“ถ้าคุณบอกหมายเลขโทรศัพท์ของเขาให้กับผม ผมจะถือว่าผมติดหนี้บุญคุณของคุณ”"อะไรนะ?"ทันทีที่เย่ซิวพูดจบ ผู้หญิงทั้งสามก็มองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินโหรว เกินจริงที่สุด มองเขาด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง“คุณบ้าไปแล้ว รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา?”สตรีสูงศักดิ์เองปิดปากหัวเราะ "หนุ่มน้อยคนนี้ตลกจริง ๆ"เสวี่ยเหมยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและไม่ได้จริงจังกับมันเธอรู้จักบุคคลสำคัญนับไม่ถ้วน และถ้าจะสุ่มเลือกใครก็ตาม พวกเขาก็ล้วนอยู่ในระดับใหญ่โตทั้งสิ้นเธอไม่คิดว่าหนี้บุญคุณของเย่ซิวจะมีประโยชน์มากนักเสวี่ยเหมยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า "ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่สามารถตอบรับเงื่อนไขนี้ได้ ยิ่งไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้หมายเลขโทรศัพท์ของนายน้อยเย่แก่คุณ เชิญคุณกลับไปเถอะ"เย่ซิวถอนหายใจ "ผมมาที่นี่ด้วยความจริงใจ และหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ แต่ถ้าไม่..."จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากใช้กำลังบังคับเลยหลินโหรวยักคิ้วและเยาะเย้ย "ถ้าไม่แล้วจะยังไง คุณจะลงมือให้ได้เลยใช่ไหม!"สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นเตือน "ฉันขอแนะนำคุณว่าอย่าคิดทำอะไรจะดีกว่า ในโรสการ์เด้นมียอดฝีมือมากมาย ต่อให้มาก
"หยุดนะ ที่นี่คือ..."ผลัวะ!ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เย่ซิวก็ต่อยออกไป ซัดเขาจนลงไปกองกับพื้นเย่ซิวมาถึงที่พักของเย่ขวงอย่างรวดเร็วจากนั้นบุกเข้าไปทันทีโดยไม่รีรอชักช้า!“ระวัง! ระวัง! ศัตรูรุกล้ำเข้ามาแล้ว!”หวออออ!เสียงเตือนภัยดังไปทั่วทั้งวิลล่า!จอมยุทธจำนวนมากถูกทำให้ตื่นตระหนกจากนั้นก็มีจอมยุทธกลุ่มใหญ่เริ่มถือดาบยาวแล้วพุ่งออกมานอกจากนี้ยังมีพลธนูฝีมือดีสิบกว่าคนเล็งไปที่เย่ซิวเพียงพริบตา เขาก็ตกอยู่ในวงล้อมการเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตแบบนี้ ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์ที่มา ก็ยังต้องจ่ายด้วยราคาระดับหนึ่งถึงจะสามารถฝ่าวงล้อมไปได้“จับมัน แล้วฆ่ามันซะ!”ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนพ่อบ้านปรากฏตัวขึ้น พูดจาเข้าประเด็นในทันทีเขาไม่สนใจสักนิดว่าเย่ซิวเป็นใคร สั่งให้ทำการฆ่าเขาในทันทีตระกูลเย่แข็งแกร่งพอ และอหังการถึงขนาดนั้น!ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!ลูกธนูถูกยิงไปที่เย่ซิวจากทั่วทุกทิศ ส่งเสียงแหวกตัดกับอากาศ แถมมุมยิงก็แหลมคมอย่างมากเย่ซิวขยับร่างและเยื้องย่างราวกับมังกรและพยัคฆ์ กำลังภายในแผ่ออกไปนอกร่างกายลูกธนูทั้งหมดกระเด็นออกไปหลังจากสัมผัสกับร่างของเขาเขาคว้าดาบยาวไว้ด
จู่ ๆ เย่ซิวก็หมุนตัวกลับไปประกายแสงเย็นเยียบพุ่งมาใกล้ถึงตรงหน้าเขาแล้ว!เห็นชัดเลยว่าสองคนนี้คือตัวล่อที่จงใจปรากฏตัวออกมาเพื่อให้เขาติดกับ“ตกหลุมพรางแล้ว!”“ฮ่าฮ่า เขาตายแน่ ไม่มีทางที่เขาจะหลบการสังหารของพี่ใหญ่ในระยะใกล้ขนาดนี้ได้อย่างแน่นอน!”มือขวาของเย่ซิวเต็มไปด้วยกำลังภายในอันแข็งแกร่ง เขาจับมีดบินนั้นที่เขวี้ยงมาโจมตีเขาด้วยมือเดียว จากนั้นสะบัดมือส่งมีดนั้นกลับไปพรวด!บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก มีชายคนหนึ่งตกลงมาแล้วตายคาที่!“พี่ใหญ่!”“เป็นไปได้ยังไงกัน!”ชายทั้งสองคนจ้องเย่ซิวด้วยความโกรธมาก พวกเขาคำราม จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเย่ซิวน่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้มันไร้ผลจอมยุทธระดับห้า เป็นได้เพียงมดปลวกตัวน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ซิว!แกร็ก! แกร็ก!หลังจากจัดการกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว เย่ซิวก็ตรงเข้าไปในวิลล่าต่อหน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งหมดของวิลล่า ถูกเย่ซิวทำลายลงอย่างสิ้นเชิงเขารีบขึ้นไปที่ชั้นสาม ไปที่ห้องแรกทางฝั่งซ้ายมือโดยเร็วที่สุดปัง!ประตูถูกเตะให้เปิดออก จากนั้นสิ่งที่เขาเห็นก็ทำให้เขาโทสะปะทุขึ้นอีกลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถูกตบอีกครั้งบนใบหน้าท
เย่ขวงรู้สึกว่าตัวเองได้รับความอัปยศอย่างถึงที่สุดแล้ว ราวกับถูกคนสวมเขาไว้บนหัวเขาเป็นคนหยิ่งยโสและอวดดีอย่างมากสำหรับคนที่เขาถูกใจแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาแตะต้องทั้งนั้นดังนั้นเมื่อเขาเห็นเย่ซิวอยู่ใกล้กับผู้หญิงที่เขาชอบ เขาก็โกรธจัดราวกับถูกไฟเผาผลาญใจลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับกังวลจนอยู่นิ่งไม่ได้ เธอพูดกับเย่ขวงว่า “ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ ฉันจะยอมคุณทุกอย่าง และต่อไปจะไม่ติดต่อกับเขาอีก”สีหน้าของเย่ขวงดุร้าย "นางสารเลว แกฝันไปเถอะ มันต้องตาย ส่วนแกก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถเข็น!"“ดูเหมือนว่าแกจะลืมสถานการณ์ตอนนี้ของแกไปแล้วนะ!”เย่ซิวเดินไปหาเย่ขวง จากนั้นวางมือลงบนไหล่ของเขา“ตอนนี้ไม่ใช่แกที่จะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าฉันจะอยู่หรือไป แต่เป็นฉันต่างหากที่มีสิทธิ์ตัดสินใจจะปล่อยหรือไม่ปล่อยแกไปดี”เย่ขวงมองเขาอย่างเย็นชา "ทำไม แกคิดจะฆ่าฉันเหรอ แกกล้าพอหรือไง?!"แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในสถานะเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเขาไม่คิดว่าเย่ซิวจะกล้าพอถึงขนาดฆ่าเขาทิ้งเย่ซิวยิ้ม "ฆ่าแก นั่นมันง่ายสำหรับแกเกินไป ฉันอยากให้แกใช้ชีวิตนับจากนี้ไปด้วยความ
ไม่ถึงห้านาทีหลังจากที่ทั้งสองจากไป ผู้คนจำนวนมากก็มาถึงเมื่อเห็นความยุ่งเหยิงด้านนอกวิลล่า สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปสิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือผู้ชายผมหงอกขาวทั้งศีรษะคนหนึ่งเขาอายุราวหกสิบเจ็ดสิบ ดูทรงพลังมากจนไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เขารีบเข้าไปในวิลล่าหลังจากที่ได้เห็นเย่ขวงหมดสติไป ดวงตาของเขาก็ระเบิดแสงที่น่าสะพรึงกลัวออกมาเขานั่งยอง ๆ และตรวจร่างกายของเย่ขวงจากนั้นรีบหยิบโอสถออกมาหนึ่งเม็ดแล้วป้อนให้เขาเย่ขวงตื่นขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ได้เห็นชายชราคนนี้พรวด!เขาโกรธมากเกินไปจนกระอักเลือดก่อนที่จะพูดออกมาชายชราตบหลังเขาเบา ๆ และพูดด้วยใบหน้ามืดครึ้มเป็นอย่างยิ่ง "เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"“อาจารย์ ผมถูกไอ้เดรัจฉานลอบทำร้าย เขาทำลายเส้นลมปราณของผมทั้งหมดแล้ว!”เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองพ่ายแพ้หลังจากการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวขืนบอกไปเช่นนั้น ฉายาอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ์ในรอบทศวรรษของเขาได้มลายหายไปแน่“อีกฝ่ายหนึ่งมีภูมิหลังแบบไหน ถึงได้ลอบทำร้ายแกได้?” หัวใจของชายชราเต็มไปด้วยแรงอาฆาตเย่ขวงส่ายหัว "ตอนนี้ผมยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด แต่อา
“คุณอยาก…กับฉันเหรอ?” ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถามด้วยใบหน้าแดงก่ำเย่ซิวยิ้ม "ไม่ใช่ คุณคิดมากเกินไปแล้ว ผมกำลังทำหน้ากากหนังมนุษย์ชิ้นใหม่ให้คุณต่างหาก"“หา?” ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “หมายความว่ายังไง?”เย่ซิวอธิบายว่า “เพื่อความปลอดภัยของคุณ ผมจะให้คุณเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเอง”“ตอนนี้รูปลักษณ์คุณดูโดดเด่นมาก ไปที่ไหนก็ดึงดูดความสนใจไปทุกที่”เขาไม่สามารถอยู่กับลู่เสวี่ยเอ๋อร์ได้ตลอดเวลาการมาที่นี่ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเธอออกมาเท่านั้น แต่จุดประสงค์ที่ใหญ่กว่าก็คือการขจัดกำจัดภัยคุกคามอย่างตระกูลเย่ให้สิ้นซากงานนี้ต้องเผชิญกับอันตรายมากมายก่อนที่จะจัดการกับตระกูลเย่ เขาจำเป็นต้องกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัวเขาทั้งหมดก่อนไม่เพียงแต่ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เท่านั้น เขายังให้กองกำลังหมาป่าราตรีพาผู้หญิงคนอื่น ๆ รอบตัวเขาทั้งหมดไปยังตระกูลหลิ่วแล้วที่นั่นมีคนคอยคุ้มครอง แม้แต่ตระกูลเย่ก็ไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจเมื่อลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้ตัวว่าตนเองเข้าใจผิด จึงรู้สึกเขินอายไม่น้อยโชคดีที่เธอติดตามเย่ซิวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หน้าของเธอจึงหนาขึ้นกว่าเดิมมาก และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วไ
เสวี่ยเหมยแกว่งแก้วไวน์แดงเบา ๆ และพูดอย่างแผ่วเบาว่า "คนที่สามารถบุกเข้าไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนั้น และพาคนออกมาได้อย่างปลอดภัย เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่ระดับปรมาจารย์จะทำได้เหรอ?"บอดี้การ์ดหญิงไม่ได้สนใจ "ใครจะไปรู้ว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกหรือไม่?"อย่างไรเธอไม่ไว้วางใจกับการตัดสินใจของคุณหนูปรมาจารย์อายุสิบกว่า ยี่สิบกว่าน่ะหรือ คิดว่าเป็นการถ่ายละครหรือยังไง?เสวี่ยเหมยรู้ว่าเธอไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากถ้าเธอไม่ได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง ก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน“คุณเป็นใครมาจากไหนกันแน่?”เสวี่ยเหมยพึมพำกับตัวเองเบาจนมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยินเป็นเวลาหลายปีแล้วที่มาอยู่เมืองหลวง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอสนใจผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนี้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์อาบน้ำเสร็จและเดินออกจากห้องน้ำผิวของเธอขาวผ่องจนแทบจะเปล่งประกายทั้งเรียบเนียนและกระชับมากเธอเดินเท้าเปล่าไปตรงหน้าเย่ซิว และสวมกอดเขากลิ่นกายหอมฟุ้งลอยเข้าในจมูกคล้ายกลิ่นดอกมะลิ แต่แฝงด้วยกลิ่นน้ำนมหอมละมุน ซึ่งมันหอมมาก“เราจะทำอะไรกันต่อไป?”เย่ซิวพูดว่า "หาสถานที่ปลอดภัยปักหลักก่อน แล้วค่อยวางแผ
“คุณป่วยนะ!”ไป๋อวี้เจี๋ยแสดงสีหน้าไม่พอใจ "คุณเย่ ทำไมคุณถึงด่ากันแบบนี้?"เย่ซิวยิ้มและพูดว่า "ผมไม่ได้ด่าคุณ คุณป่วยจริง ๆ"ไป๋อวี้เจี๋ยโกรธจัดและพยายามดึงมือออกเธอแอบคิดกับตัวเองว่าเธอมองคนผิดไปเดิมทีเธอคิดว่าเย่ซิวเป็นคนที่สามารถคบค้าสมาคมได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนมักมากบ้าตัณหาคนหนึ่งเย่ซิวไม่สนใจความเข้าใจผิดของไป๋อวี้เจี๋ยแล้วพูดว่า "ตอนกลางคืนคุณนอนไม่หลับ ส่วนตอนกลางวันก็ไม่กระปรี้กระเปร่า และมักจะปวดท้องทุกครั้งที่กินของเย็นใช่หรือเปล่า?"ความโกรธบนใบหน้าของไป๋อวี้เจี๋ยหายไปและถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจอย่างมากแทน "คุณรู้ได้อย่างไรกัน? หรือว่าคุณสืบเรื่องของฉันเหรอ?"“ไม่ใช่ปน่” ก่อนที่เย่ซิวจะตอบ เธอก็ส่ายหน้าขึ้นก่อน “มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ และพวกเขาจะไม่แพร่งพรายมันออกไป”เธอคิดอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็มองเย่ซิวพร้อมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป "หรือว่าคุณยังรู้วิชาแพทย์ด้วย?"เย่ซิวพยักหน้า "ผมพอรู้บ้างนิดหน่อย คุณเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่ช่วงปีก่อน ๆ และมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล"ไป๋อวี้เจี๋ยถามอย่างรวดเร็ว "แล้วรักษาให้หายได้ไหม?"เธอปรึกษาแพทย์ชื่อดังหลายคนเกี
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย