์ใช่แล้ว นางเองก็ถูกบุรุษหักหลังเช่นเดียวกันหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยวางหัวใจของตัวเองไว้บนฝ่ามือของบุรุษใดอีกเลย ความผิดหวังในครั้งนั้นยิ่งทำให้นางแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และมีความมุ่งมั่นมากขึ้น แทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด นางเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่การหาเงิน และทำในสิ่งที่ตัวเองรักโอ๊ย!!แต่แล้วความคิดทั้งหมดของนางก็หยุดชะงักลงเมื่อชนเข้ากับกำแพงมนุษย์เต็ม
หอสุราตระกูลเจียงที่ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งที่ลูกค้าดูจะบางตาเรียกได้ว่าเงียบเหงามีเพียงเหล่าลูกค้าขาจรและคนต่างถิ่นที่แวะเวียนเข้ามาบ้างประปราย หาใช่การแขวนป้ายประกาศขายล้างหนี้สินเช่นดังที่มีข่าวลือออกมา ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นและผู้ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางอยู่บ้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นายท่านตระกูลเจียงช่างเป็นบุรุษที่ดื้อดึง แทบจะหมดเนื้อหมดตัวอยู่รอมร่อแต่ก็ยังไม่ยอมที่จะขายกิจการ ยังคงดึงดันจนน่าขัน หากเป็นพวกตนคงจะยอมแพ้และตัดสินใจขายเสีย อย่างน้อยก็ยังมีเงินให้เหลือเลี้ยงชีพ ดึงดันเช่นนี้ต่อไปคาดว่าคงได้สิ้นเนื้อประดาตัวเข้าจริงๆ แต่พวกเขาก็ได้แต่รอดูต่อไปเพียงเท่านั้นเพล้ง!"ทำไมมันถึงยังไม่ยอมขาย"จอกน้ำชาถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ตามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดอย่างที่สุดของผู้นำตระกูลหม่า เมื่อทุกอย่างไม่เป็นเช่นดังที่คิดหม่าชิงหลุนที่เชื่อว่าตระกูลเจียงคงไม่อาจจะพลิกฟื้นกิจการขึ้นมาใหม่ได้อีกแล้ว เวลานี้เจียงถงผู้นั้นแทบไม่เหลือทรัพย์สมบัติใดๆ อีก ทั้งยังกู้หนี้ยืมสินเป็นหนี้ท่วมหัว เช่นนั้นหนทางเดียวที่ตระกูลเจียงจะอยู่รอดก็เหลือเพียงการขายหอสุราตระกูลเจียง
"ตรงไปหอสุราเลยนะ ไม่ต้องหยุดที่ใด"ทันทีที่นางก้าวเข้ามานั่งบนรถม้า ก็ได้ยินเสียงลี่ลี่เอ่ยกำชับคนบังคับรถม้าในทันที อีกทั้งนางยังนั่งประกบด้านข้างคนบังคับรถม้าราวกับว่าหากอีกฝ่ายหยุดรถม้านางจะเป็นผู้บังคับม้าเองในทันที ส่วนแฝดผู้พี่นั้นก็กำลังนั่งประกบอยู่ด้านข้าง จ้องมองนางตาใส ราวกับจะบอกนางกลายๆ ว่า หากนางขยับตัวจะลงจากรถม้าเมื่อใด แขนป้อมๆ คู่นั้นจะเข้ามากอดขาของนางเอาไว้เจียงม่านจึงทำได้เพียงเปิดม่านชื่นชมความครึกครื้นผ่านหน้าต่างรถม้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนักหอสุราตระกูลเจียงตั้งตระหง่านมองเห็นโดดเด่นแม้จะมองจากที่ไกลๆ นับว่าเป็นทำเลที่ดีมาก ในที่สุดนางก็มาถึงหอสุราตระกูลเจียงโดยที่ไม่ได้แวะที่ใด พร้อมกับใบหน้าโล่งใจของบ่าวทั้งสอง"คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ลงหรอกหรือเจ้าคะ"ลู่ลู่เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยใบหน้าฉงน เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางไม่ยอมก้าวลงจากรถม้า แต่กลับขยับไปยังฝั่งรถม้าอีกด้านหนึ่ง ทั้งยังแง้มเปิดม่านหน้าต่างหรี่ตาลงด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ"ลี่ลี่ที่เห็นว่ารถม้าจอดอยู่นานแต่ผู้เป็นนายยังไม่ออกมาเสียทีจึงชะโงกหน้าผ่านม่านประตูรถม้าเข้
กรี๊ดดดดดดด...เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งที่ดังออกมาจากด้านในห้อง ทำให้เด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าสองนางที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะมองสบตากันอย่างตื่นตระหนก เนื้อตัวของทั้งสองสั่นเทาขึ้นอย่างยากที่จะระงับ ได้แต่โอดครวญโดยไร้เสียงคุณหนูคลุ้มคลั่งอีกแล้วเหตุที่พวกนางทั้งสองมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้ นั่นก็เพราะเมื่อวานนี้คุณหนูของพวกนางอาละวาดขว้างปาข้าวของภายในเรือนจนเละเทะ ทั้งยังร้องไห้อย่างหนัก ก่อนจะลื่นเม็ดไข่มุกที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นเพราะฝีมือของตัวเองจนล้มลงหัวกระแทกแล้วสลบไป จนพวกนางพากันตกอกตกใจโชคดีที่ท่านหมอบอกว่าผู้เป็นนายไม่ได้เป็นอันใดมาก แต่ไม่คิดว่าเมื่อฟื้นคืนสติคุณหนูยังคงไม่คลายความขุ่นเคืองใจ พวกนางไม่รู้ว่าจะต้องตั้งรับกับสถานการณ์เช่นนี้ไปอีกกี่วัน ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกนางก็ไม่ชินเสียที"ลี่ลี่ เจ้าเข้าไปดูคุณหนูหน่อยเถิด"ลี่ลี่ เจ้าของนามนั้นเป็นแฝดผู้น้องตวัดตามองแฝดผู้พี่ของตน ก่อนจะเบนสายตามองไปยังห้องนอนของผู้เป็นนายอย่างช่างใจ แต่เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้วการที่นางเข้าไปในตอนนี้คงไม่แคล้วได้เจ็บตัวอีกเป็นแน่ "แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่เข้
แต่เธอต้องมาใช้ชีวิตเป็นคุณหนูเจียงม่านผู้นี้จริงๆ น่ะหรือสตรีนาม เจียงม่าน ผู้นี้คือบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านเจียง เจียงถง เถ้าแก่หอสุราตระกูลเจียงแห่งเมืองฉางที่กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตอยู่ในขณะนี้สวรรค์ เหตุใดส่งมาทั้งที กลับส่งให้มาอยู่ในร่างของคนที่ตอนนี้กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวด้วยเล่า"อึก ฮื้อ...กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วนะ"ม่านไหมร้องตะโกนออกมาอย่างอัดอั้น ก่อนจะทรุดกายลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปลงตกกับชีวิตที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเสียทีแต่ก็เอาเถอะ คงต้องลองดูกันสักตั้ง อย่างน้อยๆ ก็ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ แต่ต่อไปอย่าได้มาเรียกเธอว่าม่านไหมเชียว ไม่หันหรอกนะบอกเอาไว้ก่อน ให้เธอใช้ชีวิตเป็นเจียงม่านแล้วก็ให้เลย ไอ้ที่อยู่ๆ จะมาทวงร่างคืนก็อย่าได้ฝัน สิงแล้วสิงเลยไม่ออกหรอกนะ หึเสียงข้าวของตกแตกที่ดังมาจากข้างใน ตามด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้สองแฝดที่ยังคงถกเถียงกันอยู่นั้นดวงตาเหลือกลาน รีบพุ่งตัวเข้าไปในเรือนนอนของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว ความห่วงใยว่าผู้เป็นนายนั้นจะได้รับอันตรายก็มีมาก ความกลัวว่าตัวเองจะเจ็บตัวก็มีอยู่ไม่น
หลังจากได้อาบน้ำ แช่กายในน้ำที่อุ่นกำลังดี ทั้งยังมีกลิ่นหอมของกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ร่างกายที่ตึงเครียดก็เหมือนจะผ่อนคลายลง สมองก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นนั่นจึงทำให้เจียงม่านตระหนักได้ว่าตนยังไม่ได้สำรวจร่างกายใหม่นี้อย่างถี่ถ้วนหลังฉากกั้นที่ใช้สำหรับแต่งกายตอนนี้จึงปรากฏสตรีรูปร่างบอบบางยืนเปลือยกายอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ตลอดทั้งตัว กำลังใช้สายตากวาดมองสำรวจไปทั่วเรือนร่างเปลือยเปล่าขาวผ่องของตัวเองนิ้วเรียวยาวราวกับต้นหอมกรีดกรายไปตามผิวเนื้อนุ่มนิ่มราวกับเต้าหู้เนื้อดี ผิวพรรณผุดผ่องนวลเนียนเป็นที่น่าพอใจ เส้นผมสีดำสนิทนุ่มลื่นเงางามดุจแพรไหมทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายออกมา บ่งบอกได้ว่าผู้เป็นเจ้าของดูแลเอาใจใส่มันดีเพียงใด คิ้ว ตา จมูก ปาก ล้วนจิ้มลิ้มพริ้มเพราดูเหมาะเจาะงดงาม เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่งหน้าตาผิวพรรณของร่างนี้นับว่าถูกใจนางไม่น้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือรูปร่างที่ผอมแห้งราวกับจะปลิวลม จับตรงที่ใดก็ไม่เต็มไม้เต็มมือดูกระโดกกระเดกไปเสียหมด หน้าอกคู่นี้แม้จะดูงดงามแต่ขนาดของมันช่างไม่เร้าอารมณ์เอาเ
"ตรงไปหอสุราเลยนะ ไม่ต้องหยุดที่ใด"ทันทีที่นางก้าวเข้ามานั่งบนรถม้า ก็ได้ยินเสียงลี่ลี่เอ่ยกำชับคนบังคับรถม้าในทันที อีกทั้งนางยังนั่งประกบด้านข้างคนบังคับรถม้าราวกับว่าหากอีกฝ่ายหยุดรถม้านางจะเป็นผู้บังคับม้าเองในทันที ส่วนแฝดผู้พี่นั้นก็กำลังนั่งประกบอยู่ด้านข้าง จ้องมองนางตาใส ราวกับจะบอกนางกลายๆ ว่า หากนางขยับตัวจะลงจากรถม้าเมื่อใด แขนป้อมๆ คู่นั้นจะเข้ามากอดขาของนางเอาไว้เจียงม่านจึงทำได้เพียงเปิดม่านชื่นชมความครึกครื้นผ่านหน้าต่างรถม้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนักหอสุราตระกูลเจียงตั้งตระหง่านมองเห็นโดดเด่นแม้จะมองจากที่ไกลๆ นับว่าเป็นทำเลที่ดีมาก ในที่สุดนางก็มาถึงหอสุราตระกูลเจียงโดยที่ไม่ได้แวะที่ใด พร้อมกับใบหน้าโล่งใจของบ่าวทั้งสอง"คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ลงหรอกหรือเจ้าคะ"ลู่ลู่เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยใบหน้าฉงน เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางไม่ยอมก้าวลงจากรถม้า แต่กลับขยับไปยังฝั่งรถม้าอีกด้านหนึ่ง ทั้งยังแง้มเปิดม่านหน้าต่างหรี่ตาลงด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ"ลี่ลี่ที่เห็นว่ารถม้าจอดอยู่นานแต่ผู้เป็นนายยังไม่ออกมาเสียทีจึงชะโงกหน้าผ่านม่านประตูรถม้าเข้
หอสุราตระกูลเจียงที่ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งที่ลูกค้าดูจะบางตาเรียกได้ว่าเงียบเหงามีเพียงเหล่าลูกค้าขาจรและคนต่างถิ่นที่แวะเวียนเข้ามาบ้างประปราย หาใช่การแขวนป้ายประกาศขายล้างหนี้สินเช่นดังที่มีข่าวลือออกมา ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นและผู้ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางอยู่บ้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นายท่านตระกูลเจียงช่างเป็นบุรุษที่ดื้อดึง แทบจะหมดเนื้อหมดตัวอยู่รอมร่อแต่ก็ยังไม่ยอมที่จะขายกิจการ ยังคงดึงดันจนน่าขัน หากเป็นพวกตนคงจะยอมแพ้และตัดสินใจขายเสีย อย่างน้อยก็ยังมีเงินให้เหลือเลี้ยงชีพ ดึงดันเช่นนี้ต่อไปคาดว่าคงได้สิ้นเนื้อประดาตัวเข้าจริงๆ แต่พวกเขาก็ได้แต่รอดูต่อไปเพียงเท่านั้นเพล้ง!"ทำไมมันถึงยังไม่ยอมขาย"จอกน้ำชาถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ตามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดอย่างที่สุดของผู้นำตระกูลหม่า เมื่อทุกอย่างไม่เป็นเช่นดังที่คิดหม่าชิงหลุนที่เชื่อว่าตระกูลเจียงคงไม่อาจจะพลิกฟื้นกิจการขึ้นมาใหม่ได้อีกแล้ว เวลานี้เจียงถงผู้นั้นแทบไม่เหลือทรัพย์สมบัติใดๆ อีก ทั้งยังกู้หนี้ยืมสินเป็นหนี้ท่วมหัว เช่นนั้นหนทางเดียวที่ตระกูลเจียงจะอยู่รอดก็เหลือเพียงการขายหอสุราตระกูลเจียง
ขณะที่เจียงม่านก้าวไปข้างหน้าเดินสวนกับผู้คนมากมาย แต่ราวกับว่ารอบตัวของนางนั้นเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน นางจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย ในหัวครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวของคนผู้นั้น คุณชายใหญ่ตระกูลหม่า บุรุษผู้ที่หลอกให้เจ้าของร่างตกหลุมรักเพื่อสูตรลับการหมักสุราของตระกูลเจียง และเรื่องราวในชีวิตก่อนของตนเมื่อครั้งเป็นม่านไหมชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของนางที่คบหากันถึงสี่ปีในรั้วมหาลัย และวางแผนจะใช้ชีวิตร่วมกันเมื่อเรียนจบ แต่หลังจากจบการศึกษา ความสัมพันธ์ของเราก็ดูเหมือนจะจบลงด้วย เราทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปเติบโต โดยการที่เขาเลือกใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงอีกคนที่รู้จักกันเพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายนั้นตั้งครรภ์ใช่แล้ว นางเองก็ถูกบุรุษหักหลังเช่นเดียวกันหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยวางหัวใจของตัวเองไว้บนฝ่ามือของบุรุษใดอีกเลย ความผิดหวังในครั้งนั้นยิ่งทำให้นางแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และมีความมุ่งมั่นมากขึ้น แทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด นางเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่การหาเงิน และทำในสิ่งที่ตัวเองรักโอ๊ย!!แต่แล้วความคิดทั้งหมดของนางก็หยุดชะงักลงเมื่อชนเข้ากับกำแพงมนุษย์เต็ม
เจียงม่านหาได้สนใจความสงสัยใคร่รู้และไม่เข้าใจของบ่าวทั้งสอง เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าอยู่เบื้องหน้าของนาง เมืองฉางแห่งนี้ดูครึกครื้นไปด้วยผู้คน ตลาดของที่นี่กว้างขวางมีถนนทอดยาวและตรอกแคบๆ ที่มีแผงไม้สำหรับขายของตั้งเรียงรายเป็นแถว สองฟากถนนยังเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย มีผู้คนหลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากมาจัดแสดงสินค้าของตน ทำให้เกิดภาพและเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ดูมีชีวิตชีวา บริเวณโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่แปลกใหม่ ชาที่ชงสดใหม่ และอาหารข้างทางที่ร้อนฉ่า ผ้าไหมสีสันสดใสพลิ้วไหวตามสายลม ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมามีสินค้าแปลกๆ มากมายที่นางไม่เคยเห็น ดูงดงามแปลกตา พ่อค้าแม่ค้านำเสนอผักผลไม้และธัญพืชหลากหลายชนิด ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ช่างฝีมือผู้มีทักษะจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีต เครื่องลายครามที่ละเอียดอ่อน และงานหัตถกรรมไม้แกะสลักอย่างสวยงามในมุมหนึ่ง นางสังเกตเห็นตลาดปลาที่คึกคัก โดยมีพ่อค้าแม่ค้าทะเลาะกันเสียงดังเกี่ยวกับปลาที่จับได้ในแต่ละวัน เสียงเหรียญกระทบกันดังก้องไปทั่ว ขณะที่ลูกค้าต่อรองราคาที่ดีที่สุด ในบริเวณใกล้เคียงกัน มีพ
"ไป ไปตามนายของพวกเจ้าออกมาประเดี๋ยวนี้"เสียงตวาดเหวที่ดังลั่นอยู่ด้านหน้าเรือน ทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนกายกำยำสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ถึงแม้ขณะนี้ดวงตะวันจะขึ้นอยู่ตรงศีรษะแต่เจ้าตัวยังคงซุกกายอยู่ในผ้าห่มผืนหนา แต่เสียงนั้นเรียกให้เขาตื่นเต็มตา ทะลึ่งกายคว้าเอาอาภรณ์ที่ถอดพาดไว้เมื่อตอนย่ำรุ่งขึ้นมาสวมอย่างลวกๆเจ้าของเสียงแหลมแสบแก้วหูนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลเว่ย ใหญ่กว่าท่านเจ้าเมืองก็เว่ยฮูหยินผู้นี้นี่แหละสตรีผู้ที่ใบหน้ามักจะปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนเต็มไปด้วยความมีเมตตาอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้กลับไม่อาจรักษาใบหน้าเช่นนั้นเอาไว้ได้ ตอนนี้มันแดงก่ำเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ เสียงร้องแสบแก้วหูนั้นมาพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังสั่นระริกชี้ไปยังทิศทางที่เป็นเรือนนอนของเจ้าของเรือนเมื่อเห็นว่าผู้ที่นางต้องการพบเดินสะโหลสะเหลออกมาด้วยสภาพที่ดูแทบไม่ได้ เลือดในกายของนางก็ราวกับกำลังเดือดพล่าน"ยอมโผล่หัวออกมาแล้วหรือพ่อตัวดี"ร่างบอบบางปรี่ตรงเข้าไปฟาดแผ่นหลังของบุตรชายไปทีหนึ่งด้วยแรงที่ไม่เบานัก นางอยากจะบิดหูเจ้าบุตรชายผู้นี้ให้ขาดเหลือเกิน"โอ๊ย โอ๊ย ท่านแม่ตีลูกทำไมกันขอร
"คุณหนูเจ้าคะ"เจียงม่านที่กำลังศึกษาประวัติและกรรมวิธีลับการผลิตสุราของตระกูลเจียงอย่างจริงจังมาตลอดหลายวัน ทั้งนางยังเรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับการหมักสุราในโลกปัจจุบันไว้มากมายเพื่อมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคนี้ เงยหน้าจากตำราตรงหน้า"มีอันใดหรือลี่ลี่"ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นคลึงขมับและหัวคิ้วของตน รู้สึกอ่อนล้าไปหมดขณะที่เอ่ยถามอีกฝ่ายลู่ลู่เห็นเช่นนั้นก็รีบรินชาน้ำผึ้งชุ่มคอส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะบีบนวดไหล่เล็กให้อย่างเอาใจ จนได้รับรอยยิ้มหวานส่งมาให้"เว่ยฮูหยินมาเยือนเจ้าค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่เรือนรับรอง"ลี่ลี่เอ่ยบอกผู้เป็นนายพร้อมกับเดินเข้ามาจัดอาภรณ์ที่ยับย่นของนายสาวให้เข้าที่เจียงม่านหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยฮูหยิน มารดาของเว่ยซีหยวนน่ะหรือแล้วดวงตาคู่งามก็ปรากฏประกายระยิบระยับ ดูเหมือนนางจะจมอยู่กับความเคร่งเครียดมาหลายวันแล้วสินะ คงจะได้เวลาผ่อนคลายแล้ว"ท่านป้ามาอย่างนั้นหรือ ดีจริง"ที่นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้นั่นก็เพราะ เว่ยฮูหยิน ภรรยาเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมืองคือสหายสนิทของมารดานางนั่นเอง ในอดีตทั้งสองเป็นสหายที่รักกันมาก ตั้งแต่ที่เว่ยฮูหยินยังเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ตระ
แค่ก แค่ก แค่กเสียงไอถี่ของนายท่านเจ้าของจวนดังออกมาให้ได้ยินทันทีที่หญิงสาวย่างเท้าก้าวเข้ามาภายในบริเวณห้องหนังสือที่เจ้าของจวนมักจะหมกตัวอยู่ในนั้น เรียกว่าอีกฝ่ายแทบจะกินนอนอยู่ที่นี่ นั่นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก ภายในอกรู้สึกวูบไหวจนสะท้าน"ท่านพ่อ"เสียงเรียกของผู้มาใหม่ทำให้บุรุษทั้งสองที่กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียดหันกลับมามองนางในทันที ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่"ยัยหนูม่านม่านมาหาพ่อเช่นนี้ เจ้าหายขุ่นเคืองพ่อแล้วหรือ"บุรุษวัยกลางคนท่าทางใจดีกล่าวกับนางในทันที ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มยินดีแต่เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้นาง ก็ทำให้เจียงม่านถึงกับชะงักนิ่งงัน รับรู้ได้ว่าหัวใจของนางเต้นแรงขึ้น ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยสายหนึ่งโอบรัดนางไว้กับคนตรงหน้า รอยยิ้มของคนผู้นี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาของนางที่อยู่ในความทรงจำเหลือเกิน และภาพวาดขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ทางด้านหลังของเขา ยิ่งทำให้นางยิ่งรู้สึกมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลทางฝั่งมารดาของนางไม่ผิดแน่ เพราะสตรีในรูปนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับมารดาของนางถึงแปดส่วน เจียงม่านรวบรวม
ลู่ลู่ลี่ลี่ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ วันนี้ท่านป้าจางปรุงดีหมีหัวใจเสือให้ผู้เป็นนายของนางกินหรืออย่างไร วันนี้ถึงได้กล้าเล่นงานคุณชายสามเว่ยจนโกรธตัวสั่นไปแบบนั้น ทุกทีเห็นแต่ผู้เป็นนายของพวกนางที่ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเจียงม่านรู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเดินชมความวิจิตรของจวนหลังนี้อีกต่อไป แต่ในขณะที่นางคิดจะหันหลังกลับเรือนของตนเพราะถึงแม้นางจะอยู่ก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ อยู่ๆ ก็มีเรื่องราวหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวของนางตระกูลเจียงนั้นมีชื่อเสียงในด้านการหมักสุรามาหลายชั่วอายุคน แต่กิจการหอสุราตระกูลเจียงริเริ่มในรุ่นของท่านปู่ของเจียงม่าน และรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดเมื่อบิดาของนาง นายท่านเจียงถงเข้ามารับช่วงต่อ หลังจากที่ผู้เป็นปู่จากไปเถ้าแก่เจียงที่ผู้คนในเมืองฉางนั้นรู้จักและนับหน้าถือตา เขานั้นมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่แต่งงานกันตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งอายุล่วงเข้าวัยสามสิบตอนปลายแต่กลับยังไร้ซึ่งทายาท ผู้เป็นภรรยาของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์เสียที และเพราะเขานั้นรักผู้เป็นภรรยามากจึงไม่คิดที่จะรับอนุหรือสตรีนางใดเข้าจวนแต่แล้วสวรรค์ก็มีเ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง คำกล่าวนี้ไม่เกินจริง หลังสะสางปัญหาปากท้องเรียบร้อยแล้ว พอท้องอิ่มสมองก็โลดแล่น ต่อไปก็ต้องจัดการกับปัญหาชีวิตนางคิดตริตรองใคร่ครวญเรื่องราวในชีวิตของร่างนี้อยู่หลายวัน เมื่อคิดสิ่งใดไม่ออกก็จะเรียกหาของกิน ชีวิตในแต่ละวันของนางวนเวียนอยู่เช่นนี้ จากสตรีรูปร่างผอมบางบัดนี้กลายเป็นหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้งมองเห็นชัดเจน การเพิ่มน้ำหนักเป็นอะไรที่ง่ายมากราวกับพลิกฝ่ามือวันนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังกินอาหารจนอิ่มท้องเจียงม่านก็ออกมาเดินย่อยอาหาร และถือโอกาสนี้เดินสำรวจจวนตระกูลเจียง ทั้งยังคิดทบทวนความทรงจำอันบางเบาของเจ้าของร่างที่ดูสับสนวุ่นวายจนแยกไม่ออกและจับใจความสำคัญใดๆ ไม่ได้ จนนางนึกกังวล นางต้องการจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าของร่างเดิมให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะวางแผนการใช้ชีวิตต่อไป นางตระหนักได้ว่าจะมัวแต่หมกตัวอยู่เพียงในเรือนและโรงครัวไม่ได้ จะอย่างไรนางก็ต้องออกมาเผชิญกับความจริงจวนตระกูลเจียงถือว่ากว้างขวางและงดงามตระการตาเป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของตระกูลเจียงได้เป็นอย่างดี ประตูทางเข้าขนาดใหญ่ประดับประดาด้วยงานแกะสลั