นอกจากนี้ประตูและหน้าต่างก็ปิดสนิทเกือบตลอดเวลาดังนั้นเสวี่ยเหมยจึงคุ้นเคยกับการไม่สวมเสื้อผ้าหลังอาบน้ำในขณะนี้ เธอได้เผยรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอต่อหน้าเย่ซิวเธอมีรูปร่างที่สง่างาม ผิวที่ขาวราวกับหยก และมีกลิ่นหอมตามร่างกายดวงตาคมกริบ คิ้วโค้งมนขนตายาวสั่นเล็กน้อยขณะที่เธอกำลังเดินใบหน้าที่สวยไร้ที่ติมีสีชมพูเล็กน้อย และริมฝีปากที่ไม่หนาเกินไปสีแดงราวกับกลีบกุหลาบ ละเอียดอ่อนมากจนผู้คนอดไม่ได้ที่อยากจะลิ้มรสเมื่อมองลงไปด้านล่างก็มองเห็นยอดหยกที่คมชัด งดงามปานจะล่มเมืองได้ทั้งเมืองทุกส่วนบนเรือนร่างของเสวี่ยเหมยนั้นสมบูรณ์ไร้ที่ตินี่แหละที่เรียกกันว่าลูกรักพระเจ้า ต่อให้เย่ซิวมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เมื่อเผชิญหน้ากับฉากเช่นนี้ก็ทำให้เขาใจเต้นได้เช่นกันเสวี่ยเหมยเดินไปที่เตียงแล้วก้มลงหยิบเสื้อผ้าเย่ซิวพลันหันหน้าหนี...ตอนนี้เย่ซิวทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาหลุดออกจากการควบคุมกำลังภายในยิ่งกว่านั้น เขายังส่งเสียงออกมาเบา ๆ อีกด้วยเสวี่ยเหมยตื่นตัวและระวังตัวอยู่เสมอ เธอรีบหันหลังกลับทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเย่ซิว ร่องรอยของความตื่นตระหนกก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเธอ
"กรี๊ด!!!"เสวี่ยเหมยกรีดร้องอีกครั้งเคราะห์ดีที่ห้องของเธอเก็บเสียงได้ดีมาก ไม่ว่าเธอจะกรีดร้องอยู่ข้างในดังแค่ไหน ข้างนอกก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอไม่เช่นนั้นหากมีคนเข้ามาเห็นฉากนี้ เธอคงได้อับอายหนักกว่านี้เป็นแน่เย่ซิวหยิบชุดเดรสยาวสีดำจากตู้เสื้อผ้ามาและช่วยใส่ให้เธอเนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นจึงทำให้เสวี่ยเหมยต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากแต่งตัวให้เธอเสร็จแล้ว เย่ซิวก็อุ้มเธอขึ้นมาด้วยมือเดียวแล้วไปที่ห้องน้ำดวงตาของเสวี่ยเหมยเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เธอก็กรีดร้องดังยิ่งขึ้น "ไม่ อย่าทำแบบนี้..."ซ่าซ่าซ่า...เขาเปิดก๊อกน้ำ ใช้น้ำเย็นจัดราดลงบนศีรษะของเธอ จนเธอไม่สามารถพูดคำที่เหลือได้หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเสวี่ยเหมยก็หยุดกรีดร้องเย่ซิวพูดอย่างใจเย็น "ตอนนี้คุณใจเย็นลงแล้วหรือยัง?"เสวี่ยเหมยเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอยังคงความเกลียดชังอยู่แต่เธอก็ไม่ได้บ้าคลั่งแล้ว น้ำเสียงของเธอเย็นชา "คุณอยากจะทำอะไรกันแน่!"เย่ซิวคลายจุดสกัดให้เธอเสวี่ยเหมยกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งและกระโดดออกไปทันที โดยรักษาระยะห่างจากเย่ซิว“ออกไป ฉันไม่อยากเจอคุ
เมื่อมาถึงห้องควบคุม เธอก็บอกให้ใครสักคนเปิดวิดีโอของชั่วโมงที่แล้วขึ้นมาหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จแล้ว เสวี่ยเหมยรีบบอกให้คนตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดทันทีผลก็คือ อุปกรณ์ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใดคลื่นแห่งความหนาวเย็นพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้าของเธออย่างรวดเร็วเธอไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่เห็นเลย“เขาเข้ามาเงียบ ๆ แบบนั้นได้ยังไง หรือว่าเขาล่องหนได้?เสวี่ยเหมยหายใจเข้าลึก ๆ และสั่งให้ทุกคนตรวจสอบบริเวณวิลล่าทั้งหมดอย่างละเอียดทั้งภายในและภายนอกทว่ากลับไม่พบอะไรเลยเสวี่ยเหมยไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป คืนนั้นเธอรีบออกไปพบคนสนิทของเธอทันทีเธอเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริง ๆระบบเฝ้าระวังทั้งหมดตรวจไม่พบเลยว่า เย่ซิวเข้ามาและออกไปได้อย่างไรนั่นหมายความว่าเย่ซิเข้าออกได้ตามที่เขาต้องการแล้วจะเป็นอย่างไรถ้าหากเย่ซิวแอบย่องขึ้นมาบนเตียงของเธอกลางดึกในขณะที่เธอกำลังหลับ แล้วกระทำการบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเธอ...เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เสวี่ยเหมยก็ตัวสั่นและบอกให้คนขับรถเร่งความเร็วทันทีอย่างไรก็ตาม เธอก็มีธุรกิจและทรัพสินย์มากมายในเมืองหลวงจากนี้ไป เวลาเธอออกไปไหนเธอก็แค่ต้องทำตัวให้เงียบเข้าไว
ในร้านอาหารมีเพียงเธออยู่แค่คนเดียวเธอไม่ชอบให้ใครมองตอนเธอกินข้าวเธอจัดการกับสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสมาธิจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเธอเสวี่ยเหมยกินขนมปังในมือหมดแล้ว ก็เอื้อมมือไปหยิบอีกก้อนในจานสายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่คอมพิวเตอร์ทว่าก็หยิบได้เพียงความว่างเปล่าคิ้วสวยขมวดเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้น และทันใดนั้นขนทั้งร่างของเธอก็ลุกชัน เกือบจะกระโดดขึ้นมาจากที่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอ เย่ซิวกำลังเคี้ยวขนมปังและมองเธอด้วยรอยยิ้ม"อรุณสวัสดิ์"หัวใจของเสวี่ยเหมยเต้นตึกตัก และสีหน้าของเธอก็ซีดลงไปครู่หนึ่งอ้าปากอยากที่จะตะโกนบางคำออกไปแต่เธอก็ไม่กล้าเพราะออร่าของเย่ซิวได้ตรึงเธอเอาไว้แล้วถ้าเธอมีความผิดปกติแม้เพียงเสี้ยวกระเบียดนิ้ว จะต้องถูกจู่โจมราวกับสายฟ้าอย่างแน่นอนใบหน้าฉีกยิ้มซึ่งน่าเกลียดยิ่งว่าร้องไห้ออกไป "อรุณสวัสดิ์ค่ะ"เย่ซิ่วกินขนมปังจนเสร็จ รอยยิ้มไม่มีเปลี่ยนแปลง "โอนเงินเถอะครับ เรื่องเมื่อคืนนี้คุณยังไม่ลืมใช่ไหม?"เสวี่ยเหมยรู้สึกอึดอัดมากรู้สึกอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีตมีเพียงเธอที่วางแผนเล่นงานและเ
อารมณ์ในตอนนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าเมื่อคืนนี้หลายเท่า“เป็นม้าป่าที่พยศมากจริง ๆ!”เย่ซิวแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา เขาลงมือรวดเร็วราวกับสายฟ้า ตีลงไปที่เดิมอีกถึงห้าหรือหกครั้งติดต่อกัน"คุณหนู!"ตอนนี้เองเหล่าบอดี้การ์ดข้างนอกที่ได้ยินเสียงทะเลาะก็รีบปรี่เข้ามาและเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ แต่ละคนก็ชะงักอยู่กับที่สติหลุดไปแล้วในหัวใจของพวกเขา เสวี่ยเหมยนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยให้ชายใดมาสัมผัสเนื้อตัวแม้เพียงปลายก้อย แต่วินาทีนี้เธอกลับกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งจับกดลงกับโต๊ะอย่างป่าเถื่อน"รีบปล่อยคุณหนูเดี๋ยวนี้!""แกกำลังรนหาที่ตาย!"......บอดี้การ์ดแต่ละคนต่างก็ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ และรีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคำรามลั่น"ไสหัวไป!"เย่ซิวอ้าปากและตะโกนดัง ๆ โดยใช้ทักษะราชสีห์คำรามของวัดพุทธคลื่นเสียงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งโจมตีออกไปทุกทิศทางบอดี้การ์ดเหล่านี้ฉับพลันเกิดอาการเวียนหัวและล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้ แต่ละคนต่างน้ำลายฟูมปากเย่ซิวยังคงโจมตีต่อไปเสียงที่กระจ่างชัดและไพเราะดังก้องไปทั่วห้องความอัปยศ!ความโกรธแค้น!ความจนปัญญา!แ
“เมื่อคืนนี้ หมอนั่นแข็งแกร่งมากจริง ๆ!”ไป๋อวี้เจี๋ยเพิ่งได้ยินเรื่องของเย่ซิวหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าถัดจากเธอ เลขานุการสาวสวยซึ่งกำลังยืนรายงานเธอพูดว่า "นั่นสิคะ กล้าที่จะงัดข้อกับจางรั่วหลิง แถมยังฆ่าลูกน้องมือดีที่สุดของเขาไปอีก ตอนนี้คิดว่าน่าจะกำลังถูกทั้งเมืองตามฆ่าอยู่แน่”ไป๋อวี้เจี๋ยยกมือขึ้นจับแก้มของเธอ ภายในหัวพลันก็ปรากฏภาพของเย่ซิวที่หล่อเหลา สีหน้าของเธอดูซีดลง“จบสิ้นแล้ว ถ้าเขาตายแล้วฉันจะทำยังไง?”“ผมไม่ตายหรอก ไม่ต้องห่วง”จู่ ๆ ก็มีเสียงดังก้องขึ้นในห้อง ทำเอาผู้หญิงทั้งสองคนตกใจสะดุ้งโหยงเย่ซิวปรากฏตัวออกมาราวกับผีดวงตาของหญิงสาวทั้งสองคนเบิกกว้างไป๋อวี้เจี๋ยทำหน้าอย่างกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ อย่างไรอย่างนั้น "คุณยังมีชีวิตอยู่?!"เย่ซิวยิ้ม "มันแปลกมากเหรอ?"ไป๋อวี้เจี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วพูดไปว่า “น่าทึ่งมาก คุณหลบหนีมาจากเงื้อมมือของตระกูลจางได้จริง ๆ ด้วย"เย่ซิวดึงหน้ากากบนใบหน้าของเขาออก ขยำมันแล้วโยนมันทิ้งไปในถังขยะ เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ ผมจะฝังเข็มให้คุณ"ไป๋อวี้เจี๋ยก็ยืนขึ้นและพูดก
เมื่อเดินผ่านห้องของไป๋อวี้เจี๋ย ประตูก็เปิดออกเห็นว่าเป็นเลขานุการคนนั้นที่เดินออกมา ข้างหลังเธอคือไป๋อวี้เจี๋ยเจ้าตัวสิ่งที่แปลกพิลึกเล็กน้อยคือใบหน้าของทั้งสองนั้นแดงมากเย่ซิวถามออกไป "พวกคุณเป็นอะไรไป?"ไป๋อวี้เจี๋ยเหมือนหัวขโมยตัวน้อยที่ถูกจับได้ว่าขโมยของบางอย่าง ในดวงตาของเธอฉายแววลุกลี้ลุกลนเลขาค่อนข้างสงบกว่ามาก เธอกระแอมหนึ่งทีแล้วตอบไปว่า "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องของสาว ๆ คุณก็อย่าถามให้มันมากเกินไปนัก"เย่ซิวไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และพูดกับไป๋อวี้เจี๋ยว่า "ผมจะออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว"หลังจากนั้นเขาก็สวมหน้ากากอันใหม่คราวนี้รูปลักษณ์ของเขาก็คือชายวัยกลางคนคนหนึ่งเขายังเตรียมหน้ากากอีกอันไว้เผื่อหลิวอวิ้นด้วย“ไป ๆ ๆ จะไปไหนก็รีบไป”ไป๋อวี้เจี๋ยโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากเพิ่งทำบางเรื่องที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ จู่ ๆ ก็พบเข้ากับเย่ซิว ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกมากเย่ซิวพูดว่า "ผมขอพาแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์มาพักอยู่ที่นี่ด้วยจะได้ไหม?"“ไม่มีปัญหา”ก่อนออกเดินทาง เย่ซิวยังหันกลับไปมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆหลังจากที่เย่ซิวจากไปแล้ว ไป๋อวี้เจี๋ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั
เมื่อชายฉกรรจ์คนนั้นเห็นเย่ซิว พิจารณาจากรูปร่างของอีกฝ่ายที่ผอมบาง หน้าตาก็ธรรมดา แต่กลับกล้าเข้ามาแส่หาเรื่อง ทันใดนั้นเขาก็โกรธจัด “ไอ้แก่ ตรงนี้แกมีสิทธิ์พูดอะไรด้วยเหรอ!"เย่ซิวยังคงตีสีหน้าเย็นชา "ฉันจะพูดอีกครั้ง ไสหัวไปซะ!"จากนั้นชายฉกรรจ์ก็เหวี่ยงหมัดขนาดเท่าหม้อตุ๋นแล้วโจมตีไปที่หน้าของเย่ซิวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง“ไอ้แก่ ฉันจะทำให้แกพิการเดี๋ยวนี้!”“อ้า ไม่นะ!”เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังเย่ซิวกรีดร้องออกมาคนบนรถเองก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่น ไม่อาจทนมองต่อไปได้ในความคิดของพวกเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่เย่ซิวซึ่งค่อนข้างผอมกว่า จะสามารถเอาชนะชายร่างใหญ่บึกบึนคนนั้น“อ้าก!!”เสียงกรีดร้องดังก้องรถ แต่เสียงนั้นไม่ได้มาจากเย่ซิว ทว่ามาจากชายฉกรรจ์คนนั้นแทนทุกคนนิ่งอึ้งไปแล้วเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ก็ทำให้ทุกคนต้องเบิกตากว้างเห็นเพียงชายฉกรรจ์ที่เมื่อสักครู่นี้ยังอวดดี บัดนี้ถูกเย่ซิวเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า กรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเสียงพูดอุทานในรถดังสนั่น ดวงตาของเด็กสาวเองก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นเย่ซิวมองไปที่ชายฉกรรจ์ "แกทำให้ผู้ชายอย่า
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย