Share

บทที่ ๔ กริ้ว

เนื่องมาจากมีเศรษฐีคนหนึ่งจ้องจะหาแม่พันธุ์มาสืบตระกูลจึงตระเวนหาคนที่เหมาะสมจนมาเจอบ้านน้องโคนม แน่นอนว่าจะมีครอบครัวไหนยอมปล่อยขายลูกตัวเองง่าย ๆ ทางนั้นที่มีอำนาจมากกว่าจึงกลั่นแกล้งทำให้ธุรกิจทางบ้านตกต่ำในที่สุดก็สามารถเอาเงินฟาดซื้อตัวน้องวัวน้อยมาอยู่ในบ้านจนได้

เขาได้ยินขณะลงพื้นที่ดูการก่อสร้างก็ฉุนจัด อยากจะโยนงานทิ้งแล้วไปเด็ดหัวไอ้หมอนั่นมันเสียตอนนี้ ทั้งบังคับข่มขู่ ทั้งกดให้จมดินอย่างหน้าไม่อาย แล้วยังมองน้องเปลวของเขาเป็นเพียงแม่พันธุ์

ในตอนนั้นเขาคิดแล้วว่าบางทีคำพยากรณ์ของบิดาอาจเป็นเรื่องโกหก หากเขาจะได้มาจริงทำไมเรื่องราวมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่ว่าพวกเขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันเหรอ

ใช่ เขาจะได้คนมีตำหนิ แต่แบบนี้มันทำร้ายเขาเกินไป มันช่างน่าเจ็บใจที่มารู้ในวันที่ทำอะไรไม่ทันแล้ว

เขาได้ที่อยู่อาศัยปัจจุบันของน้องโคนมมาอยู่ในกำมือและคิดว่าจะเดินทางไปดูให้เห็นกับตาว่าไอ้คนที่ได้ตัวน้องเปลวไปมันเป็นคนแบบไหน ถ้าเป็นไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกละก็เขาจะแย่งมาเอง

จนเมื่อมาถึงภาพที่เขาคิดเอาไว้มันกลับไม่ใช่เลย บ้านหลังนั้นมีอาณาเขตกว้างขวาง ปลูกบ้านหลังใหญ่โตมีคนรับใช้ไม่มากแต่ดูแลทุกส่วนให้สะอาดอยู่เสมอ และที่สำคัญในตอนที่เขามาน้องเปลวกำลังตั้งครรภ์...

ภูวธรรศนั่งกำพวงมาลัยอยู่ในรถมองผ่านบานกระจก การที่เขามาช้าไปเพียงก้าวเดียวส่งผลให้ตัวเองต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจแบบนี้

ผ่านรั้วไม้สีขาวทะลุเข้าไปด้านในสวนหย่อมขนาดเล็ก คนที่เขาเฝ้ามองกำลังนั่งเล่นชมบรรยากาศอยู่บนเก้าอี้สีขาวบริสุทธิ์ก้มหน้ามองท้องน้อยที่ป่องขึ้นมาพลางลูบมันอย่างแผ่วเบาในชุดผ้าเนื้อดี ไม่นานก็มีผู้ชายหูจิ้งจอกคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายจากด้านหลัง ส่งเสียงเรียกมอบรอยยิ้มให้อย่างรักใคร่ ชวนให้แม่วัวบนม้านั่งผินใบหน้าไปมอง ยกมือข้างที่สวมแหวนเงินขึ้นแตะฝ่ามือบนไหล่ตนอย่างชื่นมื่น

เมื่อนั้นเขาตัดสินใจรามือ รู้ว่ายิ่งสั่งให้ลูกน้องไปสืบ ข้อมูลเหล่านั้นจะกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง การไล่ตามดูชีวิตเจ้าน้องไปแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองปวดใจเสียเปล่า

“ต่อจากนี้ไม่ต้องตามสืบแล้ว...มีอะไรก็ไม่ต้องมารายงานฉัน”

“ครับนาย”

เขากล่าวกับลูกน้องข้างเบาะคนขับโดยที่สายตายังคงทอดมองไปยังแม่วัวน้อยที่คล้ายจะมีชีวิตสุขสงบดี หากน้องยังยิ้มได้เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง และเมื่อเห็นภาพนั้นไป ความหวังที่มีก็เริ่มริบหรี่ เขาคิดว่าตัวเองนั้นเชื่อคำคนหลงเชื่อเป็นตุเป็นตะมานานมากพอแล้ว หากยังไม่อยากมีใครต้องตาไอ้ธรรศก็จะครองโสดไปตลอดชีวิตนี่แหละ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

นับตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาหลายปีที่เขาไม่รู้สารทุกข์สุกดิบของน้องวัวน้อยในความทรงจำ ป่านนี้เจ้าตัวคงมีความสุขไปกับครอบครัวและลูกอายุราวหกขวบ บ้านหลังนั้นจากที่เห็นผ่านมาและสิ่งที่ลูกน้องเอามารายงาน ไอ้พิโดรคนนั้นค่อนข้างมีฐานะดีซึ่งเห็นว่ากำลังดำเนินงานในครัวเรือนไปได้สวย คงไม่ต้องห่วงเรื่องกินอยู่ มีเงินมากพอจะเลี้ยงดูภรรยาและลูกได้สบาย

ภูวธรรศในวัยยี่สิบหกกลับมาจากการลงพื้นที่อันแสนเหน็ดเหนื่อย จับผ้าขนหนูขึ้นซับน้ำบนผมที่พึ่งสระมาหมาด ๆ กระชับผ้านุ่งนั่งบนเก้าอี้ไม้ คว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาอ่านดูความคืบหน้าของสถานการณ์บ้านเมือง ด้วยเมื่อเช้าเกิดเหตุฉุกละหุกให้เขาต้องลงไปจัดการจึงไม่มีเวลามากพอจะอ่าน

เจ้าของเรือนรูปร่างใหญ่โตนั่งไขว่ห้างตวัดหน้ากระดาษเนื้อเหลืองบางหรี่ตาอ่าน นอกจากการเมืองอันน่าหดหู่ใจแล้วก็ยังมีข่าวกีฬา ข่าวดารานักแสดงให้พอฆ่าเวลาได้บ้าง จนมีบรรทัดหนึ่งที่สะดุดตาเขาเข้าอย่างจัง

‘เศรษฐีตกอับติดหนี้พนัน’ ด้วยบริบทที่ค่อนข้างใกล้ตัวและภาพประกอบอันคุ้นตาช่วยให้เขาจดจ่อกับมันมากกว่าเรื่องไหน ๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ เขาคุ้นเคยใบหน้าเจ้าของฉายาเศรษฐีคนนี้ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ในทันทีว่าไอ้นี่คือสามีของน้องเปลว

‘…กู้เงินธนาคาร ต่อด้วยการหยิบยืมคนรอบข้าง…’ ยิ่งอ่านเขายิ่งเป็นห่วงน้องเปลว อ่านมาจนจบก็รู้ว่าตอนนี้บ้านโอ่อ่าหลังนั้นโดนอายัด ไม่รู้ตอนนี้น้องเปลวจะนอนอยู่ที่ไหน มีหนี้หลักแสนขนาดนี้หากไม่สามารถผ่อนได้จะโดนเจ้าหนี้หรือผัวส่งไปทำอะไรก็ไม่รู้

เขาเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอันมากเมื่อรู้ว่าเจ้าน้องกับลูกเสี่ยงอันตรายทั้งทางกายและจิตใจ อาการเดิมจึงกลับมา ไม่พลาดที่เขาสั่งลูกน้องให้ตามสืบโดยเร็วและไปยื่นข้อเสนอในทันที

โดยเขาจะจ่ายหนี้ให้ทั้งหมดแลกกับการเอาลูกเมียมาขัดดอกปรนนิบัติรับใช้อยู่ในอาณาเขตระหว่างที่ตัวผัวต้องออกไปทำงานหาเงินมาจ่ายเงินที่คั่งค้างคนเดียว

แน่นอนว่าไอ้จิ้งจอกนั่นมาตกลงก้มหัวไหว้ปลก ๆ ขอบคุณแล้วให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะหาเงินมาคืนให้ครบขั้นต่ำในแต่ละเดือน แต่ลางสังหรณ์เขามันบอกว่าไอ้คนที่ชื่อกอบนี่มันมีลับลมคมในบางอย่างคอยจี้อกเขาตลอดเวลานี่สิ เนื่องจากข้อมูลที่ได้มาถูกค้นหาด้วยความรีบร้อน อาจตกหล่นไปมาก คงต้องใช้เวลาตามสืบกันอีกสักหน่อยถึงจะเจอตอ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

“เอ่อ...”

วันแรกที่ได้เห็นสองแฝดกับแม่โคนมเขาก็อยากจะพุ่งตัวเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงกระนั้นยังคงต้องรักษามาดเจ้าหนี้ผู้เคร่งขรึมเอาไว้ ทว่าดูจากท่าทีของน้องเปลวที่ส่งสายตาหวาดกลัวมาทางเขาก็รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคงลืมพี่ธรรศคนนี้ไปแล้วเป็นแน่ แม้จะน่าเสียใจอย่างไรเขาคงต้องผ่านสถานการณ์ตรงหน้าไปให้ได้เสียก่อน

สองแฝดตัวจิ๋วผอมแห้งยืนหลบเกาะชายผ้าถุงสั้นเหนือเข่าช้อนมองมายังเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คนที่ไม่เคยมีลูกอย่างเขา เมียก็ไม่เคยมี เด็กก็ไม่เคยเลี้ยงจึงทำตัวไม่ถูกยืนแข็งทื่อไม่ต่างกัน

‘นายครับ จะทำอย่างไรต่อดีครับ’

ลูกน้องคนสนิทซึ่งยืนขนาบข้างเข้ามากระซิบปลุกสติหัวหน้าที่เครื่องค้าง เพราะตัวเองก็ทำตัวไม่ถูกพอกัน การรับสุคนธ์เข้ามาท่ามกลางกลุ่มคนงานพิโดร รดา นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยเชียว ไหนจะมีเด็ก ๆ วัยเตาะแตะอีกตั้งสองคน ให้อยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์แบบนี้คงจะไม่ดีเท่าไรนัก เพราะสภาพแต่ละตัวก็หน้าโหดใช่ย่อย

‘ไอ้ม่วง เอ็งว่าเด็กจะชอบขนมแบบไหนวะ?’

‘มันใช่เวลาไหมครับนาย’

ม่วงลูกน้องควบตำแหน่งเลขานุการหัวจะปวดเป็นที่หนึ่งกับลำดับความคิดของเจ้านายตัวเอง ตั้งแต่สั่งให้ตามสืบแล้วถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่วัวคนนี้ทีไรก็มักจะสลัดความสุขุมทิ้งไม่สนอะไรทั้งนั้น

กระทั่งตอนนี้สามแม่ลูกมองพวกเขาน้ำตาคลอเบ้าสั่นกลัวกันไปหมดแล้ว ถ้าลูกพี่จะทำคะแนนหรือทำตัวเป็นคนดีอวดเขาก็ช่วยรีบคิดหาหนทางหน่อยเถอะครับ!

“เอ็งพาลูกไปกินข้าวในครัวก่อนไป เดี๋ยวฉันหาห้องนอนให้”

ม่วงปลื้มปริ่มอยู่ในอก เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมากครับนาย

ในทีแรกเขาเข้ามาทำงานนี้ในฐานะลูกน้องของคุณธรรศไป ๆ มา ๆ งานที่ให้ทำเริ่มกลายเป็นงานจิปาถะตามค่าความสนิทที่เพิ่มมากขึ้น จนตอนนี้พวกเขาเป็นเพื่อนรู้ใจกันไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงินเจ้านายภูวธรรศก็รังสรรค์ทุกอย่างออกมาได้อย่างไร้ที่ติ แต่พอเป็นเรื่องนี้ทีไรเจ้านายเขามักเหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กสิบห้าผู้อ่อนต่อโลกอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้จะเก๊กขรึมอย่างไรพวกคนงานก็มองออกอยู่ดีนั่นแหละว่าลูกพี่หลงแม่โคนมลูกสองคนนั้นหัวปักหัวปำ

โงหัวจากหลุมไม่ขึ้นจนสั่งให้คนทำความสะอาดห้องเก็บของย้ายทุกอย่างไปไว้ที่อื่นภายในครึ่งวันทั้งที่ของพวกนั้นใช่ว่าจะมีน้อย จัดแจงสั่งคนทำความสะอาดหาที่นอนซึ่งเป็นเตียงขาสิงห์โบราณอย่างดีพร้อมด้วยฟูกปูพร้อมชุดเครื่องนอนราคาแพง แต่ของพวกนั้นสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้เพราะลูกหนี้อย่างคุณแม่วัวยังไม่ไว้ใจ สุดท้ายจึงต้องเก็บพวกมันเอาไว้บนเรือนแบบเหงา ๆ ให้ฝุ่นเกาะเล่น

จะทำตัวสมเป็นเจ้าหนี้ ให้นอนห้องเก็บของเหมือนละครวิทยุแต่ไม่เนียนเลยสักนิด ถ้าแม่วัวคนนั้นไม่ทักขึ้นมาก่อนสงสัยห้องเก็บของคงได้หรูหรากว่าห้องนอนเจ้าของเรือนแล้ว

ม่วงเห็นสภาพเจ้านายตัวเองก็ละเหี่ยใจ จะจีบเขาแต่เขามีผัวแล้วแถมยังเป็นลูกหนี้ตัวเองอีก อะไรมันจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนปานนั้น

“เฮ้อ....”

ม่วงถอนหายใจออกมาในช่วงสายของวันจันทร์ ณ หลังครัวไฟเรือนเหมบำรุง เป็นหน้าที่ของเขาในการมารับแกงหรือกับข้าวหม้อใหญ่พร้อมข้าวสวยจากเรือนไปให้คนงานก่อสร้าง จากปกติจะให้เป็นเบี้ยเลี้ยงแทนแต่เพราะช่วงนี้เจ้านายธรรศสร้างโครงการอยู่ใกล้ ๆ ทำแบบนี้จึงประหยัดงบไปได้มาก ทั้งคนงานยังเลือกตักกินเยอะเท่าไรก็ได้

“ละ...ลุงม่วงจ๊ะ...มะ...มาเล่นตะกร้อกับฉันได้ไหมจ๊ะ”

เด็กชายตัวจิ๋วท่าทางขี้อายเดินกำลูกตะกร้อจักสานเข้ามาทางเขา ด้วยว่าในครั้งแรกเขาเป็นคนเสนอให้ซื้อขนมมาล่อทำคะแนน บวกกับเขามาหาทุกเช้าจึงมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กพวกนี้บ้างตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซ้ำเด็กพวกนี้ก็น่ารักน่าเอ็นดู ไม่น่าล่ะลูกพี่แกถึงได้อยากประคบประหงมนัก

“ได้สิ ไปตรงนั้นนะ ลูกจะได้ไม่กระเด็นไปลงสวน”

“จ้ะ!”

เสียงตะกร้อกระทบฝ่าเท้าส่งให้ลูกจักสานลอยขึ้นเหนือพื้นสูง เด็กน้อยที่พยายามเล่นอาจทุลักทุเลไปบ้างด้วยสรีระที่ยังไม่เอื้ออำนวยแต่ยังคงผลิยิ้มหัวเราะคิกคักไปกับกิจกรรมช่วงสาย

ทว่าม่วงกลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต ไม่สิ รังสีความริษยาแผ่มาจากหน้ากระไดเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูจึงเห็นเป็นคุณผู้ชายภูวธรรศยืนเท้าคางส่งสายตาอาฆาตแค้นมาทางเขาประหนึ่งยักษ์มาร

เจ้าของเรือนในชุดเชิ้ตดำตลอดเช้ามาคิดว่าจะทำอย่างไรในการเข้าหาเด็ก ๆ แต่ไอ้ม่วงลูกน้องที่แค่นั่งเฉย ๆ กลับถูกชวนเล่นตะกร้อเนี่ยนะ ไม่ยอม! ธรรศไม่ยอมเด็ดขาด! เขาก็อยากจะเล่นตะกร้อกับหนูเปี่ยมเหมือนกันนะ!

หรือว่าหน้าเขาจะดุเกินไป สงสัยต้องไปทำอะไรกับเจ้าแผลบากบนหน้าเสียแล้ว

“คุณธรรศจ๊ะ”

เจ้าของชื่อเปลี่ยนสีหน้าทันควันเมื่อเสียงทุ้มหวานเอ่ยเรียกมาจากด้านหลัง แน่นอนว่าเป็นน้องเปลววัวน้อยสุดน่ารัก

“มีอะไร?”

เขาทำเสียงเข้มเกินไปหรือเปล่านะ!? น้องเปลวคงไม่กลัวเขาอยู่ลึก ๆ ใช่ไหม โอ๊ย มองตาใส ๆ นั้นนึกไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“คะ...คุณธรรศไม่ชอบที่เปี่ยมเขาเล่นกับพี่ม่วงใช่ไหมจ๊ะ ฉันจะได้เตือนลูกให้ระวัง”

เปลวที่ทำความสะอาดพื้นเรือนสังเกตเห็นว่าคุณธรรศเดินออกไปยืนมองตามเสียงลูกตะกร้ออยู่หน้าเรือน กดคิ้วทำหน้าไม่พอใจบางทีคงไม่อยากให้เขาที่เข้ามาในฐานะลูกนี้ขัดดอกยุ่งกับคนของตัวเองก็เป็นได้

ว่าแล้วทันใดนั้นหน้าของคุณธรรศหลังเขาเอ่ยถามไปก็ถมึงทึงจนเขาตัวกระตุกขึ้นมา นี่เขาพูดละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า ต่อให้คุณผู้ชายไม่พอใจจริง ๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ถามใช่ไหมนะ

“ฉะ...ฉันจะรีบไปบอกลูกนะจ๊ะ ว่าห้ามเล่นกั-

“ไม่ต้อง เป็นเด็กก็ต้องเล่นออกแรงสิ แล้วก็...”

เปลวกำผ้าขี้ริ้วแน่น'แล้วก็'อะไร ถ้าคุณธรรศไม่ได้โกรธเด็ก ๆ หรือว่าจะโกรธที่เขาเข้ามาก้าวก่ายชีวิตมากเกินไปหรือเปล่านะ

“ไม่ต้องเรียกว่า ‘คุณ’ แล้ว”

“แล้ว...จะให้ฉันเรียกแทนว่าอะไรเหรอจ๊ะ?’

เปลวถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เข้าไม่รู้ใจเจ้าหนี้คนนี้เลย ไม่ทราบว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่ บางทีที่ขมวดคิ้วหน้าแดงก่ำอยู่แบบนี้อาจจะโมโหจนเลือดขึ้นหน้าแต่กำลังกดข่มมันอยู่ก็ได้ ดังนั้นเขาต้องสงบเสงี่ยมเข้าไว้

ภูวธรรศรู้สึกเหมือนตัวเองคล้ายกับเสือเด็กในอดีต จะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด และคงไม่สามารถขอเวลาทำใจกับน้องเปลวได้มากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

“พี่...”

“จ้ะ?”

“จะเรียกฉันว่าพี่เหมือนไอ้ม่วงก็ได้”

ในขณะที่แม่โคนมกำลังเป็นกังวลอยู่นั้น ในหัวของภูวธรรศกลับติดใจอยู่เพียงคำคำเดียว ‘พี่ม่วง’ ทำไมกับเขาเรียกคุณธรรศ กับไอ้ม่วงเรียกพี่ ไอ้นั่นมันได้ไปพูดคุยสนทนากับน้องวัวนมตอนไหนทำไมเขาถึงไม่รู้ ประเดี๋ยวเถอะไอ้ม่วงไอ้หนูจี๊ดเจ้าเล่ห์ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ !

ภูวธรรศเดินตึงตังมาปล่อยหูหางในห้องนอน หน้าดำหน้าแดงอยู่คนเดียว โอ๊ย! ไอ้ธรรศ!! เอ็งจะเดินหนีมาทำไมวะ! เดี๋ยวน้องเปลวเขาก็คิดว่าเอ็งไปโมโหน้องเขาหรอก!!

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status