ภูวธรรศเปลี่ยนลูกข่างไปจนครบ เหวี่ยงเชือกแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแต่น้องวัวน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อเลยสักนิด ยิ่งเป็นลูกข่างซึ่งวาดลวดลายสีสันยิ่งจ้องมองไม่วางตา เขาจำได้ว่าตัวเองเล่นแป๊บ ๆ ก็เบื่อแต่ไม่ใช่กับน้องเปลวเลย
บ้านของโคน้อยย้ายมาจากต่างจังหวัด เข้ามาเช่าหนึ่งในบ้านหลังที่เขาเป็นเจ้าของ บ้านหลังนั้นไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป พอดีกับขนาดครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก จากการแต่งตัวน่าจะพึ่งมาเริ่มมีฐานะเมื่อไม่นานมานี้ จากการถามน้องเปลว น้องเจ้าเล่าว่าเมื่อก่อนปลูกกระท่อมทำเถียงนาอยู่กันเล็ก ๆ จนเมื่อมีคนมาขอซื้อที่ด้วยจำนวนเงินมากมายมหาศาลบ้านน้องเปลวจึงคิดย้ายเข้ามาเริ่มต้นใหม่ในตัวเมืองเหนือซึ่งเส้นทางก็ไปได้ดีไม่มีติดขัด
“วันนี้น้องขอไปเล่นบ้านที่ธรรศได้ไหมจ๊ะ?”
“ได้สิ แต่แม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”
ส่วนที่เขาเล่นอยู่ประจำคือลานดินหน้าบ้านน้องเปลว หากจะไปบ้านคนอื่นต้องขอผู้ใหญ่เสียก่อน แต่มาขอปุบปับแบบนี้ไม่รู้มารดาจะอนุญาตหรือไม่ยิ่งเป็นสุคนธ์เสียด้วย
“ฉันขอแม่ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะจ๊ะ”
“แบบนี้น่าจะบอกพี่แต่แรกสิ จะได้พาไปนั่งกินขนม ตากพัดลมเย็น ๆ”
“น้องอยากเล่นข้างนอกก่อน มันปลอดโปร่งดีจ้ะ”
ภูวธรรศในวัยเยาว์มองน้องวัวน้อยลุกขึ้นเดินตามหางสีขาวขนฟูมาติด ๆ ยิ่งมองยิ่งหลงโดยเฉพาะตากลมแป๋วนั่นที่จ้องนาน ๆ ไม่เคยได้เลยสักครั้ง
“เอ็งชอบที่กว้าง ๆ เหรอ?”
“จ้ะ บางครั้งฉันก็คิดถึงบ้านเก่า”
ธรรศคิดตาม น้องเปลวที่เคยชินกับการได้วิ่งเล่นในทุ่งนาโล่งกว้างคงจะรู้สึกอึดอัดน่าดูเมื่อต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในศูนย์กลางจังหวัดที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางคับแคบ
หากเป็นไปได้สักวันเขาอยากจะพาเจ้าตัวไปเที่ยวหรือไม่ก็หาที่ดินผืนกว้างสักผืนปลูกเรือนท่ามกลางทุ่งดอกไม้ให้เป็นของขวัญแก่ว่าที่คู่ชีวิตในอนาคต
“แม่จ้ะ น้องเปลวมาเล่นที่บ้านนะ”
“ตายจริง เราไปนั่งรอที่ระเบียงได้เลยนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ยกเอาของว่างไปให้”
แม่บ้านหูกระต่ายตกใจที่จู่ ๆ เด็กน้อยก็มา เขายังไม่ทันได้เตรียมอะไรรอเอาไว้เลย รู้แบบนี้เมื่อเช้าน่าจะฝากพ่อออกไปซื้อขนมถาดมาสักหน่อย
“รุตกับสินก็ไปเล่นกับน้องเขาด้วยสิลูก”
“ไม่ล่ะจ้ะ ฉันว่าจะไปตำหนักพ่อ”
“ฉันก็จะไปด้วยคนจ้ะ!”
ที่สองหนุ่มไม่ไปเล่นกับน้องเปลวไม่ใช่อะไร เพราะไอ้ธรรศมันไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามกับคู่มันแม้แต่พี่น้องน่ะสิ น้องเปลวก็นิสัยน่ารักจิตใจอ้อมอารีแท้ ๆ จะขอนั่งเล่นคุยด้วยไม่ได้เลยหรืออย่างไร เฮ้อ...ขี้งก
คุณแม่เดือนหูกระต่ายในผ้ากันเปื้อนมองลูกสองคนจูงมือพากันเดินไปตำหนักพ่อก็ถอนหายใจ เด็ก ๆ คิดเป็นจริงเป็นจังเรื่องคู่ครองตั้งแต่ยังอายุเลขหนึ่งแบบนี้มันดีแล้วหรือ แต่พี่ภาสก็บอกว่าลูก ๆ จะได้มีเวลาเตรียมใจ เขาก็กังวลว่าไอ้ตระเตรียมใจที่ว่านั่นจะมันจะหนักหนาสักแค่ไหนกันเชียว
“แม่ออกไปซื้อขนมไม่ทัน ทานผลไม้ไปก่อนนะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากเลยจ้ะ”
เสียงน้องโคน้อยกล่าวขอบคุณเป็นที่ชื่นใจของมารดากระต่ายป่า เขามองแล้วก็แสนจะเอ็นดูถ้ามีเด็กน่ารักแบบนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านบรรยากาศคงอบอวลฟูฟ่องใช่ย่อย
ภูวธรรศมองน้องกินแตงโมแก้มพองเป็นก้อนกลมก็พึงพอใจ เขาอยากจะพูดออกไปว่าเราคือคู่กันแต่ยังทำไม่ได้ตามคำสั่งพ่อที่ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลอง การรู้ก่อนไม่ได้แปลว่าจะเข้าไปแทรกแซงได้ แต่ถ้าแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“เปลว”
“จ้ะ?”
“ถ้าพี่...อยากจะขอ...หมายถึง...เอ่อ...”
ธรรศคิดว่าทำไมสิ่งที่อยู่ในหัวคิดวนมาเป็นร้อยรอบพันรอบมันถึงพูดออกมายากขนาดนี้กันนะ หรือการที่เขากล่าวออกมาแบบนี้จะดีจริงหรือเปล่า
เปลวผินหน้ามาสบตามองพี่ธรรศที่ใบหน้าดูจะขึ้นเป็นริ้วแดงประกอบกับหูหางที่ลู่ไปด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าพี่ธรรศจะขออะไร แต่ถ้าเขาทำได้ก็ยินดีจะช่วยเหลือ
วัวน้อยยังคงจดจ้องพี่ชายเสือดาวหิมะ เขาตั้งแต่มาที่นี่ก็มีพี่ชายเสือคอยเป็นเพื่อนเล่นรวมไปถึงเป็นที่ปรึกษา เพราะเป็นสุคนธ์จึงไม่สามารถออกไปร่ำเรียนในโรงเรียนได้อย่างใครเขา ต้องเรียนทุกอย่างอยู่ที่บ้านโดยมีครูเข้ามาสอนตั้งแต่เรื่องในตำรารวมไปถึงเรื่องในครัวเรือน งานเย็บปักถักร้อยกรองมาลัย และพี่ธรรศก็มักจะเอาเรื่องสนุก ๆ จากที่โรงเรียนมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
จนจากความรู้สึกสนิทอย่างพี่น้องเริ่มกลายเป็นอย่างอื่นที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน เพียงแค่อย่างอยู่ด้วยกัน อยากฟังเสียงพูดไปเรื่อย ๆ หรือบางทีก็อยากเข้าไปใกล้ชิดมากกว่านี้
“พี่คือ...อีกสามปีข้างหน้า...”
หางขนขาวฟูตวัดมาอยู่ข้างหน้า โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้รู้ตัวปลายหางมันกลับไปวางอยู่บนตักน้องวัวน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสียอย่างนั้น
“พี่ธรรศจ๊ะ”
เจ้าของชื่อในตอนนี้สั่นเกร็งเกินกว่าจะเอ่ยปากพูด เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวมันน่าเขินอายเกินกว่าจะพูดออกมา ไหนจะหางเจ้ากรรมที่ดันยาวเหยียดจนมันส่ายไปวางบนผ้าถุงสั้นอย่างเป็นไปเอง ซ้ำยิ่งมีอาการตื่นตระหนกขนเขินอะไรล้วนพองฟูขึ้นกว่าเก่า
“ฉันขอลองจับได้ไหมจ๊ะ?”
“ดะ...ได้สิ”
เอาเป็นว่าธรรศในตอนนี้ขอพักในการพูดคำคำนั้นออกไปก่อน แล้วมาตั้งใจควบคุมหางไม่ให้มันกระดิกส่ายไปมากกว่านี้จะดีกว่า
ฝ่ามือสีน้ำผึ้งนุ่มนิ่มจับสัมผัสหางขนฟูอย่างแผ่วเบาก่อนจะตาลุกวาวเมื่ออุ้งมือจมลงไปกับขนยาวสีขาว มือเล็ก ๆ คู่นั่นละเมียดเกลี่ยขนอย่างเพลิดเพลิน ธรรศที่มองน้องวัวน้อยตาเป็นมันยิ่งใจสั่น คนเราจะน่ารักก็ให้มันมีขีดจำกัดบ้างสิ
เขาปล่อยให้หางตนเองอยู่บนตักนั้นตลอดช่วงเที่ยงจนตกบ่าย กินมื้อเที่ยงสนทนาเล่นกันบนโต๊ะเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย ต่อให้จะลุกไปเข้าห้องน้ำเมื่อกลับมาเขาก็เลือกจะวางหางเอาไว้บนตักน้องอยู่ดี ไม่ใช่แค่เห็นว่าวัวน้อยชอบแต่เขาก็ชอบไม่ต่างกัน
“เปลว”
มาจนตกเย็นตอนนี้เขาว่าตัวเองรวบรวมความกล้ามาได้มากพอจะสารภาพออกไปแล้วล่ะ
“จ้ะพี่?”
เปลวเงยหน้าขึ้นมามองเพราะตอนนี้พวกเขาย้ายเข้ามานั่งในบ้านกันสองคนเพราะแดดบ่ายส่องโดนระเบียง
“พี่รักเอ็ง”
ธรรศพูดมันออกไปได้แล้ว แต่ผลของมันคือไอร้อนผ่าวบนหน้าที่ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาเดาได้เลยว่าภาพที่ออกมาคงจะตลกมากเป็นแน่จึงก้มหน้างุด ๆ หลบเลี่ยงการมอง
เปลวที่ได้ยินคำนั้นเข้าไปก็ตกใจใบหูกระตุก หันหน้าหนีไม่ต่างกัน เขาไม่คิดเป็นจริงเป็นจังมาก่อนว่าพี่ธรรศจะมาชอบคนบ้านนอกคอกนาอย่างเขา แม่เองก็บอกกับปากว่าบ้านเหมบำรุงที่เขามาเช่าที่อยู่นั้นรวยล้นฟ้า เขาจึงคิดไปว่าหากคนอย่างพี่ธรรศจะหาคู่ครองสักคนคงต้องเป็นคนระดับเดียวกันเป็นแน่...แต่...กับเขาน่ะเหรอ
“เอ็งไม่ต้องกังวล พี่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
“พี่หมายถึง...”
เปลวยังคงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ด้วยความตกใจ เขาจินตนาการไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร
“ถ้าเอ็งอายุถึงเมื่อไหร่ พี่จะไปขอนะ”
มันเป็นคำสัญญาที่เปลวในวัยเด็กไม่รู้แน่ชัดว่ามันหนักแน่นเพียงใด พี่ชายที่โตกว่าถึงสี่ปีมาพูดให้คำมั่นแบบนี้ หากเขาโตพอและอยู่ในวัยเดียวกันจะรู้ถึงความลึกซึ้งของมันมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่นะ
“จ้ะ ฉันจะรอนะจ๊ะ”
ในวันนั้นน้องวัวน้อยยิ้มแย้มแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อชวนน่ารักก่อนที่เขาจะอาสาเดินไปส่งเพราะมันเริ่มเย็นแล้ว
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าการกระทำนั้นมันจะย้อนกลับมาแทงตัวเอง เมื่อจู่ ๆ เขากลับถูกโชคชะตาเล่นตลก ไม่กี่เดือนต่อมาข้างบ้านเขาไร้ซึ่งคนอาศัยอยู่พร้อมป้ายประกาศเช่าที่ถูกนำกลับมาตั้งไว้ตามเดิม
*ตึง! ตึง! ตึง! ปึง!* เสียงเดินขึ้นบันไดตึงตังไล่มาตั้งแต่หน้าบันไดจนเปิดประตูบ้านเข้ามา ภูวธรรศในชุดนักเรียนซึ่งได้ไปเห็นป้ายปล่อยเช่าข้างบ้านมาหมาด ๆ อารมณ์ฉุนเฉียวเดินไปทิ้งตัวนั่ง ณ โต๊ะทานข้าวข้างผู้เป็นบิดา
“พ่อรู้อยู่แล้วใช่ไหม?”
“พ่อพูดทุกอย่างที่รู้ไม่ได้”
“อย่างน้อยก็ใบ้มาหน่อยก็ได้นี่!”
ตอนนี้เขาโกรธมากแต่จะไปลงกับใครมากก็ไม่ได้อีก มันช่างน่าโมโหที่จู่ ๆ เจ้าน้องก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วเขากว่าจะตามหา ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอ นานแค่ไหนกว่าเขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีเงินจ้างนักสืบเอง อย่างไรหากจะยืมบิดาคงไม่ยอมให้หรอก
“พ่อก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเอ็งจะได้คนมีตำหนิ
เอ็งนั่นแหละคิดยังไงไปสัญญาเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ”ธรรศไม่มีคำจะโต้เถียง มันเป็นที่รู้กันดีว่าที่พ่อบอกพวกเขาล่วงหน้าแบบนี้คือให้เวลาทำใจถึงอนาคตที่ไม่ได้เป็นดั่งใจ รวมไปถึงเรื่องราวกะทันหันแบบนี้ด้วยเช่นกัน
“เอ็งไม่ต้องกลัว สุดท้ายสิ่งที่สมควรเป็นของเอ็งจะกลับมาโดยที่เอ็งไม่ต้องพยายามอะไรให้เปลืองแรง”
“...”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แน่นอนว่าคนอย่างภูวธรรศไม่มีวันตัดใจง่าย ๆ อย่างไรสิ่งที่พ่อพูดมันก็เป็นเพียงคำพยากรณ์ แม้มันจะจริงทุกครั้งแต่โอกาสพลาดใช่ว่าจะไม่มี
เมื่ออายุย่างยี่สิบซึ่งเขาได้รับสืบทอดมรดกและลูกน้องจำนวนหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำคือการส่งคนออกตามหาตัวน้องเปลว ไม่ว่าใครที่มองมาก็คงคิดว่าการกระทำของเขามันไร้สาระ เลือกทุ่มเททั้งกายใจไปกับสิ่งที่หาความเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างความรักมันช่างโง่เขลาสิ้นดี แต่แล้วอย่างไร นี่มันชีวิตเขา หากที่ลงทุนลงแรงไปมันจะไม่ได้อะไรกลับมาเขาก็พร้อมยอมรับมัน
ภูวธรรศวัยแตกเนื้อหนุ่มสวมแว่นกันแดดลงมาจากเบาะคนขับเดินตรงเข้าไปยังอาณาเขตก่อสร้างห้างร้านของไอ้รุตซึ่งยืนหน้าแป้นแล้นอยู่ข้าง ๆ ดูท่าจะตื่นเต้นมากกับการลงทุนครั้งแรก
“เอ็งถือช่อดอกไม้มาทำไม?”
“จะเอาไปให้พี่ชาติ”
“กูได้ยินคนในนั้นพูดกันว่าเขาไม่ชอบดอกไม้นะ”
“แต่เมื่อวานเขาบอกกับกูเองเลยนะว่าชอบ”
“เอ็งโดนต้มแล้ว”
ไอ้รุตหน้าหมองในทันควันกับช่อดอกเบญจมาศสีขาวที่เหี่ยวหดตามอารมณ์คนถือ ผ่านมาจนถึงตอนนี้อีกสองคนเจอคู่ตัวเองหมดแล้วแต่ไอ้เขาที่จำหน้า จำน้ำเสียงได้แม่นกลับยังหาข่าวคราวไม่เจอ ไม่รู้ว่าย้ายไปไหนไกลหรือนั่งเรือออกนอกประเทศไปแล้วหรือเปล่า
เขารู้สึกขุ่นเคือง เขาแก้อะไรไม่ได้เลยเหรอ หรือต่อให้หาเจอก็ใช่ว่าเขาจะสามารถเข้าไปก้าวก่ายชีวิตได้มากมายนัก แต่เขาคิดจริง ๆ ว่าตัวเองอาจจะอดทนรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ บางทีเขาก็อยากลองฝืนชะตา เมื่อใดที่รู้ว่าน้องเปลวอยู่ไหนเขาจะรีบรุดหน้าไปหาทันที
“นายครับ”
“มีอะไร?”
ภูวธรรศซึ่งยืนมองอาคารก่อสร้างหันลงไปมองลูกน้องหูหนูที่เดินเข้ามาทักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงกระซิบแผ่วเบาท่ามกลางความวุ่นวายของคนงานกรรมกร ทว่าเมื่อแรกเสียงนั้นเข้าสู่โสตประสาทคล้ายว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่งไป
เขาคิดเพียงว่าน้องเปลวย้ายออกไปด้วยเหตุบางประการ อาจเป็นเรื่องการเงินหรือเหตุผลส่วนตัวแต่ไม่คิดถึงขั้นนี้
แต่คนที่สมควรมายืนอยู่ข้างกายเขากลับถูกขายให้บ้านอื่นไปแล้ว
เนื่องมาจากมีเศรษฐีคนหนึ่งจ้องจะหาแม่พันธุ์มาสืบตระกูลจึงตระเวนหาคนที่เหมาะสมจนมาเจอบ้านน้องโคนม แน่นอนว่าจะมีครอบครัวไหนยอมปล่อยขายลูกตัวเองง่าย ๆ ทางนั้นที่มีอำนาจมากกว่าจึงกลั่นแกล้งทำให้ธุรกิจทางบ้านตกต่ำในที่สุดก็สามารถเอาเงินฟาดซื้อตัวน้องวัวน้อยมาอยู่ในบ้านจนได้เขาได้ยินขณะลงพื้นที่ดูการก่อสร้างก็ฉุนจัด อยากจะโยนงานทิ้งแล้วไปเด็ดหัวไอ้หมอนั่นมันเสียตอนนี้ ทั้งบังคับข่มขู่ ทั้งกดให้จมดินอย่างหน้าไม่อาย แล้วยังมองน้องเปลวของเขาเป็นเพียงแม่พันธุ์ในตอนนั้นเขาคิดแล้วว่าบางทีคำพยากรณ์ของบิดาอาจเป็นเรื่องโกหก หากเขาจะได้มาจริงทำไมเรื่องราวมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่ว่าพวกเขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันเหรอใช่ เขาจะได้คนมีตำหนิ แต่แบบนี้มันทำร้ายเขาเกินไป มันช่างน่าเจ็บใจที่มารู้ในวันที่ทำอะไรไม่ทันแล้วเขาได้ที่อยู่อาศัยปัจจุบันของน้องโคนมมาอยู่ในกำมือและคิดว่าจะเดินทางไปดูให้เห็นกับตาว่าไอ้คนที่ได้ตัวน้องเปลวไปมันเป็นคนแบบไหน ถ้าเป็นไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกละก็เขาจะแย่งมาเองจนเมื่อมาถึงภาพที่เขาคิดเอาไว้มันกลับไม่ใช่เลย บ้านหลังนั้นมีอาณาเ
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.250X*ไม่ได้ระบุเจาะจงยุคชัดเจนแต่ประมาณรุ่นคุณปู่คุณย่าค่ะ* ทุกตัวละคร และสถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจเคะกล้ามหนุบหนับ และความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้/ลูกหนี้4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึง สิ่งเสพติด/อบายมุข, ความรุนแรง, คำหยาบคาย, การค้ามนุษย์, ฉากโจ่งแจ้งทางเพศโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอนหลัก 21 ตอนจำนวนตอนพิเศษ 8 ตอน***พิสูจน์อักษร 2 ครั้ง***อัปเดตครั้งล่าสุด 10/07/2024#โคขัดดอก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
‘สังคมมนุษย์สัตว์’ คือนิยามของโลกนี้ ทุกผู้ทุกคนมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยมีพื้นฐานคล้ายคลึงกับมนุษย์ พัฒนาสังคมระหว่างสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อมาจนเข้าสู่ยุคสมัยสุขสงบซึ่งสิ่งประดิษฐ์เดินหน้าไกลขึ้นจากประวัติศาสตร์ ผู้คนเริ่มตั้งหมู่บ้านเวลาผ่านไปกลายเป็นพระนครอันใหญ่โต ก่อเกิดเศรษฐกิจการเมืองโดยมีคนตัวเล็กตัวน้อยเป็นฟันเฟืองช่วยกันขับเคลื่อนและนั่นคือสังคมมนุษย์สัตว์การสืบสายพันธุ์ยังคงมีต่อไปตามสัญชาตญาณ กระนั้นหากมีการประสมข้ามสายพันธุ์เลือดที่เข้มกว่าจะเป็นผู้อยู่รอดโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย และนั่นอาจเป็นชนวนของการซื้อขายซึ่งแม่พันธุ์ชั้นดี. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .เสียงตะหลิวโลหะกะเทาะกับขอบกระทะใบโตซึ่งเต็มไปด้วยเม็ดข้าวเคลือบไข่ไก่สีทองเนียนละเอียดพร้อมด้วยเนื้อหมูสับและต้นหอมซอยสีเขียวเพิ่มสารอาหาร กลิ่นควันหอมโชยคละคลุ้งไปทั่วครัวไฟซึ่งถูกปลูกไว้หลังเรือนไม้ใหญ่โตข
อิงตามกฎของธรรมชาติไล่จากผู้แข็งแกร่งสู่ผู้ที่อ่อนแอ เจ้าป่าย่อมมีชัยเหนือสัพพะสัตว์ทั้งปวงบ้านเหมบำรุงขึ้นชื่อว่ามีทรัพย์สินมากมายเกินกว่าจะนั่งนับด้วยนิ้วของคนร้อยคน ด้วยผู้นำตระกูลสืบสายเลือดมาจากเสือดาวหิมะอันเป็นที่น่ายำเกรงกระนั้นการส่งต่อเงินทองมากมายที่มีไปยังรุ่นสู่รุ่นจึงเป็นเรื่องยากเนื่องจากการหาแม่พันธุ์มาเป็นตัวกลางยากแสนยาก ทว่าสุดท้ายด้วยความพยายามไม่ว่าจะด้วยพลังเงินตราหรือพลังไสยศาสตร์จึงออกมาเป็นทายาทจำนวนสามคนซึ่งกุมอำนาจบริวารเอาไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือคนนอกตระกูล. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“น้องสิน พี่มาหาแล้วนะจ๊ะ”เสียงลั้นลาอย่างคุณชายอารมณ์ดีเปิดประตูตำหนักเข้ามาหาน้องแฝดคนรองอย่างไม่ถือตัว ภูวธรรศมองห้องโอ่โถงประดับประดาไปด้วยของขลังในโหลแก้ว เชิงเทียน บายศรีและสายสิญจน์พันรอบเสา“ขนลุกว่ะ”“กูก็พอกัน”“แล้วพูดเพื่อ?”“ได้ยินว่าน้องเปลวชอบคนพูดเพราะ”