เสียงกรีดร้องนี้ทำให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาในทันทีเธอมองไปที่ไป๋อวี้เจี๋ยที่ตื่นตระหนกและถามอย่างรวดเร็ว "คุณไป๋ คุณเป็นอะไร?"ไป๋อวี้เจี๋ยปิดหน้าอกของเธอแน่นแล้วพูดด้วยความโกรธมาก "เย่ซิว ไอ้คนสารเลวทำอะไรฉัน?”“เห็นได้ชัดว่ายกทรงฉันถูกถอดออกแล้ว แต่ตอนนี้มันถูกใส่กลับมาเหมือนเดิม ต้องเป็นเขาที่ฉวยโอกาสตอนที่ฉันหลับอยู่แน่!”เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอทั้งโกรธและเสียใจลู่เสวี่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี "คุณกังวลมากเกินไปแล้วค่ะ เป็นฉันที่ช่วยคุณใส่เสื้อผ้าเอง”“เขาออกจากห้องไปหลังจากฝังเข็มให้คุณเสร็จ และไม่ได้ทำอะไรที่น่ารังเกียจกับคุณเลย ฉันเอาหัวเป็นประกันได้”ไป๋อวี้เจี๋ยสงบลงเล็กน้อย "คุณพูดจริงเหรอ?"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่นจากนั้นเย่ซิวก็เดินเข้ามา เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า "พฤติกรรมของคุณทำให้ผมนึกถึงคำพูดหนึ่ง"ไป๋อวี้เจี๋ยถามว่า "คำไหน?"“ผู้หญิงมั่นหน้า”ไป๋อวี้เจี๋ยโกรธจัด "ร้สาระ!"เย่ซิวยักไหล่ ขี้เกียจจะโต้เถียงกับเธออีก จึงถามว่า "ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับร่างกายของคุณบ้าง?"ไป๋อวี้เจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จาก
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมของคุณออกด้วยวิธีนี้ ร่องรอยของเขาและลู่เสวี่ยเอ๋อร์จึงหายไป`ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากลุ่มที่เพิ่งมาถึงจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับไป๋หยูเจี๋ยได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนร่วมในการดำเนินการในระดับที่ลึกซึ้งอีกด้วยเย่ซิวมองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างที่ไป๋อวี้เจี๋ยพูดจริง ๆ ทุกอย่างที่นี่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวผู้อยู่อาศัยแต่ละคนมีพื้นที่อิสระของตนเอง และได้รับความเป็นส่วนตัวในระดับสูง รับรองว่าพวกเขาจะไม่ถูกรบกวนอย่างแน่นอนเขาแอบพยักหน้ากับตัวเองไป๋อวี้เจี๋ยพาทั้งสองคนเข้าไปในห้อง“เป็นยังไงบ้าง? คุณสองคนพอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไหมคะ?”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์มองไปรอบ ๆ “ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณไป๋ที่รับเราเข้ามาร่วมด้วยนะคะ”เย่ซิวกวาดสายตาตรวจสอบทั่วทั้งห้องอย่างละเอียดหลังจากที่ไม่พบอันตรายด้านความปลอดภัย เขาก็พูดกับลู่เสวี่ยเอ๋อร์ “คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ และอย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมให้หนักด้วย”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้ว่าเย่ซิวต้องจากไปอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่อยากแยกจากกันเลย แต่เธอก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาเตือน "คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้ด้วย"เย่ซิวลูบหัวเธอแล
ใบหน้าของเสวี่ยเหมยเคร่งขรึมขึ้น "หุบปาก ใครใช้ให้เธอหยาบคายกับคุณเย่!"คนขับอยู่กับเสวี่ยเหมยมาหลายปีแล้วและไม่เคยดุเธอเลย แต่ตอนนี้เสวี่ยเหมยกลับดุเธอเพราะเย่ซิวเธอเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้ว่าเสวี่ยเหมยมักจะดูเข้าถึงได้ง่าย แต่เมื่อเธอจริงจังเธอก็น่ากลัวมากเช่นกันเสวี่ยเหมยกดสวิตช์กระจกถูกเลื่อนขึ้นกั้นระหว่างที่นั่งคนขับกับที่นั่งด้านหลังวิธีนี้จะทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นทางด้านหลังได้หากเป็นผู้ชายคนอื่นที่มีโอกาสได้อยู่กับเสวี่ยเหมยสองต่อสองเช่นนี้ เขาคงจะตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่แล้วแต่เย่ซิวกลับมีท่าทีสงบแม้ว่าเสวี่ยเหมยจะสวยและมีเสน่ห์ แต่เธอก็ยังไม่อยู่ในระดับที่จะทำให้เย่ซิวตื่นเต้นได้เสวี่ยเหมยมองไปที่เย่ซิว ในไม่กี่วินาทีสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น “คุณเย่ คุณทานข้าวหรือยังคะ? พอดีฉันมีอาหารอยู่ กินรองท้องสักหน่อยไหมคะ?""ยังครับ" เย่ซิวตอบเบา ๆ “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าคืนนี้มีอะไรต้องทำหรือเปล่า"เสวี่ยเหมยยิ้มและกล่าวว่า "คืนนี้ บุคคลสำคัญหลายคนในเมืองหลวงจะ
ในตอนนี้เอง เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่ซิว หากเธอก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตของเธอได้ถึงคราวหาไม่มือของเย่ซิวเลื่อนลงมาที่หัวใจของเธอและหยุดอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส“ผมไม่ชอบให้ใครมาวางแผนเล่นเล่ห์ หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”เสวี่ยเหมยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ "ฉันทราบค่ะ ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"เมื่อนั้นเย่ซิวจึงดึงมือออกจากหัวใจของเธอเธอหอบหายใจแรง เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากนั้นไม่นานเธอก็สงบสติอารมณ์ลงได้ และมองไปที่เย่ซิวด้วยความคับข้องใจเธอนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสาวงามแห่งเมืองหลวงไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจ มั่งคั่ง และเผด็จการแค่ไหน พวกเขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเธอ ทั้งอ่อนโยนและสุภาพกับเธอเป็นอย่างมากพวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังกับเธอ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนสวย ๆ อย่างเธอจะมีใครที่ไหนเหมือนกับเย่ซิวที่กระทำรุนแรงเช่นนี้ และในวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เย่ซิวปฏิบัติกับเธออย่างหยายคายในขณะที่เธอเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของเธอพลันแดงก
ดวงตาของเย่ซิวจ้องมองไปที่ผู้หญิงที่ดูน่าดึงดูดมากคนหนึ่งเธอยืนอยู่ข้างชายร่างอ้วนผิวเป็นสีแทนที่ดูสุขภาพดี และเธอสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น ซึ่งเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สร้างมาอย่างดีรูปร่างเรียบง่าย ไม่ดูโอ้อวดสัดส่วนเกินไปดวงตาคมมากเหมือนเสือดาวตัวเมียตัวน้อยที่พร้อมจะจับเหยื่อได้ตลอดเวลา“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเข้าใกล้ขั้นปรมาจารย์แล้ว!”เย่ซิวรู้สึกประหลาดใจมากผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปีเหตุผลที่มองเห็นได้ก็คือระยะนี้จะปล่อยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมาแน่นอนว่า มีเพียงคนในระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่จะสัมผัสสิ่งนี้ได้ทั่วทั้งสถานที่นี้ นอกเหนือจากเย่ซิวแล้ว ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งที่สุดหลังจากที่เสวี่ยเหมยทักทายบุคคลสำคัญจากฝ่ายต่าง ๆ แล้ว เธอก็หันไปหาเย่ซิวพร้อมกับรอยยิ้ม "คุณไช่ เชิญค่ะ"ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากทีเดียว เธอรู้ว่าต้องช่วยเย่ซิวปกปิดตัวตนอย่างไรรอยยิ้มของเธอน่าดึงดูดมาก ยิ่งกว่านั้นมันอ่อนหวานยิ่งกว่าตอนที่เธอยิ้มให้คนอื่นก่อนหน้านี้อีกทันใดนั้น หลายคนรู้สึกเป็นศัตรูเล็กน้อยต่อเย่ซิวเย่ซิวพยักหน้าสถานที่จัดงานมีขนาดใหญ่มาก การตกแต่งก็อลังก
เสวี่ยเหมยพูดไม่ออกเล็กน้อย และสงสัยในใจว่า เย่ซิวไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือ?แต่ในขณะที่เธอคิดอย่างรอบคอบ เธอก็ตระหนักรู้ได้ทันทีความแข็งแกร่งของเย่ซิวนั้นทรงพลังมาก ส่วนภูมิหลังของเขานั้นยิ่งลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้บางทีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเย่ซิวอาจไม่ด้อยไปกว่าตระกูลจางเลย เหล่าคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างมองด้วยสายตาวาววับทุกคนในแวดวงต่างรู้กันดีว่า คนที่ไล่ตามจีบเสวี่ยเหมยอย่างหนักที่สุดก็คือ เย่ขวง และอีกคนหนึ่งก็คือชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้สำหรับชายหนุ่มธรรมดาที่กล้าเข้าใกล้เสวี่ยเหมยมากเกินไปจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแขนขาหัก หรือต้องทนทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวทางธุรกิจและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะดูสุภาพอ่อนโยน แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีในเวลานี้ มีคนเข้ามากระซิบบอกจางรั่วหลิงที่ข้างหูของเขาว่า เสวี่ยเหมยเป็นคนตักอาหารให้เย่ซิวด้วยตัวเองจากนั้นจางรั่วหลิงก็มองไปที่เย่ซิว "น้องชายคนนี้ดูไม่คุ้นเลย ไม่ทราบว่าเขามาจากนิกายสันโดษที่ไหน?"ในสถานที่อื่นนั้นจอมยุทธระดับสาม
อาจกล่าวได้ว่าการตบของเย่ซิวทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้าชายคนนั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการตบหน้าจางรั่วหลิงด้วยจางรั่วหลิงมองไปที่เสวี่ยเหมยและพูดอย่างใจเย็น "คราวนี้ผมทนไม่ไหวแล้วนะ ไอ้เด็กนี่ต้องตาย"ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเขา หากวันนี้ไม่ได้กำจัดเย่ซิว มันจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยอย่างแน่นอนในอนาคต ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนคงได้ถูกเยาะเย้ยเป็นแน่เสวี่ยเหมยรีบเข้าไปยืนขวางเย่ซิวอย่างรวดเร็ว "เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ไหม ยังไงแล้ว… คุณเองก็เป็นคนเริ่มก่อน"ดวงตาของจางรั่วหลิงปะทุกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น น้ำเสียงของเขาเย็นชา "นี่คุณจะต่อต้านผมเพราะเห็นแก่ไอ้เด็กนี่จริง ๆ สินะ!"ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอกจางรั่วหลิงมีจุดแข็งมากมาย แต่เขาก็มีข้อบกพร่องใหญ่ประการหนึ่งเช่นกันนั่นคือความอิจฉาริษยาอย่างหนักในสายตาของเขา พฤติกรรมของเสวี่ยเหมยนั้นเหมือนกำลังสวมเขาให้ตนด้วยความโกรธที่แผดเผาในอก น้ำเสียงของจางรั่วหลิงจึงยิ่งเย็นเยือก "ขอโทษทีนะ แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ผล หลบไป!"จากนั้นเขาก็มองไปที่เย่ซิว "ถ้านายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ ก็อย่าหลบอยู่ข
ในแวดวงวิทยายุทธ ไร้คู่ต่อสู้ คือคำที่กล่าวกันในหมู่ปรมาจารย์เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ เสวี่ยเหมยไม่มั่นใจแม้แต่น้อยเลยว่าเย่ซิวจะชนะได้จางรั่วหลิงแทบรอไม่ไหวที่จะกำจัดเย่ซิว จึงพาคนของเขาไปที่เวทีประลอง ทันทีเสวี่ยเหมยส่ายหัวและโน้มตัวกระซิบข้างหูเย่ซิว "วางใจเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ปล่อยให้คุณตายเด็ดขาด ฉันจะช่วยคุณเองค่ะ"เย่ซิวหัวเราะอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเธอคิดมากเกินไปแต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมทุกคนมายังเวทีประลอง เฟยหู่ขึ้นไปก่อนพร้อมถอดเสื้อคลุมออกกล้ามเนื้อของเขาเป็นมัด ๆ เส้นเลือดเด่นเห็นชัด ทำให้เขาดูความแข็งแกร่งและทรงพลังในทางตรงกันข้ามเย่ซิวดูผอมบางมาก ราวกับว่าเขาจะถูกคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวพวกเขาเชิญผู้ตัดสินมืออาชีพขึ้นบนเวที จากนั้นก็มีการอธิบายสั้น ๆ เล็กน้อยกฎหลักคือไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธ หรืออาวุธลับ“การประลองคู่แรก เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”พูดจบกรรมการก็ก้าวลงจากเวทีไปตุบ ตุบ! เฟยหู่กระแทกกำปั้นเข้าหากัน โค้งตัวลงเล็กน้อย ตั้งท่าโจมตี และเผยยิ้มพร้อมฟันขาวทั้งแผง“ไอ้หนู ตอนนี้แกยังมีเวลาขอความเมตตานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทุบให
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย