อารมณ์ในตอนนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าเมื่อคืนนี้หลายเท่า“เป็นม้าป่าที่พยศมากจริง ๆ!”เย่ซิวแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา เขาลงมือรวดเร็วราวกับสายฟ้า ตีลงไปที่เดิมอีกถึงห้าหรือหกครั้งติดต่อกัน"คุณหนู!"ตอนนี้เองเหล่าบอดี้การ์ดข้างนอกที่ได้ยินเสียงทะเลาะก็รีบปรี่เข้ามาและเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ แต่ละคนก็ชะงักอยู่กับที่สติหลุดไปแล้วในหัวใจของพวกเขา เสวี่ยเหมยนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยให้ชายใดมาสัมผัสเนื้อตัวแม้เพียงปลายก้อย แต่วินาทีนี้เธอกลับกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งจับกดลงกับโต๊ะอย่างป่าเถื่อน"รีบปล่อยคุณหนูเดี๋ยวนี้!""แกกำลังรนหาที่ตาย!"......บอดี้การ์ดแต่ละคนต่างก็ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ และรีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคำรามลั่น"ไสหัวไป!"เย่ซิวอ้าปากและตะโกนดัง ๆ โดยใช้ทักษะราชสีห์คำรามของวัดพุทธคลื่นเสียงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งโจมตีออกไปทุกทิศทางบอดี้การ์ดเหล่านี้ฉับพลันเกิดอาการเวียนหัวและล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้ แต่ละคนต่างน้ำลายฟูมปากเย่ซิวยังคงโจมตีต่อไปเสียงที่กระจ่างชัดและไพเราะดังก้องไปทั่วห้องความอัปยศ!ความโกรธแค้น!ความจนปัญญา!แ
“เมื่อคืนนี้ หมอนั่นแข็งแกร่งมากจริง ๆ!”ไป๋อวี้เจี๋ยเพิ่งได้ยินเรื่องของเย่ซิวหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าถัดจากเธอ เลขานุการสาวสวยซึ่งกำลังยืนรายงานเธอพูดว่า "นั่นสิคะ กล้าที่จะงัดข้อกับจางรั่วหลิง แถมยังฆ่าลูกน้องมือดีที่สุดของเขาไปอีก ตอนนี้คิดว่าน่าจะกำลังถูกทั้งเมืองตามฆ่าอยู่แน่”ไป๋อวี้เจี๋ยยกมือขึ้นจับแก้มของเธอ ภายในหัวพลันก็ปรากฏภาพของเย่ซิวที่หล่อเหลา สีหน้าของเธอดูซีดลง“จบสิ้นแล้ว ถ้าเขาตายแล้วฉันจะทำยังไง?”“ผมไม่ตายหรอก ไม่ต้องห่วง”จู่ ๆ ก็มีเสียงดังก้องขึ้นในห้อง ทำเอาผู้หญิงทั้งสองคนตกใจสะดุ้งโหยงเย่ซิวปรากฏตัวออกมาราวกับผีดวงตาของหญิงสาวทั้งสองคนเบิกกว้างไป๋อวี้เจี๋ยทำหน้าอย่างกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ อย่างไรอย่างนั้น "คุณยังมีชีวิตอยู่?!"เย่ซิวยิ้ม "มันแปลกมากเหรอ?"ไป๋อวี้เจี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วพูดไปว่า “น่าทึ่งมาก คุณหลบหนีมาจากเงื้อมมือของตระกูลจางได้จริง ๆ ด้วย"เย่ซิวดึงหน้ากากบนใบหน้าของเขาออก ขยำมันแล้วโยนมันทิ้งไปในถังขยะ เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ ผมจะฝังเข็มให้คุณ"ไป๋อวี้เจี๋ยก็ยืนขึ้นและพูดก
เมื่อเดินผ่านห้องของไป๋อวี้เจี๋ย ประตูก็เปิดออกเห็นว่าเป็นเลขานุการคนนั้นที่เดินออกมา ข้างหลังเธอคือไป๋อวี้เจี๋ยเจ้าตัวสิ่งที่แปลกพิลึกเล็กน้อยคือใบหน้าของทั้งสองนั้นแดงมากเย่ซิวถามออกไป "พวกคุณเป็นอะไรไป?"ไป๋อวี้เจี๋ยเหมือนหัวขโมยตัวน้อยที่ถูกจับได้ว่าขโมยของบางอย่าง ในดวงตาของเธอฉายแววลุกลี้ลุกลนเลขาค่อนข้างสงบกว่ามาก เธอกระแอมหนึ่งทีแล้วตอบไปว่า "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องของสาว ๆ คุณก็อย่าถามให้มันมากเกินไปนัก"เย่ซิวไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และพูดกับไป๋อวี้เจี๋ยว่า "ผมจะออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว"หลังจากนั้นเขาก็สวมหน้ากากอันใหม่คราวนี้รูปลักษณ์ของเขาก็คือชายวัยกลางคนคนหนึ่งเขายังเตรียมหน้ากากอีกอันไว้เผื่อหลิวอวิ้นด้วย“ไป ๆ ๆ จะไปไหนก็รีบไป”ไป๋อวี้เจี๋ยโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากเพิ่งทำบางเรื่องที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ จู่ ๆ ก็พบเข้ากับเย่ซิว ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกมากเย่ซิวพูดว่า "ผมขอพาแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์มาพักอยู่ที่นี่ด้วยจะได้ไหม?"“ไม่มีปัญหา”ก่อนออกเดินทาง เย่ซิวยังหันกลับไปมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆหลังจากที่เย่ซิวจากไปแล้ว ไป๋อวี้เจี๋ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั
เมื่อชายฉกรรจ์คนนั้นเห็นเย่ซิว พิจารณาจากรูปร่างของอีกฝ่ายที่ผอมบาง หน้าตาก็ธรรมดา แต่กลับกล้าเข้ามาแส่หาเรื่อง ทันใดนั้นเขาก็โกรธจัด “ไอ้แก่ ตรงนี้แกมีสิทธิ์พูดอะไรด้วยเหรอ!"เย่ซิวยังคงตีสีหน้าเย็นชา "ฉันจะพูดอีกครั้ง ไสหัวไปซะ!"จากนั้นชายฉกรรจ์ก็เหวี่ยงหมัดขนาดเท่าหม้อตุ๋นแล้วโจมตีไปที่หน้าของเย่ซิวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง“ไอ้แก่ ฉันจะทำให้แกพิการเดี๋ยวนี้!”“อ้า ไม่นะ!”เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังเย่ซิวกรีดร้องออกมาคนบนรถเองก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่น ไม่อาจทนมองต่อไปได้ในความคิดของพวกเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่เย่ซิวซึ่งค่อนข้างผอมกว่า จะสามารถเอาชนะชายร่างใหญ่บึกบึนคนนั้น“อ้าก!!”เสียงกรีดร้องดังก้องรถ แต่เสียงนั้นไม่ได้มาจากเย่ซิว ทว่ามาจากชายฉกรรจ์คนนั้นแทนทุกคนนิ่งอึ้งไปแล้วเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ก็ทำให้ทุกคนต้องเบิกตากว้างเห็นเพียงชายฉกรรจ์ที่เมื่อสักครู่นี้ยังอวดดี บัดนี้ถูกเย่ซิวเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า กรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเสียงพูดอุทานในรถดังสนั่น ดวงตาของเด็กสาวเองก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นเย่ซิวมองไปที่ชายฉกรรจ์ "แกทำให้ผู้ชายอย่า
ณ หอพักหอพักนักศึกษาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงซูเสี่ยวเสี่ยวเปิดประตู รูมเมททุกคนไปกินข้าวกันหมดแล้ว จึงไม่มีใครอยู่สักคนเธอวางข้าวของไว้บนเตียงของตัวเอง จากนั้นเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์มือสองที่ซื้อมาในราคาห้าร้อยหยวนล็อกอินเข้าสู่ซอฟต์แวร์ซื้อขายหุ้นอย่างเชี่ยวชาญมีหุ้นสีเขียวอยู่บนนั้นสองสามตัวเธอติดตามหุ้นเหล่านี้มาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันได้ซูเสี่ยวเสี่ยวคลิกที่หุ้นซึ่งอยู่ด้านบนสุด จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็รัวลงบนแป้นพิมพ์ เริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็วมากสำหรับคนนอก ภาพลักษณ์เธอในสายตาของพวกเขาก็คือเซ่อ ๆ แต่ตอนนี้ดวงตาของเธอเป็นประกายวาววับ ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงถ้าเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอจะเป็นนักธุรกิจหญิงที่ปราดเปรียวมากคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลยหลังจากดำเนินการไปได้สักพัก เธอก็หยุดและกระซิบกับตัวเอง "ตอนนี้หุ้นนี้อยู่ในจุดต่ำสุด ถ้าซื้อในตอนนี้ มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่าภายในหนึ่งสัปดาห์!"เธอไม่ลังเลเลยที่จะลงทุนไปทั้งหมดสองหมื่นหยวน ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่เย่ซิวโอนให้เธอ!!……เย่ซิวผลักประตูเข้าไป จากนั้นลงกลอนจากด้านในพนักงานก็ไม่แป
หนึ่งเดือนต่อจากนี้ เขาจะทำให้กิจการของตระกูลเย่ทั้งหมดต้องพังพินาศ!ไม่มีอะไรที่จะทำให้ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้เร็วเท่ากับการเหยียบซากศพของตระกูลผู้มีอำนาจอีกแล้วหลังจากปลอบใจเธอไปสองสามคำ และบอกให้เธอระวังตัวให้มาก เย่ซิวก็วางสายโทรศัพท์หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที รถก็ไปถึงจุดหมายเย่ซิวลงจากรถพร้อมถุงหลายใบในมือทั้งสองคนดูธรรมดามากจนไม่มีใครสังเกตเห็นเลยเดินเท้าต่อไปอีกไม่กี่กิโลเมตร ดวงตาของเย่ซิวก็ต้องหรี่ลงเขาเห็น 'คนที่คุ้นเคย' ยืนอยู่ข้างหน้านั่น!ผู้หญิงทั้งสี่คนแต่งตัวเหมือนกันหมด!พวกเธอมีรูปร่างสูงโปร่ง ยิ่งเมื่อสวมชุดออกกำลังกาย ก็ยิ่งยากที่จะปกปิดเรือนร่างอันร้อนแรงเหล่านั้นนี่คือแฝดสี่ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นบอดี้การ์ดของหลี่หรูเฟิง!ในตอนแรกเย่ซิวสนใจพวกเธอมาก และอยากที่จะพิชิตใจพวกเธอให้ได้ต่อมาเพราะมีเรื่องให้จัดการมากเกินไป เขาจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเห็นแฝดสี่มาปรากฏตัวในเมืองหลวงแบบนี้ เย่ซิวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยหรือว่าหลี่หรูเฟิงเองก็มาที่นี่แล้ว?จำได้ว่าตอนนั้นเขาได้ทำให้อีกฝ่ายพิการไปแล้ว หรือจะมาที่เมืองหลวงเพื่อทำการรักษา…ซึ่งความจริงก็เป็นเช
รูปถ่ายที่ไป๋อวี้เจี๋ยส่งมาให้มีทั้งหมดแปดถึงเก้ารูปทุกรูปช่างเซ็กซี่และร้อนแรงและทุกรูปก็สามารถกระตุ้นความปรารถนาในตัวของผู้ชายออกมาได้ในทันทีแน่นอนว่ารูปถ่ายเหล่านี้ไม่ใช่รูปของเธอ แต่เป็นรูปของเลขาเธอ!ในช่วงสุดท้าย ยังทิ้งข้อความไว้ประโยคหนึ่งด้วยว่า‘เป็นไงบ้าง เลขาฯ ของฉันคนนี้หุ่นดีมากเลยใช่ไหม?’เย่ซิวพูดไม่ออกอยู่นานมาก หลังจากอ่านข้อความจบ เขาก็ส่ายหัวแล้วลบรูปภาพทั้งหมดทิ้งภายในห้อง สองแม่ลูกร้องไห้กันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มคุยกันเบา ๆหลิวอวิ้นถามว่า "ลูกกับเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว ได้มี..."ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหัวอย่างหน้าแดง “ไม่มีค่ะ เรายังมีความสัมพันธ์แบบชายหญิงที่บริสุทธิ์มาก"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมหลิวอวิ้นถึงได้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นเธอก็พูดต่อว่า "ลูกเล่าให้แม่ฟังหน่อยสิว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เบื้องหลังมีขุมอำนาจใดอยู่บ้าง ทรงพลังมากไหม เขาช่วยลูกออกมาจากเงื้อมมือของเย่ขวงได้จริง ๆ หรือ?”ตอนนี้เธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเย่ซิวเป็นอย่างมากลู่เสวี่ยเอ๋อร์เม้มริมฝีปากบาง แล้วเล่าทุกอย่างที่เธอรู้และพูดได้ให้กับหลิวอวิ้นฟังแม้ว่าเธอจะพู
“ตอนนี้พวกเธอก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสามแล้ว งั้นฉันจะช่วยให้พวกเธอทะลวงระดับขึ้นไปกว่านี้”เมื่อแฝดสี่ได้ยินประโยคนี้ ขณะที่ดีใจ ในใจก็บังเกิดความกังขาขึ้นมาการจะยกระดับพลังยุทธ์ของจอมยุทธ์ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนต้องพึ่งพาตัวเอง เขาจะทำได้จริง ๆ หรือ?ทว่าไม่นานพวกเธอก็รับรู้แฝดสี่แซ่เหมย ชื่อเรียงลำดับจากอายุมากไปน้อยได้แก่ ชุน เซี่ย ชิว และตงเย่ซิวเรียกให้เหมยชุนขึ้นมาก่อนสั่งให้เธอนั่งขัดสมาธิ โดยหันหลังให้เขาเย่ซิววางมือลงบนแผ่นหลังของเธอ จากนั้นปลดปล่อยกำลังภายในออกมาอย่างช้า ๆร่างกายอันบอบบางของเหมยชุนก็สั่นไหว เธอสัมผัสได้ว่าที่หลังมีความร้อนสองสายกำลังแทรกตัวเข้ามา จากนั้นไหลไปทั่วทั้งร่างกายของเธอเส้นลมปราณส่วนน้อยที่ยังถูกปิดกั้นอยู่ในร่างกายเธอถูกเปิดออกใช้เวลาเพียงสิบนาที เธอก็ทะลวงขั้นได้สำเร็จในความเป็นจริง เธอไปถึงคอขวดของระดับพลังแล้วแต่ถ้าไม่มีคนนอกช่วยเหลือ อย่างน้อยพวกเธอก็ต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จและในโลกใบนี้ ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีกำลังภายในแข็งแกร่งพอที่จะช่วยให้พวกเธอทะลวงระดับไปได้อย่างเย่ซิว“ทะลวงระดับแล้วจร
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย