คุณผู้ชายภูวธรรศ เหมบำรุง หลังโดนคำถามกระชากจิตจากแม่วัวไปก็ถึงกับหน้าซีดตัวสั่น มันห้ามไม่ได้เลยจริง ๆ ที่จะเผลอร้อยเรียงเรื่องราวสัปดนเป็นฉาก ๆ
สุดท้ายท่ามกลางแสงไฟสลัว กลิ่นกำยาน และสุคนธ์ตัวหอมที่นั่งเฝ้ารอคำสั่งตาแป๋วก็ต้องมานั่งนวดไหล่ให้เจ้าหนี้
ตอนนี้สวรรค์กำลังลงโทษเขาอยู่หรือไร ทำไมเขาที่เป็นคนกุมอำนาจแท้ ๆ ไฉนต้องมานั่งกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่าน ภูวธรรศในตอนนี้คล้ายคนกำลังจะจมน้ำตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งแต่ความหวังช่างริบหรี่เหลือเกิน
“ตรงนี้ได้ไหมจ๊ะ?”
“อือ...”
หนึ่งคำล้านความหมายนัก เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะสรรหาคำไหนมาบรรยายอาการปัจจุบันในตอนนี้และในอนาคตอันใกล้ ถ้าเขาปล่อยหูหางออกมาตอนนี้น้องเปลวจะมองเขาว่าประหลาดหรือเปล่า ในเมื่อเจ้าตัวจำไม่ได้ว่าตัวเขานั้นไว้ใจน้องเปลวมากแค่ไหน
ภูวธรรศขณะบ่ากำลังถูกนวด สายตาก็เหลือบมองแม่วัวนมที่สะท้อนอยู่บนกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
“ฉันถามอะไรเอ็งได้ไหม?”
“ได้สิจ๊ะ”
“ทำไมเอ็งถึงตัดผมสั้น?”
เขาจำได้แม่นว่าเมื่อก่อนน้องเปลวไว้ผมยาวแล้วก็ถักเปียเดี่ยวล
ภูวธรรศหลังจากที่มาเป็นคนเดินเก็บค่าแผงเองเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย จากวันแรกผ่านมาได้สองวันแล้วแต่กลับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งถามไถ่เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็เห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปได้เป็นอย่างดี ไม่มีอันธพาลวัยรุ่นที่ไหนมารังควานสร้างความเสียหายแก่สินค้าพวกเขาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ไปจนครบหนึ่งสัปดาห์เต็มเขาก็คิดว่าจะให้พวกลูกน้องกลับมาดูแลดังเดิมบรรยากาศตลาดในยามเช้าตรู่ของวันพุธช่างเป็นอะไรที่ครึกครื้นพอ ๆ กับห้างร้านในตัวเมืองเมื่อตกบ่าย ผู้คนแห่แหนมาซื้อวัตถุดิบไปปรุงอาหาร บ้างก็ซื้อของสำเร็จไปอุ่นทานกันง่าย ๆ ในครอบครัว เพราะเห็นว่าตอนนี้มีคนทำกิจการขายเสื้อผ้ามื้อหนึ่งมือสองกันเยอะ เขาจึงขยายพื้นที่วางเขตขายเครื่องนุ่งห่มขึ้นมาโดยเฉพาะ ผ่านมาไม่ถึงปีผลตอบรับการจับจองพื้นที่ก็ดีตามคาด ว่าแล้วก็ยืดอกภาคภูมิใจกับตนเอง เขาที่มันคนดีจริง ๆ ได้ช่วยแม่ค้าไหนจะได้เงินเข้ากระเป๋าเพิ่มเป็นของแถมอีกภูวธรรศเดินไปตามทางพร้อมมือขวาอย่างไอ้ม่วงหนูจี๊ด เห็นว่ามันช่วงนี้กำลังส่งคนตามสืบไม่รู้ได้เรื่องได้ราวไปถึงไหนแล้ว‘ไอ้ม่วง’‘ตอนนี้ยังสืบไม่ครบครับ
“มะ...แม่เปลวสวยจังเลยจ้ะ...”เด็กชายเปี่ยมเอ่ยชมมารดาด้วยใบหน้าขวยเขินขณะตัวเองกำลังเปลี่ยนชุด ชุดที่แม่ใส่เป็นชุดที่ลุงธรรศเลือกให้ซึ่งเขามองว่ามันเหมาะกับแม่เปลวมาก ๆ ปกติแม่เปลวในสายตาเขาก็สวยอยู่แล้วพอเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีขาวไล่สีท้องฟ้าแขนพองยาวเว้าไหล่เข้าคู่กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนแม่เปลวก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่!“ไม่หรอกจ้ะ ลูกก็ชมไป”แม่โคนมในชุดใหม่นั่งคุกเข่ากับพื้นช่วยลูกชายติดกระดุมเสื้อ เกี่ยวสายเอี๊ยมสีน้ำตาลอย่างเหม่อลอยก่อนจะปิดท้ายด้วยการติดหูกระต่ายสีฟ้าอ่อนกลางอก นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ใส่เสื้อมีคอปกมีแขนแบบนี้ตั้งแต่ตั้งท้องเด็ก ๆ ไหนเสื้อตัวนี้จะมีผ้าตาข่ายแล้วก็โบผูกคออีก รุ่มร่ามแบบนี้คงทำงานอะไรไม่ได้เรื่องเป็นแน่ ดีนะที่แค่ลองแล้วก็ถอดคืน“เปี่ยมจะออกไปรอข้างนอกก่อนหรือว่าจะออกไปพร้อมกับปิ่นจ๊ะ?”“ดะ...เดี๋ยวฉัน อะ...ออกไปรอข้างน้องจ้ะ”“อื้อ อย่าไปกวนคุณธรรศเขาล่ะ”“จ้ะ”ว่าแล้วก็เดินออกมาเข้าอีกห้องที่เขาบอกให้เด็กหญิงลองใส่เสื้อเอง แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ย
ภูวธรรศบอกเลขาอย่างม่วงเอาไว้ว่าหลังจบมื้อเช้าจะผละออกจากสามแม่ลูกมาทำงานทำการบ้าง เพราะเขาต้องประเมินเก็บข้อมูลส่งไอ้รุตให้ทันก่อนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ แม้จะเป็นห้างขนาดกะทัดรัดแต่ก็มีถึงสามชั้น นี่ปกติไอ้รุตมันเดินตรวจเองให้เสร็จภายในวันเดียวได้อย่างไรวะเนี่ยม่วงซึ่งส่งตัวเจ้านายไปทำงานได้เสียทีหลังคุณธรรศงอแงจะขอเดินกับคุณเปลวต่ออีกครึ่งชั่วโมง เขาที่เอือมระอาจึงหันหลังบอกคนคุ้มกันทั้งสองให้ลากพาคุณธรรศไปทำงานเสีย“ละ...ลุงม่วงจ๊ะ จะพาพวกฉันกลับบ้านใช่ไหมจ๊ะ?”“หือ? นายเขายังไม่ได้บอกเหรอว่าลุงมาทำหน้าที่อะไร”คุณลุงหนูตัวเล็กจิ๋วคลี่ยิ้มกว้าง ในเมื่อคุณธรรศไปแล้ว หน้าที่ใช้เงินปรนเปรอซื้อสิ่งของให้สามแม่ลูกจะเป็นของใครได้เล่าไม่ว่าเปล่าม่วงเดินนำสามแม่ลูกตระเวนซื้อข้าวของใช้จำเป็นอย่างเสื้อผ้าตามฤดูกาล รองเท้าใส่อยู่บ้าน/นอกบ้าน ของเล่นสำหรับคุณหนูวัยสี่ขวบ รวมไปถึงอุปกรณ์การเรียนที่เขาประสานกับคุณกุมภีร์เอาไว้แล้วว่ามีสิ่งใดจำเป็นบ้าง“พี่ม่วงจ๊ะ เรื่องนี้...คือ…”“คุณธรรศสั่งผมมาอีกทีครับว่าให้ดูแลคุณเปลว ดังนั้นถ
ถึงมีเรื่องให้ต้องคิดยาวเป็นหางว่าวแต่ภูวธรรศก็ยังคงมีความสุขได้เพียงแค่ได้เห็นน้องเปลวใส่เสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เดินไปเดินมาในเขตเรือนกรรณิการ์ใจเขาก็ลอยขึ้นสวรรค์แล้วแน่นอนว่าเขาขมวดงานที่ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานด้านนอกมาทำงานในเรือน ดังนั้นวันนี้ทั้งวันเขาจึงสามารถนั่งจิบกาแฟร้อนบนส่วนรับรองแล้วอ่านเอกสารงบประมาณการก่อสร้างได้อย่างสบายใจแม้มันจะกองเป็นพะเนินก็ตาม เพราะเมื่อวานเขาดันขออู้งานตัวเองพาน้องเปลวกับเด็ก ๆ ไปเที่ยวห้างบวกกับทำรายงานส่งให้รุต ไม่น่าเชื่อว่าแค่ขาดงานไปวันเดียวทุกอย่างจะมากองสุมกันจนมีความสูงเกือบถึงแจกัน“เฮ้อ...”ภูวธรรศละสายตาออกจากหน้ากระดาษยกมือบีบนวดขมับ ถึงบัญชีจะมาทำให้แล้วก็แต่ก็ต้องตรวจกันเหนียวเอาไว้ก่อน อย่างไรเขาก็เคยทำทุกขั้นตอนมาด้วยตัวเองมาหมด ทั้งวันนี้เขาก็สั่งให้ไอ้ม่วงมันไปคุมหน้างานแทนเสียด้วย ไม่มีผู้ช่วยที่ไว้ใจได้แบบนี้มันปวดหัวใช่ย่อยเลยเชียว“คุ...พี่ธรรศจ๊ะ ให้ฉันยกมื้อเที่ยงขึ้นมาเลยไหมจ๊ะ?”“ยัง เอ็งไปกินให้เสร็จก่อนค่อยเอาขึ้นมาให้ก็ได้”“ฉันกินเสร็จตั้งแต่เที่ยงแล้วจ้ะ”
วันนี้เป็นวันที่เปลวตื่นเต้นไม่แพ้เด็ก ๆ เพราะคุณครูจะเข้ามาสอนตอนเก้าโมงตรง และตอนนี้เจ้าสองแฝดที่กำลังนั่งเล่นรออยู่บนเตียงก็ตื่นเต้นใหญ่ พูดคุยเจื้อยแจ้วถึงคุณครูที่จะมาสอนตน ซึ่งคุณธรรศแจ้งเอาไว้ว่าอาจารย์เจ้าเป็นน้องสะใภ้ของเจ้าตัว ทั้งยังเคยทำงานเป็นพยาบาลในโรงอนามัย เห็นว่าอ่านออกเขียนได้จึงชักชวนมาสอนเด็ก ๆ“ปิ่นเปี่ยมลูก”“จ้ะ/จ้ะ?”“เรียนวันนี้ก็อย่าดื้ออย่าซนนะจ๊ะรู้ไหม แม่ต้องลงไปช่วยงานป้าจำเนียนเขา”เปลวกล่าวพลางยื่นสองมือเกี่ยวก้อย จึงเป็นที่รู้กันว่าเด็ก ๆ ต้องทำอย่างไร เมื่อนั้นนิ้วป้อมจึงเข้าเกี่ยวก้อยสัญญาพร้อมเสียงหัวเราะของแม่ลูกทีแรกเขาว่าหลังจัดการมื้อเช้าคนงานเสร็จจะขอป้าจำเนียนขึ้นมาทำงานบนเรือนเพื่อแอบดูลูกตลอดการเรียน ถึงคุณป้าอีกาจะอนุญาตแต่พอพี่ม่วงมาบอกว่าวันนี้จะมีกินเลี้ยงคนงานจึงต้องทำอาหารชุดใหญ่ เขาที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะอาสาช่วย จะให้พี่ม่วง พี่เฉลิมกับป้าทำกันสองสามคนแล้วเขาขึ้นมานั่งสบาย ๆ ได้อย่างไร*ก๊อก ก๊อก* เสียงเคาะประตูแว่วมา แม่วัวจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาก่อนจะพยักหน้ากับเ
“คุณธรรศจ๊ะ”กุมภีร์ถามในขณะกำลังใช้มือกวาดเศษกระดาษสีและขี้ยางลบมากองรวมกัน เจ้าของชื่อที่กำลังนั่งเพ่งสายตาตัดกระดาษตามเส้นวาดให้สองแฝดจึงหันหน้ามาสบตาน้องสะใภ้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“คุณธรรศดูเหมือนจะชอบคุณเปลวอยู่เลยนะจ๊ะ”“ระ...เรื่องนั้นมัน!”ตอนนี้เด็ก ๆ พากันเข้าไปหยิบตุ๊กตาออกมาเป็นแบบสำหรับวาดลงกระดาษ ผู้ใหญ่สองคนจึงได้นั่งสนทนากัน ภูวธรรศเห็นน้องสะใภ้มองออกขนาดนี้แต่ก็ไม่อยากตอบความจริงออกไป เขาไม่ได้หลอกที่จะบอกไม่ชอบน้องวัว แต่เขาอยากกันไว้เผื่อจะมีใครมาเข้าใจผิด อย่างไรน้องเปลวก็ถือว่ามีคู่แล้วในทางพฤตินัยน้องสะใภ้คนนี้แม้ต่างสายเลือดแต่ก็สนิทกับเขาและไอ้รุตไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่ง เพราะหมั้นกับไอ้สินมาตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกหรอกที่จะจับสังเกตกันได้“ฉันว่าคุณเปลวเขาเป็นแม่ที่ใส่ใจมากเลยนะจ๊ะ เด็ก ๆ ถึงได้โตมาได้เป็นอย่างดีแบบนี้”“ใช่...ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”ในตอนนั้นปากเขาขยับไปเองโดยที่ไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ยิ่งได้มารู้ตื้นลึกหนาบางผ่านประวัติ เขาคิดไม่ออกเลยว่าสุคนธ์ตัวแค่นั้นต้องใช้ความอดทนและค
“วันนี้ก็จะไปบ้านพี่เขาอีกแล้วเหรอลูก?”“จ้ะ! พอห่อเกี๊ยวทั้งหมดเสร็จแล้วฉันขอไปหาพี่ธรรศได้ไหมจ๊ะ”“ได้สิจ๊ะ อย่าไปรบกวนพี่เขาเยอะล่ะ”ลูกวัวน้อยในวัยเยาว์ยกยิ้มแก้มปริเป็นก้อนกลม หูหางกระดิกพอใจ พวกเขาย้ายมาอาศัยเช่าบ้านอยู่แถบใจกลางเมือง ทั้งยังบังเอิญได้หลังติดกับเจ้าของที่ซึ่งเป็นเศรษฐีในตอนนั้นเขาจำได้ว่าตัวเองสนิทกับแฝดชายคนโต ซึ่งไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ซ้ำในตอนแรกที่เขายังปรับตัวเข้ากับที่นี่ไม่ได้ก็เป็นพี่ชายคนนี้ซึ่งคอยนำทางหรือเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอย่างไม่ถือตัว มันช่างเป็นช่วงเวลาวัยเด็กที่หอมหวานยิ่งกว่าลูกกวาดและยังเป็นภาพที่เขาอยากจดจำมันจนโต แต่ความคิดนั้นกลับกลายมาเป็นรสชาติขมปร่าที่นึกกลับไปทีไรก็ชวนให้รู้สึกสิ้นหวังธุรกิจค้าขายอาหารของพ่อแม่กำลังไปได้ดีโดยมีเขาเป็นลูกมือคอยไปช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าทำไปทำมาจนอายุสิบห้าสิบหกก็มีใครก็ไม่รู้เข้ามาพูดคุยกับพ่อแม่ วันรุ่งขึ้นคนพวกนั้นพาเขาไปตรวจร่างกายทำอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดในขณะที่เขาไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่มีใครพูดอะไรเลย ธุรกิจที่บ้านก็คล้ายจะซบเซา มีคนปล่อยข่าวว่า
เปลวรีบขอตัวออกมาจากห้องคุณผู้ชาย หันหลังกลับดึงบานประตูปิดสนิท พยายามสูดลมหายใจเข้าออกสงบสติอารมณ์ก่อนเข้าไปเจอหน้าลูก หากไม่ทำใจมันเสียตอนนี้ วันพรุ่งอาจไข้จับขึ้นมาแล้วจะทำงานไม่ได้เอาแม่วัวค่อย ๆ แง้มเปิดห้องนอนรับแขกที่ได้รับมาอยู่ชั่วคราว เมื่อเห็นปิ่นเปี่ยมยังคงนอนหลับกันอย่างสงบเขาก็สบายใจ แม้ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วที่เขาไม่ได้หลับไปพร้อมกับเด็ก ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาอะไรให้ต้องกังวลคนเป็นแม่ค่อย ๆ ย่างเดินไปนั่งยังขอบเตียง สายตาที่ปรับสภาพในความมืดลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กน้อยในการปกครอง นิ้วมือสีน้ำผึ้งเข้าเกลี่ยปอยผมเส้นน้อยซึ่งลงมาปรกหน้าผากมนของลูกอย่างแผ่วเบา“อือ...แม่จ๋า”“แม่กลับมาแล้วจ้ะ”พอลูกชายตื่นลูกสาวก็ตื่นตาม สมกับเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ แต่พอตื่นก็คล้ายว่าจะไม่ค่อยอยากนอนต่อกันด้วยคงเพราะได้กลิ่นหอมลอยขึ้นมาจากครัวท้ายเรือน สงสัยป้าจำเนียนแกจะลงไปตระเตรียมวัตถุดิบข้ามคืนกระมัง“เด็ก ๆ นอนกันเถอะเนอะ”“ฉะ...ฉันหิวจ้ะแม่”“!!!”เปลวตกใจกับตัวเอง เมื่อเย็นหลังเขาพูดคุยกับพี่กอบก็พาเ
เฉลิม × ม่วงอีกไม่นานเด็ก ๆ ในการดูแลของเขาก็จะจบการศึกษาจากโรงเรียนประจำที่ส่งไปพระนคร โดยแต่เดิมตัวเขาเป็นเด็กที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเด็กพวกนั้นก็นับเป็นประหนึ่งน้องชายน้องสาวต่างสายเลือดที่อายุห่างจากเขาไปเยอะโข แต่อย่างไรเขาในฐานะพี่ใหญ่ก็อยากจะหาโอกาสมามอบให้เด็กเหล่านั้น ไม่ต้องให้มาตกระกำลำบากเช่นตัวเองเขาจับพลัดจับผลูจนได้มาทำงานในเครือเหมบำรุงและได้รับความช่วยเหลือจากคุณธรรศโดยการหยิบยืมเงินเพื่อส่งเด็ก ๆ ทั้งหมดเข้าโรงเรียนรวมถึงการบำรุงรักษาสถานรับเลี้ยงที่เขาเติบโตมา ส่วนคนไหนเป็นสุคนธ์ถึงเขาจะไม่สามารถจ้างครูสอนรายบุคคลได้แต่อย่างน้อยก็มีอาจารย์ช่วยกันสอนสั่งดูแลถึงสองคนต่อเด็กห้าสิบกว่าคนมันไม่เชิงว่าเขาเป็นหนี้เจ้านายอย่างคุณภูวธรรศ แต่เป็นเขาเองที่อยากให้เจ้านายหักเงินรายเดือนคืนกลับไป แม้มันจะเล็กน้อยเท่าหยิบมือแต่เขาในตอนนี้ก็คืนมันไปจนหมดแล้ว กระนั้นด้วยบุญคุณที่เจ้านายมอบให้ในตอนที่เขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ตอนที่ยังคงแต่งตัวซอมซ่อเหมือนหนูข้างถนน เขาจึงตั้งมั่นตั
วันนี้เนื่องจากเป็นวันเรียนจบของลูกเปรมซึ่งเข้าสู่วัยรุ่นอย่างเต็มตัว พ่อเสือจึงลางานละหน้าที่หนึ่งวันสำหรับพาครอบครัวมาทานมื้อค่ำในตัวเมืองซึ่งเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ นับเป็นเรื่องปกติของที่บ้านที่จะพาเด็ก ๆ มาฉลองในแต่ละช่วงเวลาสำคัญของชีวิตแม้เปรมจะเป็นสุคนธ์ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไปได้อย่างพี่เปี่ยมพี่ปิ่นแต่ก็ถือว่าเรียนจบหลักสูตรตามที่อาจารย์ซึ่งจ้างมาครบหมดแล้วตอนนี้ลูก ๆ ของเขาโตขึ้นกันเร็วเสียน่าใจหายเผลอแป๊บเดียวปิ่นเปี่ยมก็อายุสิบหกเริ่มทำงานช่วยพ่อธรรศกันแล้ว กระนั้นผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น กลายเป็นว่าปิ่นที่เคยพูดจาเจื้อยแจ้วนั้นสุขุมขึ้น แต่อย่างไรความมั่นใจในตัวเองที่พ่อธรรศมอบให้ผ่านการใช้เวลาร่วมกันก็ยังคงฝังลึก มีหลายครั้งที่ลูกสาวคนนี้แสดงมุมตลก ๆ ออกมา ในขณะเดียวกันเปี่ยมซึ่งเคยเป็นเด็กขี้อายเมื่อโตเป็นหนุ่มกลับเป็นคนแสดงออกชัดเจนพูดจาเถรตรง และมั่นใจในการพูดมากขึ้นบนโต๊ะอาหาร“เปรมกินอันนี้ไหม เดี๋ยวพี่ตักให้”“กินจ้ะ”ภาพพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวแบบนี้ช่าง
เนื่องจากปิ่นเปี่ยมก็โตขึ้นแล้ว สามีจึงเห็นว่าควรหาพื้นที่ส่วนตัวให้อย่างน้อยก็เป็นห้องนอนเล็ก ๆ ให้ฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองส่วนเปรมด้วยว่าพึ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนยังคงต้องนอนห้องเดียวกันกับพวกเขาอยู่ แต่ก็มีอยู่หลายวันเหมือนกันที่พวกเราห้าคนมานอนด้วยกัน จะนับเป็นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ในตอนนี้ปิ่นเปี่ยมขึ้นป.๒ และก็มีบางวันที่เลิกเรียนกลับมาเย็นเนื่องจากมีกิจกรรมของทางโรงเรียนเขา ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีกินเลี้ยงคนงาน ครัวจึงถูกใช้งานอย่างเต็มอัตราโดยมีพี่ม่วงพี่เฉลิมมาช่วยอย่างที่เคยเป็น กว่าจะวางมือจากตะหลิวเช็ดล้างทำความสะอาดพื้นครัวก็ปาไปเกือบหกโมง ลูก ๆ จึงอาบน้ำอาบท่าขึ้นไปทำการบ้านกันก่อนแล้ว ไหนจะได้ยินว่าง่วงเพราะเล่นกีฬามา สงสัยคงต้องขึ้นไปดูน้ำในเหยือกด้านบนเสียหน่อยว่าพอหรือเปล่า“ขอบคุณที่มาช่วยนะจ๊ะพี่ม่วง”“ผมต้องมาช่วยอยู่แล้วครับ”พี่ม่วงมอบยิ้มให้หลังพี่เฉลิมเดินมายกหม้อไปขึ้นท้ายรถ ส่วนพี่ธรรศตอนนี้พึ่งกลับมาจากการออกไปสะสางเรื่องหนี้กับผัวเมียสองคนนั้นนิดหน่อย จะว่าไปหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นหน้าพี่กอบกับคุณ
เนื่องจากเขาสนิทกับพี่ม่วงเป็นทุนเดิมเพราะคุยกันถูกคอถึงเรื่องเด็ก ๆ ที่ได้โอกาสและเงินสนับสนุนจากพี่ธรรศให้ไปเรียนไกลถึงพระนครซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่นั่นการศึกษายอดเยี่ยมแค่ไหน จนตอนนี้เด็ก ๆ เหล่านั้นก็กลับมาช่วยงานของสามีภายใต้การดูแลของพี่ม่วงพี่หนูตัวเล็กเคยเล่าว่าเด็ก ๆ ตัวสูงกันมาก ซึ่งพอได้มาทำงานร่วมกันเขาจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเด็กพวกนั้นก็เป็นที่น่าเอ็นดู รับฟังคำแนะนำ ไหนจะขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้จนมีหลายครั้งที่หากกำไรงาม เขามักจะปันส่วนให้เด็ก ๆ เอาไปกินเลี้ยงหรือไม่ก็เก็บหยอดกระปุกเผื่ออยากจะเอาไปต่อยอดสานฝันเขาอยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจึงเก็บหอมรอมริบเงินเดือนในสมัยที่ยังทำงานประหนึ่งคนใช้ในช่วงเป็นหนี้มาซื้ออุปกรณ์ทำอาหาร และเอาเงินไปจ่ายค่าแผงของพี่ธรรศที่แม้ในเริ่มแรกเจ้าตัวจะอิดออดขอไม่รับแต่เขาก็บอกจุดประสงค์ชัดเจน จนในที่สุดเจ้าพี่ก็ยอมให้กันในช่วงแรกนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แม้มีชะงักไปบ้างเพราะมันคาบเกี่ยวตอนตั้งท้องน้องเปรมแต่สุดท้ายเขาก็พาตัวเองมาขายได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะพี่ธรรศเอาบทบาทสามีภรรยา
“ใต้ท้องทะเลอุดมไปด้วยชาวเมืองปลา...”ย้อนกลับไปในระยะเวลาก่อนที่เขาจะแต่งงาน มันเป็นช่วงที่กุมภีร์กำลังสอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือโดยเริ่มจากการเรียนตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ตามมาด้วยการคัดลายมือ และการฝึกอ่านต่าง ๆ โดยนอกจากแบบเรียนแล้ว ก็มีหนังสือภาพหนังสือนิทานที่ชักจูงความสนใจของสองแฝดได้เพราะมีภาพประกอบสวยงามคนเป็นแม่อย่างเปลวเมื่อลูก ๆ หยิบหนังสือมาให้อ่านก่อนนอนมีหรือจะปฏิเสธ ทั้งพี่ธรรศก็ให้การสนับสนุนการเรียนการสอน ออกไปตระเวนหาซื้อหนังสือนิทานมาตั้งไว้สูงชะลูด ไม่รู้ว่าจะอ่านพวกมันจบก่อนเด็กน้อยโตเลยวัยหรือเปล่าในทุกคืนสองแฝดจะทำข้อตกลงเลือกหนังสือนิทานเล่มใหม่หรือเล่มเดิมที่สนใจวิ่งดุ๊ก ๆ เอามาให้แม่วัวอ่าน ยอมรับเลยว่าช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับลูกในทุกคืนแม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวันแต่มันช่างมอบความสุขให้เขามากมายเหลือเกิน และวันนี้เด็ก ๆ ก็เลือกหนังสือนิทานเรื่อง ‘พระราชาใต้มหาสมุทร’ มาให้เขาอ่าน คงเพราะมีหน้าปกวาดแต่งแต้มสีฟ้าสดใสพร้อมเหล่าสัตว์ทะเลหน้าตาแปลก ๆ เต็มไปหมด อ่านไปเรื่อย ๆ เรื่องราวจะกล่าวถึงพระราชาที่เคยสั่งงานทุกค
ในขณะที่พี่ธรรศช่วงนี้ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาสามวัน เขาในฐานะที่ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องทำงานบ้านงานเรือน ทั้งเดี๋ยวนี้พี่ธรรศก็มักจะไหว้วานเขาให้ตรวจสอบบัญชีไปก่อนระหว่างรอรับสมัครพนักงานคนใหม่เข้ามา เป็นงานที่หนักเอาการเพราะระหว่างวันเขาต้องคอยดูแลเด็ก ๆ โดยเฉพาะเจ้าเปรมที่ร้องไห้งอแงอยู่แทบจะตลอด บางครั้งก็ร้อนเกิน หนาวเกิน ขับถ่าย หิวข้าว หิวนม แม้จะพยายามทำอาหารรสอ่อนให้ทานแต่ลูกชายคนนี้จนอายุได้สองขวบปีก็ยังต้องเอามาเข้าเต้าบ้างเปลวคิดจะให้ลูกเสือตัวน้อยหัดกินผักตั้งแต่เด็กจะได้ทานอะไรได้หลากหลายเหมือนพี่ ๆ คิดสะระตะไปมาตอนนี้ก็นอนหลับปุ๋ยกันไปหมดสามคน ในที่สุดความวุ่นวายในวันหยุดก็เพลาลงเสียทีคนเป็นแม่อย่างเปลวจึงได้เวลาหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยง แล้วจึงรีบมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงประจำเดือนยังห้องพ่อแม่ เขาในตอนนี้ไว้ผมยาวลงมาจนสามารถถักเป็นเปียได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทีแรกด้วยความไม่ชินจึงมีความคิดที่จะตัดสั้นดังเดิม ทว่าก็ทำได้แค่คิดเพราะงานอะไรล้วนยุ่งไปหมด อยู่ไปอยู่มาก็ชินเสียแล้ว*แกร๊ก* เสียงกลอนประตูเปิดออก เปลวที่กำลังวุ่นอย
ผ่านมาหนึ่งปีถ้วนนับตั้งแต่คืนวันแต่งงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่ธรรศพาเขาไปพบสูติแพทย์อยู่เป็นประจำตามกำหนด หาหยูกยาบำรุงตามคำหมอมาต้มให้เขาดื่มทุกคืนก่อนนอน ไหนจะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เต็มตาเต็มโต๊ะยิ่งกว่าเก่า เขาที่ท้องสามแล้วจึงพอมีความคุ้นชินอยู่บ้าง และทราบว่าคนท้องพอทำอะไรเองได้ กระนั้นประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขากลับใช้ไม่ได้กับพี่ธรรศเจ้าตัวหวงเขาหนักหนา จากที่เขาตั้งใจว่าจะลงเรือนไปกินข้าวในครัว ไม่ต้องให้ใครเดินขึ้นเดินลงเพื่อเก็บจานของคนเพียงคนเดียวแต่พี่ธรรศขอปฏิเสธ เป็นคนอาสาเดินหยิบมื้อเช้ากลางวันเย็นกระทั่งขนมมื้อดึกขึ้นมาให้ทุกวี่ทุกวันและการที่ทำเช่นนั้นได้แปลว่าพี่ธรรศต้องแบกงานกระทั่งพาลูกค้ามาคุยที่เรือน เขาเคยพูดคุยขำ ๆ กับเรื่องนี้กับคุณเลขานุการอย่างพี่ม่วง อีกคนก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เพราะต้องวางตารางใหม่ทั้งหมดข้ามวันข้ามคืนแทบไม่ได้นอน เขาจึงดุพี่ธรรศไปหนึ่งรอบจนต่อรองกันว่าจะไม่ฝืนธรรมชาติ ออกไปทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะเป็นครั้งคราวคิดถึงอดีตที่ผ่านมาร่วมหลายเดือนก็กลั้วหัวเราะ อย่างไรเขาก็ไม่ได้มองนิสัยนี้ของพี่ธรรศไปในทาง
กลิ่นหอมสดชื่นของพานพุ่มใบตองโชยมาจากท้ายขบวน เสียงพูดคุยของเหล่าเครือญาติและมิตรสหายแว่วมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดีปรีดา เหล่าพานมงคลไล่เรียงขึ้นมามีผลไม้ ขนม สินสอด และแหวนฝังเพชรเม็ดงามสองวงตั้งเด่นบนพานดอกไม้ใบน้อย เป็นสองแฝดน้องชายผู้ถือพานต้นกล้วยลอบมองเจ้าบ่าวในชุดผ้าไทยซึ่งระริกระรี้เป็นพิเศษภูวธรรศยิ้มแก้มแทบปริ กำพานธูปเทียนแพรแน่นขนัด ตระเตรียมขบวนในการเดินไปหาน้องเปลวบนเรือนกรรณิการ์ ทั้งที่คิดว่าใกล้วันงานจะได้นอนพูดคุยกับน้องเปลวเสียอีกแต่ไม่เลย เพราะแม่ดันบอกว่าพวกเขาต้องนอนแยกห้องกันไม่แค่ ๑ วัน ๓ วันแต่นานถึง ๗ วัน! น้องเปลวขั้นต่ำก่อนแต่งมานอนกับเขาสัปดาห์ละสองหนเชียวนะแม่นอกจากห้ามนอนด้วยกันในขั้นตอนลองชุด หรือลองเครื่องประดับก็ห้ามมอง ยิ่งทำกงการอะไรสองต่อสองยิ่งไม่ได้เลยเชียว เขาคิดถึงใจจะขาดอยู่แล้วขณะภูวธรรศกำลังใคร่ครวญถึงแม่วัวอยู่นั้นเองเสียงกู่ร้องก็ดังขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นตามด้วยเสียงกลองฉิ่งฉาบกรับฆ้องเป็นสัญญาณการเริ่มเดินขบวน พวกลูกน้องของเขาที่ได้วันหยุดมาหนึ่งวันก็คล้ายเป็นวันปล่อยผี เต้นกันไม่เกรงใจเจ้าบ่าวหน้าขบว
“อึก! อืออ...”ฝ่ามือสีน้ำผึ้งกำแน่นอยู่บนลาดไหล่กว้าง ส่งเสียงร้องครางอยู่ข้างใบหูพ่อเสือเมื่อสะโพกอวบกำลังถูกกดลงต่ำสวนทางกับแก่นกายยักษ์เต้นตุบที่เข้าปากทางย้อนขึ้นมากระทุ้งผนังอ่อนชวนให้รู้สึกจุกเสียว“เอ็ง...อึก...รัดแน่นเกินไปแล้ว”“อ๊ะ! พี่ อื้อ!”ภูวธรรศกัดฟันชะลอแรงเกรงว่าจะทำน้องเปลวเจ็บ กระนั้นภาพที่ฉายบนดวงตากลับเร่งเร้าเขาเสียอย่างนั้น แม่วัวหรี่ตามองน้ำตาคลอเบ้าขมวดคิ้วมุ่นพร้อมหน้าแก้มขึ้นริ้วแดงชวนมอง ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวคมเขี้ยวที่คันมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่วายเข้าไปขบเม้มหน้าแก้มกลมกลึงเปลวด้วยความตกใจจึงตัวกระตุกกดสะโพกลงไปจนสุดโคน ปลายป้านกระแทกเข้าผนังอ่อนชนต่อมน้ำคาวอย่างจังจนส่วนหน้าเผลอเสร็จสมอย่างเป็นไปเอง แม่วัวหอบหายใจหนักก่อนจะขอเปลี่ยนแขนไปคล้องลำคอหนาบดเบียดอกอวบอ้อนขอรสจูบปลอบประโลมอีกครั้ง“อือ...”กลิ่นไม้กฤษณาตลบอบอวลอยู่ในโพรงจมูก มันไม่ได้ชวนอึดอัดจนหายใจไม่ออกหรืออยากจะถอนเรียวลิ้นออกเลยแม้แต่น้อย กลับหอมอย่างเข้มขลังดึงดูดให้เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อย่างแยบยล“เอ็งยังเจ็บอยู่ร