ใบหน้าของเสวี่ยเหมยเคร่งขรึมขึ้น "หุบปาก ใครใช้ให้เธอหยาบคายกับคุณเย่!"คนขับอยู่กับเสวี่ยเหมยมาหลายปีแล้วและไม่เคยดุเธอเลย แต่ตอนนี้เสวี่ยเหมยกลับดุเธอเพราะเย่ซิวเธอเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้ว่าเสวี่ยเหมยมักจะดูเข้าถึงได้ง่าย แต่เมื่อเธอจริงจังเธอก็น่ากลัวมากเช่นกันเสวี่ยเหมยกดสวิตช์กระจกถูกเลื่อนขึ้นกั้นระหว่างที่นั่งคนขับกับที่นั่งด้านหลังวิธีนี้จะทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นทางด้านหลังได้หากเป็นผู้ชายคนอื่นที่มีโอกาสได้อยู่กับเสวี่ยเหมยสองต่อสองเช่นนี้ เขาคงจะตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่แล้วแต่เย่ซิวกลับมีท่าทีสงบแม้ว่าเสวี่ยเหมยจะสวยและมีเสน่ห์ แต่เธอก็ยังไม่อยู่ในระดับที่จะทำให้เย่ซิวตื่นเต้นได้เสวี่ยเหมยมองไปที่เย่ซิว ในไม่กี่วินาทีสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น “คุณเย่ คุณทานข้าวหรือยังคะ? พอดีฉันมีอาหารอยู่ กินรองท้องสักหน่อยไหมคะ?""ยังครับ" เย่ซิวตอบเบา ๆ “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าคืนนี้มีอะไรต้องทำหรือเปล่า"เสวี่ยเหมยยิ้มและกล่าวว่า "คืนนี้ บุคคลสำคัญหลายคนในเมืองหลวงจะ
ในตอนนี้เอง เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่ซิว หากเธอก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตของเธอได้ถึงคราวหาไม่มือของเย่ซิวเลื่อนลงมาที่หัวใจของเธอและหยุดอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส“ผมไม่ชอบให้ใครมาวางแผนเล่นเล่ห์ หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”เสวี่ยเหมยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ "ฉันทราบค่ะ ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"เมื่อนั้นเย่ซิวจึงดึงมือออกจากหัวใจของเธอเธอหอบหายใจแรง เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากนั้นไม่นานเธอก็สงบสติอารมณ์ลงได้ และมองไปที่เย่ซิวด้วยความคับข้องใจเธอนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสาวงามแห่งเมืองหลวงไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจ มั่งคั่ง และเผด็จการแค่ไหน พวกเขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเธอ ทั้งอ่อนโยนและสุภาพกับเธอเป็นอย่างมากพวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังกับเธอ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนสวย ๆ อย่างเธอจะมีใครที่ไหนเหมือนกับเย่ซิวที่กระทำรุนแรงเช่นนี้ และในวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เย่ซิวปฏิบัติกับเธออย่างหยายคายในขณะที่เธอเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของเธอพลันแดงก
ดวงตาของเย่ซิวจ้องมองไปที่ผู้หญิงที่ดูน่าดึงดูดมากคนหนึ่งเธอยืนอยู่ข้างชายร่างอ้วนผิวเป็นสีแทนที่ดูสุขภาพดี และเธอสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น ซึ่งเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สร้างมาอย่างดีรูปร่างเรียบง่าย ไม่ดูโอ้อวดสัดส่วนเกินไปดวงตาคมมากเหมือนเสือดาวตัวเมียตัวน้อยที่พร้อมจะจับเหยื่อได้ตลอดเวลา“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเข้าใกล้ขั้นปรมาจารย์แล้ว!”เย่ซิวรู้สึกประหลาดใจมากผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปีเหตุผลที่มองเห็นได้ก็คือระยะนี้จะปล่อยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมาแน่นอนว่า มีเพียงคนในระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่จะสัมผัสสิ่งนี้ได้ทั่วทั้งสถานที่นี้ นอกเหนือจากเย่ซิวแล้ว ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งที่สุดหลังจากที่เสวี่ยเหมยทักทายบุคคลสำคัญจากฝ่ายต่าง ๆ แล้ว เธอก็หันไปหาเย่ซิวพร้อมกับรอยยิ้ม "คุณไช่ เชิญค่ะ"ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากทีเดียว เธอรู้ว่าต้องช่วยเย่ซิวปกปิดตัวตนอย่างไรรอยยิ้มของเธอน่าดึงดูดมาก ยิ่งกว่านั้นมันอ่อนหวานยิ่งกว่าตอนที่เธอยิ้มให้คนอื่นก่อนหน้านี้อีกทันใดนั้น หลายคนรู้สึกเป็นศัตรูเล็กน้อยต่อเย่ซิวเย่ซิวพยักหน้าสถานที่จัดงานมีขนาดใหญ่มาก การตกแต่งก็อลังก
เสวี่ยเหมยพูดไม่ออกเล็กน้อย และสงสัยในใจว่า เย่ซิวไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือ?แต่ในขณะที่เธอคิดอย่างรอบคอบ เธอก็ตระหนักรู้ได้ทันทีความแข็งแกร่งของเย่ซิวนั้นทรงพลังมาก ส่วนภูมิหลังของเขานั้นยิ่งลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้บางทีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเย่ซิวอาจไม่ด้อยไปกว่าตระกูลจางเลย เหล่าคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างมองด้วยสายตาวาววับทุกคนในแวดวงต่างรู้กันดีว่า คนที่ไล่ตามจีบเสวี่ยเหมยอย่างหนักที่สุดก็คือ เย่ขวง และอีกคนหนึ่งก็คือชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้สำหรับชายหนุ่มธรรมดาที่กล้าเข้าใกล้เสวี่ยเหมยมากเกินไปจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแขนขาหัก หรือต้องทนทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวทางธุรกิจและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะดูสุภาพอ่อนโยน แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีในเวลานี้ มีคนเข้ามากระซิบบอกจางรั่วหลิงที่ข้างหูของเขาว่า เสวี่ยเหมยเป็นคนตักอาหารให้เย่ซิวด้วยตัวเองจากนั้นจางรั่วหลิงก็มองไปที่เย่ซิว "น้องชายคนนี้ดูไม่คุ้นเลย ไม่ทราบว่าเขามาจากนิกายสันโดษที่ไหน?"ในสถานที่อื่นนั้นจอมยุทธระดับสาม
อาจกล่าวได้ว่าการตบของเย่ซิวทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้าชายคนนั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการตบหน้าจางรั่วหลิงด้วยจางรั่วหลิงมองไปที่เสวี่ยเหมยและพูดอย่างใจเย็น "คราวนี้ผมทนไม่ไหวแล้วนะ ไอ้เด็กนี่ต้องตาย"ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเขา หากวันนี้ไม่ได้กำจัดเย่ซิว มันจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยอย่างแน่นอนในอนาคต ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนคงได้ถูกเยาะเย้ยเป็นแน่เสวี่ยเหมยรีบเข้าไปยืนขวางเย่ซิวอย่างรวดเร็ว "เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ไหม ยังไงแล้ว… คุณเองก็เป็นคนเริ่มก่อน"ดวงตาของจางรั่วหลิงปะทุกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น น้ำเสียงของเขาเย็นชา "นี่คุณจะต่อต้านผมเพราะเห็นแก่ไอ้เด็กนี่จริง ๆ สินะ!"ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอกจางรั่วหลิงมีจุดแข็งมากมาย แต่เขาก็มีข้อบกพร่องใหญ่ประการหนึ่งเช่นกันนั่นคือความอิจฉาริษยาอย่างหนักในสายตาของเขา พฤติกรรมของเสวี่ยเหมยนั้นเหมือนกำลังสวมเขาให้ตนด้วยความโกรธที่แผดเผาในอก น้ำเสียงของจางรั่วหลิงจึงยิ่งเย็นเยือก "ขอโทษทีนะ แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ผล หลบไป!"จากนั้นเขาก็มองไปที่เย่ซิว "ถ้านายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ ก็อย่าหลบอยู่ข
ในแวดวงวิทยายุทธ ไร้คู่ต่อสู้ คือคำที่กล่าวกันในหมู่ปรมาจารย์เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ เสวี่ยเหมยไม่มั่นใจแม้แต่น้อยเลยว่าเย่ซิวจะชนะได้จางรั่วหลิงแทบรอไม่ไหวที่จะกำจัดเย่ซิว จึงพาคนของเขาไปที่เวทีประลอง ทันทีเสวี่ยเหมยส่ายหัวและโน้มตัวกระซิบข้างหูเย่ซิว "วางใจเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ปล่อยให้คุณตายเด็ดขาด ฉันจะช่วยคุณเองค่ะ"เย่ซิวหัวเราะอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเธอคิดมากเกินไปแต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมทุกคนมายังเวทีประลอง เฟยหู่ขึ้นไปก่อนพร้อมถอดเสื้อคลุมออกกล้ามเนื้อของเขาเป็นมัด ๆ เส้นเลือดเด่นเห็นชัด ทำให้เขาดูความแข็งแกร่งและทรงพลังในทางตรงกันข้ามเย่ซิวดูผอมบางมาก ราวกับว่าเขาจะถูกคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวพวกเขาเชิญผู้ตัดสินมืออาชีพขึ้นบนเวที จากนั้นก็มีการอธิบายสั้น ๆ เล็กน้อยกฎหลักคือไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธ หรืออาวุธลับ“การประลองคู่แรก เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”พูดจบกรรมการก็ก้าวลงจากเวทีไปตุบ ตุบ! เฟยหู่กระแทกกำปั้นเข้าหากัน โค้งตัวลงเล็กน้อย ตั้งท่าโจมตี และเผยยิ้มพร้อมฟันขาวทั้งแผง“ไอ้หนู ตอนนี้แกยังมีเวลาขอความเมตตานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทุบให
ปัง!หมัดทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงอื้ออึงเฟยหู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดคิด!เฟยหู่คิดไว้ว่า ถ้าเย่ซิวได้รับหมัดนี้ไป อย่างน้อยที่สุดกระดูกของเขาจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ แน่ แต่สุดท้าย หลังจากแลกหมัดกัน เย่ซิวก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดในความเป็นจริงเขาไม่ได้ขยับเท้าเลยด้วยซ้ำเยาะเย้ยอย่างเย็นชา "แกก็พอมีความสามารถอยู่บ้างนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่แกจะอวดดีขนาดนี้ เอาหมัดสายฟ้าของฉันไปกินซะ!"เขาเหวี่ยงหมัดทั้งสองข้างออกไปเร็วราวกับสายฟ้าเหล่าผู้ชมมองเห็นเพียงเงาเท่านั้นจางรั่วหลิงจิบไวน์แดงและดูมั่นใจ "เฟยหู่สามารถฆ่าควายโตเต็มวัยได้ด้วยหมัดเดียว หมัดที่เร็วที่สุดคือสามสิบครั้งต่อหนึ่งวินาที เด็กนั่นไม่มีทางหยุดเขาได้แน่"จู่ ๆ ในใจของเสวี่ยเหมยก็เรื่มวิตกกังวลแต่ไม่นานเธอก็ผ่อนคลายลงดูนั่น!บนเวทีประลอง ขาของเย่ซิวดูเหมือนจะปักหลักอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง มือข้างหนึ่งของเขาไพล่ไว้ด้านหลังเขาสกัดการโจมตีอันบ้าคลั่งของเฟยหู่ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทะลุการป้องกันของเย่ซิวได้ฉากนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนที่นั่งชมเป
ระหว่างที่ผู้ชมกำลังดูอยู่นั้น หมัดของเฟยหู่ก็ไปถึงตรงหน้าเย่ซิวแล้วหมัดแกร่งมาพร้อมกับลม ทำให้เสื้อผ้าของเย่ซิวกระพือและส่งเสียงพั่บ ๆด้วยหมัดนี้ เฟยหู่มั่นใจว่าเขาสามารถทำให้เย่ซิวพิการได้!“ไอ้หนู แกคงตอบโต้ไม่ทันสินะ!”นี่เป็นความคิดสุดท้ายในชีวิตของเขาในช่วงเวลาต่อมา ความเจ็บปวดอันรุนแรงพลุ่งพล่านจากหมัดของเขา และลามไปทั่วร่างกายของเขาทันทีการมองเห็นของเขามืดดับลง และหมดสติไปทันทีเขาล้มลงกับพื้นด้วยเสียงที่ดังกึกก้องตุ้บ! เสียงของร่างกายที่กระแทกกับพื้นราวกับค้อนหนักที่ทุบหัวใจของทุกคนอย่างดุเดือด"เป็นไปไม่ได้!"คนแรกที่มีการตอบสนองคือจางรั่วหลิงทันใดนั้นเขาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง แก้วไวน์แดงในมือพลันตกลงไปบนพื้นเขาวางมือบนราวบันไดพลางจ้องเย่ซิวที่อยู่บนเวทีประลองอย่างไม่ละสายตาในตอนนี้เอง คนอื่น ๆ ก็เริ่มตอบสนองไปตาม ๆ กัน สายตาของพวกเขาจ้องเย่ซิวที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างมาก“ปรมาจารย์!” มีคนพูดพึมพำขึ้นมาแม้ว่าเสียงจะไม่ดัง ทว่าในตอนนี้ทั่วทั้งสถานที่จัดงานเงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนจึงได้ยินเสียงนั้นเสวี่ยเหมยรู้สึกว่าปากแห้งมาก เธอจึงเลียริมฝีปากโดยไม่ร
ยังมีม้าศึกเพลิงน้ำแข็ง อีกทั้งลู่เสวี่ยเอ๋อร์และพวกเธอล้วนมีระดับพลังอย่างน้อยอยู่ในช่วงสร้างพื้นฐานขั้นกลางบวกกับจักรกลมังกรดำ ทำให้พวกเขาเริ่มมีเค้าลางของมหาอำนาจสิ่งเดียวที่ขาดไปคืออุตสาหกรรมเศรษฐกิจระดับล่าง ซึ่งยังไม่สามารถยกระดับขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”“จริงสิ” เซี่ยซิ่วซิ่วพูดขึ้นอีกประโยค “ส่งคำเชิญไปให้ประเทศหลงเถิงด้วย ถ้ามีพวกเขาช่วย ประเทศจ้านอิงตี้ก็คงไม่กล้าเล่นตุกติก”เฉินหลานกับหวังซวงตาเป็นประกาย พวกเขาเกือบลืมไปเลยว่าประเทศหลงเถิงเป็นแบ็กอัพที่แข็งแกร่งไม่นาน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกดึงดูดสื่อมากมายนับไม่ถ้วนให้พากันรีบไปที่สำนักโอสถแม้แต่นักเดินทางเดียวดายบางคนก็เริ่มเตรียมตัวเดินทางไปเงียบ ๆนี่คือมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดคนที่มองการณ์ไกลล้วนมองออกว่าประเทศจ้านอิงตี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาดีทั้งที่รู้ว่าเย่ซิวแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ยังกล้าเป็นฝ่ายริเริ่มเปิดการเจรจาแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาต้องมีอะไรให้พึ่งพาทางด้านประเทศหลงเถิง หลังจากได้รับข่าวอัครมหาเสนาบดีกับผู้นำก็หารือกันว่าจะส่งใครไปเข้าร่วมนายกรัฐมนตรีเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได
เส้นผมของหวังซวงยังคงเปียกชื้นเธอสวมชุดนอนผ้าไหมที่แนบสนิทไปกับร่างกาย เผยให้เห็นสัดส่วนอันเย้ายวนของเธอเห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จเธอนั่งอยู่บนเตียง มือซ้ายถือรูปของเย่ซิว จ้องมองมันด้วยสายตาหลงใหล“อาจารย์ อาจารย์รู้ไหมว่าฉันชอบอาจารย์อาจารย์ช่างหล่อเหลา พลังของท่านก็แข็งแกร่ง ร่างกายของอาจารย์ยังสมบูรณ์แบบ แข็งแกร่งมาก...อาจารย์รู้ไหม? ทุกค่ำคืนฉันมักจะฝันถึงอาจารย์ ในความฝันฉันได้...กับอาจารย์”เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความปรารถนาเย่ซิวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเด็กคนนี้จะมีความคิดเช่นนี้กับตนเองเขาส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวจากไปตอนนี้ผู้หญิงรอบตัวเขามีมากพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องรับเข้ามาเพิ่มอีกคนเย่ซิวลอยขึ้นไปเหนือสำนักโอสถเขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า พลันเกิดความคิดที่บ้าบิ่นขึ้นมา“บนดวงจันทร์มีอะไรอยู่กันแน่?”แม้ว่าในอดีตจะมีหลายประเทศที่ส่งยานอวกาศพร้อมมนุษย์ขึ้นไปสำรวจ และมีคนจริง ๆขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้แล้วแต่ขอบเขตที่พวกเขาเดินทางไปได้นั้นยังมีจำกัดยังมีพื้นที่อันลี้ลับบนดวงจันทร์ที่ไม่เคยถูกค้นพบที่สำคัญ
ภายในห้องลับ เย่ซิวไม่อาจรับรู้ถึงการไหลผ่านของกาลเวลาได้เลยจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับการหลอมรวมระดับวิญญาณก่อกำเนิดด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งและการเตรียมพร้อมที่เพียงพอ การทะลวงระดับของเขาจึงราบรื่นไร้อุปสรรคในวันที่แปดของการปิดด่าน เขาสามารถควบแน่นระดับวิญญาณก่อกำเนิดได้สำเร็จระดับวิญญาณก่อกำเนิดของเขามีห้าสีเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของมันยังใหญ่กว่าระดับวิญญาณก่อกำเนิดขั้นต้นทั่วไปอยู่หนึ่งเท่าพลังวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอีกครั้งหากเปรียบพลังวิญญาณของเขาในอดีตเป็นเพียงตะปู ตอนนี้มันกลับกลายเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแล้วการเพิ่มพูนของพลัง ส่งผลสะท้อนกลับเข้าสู่ร่างกายโลหิตและกล้ามเนื้อของเย่ซิวเปล่งประกายราวกับอัญมณี ดวงตาของเขาส่องแสงเจิดจ้าดุจตะวันดวงน้อยเพียงแค่คิด ระดับวิญญาณก่อกำเนิดก็แยกออกจากร่าง ลอยขึ้นสำรวจโดยรอบความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนักระดับวิญญาณก่อกำเนิดคือผลรวมของจินตานและจิตวิญญาณที่หลอมรวมกันก่อนที่จะทะลวงระดับ หากจิตวิญญาณของเย่ซิวออกจากร่าง มันจะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแม้แต่พลังของเขาก็ไม่อาจยื้อเวลาให้อยู่นอกกาย
ยังคงเป็นที่ห้องทดลองชีวภาพหมายเลขเก้าในประเทศจ้านอิงตี้หลังจากที่ประเทศจ้านอิงตี้ทุ่มเททุกวิถีทางในการเพาะเลี้ยงมาตลอดช่วงเวลานี้นักรบยีนสิบคนกับสิ่งมีชีวิตโบราณก็ได้หลอมรวมจนถึงระดับแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากพวกเขา ก็ทำให้พื้นของห้องทดลองแทบจะรับไม่ไหว เกิดรอยร้าวมากมายเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่อยู่นอกห้องทดลองมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจู่ ๆ นักรบยีนทั้งสิบคนก็เข้าห้ำหั่นกันเอง เลือดสาดกระจายไปทั่ว ราวกับนรกบนดินนักวิทยาศาสตร์ภายนอกรีบฉีดสเปรย์สารควบคุมชนิดต่าง ๆ เข้าไป แต่กลับไม่มีผลใด ๆ“แย่แล้ว! รีบเข้าสู่สถานะเตือนภัยด่วน!”เหล่านักวิทยาศาสตร์ตกตะลึงสุดขีด รู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มเกินกว่าการควบคุมตู้ม!ทันใดนั้น พลังงานบางอย่างปะทุขึ้น ทำให้ทั้งห้องทดลองสั่นสะเทือนราวกับจะพังทลายจากนั้น ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากข้างในเธอมีใบหน้าที่งดงามสะกดสายตา อีกทั้งรูปร่างยังเย้ายวนเกินต้านทานแต่สิ่งที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ก็คือเส้นผมของเธอทั้งหมดกลับเป็นอส
ในขณะเดียวกัน เสียงของเย่ซิวก็ดังขึ้นข้างหูเขา "สถานที่แห่งนี้ ห้ามฟื้นฟูขึ้นใหม่ภายในหนึ่งร้อยปี มิเช่นนั้นประเทศจ้านฉงตี้จะต้องหายไปจากโลกใบนี้"นี่เป็นทั้งการดูแคลน และยังเป็นการเหยียดหยามอย่างถึงที่สุดให้พวกเขาต้องเผชิญกับความอัปยศนี้ทุกขณะในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีถือเป็นการโต้กลับอย่างแข็งแกร่งของเย่ซิว หลังจากประเทศจ้านฉงตี้พยายามเล่นงานเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจักรพรรดิหมีเหล็กกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ความอัปยศอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วร่างใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแต่ในความโกรธแค้นนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหมดหนทางอย่างลึกล้ำเพียงชั่วพริบตาเดียวราวกับว่าเขาแก่ลงไปอีกหลายสิบปีเดิมทีเส้นผมของเขายังมีสีดำเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับขาวโพลนทั้งหมดผู้ช่วยที่อยู่ข้างกาย มองดูสภาพของเขาด้วยความสงสาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา "ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี? จะยิงจรวดออกไปอีกไหม?""ไม่ต้องแล้ว ไม่มีทางเอาชนะเขาได้หรอก"จักรพรรดิหมีเหล็กส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยล้า สายตามองไปยังร่องรอยของกระบี่อันใหญ่โตเบื้องหน้า "ดูเหมือนว่า ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหาผู้สืบทอดแล้ว"……ม
เบื้องหน้าของเย่ซิวปรากฏชายชราผู้มีรูปลักษณ์ประหลาดเขามีอายุกว่าร้อยปีแล้ว ดวงตาฝ้าฟางแทบจะลืมขึ้นไม่ได้เส้นผมยาวหลายสิบเมตรถูกถักเป็นเปียและพันรอบร่างกายของตนใต้ฝ่าเท้าของเขามีการ์กอยล์หินเป็นพาหนะ มือขวาถือไม้กายสิทธิ์อันเก่าแก่เย่ซิวกระตุกบังเหียนให้ม้าหยุดลงพลางหรี่ตามองชายชราเล็กน้อย “มีธุระอะไร?”พลังที่แผ่ออกมาจากร่างของชายชราทำให้เย่ซิวรู้สึกได้ถึงอันตรายแม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวเดียวก็ตาม“ข้าคือเทพพิทักษ์แห่งประเทศจ้านฉงตี้ ปิดด่านฝึกฝนมาหลายสิบปีแล้วได้ยินว่าประเทศหลงเถิงมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งจึงอยากมาดูให้เห็นกับตา”เย่ซิวไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ “ตอนนี้ก็ได้เห็นแล้ว มีอะไรจะชี้แนะหรือเปล่า?”ดวงตาฝ้าฟางของชายชราเพ่งมองเย่ซิวแน่วแน่ แววตานั้นแฝงไปด้วยอันตรายเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา“ข้าน่ะเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเลยอยากจะประลองกับเจ้าสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะรับคำท้าหรือไม่”เย่ซิวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ซ่อนเร้นของอีกฝ่ายที่บอกว่าเป็นการประลองคงเป็นแค่ข้ออ้างจุดประสงค์ที่แท้จริงคือก็แค่อยากทดสอบพลังของตนเองกับเขาเท่านั้น“ฉันไม่มีคำว่าประลองอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณคิ
ทั้งคืนผ่านไปด้วยความว้าวุ่นใจและความกระสับกระส่าย เธอแทบไม่ได้หลับเลยเวลาแปดโมงเช้า เย่ซิวยืนอยู่ริมหน้าต่างมองออกไปยังทิวทัศน์ภายนอกอากาศสดชื่น เสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้กระจายไปทั่ว ที่นี่มีนกยูงเลี้ยงไว้อยู่หลายตัว บรรยากาศเหมาะแก่การอยู่อาศัยอย่างยิ่ง“คุณเย่ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” ลิลิธเดินเข้ามาพร้อมกับก้าวย่างที่อ่อนช้อยดุจแมวป่าฝ่าเท้าขาวผ่องราวหิมะสัมผัสพื้นเบา ๆ ทีละก้าวก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆ เย่ซิวเธอจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนหลังจากฝึกฝนตลอดทั้งคืน พลังของลิลิธก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างมหาศาลตอนที่เธอมาที่นี่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะสามารถพัฒนาขึ้นได้เร็วขนาดนี้หากเป็นไปได้ เธอเองก็อยากบำเพ็ญร่วมกับเย่ซิวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งวันทั้งคืนบางทีเธออาจสามารถบรรลุถึงระดับพลังที่ไม่มีใครในประเทศจ้านฉงตี้เคยไปถึงมาก่อนแต่น่าเสียดายที่คงเป็นแค่ความฝันที่เป็นไปไม่ได้เย่ซิวไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเขายังคงจ้องไปข้างนอกโดยไม่กะพริบตาจินตานห้าสีของเขาหมุนวนอย่างบ้าคลั่งรัศมีพลังที่ส่องออกมาราวกับพระอาทิตย์ที่สว่างไสวและแข็งแกร่งไ
เคย์ฟี่พาลิลิธกลับมาที่ห้องของเธอเธอกับพูโรแยกกันนอนมานานแล้วหลังจากปิดประตู เธอก็รีบดึงลิลิธเข้าไปในห้องน้ำอย่างกระตือรือร้นน้ำร้อนถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วจากนั้นเคย์ฟี่ก็ปิดประตูห้องน้ำเสียงดังปังไม่นานนักก็มีเสียงอุทานของเคย์ฟี่ดังออกมาเป็นระยะด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาลึก ๆครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องน้ำเคย์ฟี่ช่วยลิลิธแต่งตัวกับมือ จากนั้นก็ลงเครื่องสำอางให้เธอก่อนจะฉีดน้ำหอมสุดหรูราคาแพงเดิมทีลิลิธก็เป็นหญิงงามอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เสน่ห์ของเธอกลับเพิ่มขึ้นไปอีกระดับเธอมองเงาตัวเองในกระจกก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ ความมั่นใจของเธอเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วนจากนั้นเคย์ฟี่ก็พาลิลิธไปยังห้องของเย่ซิว เธอเคาะประตูเบา ๆภายในห้อง แน่นอนว่าเย่ซิวไม่มีความจำเป็นต้องนอนพักเขาเพิ่งกลั่นโอสถไปหลายเตา ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เอาไว้ใช้เพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญตนแม้ว่าตอนนี้ผลลัพธ์ของมันอาจจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ถ้าปริมาณมากพอก็ยังสามารถช่วยได้ตอนนี้เขามีโอสถกว่าพันเม็ดแล้วก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เย่ซิวชะงักเล็กน้อยก่อนจะเก็บเตาหลอมและโอสถท
แต่ลิลิธกลับมีพรสวรรค์ในศาสตร์ด้านนี้สูงมาก จนสามารถฝึกฝนไปถึงระดับที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนผู้ชายทั่วไปไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเธอเลยไม่เช่นนั้น วันรุ่งขึ้นมีหวังกลายเป็นซากศพแห้งตายอย่างแน่นอนแม้ว่าลิลิธจะมีชื่อเสียงด้านความงามโด่งดังไปทั่ว แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเธอเคย์ฟี่ดวงตาเป็นประกาย “ความคิดนี้ไม่เลวเลยนะ ลิลิธต้องเจอกับผู้ชายที่แข็งแกร่งระดับเย่ซิวเท่านั้นถึงจะรับมือไหวพอลิลิธทำสำเร็จแล้วเข้าไปอ้อนเย่ซิวอีกหน่อยลองชวนให้เขามาลองพี่น้องสุดเซ็กซี่ บางทีเขาอาจจะไม่ปฏิเสธก็ได้”พรีเอลล์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบพูดแทรกขึ้นมา “อย่าลืมแม่ลูกสุดแซ่บด้วย”เคย์ฟี่หัวเราะคิกคัก “อันนี้ก็ต้องดูที่ผลงานของลูกในอนาคตแล้วล่ะ”พูทมองด้วยความอิจฉาผู้ชายที่แท้จริงต้องเป็นแบบเย่ซิว ต้องผ่านดงดอกไม้นับไม่ถ้วนโดยไม่ทิ้งร่องรอยน่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะมีฝีมือพอตัว แต่เมื่อเทียบกับเย่ซิวแล้วยังห่างชั้นกันเกินไปแถมสาว ๆ ที่เขาเคยได้มาก็ยังไม่มีคุณภาพดีเท่านี้เลยด้วยซ้ำหลังจากหารือกันเสร็จ เคย์ฟี่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาลิลิธด้วยตัวเองณ เมืองระดับแนวหน้าของประเทศจ้านฉงตี้