จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมของคุณออกด้วยวิธีนี้ ร่องรอยของเขาและลู่เสวี่ยเอ๋อร์จึงหายไป`ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากลุ่มที่เพิ่งมาถึงจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับไป๋หยูเจี๋ยได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนร่วมในการดำเนินการในระดับที่ลึกซึ้งอีกด้วยเย่ซิวมองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างที่ไป๋อวี้เจี๋ยพูดจริง ๆ ทุกอย่างที่นี่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวผู้อยู่อาศัยแต่ละคนมีพื้นที่อิสระของตนเอง และได้รับความเป็นส่วนตัวในระดับสูง รับรองว่าพวกเขาจะไม่ถูกรบกวนอย่างแน่นอนเขาแอบพยักหน้ากับตัวเองไป๋อวี้เจี๋ยพาทั้งสองคนเข้าไปในห้อง“เป็นยังไงบ้าง? คุณสองคนพอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไหมคะ?”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์มองไปรอบ ๆ “ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณไป๋ที่รับเราเข้ามาร่วมด้วยนะคะ”เย่ซิวกวาดสายตาตรวจสอบทั่วทั้งห้องอย่างละเอียดหลังจากที่ไม่พบอันตรายด้านความปลอดภัย เขาก็พูดกับลู่เสวี่ยเอ๋อร์ “คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ และอย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมให้หนักด้วย”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้ว่าเย่ซิวต้องจากไปอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่อยากแยกจากกันเลย แต่เธอก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาเตือน "คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้ด้วย"เย่ซิวลูบหัวเธอแล
ใบหน้าของเสวี่ยเหมยเคร่งขรึมขึ้น "หุบปาก ใครใช้ให้เธอหยาบคายกับคุณเย่!"คนขับอยู่กับเสวี่ยเหมยมาหลายปีแล้วและไม่เคยดุเธอเลย แต่ตอนนี้เสวี่ยเหมยกลับดุเธอเพราะเย่ซิวเธอเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้ว่าเสวี่ยเหมยมักจะดูเข้าถึงได้ง่าย แต่เมื่อเธอจริงจังเธอก็น่ากลัวมากเช่นกันเสวี่ยเหมยกดสวิตช์กระจกถูกเลื่อนขึ้นกั้นระหว่างที่นั่งคนขับกับที่นั่งด้านหลังวิธีนี้จะทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นทางด้านหลังได้หากเป็นผู้ชายคนอื่นที่มีโอกาสได้อยู่กับเสวี่ยเหมยสองต่อสองเช่นนี้ เขาคงจะตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่แล้วแต่เย่ซิวกลับมีท่าทีสงบแม้ว่าเสวี่ยเหมยจะสวยและมีเสน่ห์ แต่เธอก็ยังไม่อยู่ในระดับที่จะทำให้เย่ซิวตื่นเต้นได้เสวี่ยเหมยมองไปที่เย่ซิว ในไม่กี่วินาทีสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น “คุณเย่ คุณทานข้าวหรือยังคะ? พอดีฉันมีอาหารอยู่ กินรองท้องสักหน่อยไหมคะ?""ยังครับ" เย่ซิวตอบเบา ๆ “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าคืนนี้มีอะไรต้องทำหรือเปล่า"เสวี่ยเหมยยิ้มและกล่าวว่า "คืนนี้ บุคคลสำคัญหลายคนในเมืองหลวงจะ
ในตอนนี้เอง เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่ซิว หากเธอก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตของเธอได้ถึงคราวหาไม่มือของเย่ซิวเลื่อนลงมาที่หัวใจของเธอและหยุดอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส“ผมไม่ชอบให้ใครมาวางแผนเล่นเล่ห์ หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”เสวี่ยเหมยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ "ฉันทราบค่ะ ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"เมื่อนั้นเย่ซิวจึงดึงมือออกจากหัวใจของเธอเธอหอบหายใจแรง เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากนั้นไม่นานเธอก็สงบสติอารมณ์ลงได้ และมองไปที่เย่ซิวด้วยความคับข้องใจเธอนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสาวงามแห่งเมืองหลวงไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจ มั่งคั่ง และเผด็จการแค่ไหน พวกเขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเธอ ทั้งอ่อนโยนและสุภาพกับเธอเป็นอย่างมากพวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังกับเธอ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนสวย ๆ อย่างเธอจะมีใครที่ไหนเหมือนกับเย่ซิวที่กระทำรุนแรงเช่นนี้ และในวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เย่ซิวปฏิบัติกับเธออย่างหยายคายในขณะที่เธอเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของเธอพลันแดงก
ดวงตาของเย่ซิวจ้องมองไปที่ผู้หญิงที่ดูน่าดึงดูดมากคนหนึ่งเธอยืนอยู่ข้างชายร่างอ้วนผิวเป็นสีแทนที่ดูสุขภาพดี และเธอสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น ซึ่งเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สร้างมาอย่างดีรูปร่างเรียบง่าย ไม่ดูโอ้อวดสัดส่วนเกินไปดวงตาคมมากเหมือนเสือดาวตัวเมียตัวน้อยที่พร้อมจะจับเหยื่อได้ตลอดเวลา“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเข้าใกล้ขั้นปรมาจารย์แล้ว!”เย่ซิวรู้สึกประหลาดใจมากผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปีเหตุผลที่มองเห็นได้ก็คือระยะนี้จะปล่อยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมาแน่นอนว่า มีเพียงคนในระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่จะสัมผัสสิ่งนี้ได้ทั่วทั้งสถานที่นี้ นอกเหนือจากเย่ซิวแล้ว ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งที่สุดหลังจากที่เสวี่ยเหมยทักทายบุคคลสำคัญจากฝ่ายต่าง ๆ แล้ว เธอก็หันไปหาเย่ซิวพร้อมกับรอยยิ้ม "คุณไช่ เชิญค่ะ"ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากทีเดียว เธอรู้ว่าต้องช่วยเย่ซิวปกปิดตัวตนอย่างไรรอยยิ้มของเธอน่าดึงดูดมาก ยิ่งกว่านั้นมันอ่อนหวานยิ่งกว่าตอนที่เธอยิ้มให้คนอื่นก่อนหน้านี้อีกทันใดนั้น หลายคนรู้สึกเป็นศัตรูเล็กน้อยต่อเย่ซิวเย่ซิวพยักหน้าสถานที่จัดงานมีขนาดใหญ่มาก การตกแต่งก็อลังก
เสวี่ยเหมยพูดไม่ออกเล็กน้อย และสงสัยในใจว่า เย่ซิวไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือ?แต่ในขณะที่เธอคิดอย่างรอบคอบ เธอก็ตระหนักรู้ได้ทันทีความแข็งแกร่งของเย่ซิวนั้นทรงพลังมาก ส่วนภูมิหลังของเขานั้นยิ่งลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้บางทีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเย่ซิวอาจไม่ด้อยไปกว่าตระกูลจางเลย เหล่าคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างมองด้วยสายตาวาววับทุกคนในแวดวงต่างรู้กันดีว่า คนที่ไล่ตามจีบเสวี่ยเหมยอย่างหนักที่สุดก็คือ เย่ขวง และอีกคนหนึ่งก็คือชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้สำหรับชายหนุ่มธรรมดาที่กล้าเข้าใกล้เสวี่ยเหมยมากเกินไปจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแขนขาหัก หรือต้องทนทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวทางธุรกิจและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะดูสุภาพอ่อนโยน แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีในเวลานี้ มีคนเข้ามากระซิบบอกจางรั่วหลิงที่ข้างหูของเขาว่า เสวี่ยเหมยเป็นคนตักอาหารให้เย่ซิวด้วยตัวเองจากนั้นจางรั่วหลิงก็มองไปที่เย่ซิว "น้องชายคนนี้ดูไม่คุ้นเลย ไม่ทราบว่าเขามาจากนิกายสันโดษที่ไหน?"ในสถานที่อื่นนั้นจอมยุทธระดับสาม
อาจกล่าวได้ว่าการตบของเย่ซิวทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้าชายคนนั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการตบหน้าจางรั่วหลิงด้วยจางรั่วหลิงมองไปที่เสวี่ยเหมยและพูดอย่างใจเย็น "คราวนี้ผมทนไม่ไหวแล้วนะ ไอ้เด็กนี่ต้องตาย"ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเขา หากวันนี้ไม่ได้กำจัดเย่ซิว มันจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยอย่างแน่นอนในอนาคต ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนคงได้ถูกเยาะเย้ยเป็นแน่เสวี่ยเหมยรีบเข้าไปยืนขวางเย่ซิวอย่างรวดเร็ว "เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ไหม ยังไงแล้ว… คุณเองก็เป็นคนเริ่มก่อน"ดวงตาของจางรั่วหลิงปะทุกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น น้ำเสียงของเขาเย็นชา "นี่คุณจะต่อต้านผมเพราะเห็นแก่ไอ้เด็กนี่จริง ๆ สินะ!"ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอกจางรั่วหลิงมีจุดแข็งมากมาย แต่เขาก็มีข้อบกพร่องใหญ่ประการหนึ่งเช่นกันนั่นคือความอิจฉาริษยาอย่างหนักในสายตาของเขา พฤติกรรมของเสวี่ยเหมยนั้นเหมือนกำลังสวมเขาให้ตนด้วยความโกรธที่แผดเผาในอก น้ำเสียงของจางรั่วหลิงจึงยิ่งเย็นเยือก "ขอโทษทีนะ แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ผล หลบไป!"จากนั้นเขาก็มองไปที่เย่ซิว "ถ้านายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ ก็อย่าหลบอยู่ข
ในแวดวงวิทยายุทธ ไร้คู่ต่อสู้ คือคำที่กล่าวกันในหมู่ปรมาจารย์เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ เสวี่ยเหมยไม่มั่นใจแม้แต่น้อยเลยว่าเย่ซิวจะชนะได้จางรั่วหลิงแทบรอไม่ไหวที่จะกำจัดเย่ซิว จึงพาคนของเขาไปที่เวทีประลอง ทันทีเสวี่ยเหมยส่ายหัวและโน้มตัวกระซิบข้างหูเย่ซิว "วางใจเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ปล่อยให้คุณตายเด็ดขาด ฉันจะช่วยคุณเองค่ะ"เย่ซิวหัวเราะอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเธอคิดมากเกินไปแต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมทุกคนมายังเวทีประลอง เฟยหู่ขึ้นไปก่อนพร้อมถอดเสื้อคลุมออกกล้ามเนื้อของเขาเป็นมัด ๆ เส้นเลือดเด่นเห็นชัด ทำให้เขาดูความแข็งแกร่งและทรงพลังในทางตรงกันข้ามเย่ซิวดูผอมบางมาก ราวกับว่าเขาจะถูกคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวพวกเขาเชิญผู้ตัดสินมืออาชีพขึ้นบนเวที จากนั้นก็มีการอธิบายสั้น ๆ เล็กน้อยกฎหลักคือไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธ หรืออาวุธลับ“การประลองคู่แรก เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”พูดจบกรรมการก็ก้าวลงจากเวทีไปตุบ ตุบ! เฟยหู่กระแทกกำปั้นเข้าหากัน โค้งตัวลงเล็กน้อย ตั้งท่าโจมตี และเผยยิ้มพร้อมฟันขาวทั้งแผง“ไอ้หนู ตอนนี้แกยังมีเวลาขอความเมตตานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทุบให
ปัง!หมัดทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงอื้ออึงเฟยหู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดคิด!เฟยหู่คิดไว้ว่า ถ้าเย่ซิวได้รับหมัดนี้ไป อย่างน้อยที่สุดกระดูกของเขาจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ แน่ แต่สุดท้าย หลังจากแลกหมัดกัน เย่ซิวก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดในความเป็นจริงเขาไม่ได้ขยับเท้าเลยด้วยซ้ำเยาะเย้ยอย่างเย็นชา "แกก็พอมีความสามารถอยู่บ้างนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่แกจะอวดดีขนาดนี้ เอาหมัดสายฟ้าของฉันไปกินซะ!"เขาเหวี่ยงหมัดทั้งสองข้างออกไปเร็วราวกับสายฟ้าเหล่าผู้ชมมองเห็นเพียงเงาเท่านั้นจางรั่วหลิงจิบไวน์แดงและดูมั่นใจ "เฟยหู่สามารถฆ่าควายโตเต็มวัยได้ด้วยหมัดเดียว หมัดที่เร็วที่สุดคือสามสิบครั้งต่อหนึ่งวินาที เด็กนั่นไม่มีทางหยุดเขาได้แน่"จู่ ๆ ในใจของเสวี่ยเหมยก็เรื่มวิตกกังวลแต่ไม่นานเธอก็ผ่อนคลายลงดูนั่น!บนเวทีประลอง ขาของเย่ซิวดูเหมือนจะปักหลักอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง มือข้างหนึ่งของเขาไพล่ไว้ด้านหลังเขาสกัดการโจมตีอันบ้าคลั่งของเฟยหู่ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทะลุการป้องกันของเย่ซิวได้ฉากนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนที่นั่งชมเป
แคสซี่ย์ยกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะกดลงอย่างแรงพร้อมพูดว่า “ลงมือซะ! ฆ่าทุกคนที่เป็นคนของหยางเฟิง อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”"ฉึก ฉึก ฉึก!"เลือดพลันก็สาดกระเซ็น บางคนถูกโจมตีจากคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัวและเสียชีวิตในทันทีหยางเฟิงตกตะลึงและโกรธจัด เขาอยากจะต่อต้าน แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงมองดูพี่น้องร่วมชาติของเขาถูกฆ่าไปทีละคนด้วยสายตาเจ็บปวดเขาหลั่งน้ำตาเลือด เสียใจภายหลังเหลือจะกล่าวไม่เคยคาดคิดเลยว่าแคสซี่ย์จะโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีถึงเพียงนี้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความโกลาหลในพริบตา“ไปเถอะ ถึงเวลาที่เราต้องแสดงบ้างขึ้นเวทีแล้ว”เย่ซิวจับมือของอลิส เดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็นและมั่นคง พลังไร้รูปปกคลุมรอบตัวเขาในระยะสองเมตร ทำให้ทุกสิ่งที่เข้าใกล้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือพลังวิเศษต่างๆ ล้วนถูกสะท้อนออกไปดวงตาของอลิสเปล่งประกายเจิดจ้า เธอหลงรักชายตรงหน้าอย่างหัวปักหัวปำเย่ซิวเดินไปถึงหน้าเวทีสำคัญ จับเชือกเส้นหนึ่งไว้ และส่งพลังวิญญาณอันทรงพลังและดุดันของเขาเข้าไปอย่างรุนแรงพลังนั้นเหมือนแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ไหลทะลักอย่างไม่หยุดยั้ง สร
“หรือว่ามันจะล้มเหลวไปทั้งเช่นนี้จริง ๆ? ฉันไม่มีทางยอมแน่!” หยางเฟิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนเขาลงทุนไปหลายร้อยล้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพียงเพื่อช่วยหยางถิงถิงปลดพันธนาการของห่วงโซ่พันธุกรรมที่กักขังเธอไว้และวันนี้ เขาก็ทุ่มเงินไปกว่าหนึ่งล้านล้านบาทเพื่อจ้างผู้มีพลังวิเศษเหล่านี้ ซึ่งได้กินเงินไปเกือบหนึ่งในสามของทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีหากล้มเหลว ไม่เพียงแต่จะสูญเสียเงินทอง หยางถิงถิงเองก็จะต้องตายเพราะผลกระทบของพลังย้อนกลับด้วยหยางเฟิงก้มหัวให้เหล่าผู้มีพลังวิเศษพร้อมเอ่ยเสียงหนักแน่น “ขอร้องทุกท่าน หากใครยังมีพลังเหลือได้โปรดช่วยฉันอีกครั้ง ฉันจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ตลอดชีวิต” ด้วยสถานะของหยางเฟิง การแสดงท่าทีเช่นนี้ก็เท่ากับการลดเกียรติของตัวเองลงจนแทบไม่มีเหลือทำให้มีผู้มีพลังวิเศษอีกนับร้อยคนก้าวออกมาข้างหน้า แต่พวกเขาเหล่านั้นก็เพิ่งฟื้นฟูพลังวิเศษกลับมาได้เล็กน้อย การช่วยเหลือจึงไม่มีนัยสำคัญ หยางเฟิงกัดฟัน หยิบเซรุ่มยีนสีแดงสดหลอดหนึ่งออกมาแล้วดื่มลงไปในรวดเดียวพลังที่เหือดแห้งในร่างกายของเขา ได้ฟื้นฟูกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถ่าย
กลุ่มแรกที่ทำการถ่ายโอนพลังวิเศษสำเร็จแล้ว ต่างก็ทยอยถอยกลับไป แต่ละคนมีสภาพอ่อนล้าจนแทบยืนไม่อยู่หยางเฟิงกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ จากนั้นก็มีคนนำบัตรธนาคารและเซรุ่มยีนไปมอบให้ถึงมือพวกเขาของตอบแทนที่ได้รับจะแตกต่างกันไปตามระดับพลังของแต่ละคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก้าวขึ้นไปรอบตัวของหยางถิงถิงก็เริ่มแผ่คลื่นพลังอันแข็งแกร่งออกมา บนหน้าผากของเธอปรากฏตราประทับรูปกลีบดอกไม้ที่มีทั้งหมดสี่กลีบในตอนนี้กลีบแรกเริ่มเปล่งประกายสีแดงเพลิง หยางเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “นี่คือพลังวิเศษธาตุไฟ” เย่ซิวมองตราประทับบนหน้าผากของหยางถิงถิง พลางรู้สึกหวั่นไหวในใจ และมีคำหนึ่งแวบขึ้นมาในความคิดแต่เขายังไม่มั่นใจนักหลังจากที่ผู้ใช้พลังวิเศษกว่าห้าร้อยคนถ่ายโอนพลังให้เธอแล้ว กลีบที่สองบนหน้าผากของหยางถิงถิงก็สว่างขึ้น มันเป็นสีเขียว ซึ่งแสดงถึงการตื่นขึ้นของพลังวิเศษธาตุไม้ เมื่อผู้ใช้พลังวิเศษกว่าแปดร้อยคนถ่ายโอนพลังวิเศษให้ กลีบที่สามก็สว่างขึ้น มันเป็นสีเหลือง แสดงถึงการตื่นขึ้นของพลังวิเศษธาตุดิน หยางเฟิงเริ่มรู้สึกประหม่าอย่างมาก เพราะยิ่งถึงช่วงหลังความยากก็ยิ่งเพิ
หยางถิงถิงเข้าร่วมงานวันนี้ในชุดเดรสสวยหรูหรา ดูงดงามจนยากที่จะลืมผมสีม่วงเป็นประกายของเธอถูกม้วนเป็นลอนเล็ก ๆ และเมื่อรวมกับใบหน้ารูปไข่ที่เย็นชาของเธอ ทำให้เธอดูเหมือนเซรามิกรัศมีแห่งความสง่างามของเธอเปล่งออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าผิวที่เผยออกมานอกชุดที่ใส่ผ่องใสเหมือนคริสตัลและมีความขาวกระจ่างอมชมพูอีกทั้งรูปร่างของเธอยังดีมากอีกด้วยเธอมีเอวคอดกิ่วและหน้าอกที่น่ามองข้อเสียอย่างเดียวคือขาสั้นไปนิด แต่การใส่รองเท้าส้นสูงก็พอจะปกปิดจุดนี้ได้รูปลักษณ์นี้ทำให้ผู้ชายหลายพากันจ้องตาเป็นมัน อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกอยากทำให้หญิงสาวผู้นี้ยอมศิโรราบแก่พวกเขาหากให้พูดตรง ๆ หากหยางถิงถิงไม่อ้าปากพูด เธอก็คงจะยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวคืนนี้หยางถิงถิงพยายามยับยั้งพฤติกรรมคุณหนูผู้เอาแต่ใจของตัวเองเพราะเธอรู้ว่าคืนนี้สำคัญกับเธอมาก เธอจึงประพฤติตัวดีและขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานอย่างสุภาพหากเย่ซิวไม่ได้ใช้เวลาทั้งบ่ายกับผู้หญิงคนนี้ เขาก็คงโดนเธอหลอกเข้าได้เหมือนกันเมื่อหยางถิงถิงเดินมาอยู่ตรงหน้าเย่ซิว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเย่ซิว พลางพ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่พวกนายกำลังทำอะไรกัน!”เมื่อเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น ทุกคนก็หันไปโค้งคำนับบุคคลดังกล่าว“ยินดีที่ได้พบท่านประธานและท่านรองประธาน”“ทั้งสองท่านดูเด็กลงไปทุกวันเลย”“สวัสดีท่านประธานทั้งสอง”…… ประธานและรองประธานสมาคมผู้มีพลังวิเศษเป็นคนสูงอายุสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งพอทั้งสองเดินเข้ามา เย่ซิวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณท่านคือประธานของที่นี่หรือครับ?”ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางเฟิงหยางเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ผมเป็นแค่รองประธาน ประธานน่ะคือคนนี้ต่างหาก”ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหยางเฟิงดูเหมือนว่าจะมีอายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีดูจากผมสีทองของเธอก็รู้ว่าเป็นคนประเทศจ้านอิงตี้โดยกำเนิดสมาคมผู้มีพลังวิเศษเป็นองค์กรที่สำคัญมากถึงขนาดนี้ แต่รองประธานกลับเป็นชาวต่างชาติ นี่แสดงให้เห็นว่าหยางเฟิงเป็นผู้มีอำนาจมากเพียงใดนอกจากนี้ เย่ซิวก็ใช้เวลาทั้งบ่ายกับอีกฝ่าย แต่เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นถึงคลื่นพลังวิเศษอันแกร่งกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายเลยเขาอาจจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าเย่ซิวหรืออาจจะมีสมบัติพิเศษบางอย่างที่สามารถซ่อนลมปราณของเขาไว้ได้เย่ซิวคิดว่
ขณะนั้นได้มีกลิ่นน้ำหอมแรง ๆ ลอยเข้ามากระทบหน้าจากนั้นก็มีเสียงอันนุ่มนวลดังขึ้นที่ข้างหู “พี่ชายท่านนี้ดูมีสไตล์จังเลยนะคะ”เดลจ้องมองเย่ซิว แววตาของเธอมีประกายแปลก ๆแม้เย่ซิวจะซ่อนแสงจ้าบางส่วนจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ แต่มันก็ยากที่จะมองข้ามเมื่อเห็นในระยะใกล้อลิสยืนอยู่ตรงหน้าเย่ซิวและมองไปยังหญิงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนคนนี้ “เธอเป็นใคร คิดจะทำอะไร?”เธอเหยียดนิ้วไปทางเย่ซิวแล้วกระดิกนิ้วเรียก “ฉันสนใจผู้ชายของเธอ คุณอยากพูดคุยกับฉันอย่างลึกซึ้งสักหน่อยไหมคะ”อลิสโกรธมาก ทำไมถึงได้มีผู้หญิงที่ทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ เธออดไม่ได้ที่จะตวาดไปว่า “รีบไสหัวไปซะ อย่ามาเกะกะที่นี่”เดลไม่ได้โมโหแม้แต่น้อย ทว่ากลับส่งสายตาเจ้าชู้ไปให้เย่ซิว ขณะเดียวกันเธอก็แอบใช้พลังจิตของตัวเองไปด้วยเธอยิ้มมุมปากเบา ๆ พลางคิดว่าข้อตกลงแลกเปลี่ยนนี้ทำสำเร็จง่ายเหลือเกินแค่ไปอ่อยผู้ชายเธอก็ได้เงินห้าร้อยล้านมาครองแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอให้เธอซื้อเซรุ่มปรับแต่งยีนสำหรับการบำเพ็ญตนได้เป็นจำนวนมากแล้วพลังจิตเข้าสู่ตัวเย่ซิวได้อย่างราบรื่นขณะที่เธอเกือบจะจับตัวผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนนี้ได้แล้ว
สวิตช์อีกอันใช้ปรับเบาะเอนช้า ๆเธอปลดเข็มขัดนิรภัยออก พร้อมพูดทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา “วันนี้ฉันจะทำให้นายหมดแรงไปเลย อย่าได้คิดที่จะทิ้งฉันไปเชียว”พูดจบเธอก็เข้าจู่โจมเย่ซิวอย่างรุนแรงคำพูดอาจหาญใคร ๆ ก็พูดได้ แต่เมื่อต้องลงสนามจริง ๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สิ่งเดียวที่อลิสทำได้คือขอความเมตตา และขอร้องให้เย่ซิวปล่อยเธอเย่ซิวดูเวลาและเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มงานแล้ว เขาจึงยอมปล่อยอลิสไปดูจากสภาพของเธอ เธอคงขับรถไม่ไหว เย่ซิวจึงต้องขับเองเวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบนาที เย่ซิวมาถึงสถานที่ที่สมาคมผู้มีพลังวิเศษจัดงานปาร์ตี้มีรถหรูและรถสปอร์ตจอดเรียงรายกันอยู่ที่หน้าประตูทางเข้านอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแต่ละคนยังดูแข็งแรงและดุดันน่ากลัว จนคนทั่วไปไม่กล้ามองพวกเขาตรง ๆ ด้วยซ้ำเย่ซิวลงจากรถ ตามมาด้วยอลิสร่างกายอีกครึ่งของเธอเอนซบเย่ซิว เธอมองเขาอย่างตำหนิ “นายนี่น่ารำคาญจริง ๆ ไม่รู้จักสงสารคนอื่นบ้างเลย”เย่ซิวรู้สึกขบขันเป็นอย่างมาก “คุณเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมผมก่อนแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับมาโทษผมเนี่ยนะ”อลิสพูดไม่ออก เธอจึงหยิกแขนเขาอย่างแรงเย่ซิว “…”“อล
หยางถิงถิงเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ทีละก้าว พลางหยิบแบล็กการ์ดขึ้นมาสีหน้าเคร่งขรึมแล้วรูดไปที่เครื่องคิดเงินพีโอเอสจำนวนเงินที่แสดงคือ สองพันหกร้อยล้านบาทจากนั้นก็รูดโกลด์การ์ด สามพันเก้าร้อยล้านบาทบัตรถูกรูดทีละใบทุกครั้งที่รูดบัตร หัวใจของหยางถิงถิงก็สั่นไหวไม่รู้ว่าหยางเฟิงปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไร และเขาก็เงียบไปเมื่อเห็นยอดเงินในบัตรแต่ละใบตัวเลขที่แสดงบนบัตรใบสุดท้ายคือหนึ่งหมื่นแปดพันล้านบาทมือของหยางถิงถิงสั่น ทำเอาบัตรใบนั้นเกือบจะหล่นลงบนโต๊ะมูลค่ารวมของบัตรเจ็ดแปดใบนี้ปาไปเกือบสี่หมื่นล้านบาทแล้วเงินจำนวนมหาศาลนี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับครอบครัวของพวกเขาที่จะหามาได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ อีกทั้งพวกเขายังต้องขายทรัพย์สินจำนวนมากไปถึงจะพอเย่ซิวมองหยางถิงถิงที่มีสีหน้าไม่สู้ดี “ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญาของคุณแล้ว”หยางเฟิงไม่ได้เข้ามาห้ามถึงเวลาที่หลานสาวของเขาต้องได้รับบทเรียนแล้ว เธอจะได้เข็ดหลาบเสียทีหยางถิงถิงกำมือน้อย ๆ ทั้งสองข้างไว้แน่นด้วยนิสัยหยิ่งทระนงที่เธอเป็นมาตั้งแต่เด็ก การเรียกชายแปลกหน้าว่า ‘นายท่าน’ ต่อหน้าคนอื่น ๆ เป
หยางถิงถิงชิงตอบก่อนว่า “หนึ่งหมื่นล้านบาท ห้ามขาดแม้แต่นิดเดียว”อลิสโกรธจัด “เธอบ้าไปแล้วเหรอ เสื้อผ้าหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งหมื่นล้าน ถึงจะทำมาจากทองคำล้วนและประดับด้วยเพชรร้อยเม็ด มันก็ไม่แพงขนาดนั้นหรอก”หยางถิงถิงแค่นเสียงเย็นพลางเหล่ตามองเธอ “ราคาถูกตั้งไว้แบบนี้มาตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้ตั้งราคาสูงเกินจริงสักหน่อย ถ้าจ่ายไม่ไหวก็ถอดชุดออกซะ ยาจกเอ๊ย”เย่ซิวรู้สึกหงุดหงิดกับการยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหยางถิงถิง และพร้อมที่จะสอนบทเรียนให้กับเธอ “แล้วถ้าผมมีเงินซื้อชุดนี้ล่ะจะว่ายังไง?”หยางถิงถิงกอดอก ทุกส่วนของร่างกายเธอแสดงถึงความดูถูกเหยียดหยามเย่ซิว “ดูจากสภาพนายแล้วทั้งตัวคงจะมีเงินไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาทด้วยซ้ำ…คนธรรมดาอย่างนายจะมีเงินหนึ่งหมื่นล้านได้ยังไง”เดิมทีเธออยากจะพูดว่า ‘ไอ้ยาจก’ แต่เมื่อนึกถึงคุณปู่ที่ยังอยู่ข้าง ๆ เธอก็จำต้องเปลี่ยนคำพูดเย่ซิวยิ้มออกมา เดี๋ยวนี้ยังมีคนตัดสินว่าใครรวยหรือจนจากมูลค่าของเสื้อผ้าที่สวมใส่กันอยู่อีกหรือ “แล้วถ้าผมหาเงินมาได้ล่ะ?”“ถ้านายหาเงินหนึ่งหมื่นล้านมาได้ ฉันจะคำนับนายแล้วเรียกนายว่านายท่านสามครั้งไปเลยแต่บอกไว้ก่อนนะว่าเงินนั่นต้