ภูวธรรศเปลี่ยนลูกข่างไปจนครบ เหวี่ยงเชือกแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแต่น้องวัวน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อเลยสักนิด ยิ่งเป็นลูกข่างซึ่งวาดลวดลายสีสันยิ่งจ้องมองไม่วางตา เขาจำได้ว่าตัวเองเล่นแป๊บ ๆ ก็เบื่อแต่ไม่ใช่กับน้องเปลวเลย
บ้านของโคน้อยย้ายมาจากต่างจังหวัด เข้ามาเช่าหนึ่งในบ้านหลังที่เขาเป็นเจ้าของ บ้านหลังนั้นไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป พอดีกับขนาดครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก จากการแต่งตัวน่าจะพึ่งมาเริ่มมีฐานะเมื่อไม่นานมานี้ จากการถามน้องเปลว น้องเจ้าเล่าว่าเมื่อก่อนปลูกกระท่อมทำเถียงนาอยู่กันเล็ก ๆ จนเมื่อมีคนมาขอซื้อที่ด้วยจำนวนเงินมากมายมหาศาลบ้านน้องเปลวจึงคิดย้ายเข้ามาเริ่มต้นใหม่ในตัวเมืองเหนือซึ่งเส้นทางก็ไปได้ดีไม่มีติดขัด
“วันนี้น้องขอไปเล่นบ้านที่ธรรศได้ไหมจ๊ะ?”
“ได้สิ แต่แม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”
ส่วนที่เขาเล่นอยู่ประจำคือลานดินหน้าบ้านน้องเปลว หากจะไปบ้านคนอื่นต้องขอผู้ใหญ่เสียก่อน แต่มาขอปุบปับแบบนี้ไม่รู้มารดาจะอนุญาตหรือไม่ยิ่งเป็นสุคนธ์เสียด้วย
“ฉันขอแม่ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะจ๊ะ”
“แบบนี้น่าจะบอกพี่แต่แรกสิ จะได้พาไปนั่งกินขนม ตากพัดลมเย็น ๆ”
“น้องอยากเล่นข้างนอกก่อน มันปลอดโปร่งดีจ้ะ”
ภูวธรรศในวัยเยาว์มองน้องวัวน้อยลุกขึ้นเดินตามหางสีขาวขนฟูมาติด ๆ ยิ่งมองยิ่งหลงโดยเฉพาะตากลมแป๋วนั่นที่จ้องนาน ๆ ไม่เคยได้เลยสักครั้ง
“เอ็งชอบที่กว้าง ๆ เหรอ?”
“จ้ะ บางครั้งฉันก็คิดถึงบ้านเก่า”
ธรรศคิดตาม น้องเปลวที่เคยชินกับการได้วิ่งเล่นในทุ่งนาโล่งกว้างคงจะรู้สึกอึดอัดน่าดูเมื่อต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในศูนย์กลางจังหวัดที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางคับแคบ
หากเป็นไปได้สักวันเขาอยากจะพาเจ้าตัวไปเที่ยวหรือไม่ก็หาที่ดินผืนกว้างสักผืนปลูกเรือนท่ามกลางทุ่งดอกไม้ให้เป็นของขวัญแก่ว่าที่คู่ชีวิตในอนาคต
“แม่จ้ะ น้องเปลวมาเล่นที่บ้านนะ”
“ตายจริง เราไปนั่งรอที่ระเบียงได้เลยนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ยกเอาของว่างไปให้”
แม่บ้านหูกระต่ายตกใจที่จู่ ๆ เด็กน้อยก็มา เขายังไม่ทันได้เตรียมอะไรรอเอาไว้เลย รู้แบบนี้เมื่อเช้าน่าจะฝากพ่อออกไปซื้อขนมถาดมาสักหน่อย
“รุตกับสินก็ไปเล่นกับน้องเขาด้วยสิลูก”
“ไม่ล่ะจ้ะ ฉันว่าจะไปตำหนักพ่อ”
“ฉันก็จะไปด้วยคนจ้ะ!”
ที่สองหนุ่มไม่ไปเล่นกับน้องเปลวไม่ใช่อะไร เพราะไอ้ธรรศมันไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามกับคู่มันแม้แต่พี่น้องน่ะสิ น้องเปลวก็นิสัยน่ารักจิตใจอ้อมอารีแท้ ๆ จะขอนั่งเล่นคุยด้วยไม่ได้เลยหรืออย่างไร เฮ้อ...ขี้งก
คุณแม่เดือนหูกระต่ายในผ้ากันเปื้อนมองลูกสองคนจูงมือพากันเดินไปตำหนักพ่อก็ถอนหายใจ เด็ก ๆ คิดเป็นจริงเป็นจังเรื่องคู่ครองตั้งแต่ยังอายุเลขหนึ่งแบบนี้มันดีแล้วหรือ แต่พี่ภาสก็บอกว่าลูก ๆ จะได้มีเวลาเตรียมใจ เขาก็กังวลว่าไอ้ตระเตรียมใจที่ว่านั่นจะมันจะหนักหนาสักแค่ไหนกันเชียว
“แม่ออกไปซื้อขนมไม่ทัน ทานผลไม้ไปก่อนนะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากเลยจ้ะ”
เสียงน้องโคน้อยกล่าวขอบคุณเป็นที่ชื่นใจของมารดากระต่ายป่า เขามองแล้วก็แสนจะเอ็นดูถ้ามีเด็กน่ารักแบบนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านบรรยากาศคงอบอวลฟูฟ่องใช่ย่อย
ภูวธรรศมองน้องกินแตงโมแก้มพองเป็นก้อนกลมก็พึงพอใจ เขาอยากจะพูดออกไปว่าเราคือคู่กันแต่ยังทำไม่ได้ตามคำสั่งพ่อที่ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลอง การรู้ก่อนไม่ได้แปลว่าจะเข้าไปแทรกแซงได้ แต่ถ้าแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“เปลว”
“จ้ะ?”
“ถ้าพี่...อยากจะขอ...หมายถึง...เอ่อ...”
ธรรศคิดว่าทำไมสิ่งที่อยู่ในหัวคิดวนมาเป็นร้อยรอบพันรอบมันถึงพูดออกมายากขนาดนี้กันนะ หรือการที่เขากล่าวออกมาแบบนี้จะดีจริงหรือเปล่า
เปลวผินหน้ามาสบตามองพี่ธรรศที่ใบหน้าดูจะขึ้นเป็นริ้วแดงประกอบกับหูหางที่ลู่ไปด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าพี่ธรรศจะขออะไร แต่ถ้าเขาทำได้ก็ยินดีจะช่วยเหลือ
วัวน้อยยังคงจดจ้องพี่ชายเสือดาวหิมะ เขาตั้งแต่มาที่นี่ก็มีพี่ชายเสือคอยเป็นเพื่อนเล่นรวมไปถึงเป็นที่ปรึกษา เพราะเป็นสุคนธ์จึงไม่สามารถออกไปร่ำเรียนในโรงเรียนได้อย่างใครเขา ต้องเรียนทุกอย่างอยู่ที่บ้านโดยมีครูเข้ามาสอนตั้งแต่เรื่องในตำรารวมไปถึงเรื่องในครัวเรือน งานเย็บปักถักร้อยกรองมาลัย และพี่ธรรศก็มักจะเอาเรื่องสนุก ๆ จากที่โรงเรียนมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
จนจากความรู้สึกสนิทอย่างพี่น้องเริ่มกลายเป็นอย่างอื่นที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน เพียงแค่อย่างอยู่ด้วยกัน อยากฟังเสียงพูดไปเรื่อย ๆ หรือบางทีก็อยากเข้าไปใกล้ชิดมากกว่านี้
“พี่คือ...อีกสามปีข้างหน้า...”
หางขนขาวฟูตวัดมาอยู่ข้างหน้า โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้รู้ตัวปลายหางมันกลับไปวางอยู่บนตักน้องวัวน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสียอย่างนั้น
“พี่ธรรศจ๊ะ”
เจ้าของชื่อในตอนนี้สั่นเกร็งเกินกว่าจะเอ่ยปากพูด เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวมันน่าเขินอายเกินกว่าจะพูดออกมา ไหนจะหางเจ้ากรรมที่ดันยาวเหยียดจนมันส่ายไปวางบนผ้าถุงสั้นอย่างเป็นไปเอง ซ้ำยิ่งมีอาการตื่นตระหนกขนเขินอะไรล้วนพองฟูขึ้นกว่าเก่า
“ฉันขอลองจับได้ไหมจ๊ะ?”
“ดะ...ได้สิ”
เอาเป็นว่าธรรศในตอนนี้ขอพักในการพูดคำคำนั้นออกไปก่อน แล้วมาตั้งใจควบคุมหางไม่ให้มันกระดิกส่ายไปมากกว่านี้จะดีกว่า
ฝ่ามือสีน้ำผึ้งนุ่มนิ่มจับสัมผัสหางขนฟูอย่างแผ่วเบาก่อนจะตาลุกวาวเมื่ออุ้งมือจมลงไปกับขนยาวสีขาว มือเล็ก ๆ คู่นั่นละเมียดเกลี่ยขนอย่างเพลิดเพลิน ธรรศที่มองน้องวัวน้อยตาเป็นมันยิ่งใจสั่น คนเราจะน่ารักก็ให้มันมีขีดจำกัดบ้างสิ
เขาปล่อยให้หางตนเองอยู่บนตักนั้นตลอดช่วงเที่ยงจนตกบ่าย กินมื้อเที่ยงสนทนาเล่นกันบนโต๊ะเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย ต่อให้จะลุกไปเข้าห้องน้ำเมื่อกลับมาเขาก็เลือกจะวางหางเอาไว้บนตักน้องอยู่ดี ไม่ใช่แค่เห็นว่าวัวน้อยชอบแต่เขาก็ชอบไม่ต่างกัน
“เปลว”
มาจนตกเย็นตอนนี้เขาว่าตัวเองรวบรวมความกล้ามาได้มากพอจะสารภาพออกไปแล้วล่ะ
“จ้ะพี่?”
เปลวเงยหน้าขึ้นมามองเพราะตอนนี้พวกเขาย้ายเข้ามานั่งในบ้านกันสองคนเพราะแดดบ่ายส่องโดนระเบียง
“พี่รักเอ็ง”
ธรรศพูดมันออกไปได้แล้ว แต่ผลของมันคือไอร้อนผ่าวบนหน้าที่ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาเดาได้เลยว่าภาพที่ออกมาคงจะตลกมากเป็นแน่จึงก้มหน้างุด ๆ หลบเลี่ยงการมอง
เปลวที่ได้ยินคำนั้นเข้าไปก็ตกใจใบหูกระตุก หันหน้าหนีไม่ต่างกัน เขาไม่คิดเป็นจริงเป็นจังมาก่อนว่าพี่ธรรศจะมาชอบคนบ้านนอกคอกนาอย่างเขา แม่เองก็บอกกับปากว่าบ้านเหมบำรุงที่เขามาเช่าที่อยู่นั้นรวยล้นฟ้า เขาจึงคิดไปว่าหากคนอย่างพี่ธรรศจะหาคู่ครองสักคนคงต้องเป็นคนระดับเดียวกันเป็นแน่...แต่...กับเขาน่ะเหรอ
“เอ็งไม่ต้องกังวล พี่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
“พี่หมายถึง...”
เปลวยังคงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ด้วยความตกใจ เขาจินตนาการไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร
“ถ้าเอ็งอายุถึงเมื่อไหร่ พี่จะไปขอนะ”
มันเป็นคำสัญญาที่เปลวในวัยเด็กไม่รู้แน่ชัดว่ามันหนักแน่นเพียงใด พี่ชายที่โตกว่าถึงสี่ปีมาพูดให้คำมั่นแบบนี้ หากเขาโตพอและอยู่ในวัยเดียวกันจะรู้ถึงความลึกซึ้งของมันมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่นะ
“จ้ะ ฉันจะรอนะจ๊ะ”
ในวันนั้นน้องวัวน้อยยิ้มแย้มแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อชวนน่ารักก่อนที่เขาจะอาสาเดินไปส่งเพราะมันเริ่มเย็นแล้ว
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าการกระทำนั้นมันจะย้อนกลับมาแทงตัวเอง เมื่อจู่ ๆ เขากลับถูกโชคชะตาเล่นตลก ไม่กี่เดือนต่อมาข้างบ้านเขาไร้ซึ่งคนอาศัยอยู่พร้อมป้ายประกาศเช่าที่ถูกนำกลับมาตั้งไว้ตามเดิม
*ตึง! ตึง! ตึง! ปึง!* เสียงเดินขึ้นบันไดตึงตังไล่มาตั้งแต่หน้าบันไดจนเปิดประตูบ้านเข้ามา ภูวธรรศในชุดนักเรียนซึ่งได้ไปเห็นป้ายปล่อยเช่าข้างบ้านมาหมาด ๆ อารมณ์ฉุนเฉียวเดินไปทิ้งตัวนั่ง ณ โต๊ะทานข้าวข้างผู้เป็นบิดา
“พ่อรู้อยู่แล้วใช่ไหม?”
“พ่อพูดทุกอย่างที่รู้ไม่ได้”
“อย่างน้อยก็ใบ้มาหน่อยก็ได้นี่!”
ตอนนี้เขาโกรธมากแต่จะไปลงกับใครมากก็ไม่ได้อีก มันช่างน่าโมโหที่จู่ ๆ เจ้าน้องก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วเขากว่าจะตามหา ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอ นานแค่ไหนกว่าเขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีเงินจ้างนักสืบเอง อย่างไรหากจะยืมบิดาคงไม่ยอมให้หรอก
“พ่อก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเอ็งจะได้คนมีตำหนิ
เอ็งนั่นแหละคิดยังไงไปสัญญาเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ”ธรรศไม่มีคำจะโต้เถียง มันเป็นที่รู้กันดีว่าที่พ่อบอกพวกเขาล่วงหน้าแบบนี้คือให้เวลาทำใจถึงอนาคตที่ไม่ได้เป็นดั่งใจ รวมไปถึงเรื่องราวกะทันหันแบบนี้ด้วยเช่นกัน
“เอ็งไม่ต้องกลัว สุดท้ายสิ่งที่สมควรเป็นของเอ็งจะกลับมาโดยที่เอ็งไม่ต้องพยายามอะไรให้เปลืองแรง”
“...”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แน่นอนว่าคนอย่างภูวธรรศไม่มีวันตัดใจง่าย ๆ อย่างไรสิ่งที่พ่อพูดมันก็เป็นเพียงคำพยากรณ์ แม้มันจะจริงทุกครั้งแต่โอกาสพลาดใช่ว่าจะไม่มี
เมื่ออายุย่างยี่สิบซึ่งเขาได้รับสืบทอดมรดกและลูกน้องจำนวนหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำคือการส่งคนออกตามหาตัวน้องเปลว ไม่ว่าใครที่มองมาก็คงคิดว่าการกระทำของเขามันไร้สาระ เลือกทุ่มเททั้งกายใจไปกับสิ่งที่หาความเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างความรักมันช่างโง่เขลาสิ้นดี แต่แล้วอย่างไร นี่มันชีวิตเขา หากที่ลงทุนลงแรงไปมันจะไม่ได้อะไรกลับมาเขาก็พร้อมยอมรับมัน
ภูวธรรศวัยแตกเนื้อหนุ่มสวมแว่นกันแดดลงมาจากเบาะคนขับเดินตรงเข้าไปยังอาณาเขตก่อสร้างห้างร้านของไอ้รุตซึ่งยืนหน้าแป้นแล้นอยู่ข้าง ๆ ดูท่าจะตื่นเต้นมากกับการลงทุนครั้งแรก
“เอ็งถือช่อดอกไม้มาทำไม?”
“จะเอาไปให้พี่ชาติ”
“กูได้ยินคนในนั้นพูดกันว่าเขาไม่ชอบดอกไม้นะ”
“แต่เมื่อวานเขาบอกกับกูเองเลยนะว่าชอบ”
“เอ็งโดนต้มแล้ว”
ไอ้รุตหน้าหมองในทันควันกับช่อดอกเบญจมาศสีขาวที่เหี่ยวหดตามอารมณ์คนถือ ผ่านมาจนถึงตอนนี้อีกสองคนเจอคู่ตัวเองหมดแล้วแต่ไอ้เขาที่จำหน้า จำน้ำเสียงได้แม่นกลับยังหาข่าวคราวไม่เจอ ไม่รู้ว่าย้ายไปไหนไกลหรือนั่งเรือออกนอกประเทศไปแล้วหรือเปล่า
เขารู้สึกขุ่นเคือง เขาแก้อะไรไม่ได้เลยเหรอ หรือต่อให้หาเจอก็ใช่ว่าเขาจะสามารถเข้าไปก้าวก่ายชีวิตได้มากมายนัก แต่เขาคิดจริง ๆ ว่าตัวเองอาจจะอดทนรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ บางทีเขาก็อยากลองฝืนชะตา เมื่อใดที่รู้ว่าน้องเปลวอยู่ไหนเขาจะรีบรุดหน้าไปหาทันที
“นายครับ”
“มีอะไร?”
ภูวธรรศซึ่งยืนมองอาคารก่อสร้างหันลงไปมองลูกน้องหูหนูที่เดินเข้ามาทักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงกระซิบแผ่วเบาท่ามกลางความวุ่นวายของคนงานกรรมกร ทว่าเมื่อแรกเสียงนั้นเข้าสู่โสตประสาทคล้ายว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่งไป
เขาคิดเพียงว่าน้องเปลวย้ายออกไปด้วยเหตุบางประการ อาจเป็นเรื่องการเงินหรือเหตุผลส่วนตัวแต่ไม่คิดถึงขั้นนี้
แต่คนที่สมควรมายืนอยู่ข้างกายเขากลับถูกขายให้บ้านอื่นไปแล้ว
เนื่องมาจากมีเศรษฐีคนหนึ่งจ้องจะหาแม่พันธุ์มาสืบตระกูลจึงตระเวนหาคนที่เหมาะสมจนมาเจอบ้านน้องโคนม แน่นอนว่าจะมีครอบครัวไหนยอมปล่อยขายลูกตัวเองง่าย ๆ ทางนั้นที่มีอำนาจมากกว่าจึงกลั่นแกล้งทำให้ธุรกิจทางบ้านตกต่ำในที่สุดก็สามารถเอาเงินฟาดซื้อตัวน้องวัวน้อยมาอยู่ในบ้านจนได้เขาได้ยินขณะลงพื้นที่ดูการก่อสร้างก็ฉุนจัด อยากจะโยนงานทิ้งแล้วไปเด็ดหัวไอ้หมอนั่นมันเสียตอนนี้ ทั้งบังคับข่มขู่ ทั้งกดให้จมดินอย่างหน้าไม่อาย แล้วยังมองน้องเปลวของเขาเป็นเพียงแม่พันธุ์ในตอนนั้นเขาคิดแล้วว่าบางทีคำพยากรณ์ของบิดาอาจเป็นเรื่องโกหก หากเขาจะได้มาจริงทำไมเรื่องราวมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่ว่าพวกเขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันเหรอใช่ เขาจะได้คนมีตำหนิ แต่แบบนี้มันทำร้ายเขาเกินไป มันช่างน่าเจ็บใจที่มารู้ในวันที่ทำอะไรไม่ทันแล้วเขาได้ที่อยู่อาศัยปัจจุบันของน้องโคนมมาอยู่ในกำมือและคิดว่าจะเดินทางไปดูให้เห็นกับตาว่าไอ้คนที่ได้ตัวน้องเปลวไปมันเป็นคนแบบไหน ถ้าเป็นไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกละก็เขาจะแย่งมาเองจนเมื่อมาถึงภาพที่เขาคิดเอาไว้มันกลับไม่ใช่เลย บ้านหลังนั้นมีอาณาเ
แม้ไม่มีเสียงไก่ขันหรือนาฬิกาปลุกไขลานเมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ร่างกายซึ่งเริ่มปรับตัวจึงค่อย ๆ รับรู้ถึงอากาศเย็นที่ลอยเข้ามาแตะผิว ยังดีที่เขาปักชุนผ้าห่มแล้วหาผ้าอะไรมาเย็บเพิ่มอีกทบทันก่อนเข้าหน้าหนาวพอดีแม่โคนมค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นขยี้ตาจัดแจงผมเผ้าที่ชี้ฟูให้มันพอดูได้ กระชับผ้าคาดหน้าอกที่หลุดหลวมให้เข้าที่ เหลือบตามองพื้นใต้บานประตูจึงเห็นว่าฟ้ายังคงมืดอยู่ สงสัยเขาคงต้องออกไปดูนาฬิกาบนเสาให้แน่ใจว่านี่กี่โมง เขาไม่อยากปลุกเด็ก ๆ เสียเที่ยวประเดี๋ยวจะนอนไม่เต็มอิ่มแม่วัวก้าวลุกออกจากฟูกเตียงอย่างเชื่องช้าเกรงจะทำลูกน้อยทั้งสองตื่นแล้วจึงค่อยเอื้อมมือไปคว้าผ้าผวยผืนของตนเองออกมาคลุมเนื้อตัวกันลมหนาว เพราะมันแค่ออกมามองนาฬิกาจึงไม่ได้พกเชิงเทียนออกมาด้วย‘ตีสี่ครึ่ง’ นี่ก็ใกล้เวลาตื่นแล้ว เขาต้องตระเตรียมอะไรให้เสร็จก่อนหกโมงรวมไปถึงมื้อเช้า แต่ดูจากลมแล้วเขาว่าน้ำในโอ่งวันนี้ท่าจะเย็นพอควร ไปขอป้าจำเนียนต้มน้ำร้อนผสมลงไปสักหน่อยก็แล้วกันเดินอ้อมไปหลังเรือน ณ ครัวไฟ เขาได้ยินเสียงกุกกักพร้อมดวงไฟเหนือหัวที่เปิดอยู่ วันนี้ป้าจำเนียนก็ตื่นเช้
“คุณธรรศทำไมไม่กินผักบ้างล่ะจ้ะ”“ปิ่นพูดอะไรน่ะ!?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงที่เคี้ยวผักพายลวกหงุบ ๆ โพล่งขึ้นกลางวงเมื่อเห็นว่าในจานขนมจีนของคุณผู้ชายมีแต่น้ำยากับลูกชิ้นไม่เห็นมีผักใบเขียวสักกะนิด ส่วนเปลวผู้เป็นแม่ก็ติเตียนเด็กหญิงไม่ให้พูดอะไรลามปามคนเป็นนายนั่นทำธรรศถึงกับสะอึก ใช่ว่าเขาจะกินไม่ได้แต่มันไม่ชอบ ทั้งสีที่เขียวอี๋ไหนจะกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่เขาซึ่งมีพื้นฐานมาจากสัตว์กินเนื้อเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจจะมานั่งร่วมโต๊ะแล้วอย่างน้อยก็ต้องสร้างความประทับใจ แม้มันจะเป็นความประทับใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการกินผักก็ตาม“คุณธรรศ ฉันขอโทษแทนลูกฉันด้วยนะจ๊ะ”เปลวใจไม่ดีวางจานส่วนของตัวเองมาปรามลูกสาวที่พูดจาไม่มีหูรูด เขาทั้งแปลกใจทั้งเกร็งที่จู่ ๆ เมื่อเช้าคุณธรรศก็เดินลงมาบอกจะนั่งทานมื้อเช้าด้วยกัน เขาที่คิดว่าเจ้าตัวคงอยากนั่งกินกับป้าจำเนียนสองคนก็จะพากันไปนั่งกันในห้องเก็บของแต่คุณชายเจ้าดันบอกให้พวกเขานั่งตามเดิม“ไม่เป็นไรหรอก ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่”ภูวธรรศไม่คิดถือสาเด็ก แม้มันจะแทงใจดำไ
ตกเย็นเปลวเอาข้อเสนอของคุณธรรศมาคิด มันน่าลำบากใจกับคำว่า ‘นอน’ ถึงมีเรื่องราวพรรค์นั้นเกิดขึ้นอย่างไรร่างกายเขาก็รองรับได้ เพราะเขากับสามียังไม่ได้มีพันธะต่อกัน ซึ่งคุณธรรศคงจะรู้เรื่องนี้จากการที่เขาไม่มีรอยอยู่บนหลังคอ‘ถ้าฉันนอนแล้วคุณธรรศจะไม่มาเก็บค่าคุณครูกับฉันทีหลังใช่ไหมจ๊ะ’‘ใช่’เมื่อเที่ยงคุณธรรศตอบมาเร็วมาก ทั้งยังหน้าแดงแจ๋ทั้งที่อากาศบนเรือนก็ไม่ได้ร้อน‘…ถะ...ถ้าเอ็งอยากนอนกับลูกวันไหนก็บอก…’ทีแรกเขาคิดว่านอนเพียงคืนเดียวแต่อาจจะไม่ใช่สินะ ก็ค่าการเรียนการสอนเทียบกับการที่ให้คนอย่างเขาไปนอนด้วยแล้วคุณค่ามันวัดกันไม่ได้เลยเปลวหนักใจ มองลูก ๆ ซึ่งกำลังพยายามแต่งตัวเหน็บผ้ากันอยู่ก็นึกอดสู ยิ่งหลังจากเขาบอกว่าจะไม่มีครูมาสอนอะไรทั้งนั้นเด็ก ๆ ก็คล้ายซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“เด็ก ๆ อยากเรียนกัน...จริง ๆ ใช่ไหมจ๊ะ?”“จ้ะ!/จ้ะ!”เปลวข่มนัยน์ตาเศร้าผลิยิ้มออกมาเจือจาง ทีเมื่อกี้ทำเป็นนั่งหงอยนะ เขาตัดสินใจได้แล้วแต่อย่างไรก็ยังต้องการคำยืนยันจากเด็ก ๆ“สัญญากับแม่ได้ไหมว่าจะตั้งใจเรียนไม่ดื้
คุณผู้ชายภูวธรรศ เหมบำรุง หลังโดนคำถามกระชากจิตจากแม่วัวไปก็ถึงกับหน้าซีดตัวสั่น มันห้ามไม่ได้เลยจริง ๆ ที่จะเผลอร้อยเรียงเรื่องราวสัปดนเป็นฉาก ๆสุดท้ายท่ามกลางแสงไฟสลัว กลิ่นกำยาน และสุคนธ์ตัวหอมที่นั่งเฝ้ารอคำสั่งตาแป๋วก็ต้องมานั่งนวดไหล่ให้เจ้าหนี้ตอนนี้สวรรค์กำลังลงโทษเขาอยู่หรือไร ทำไมเขาที่เป็นคนกุมอำนาจแท้ ๆ ไฉนต้องมานั่งกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่าน ภูวธรรศในตอนนี้คล้ายคนกำลังจะจมน้ำตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งแต่ความหวังช่างริบหรี่เหลือเกิน“ตรงนี้ได้ไหมจ๊ะ?”“อือ...”หนึ่งคำล้านความหมายนัก เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะสรรหาคำไหนมาบรรยายอาการปัจจุบันในตอนนี้และในอนาคตอันใกล้ ถ้าเขาปล่อยหูหางออกมาตอนนี้น้องเปลวจะมองเขาว่าประหลาดหรือเปล่า ในเมื่อเจ้าตัวจำไม่ได้ว่าตัวเขานั้นไว้ใจน้องเปลวมากแค่ไหนภูวธรรศขณะบ่ากำลังถูกนวด สายตาก็เหลือบมองแม่วัวนมที่สะท้อนอยู่บนกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง“ฉันถามอะไรเอ็งได้ไหม?”“ได้สิจ๊ะ”“ทำไมเอ็งถึงตัดผมสั้น?”เขาจำได้แม่นว่าเมื่อก่อนน้องเปลวไว้ผมยาวแล้วก็ถักเปียเดี่ยวล
ภูวธรรศหลังจากที่มาเป็นคนเดินเก็บค่าแผงเองเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย จากวันแรกผ่านมาได้สองวันแล้วแต่กลับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งถามไถ่เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็เห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปได้เป็นอย่างดี ไม่มีอันธพาลวัยรุ่นที่ไหนมารังควานสร้างความเสียหายแก่สินค้าพวกเขาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ไปจนครบหนึ่งสัปดาห์เต็มเขาก็คิดว่าจะให้พวกลูกน้องกลับมาดูแลดังเดิมบรรยากาศตลาดในยามเช้าตรู่ของวันพุธช่างเป็นอะไรที่ครึกครื้นพอ ๆ กับห้างร้านในตัวเมืองเมื่อตกบ่าย ผู้คนแห่แหนมาซื้อวัตถุดิบไปปรุงอาหาร บ้างก็ซื้อของสำเร็จไปอุ่นทานกันง่าย ๆ ในครอบครัว เพราะเห็นว่าตอนนี้มีคนทำกิจการขายเสื้อผ้ามื้อหนึ่งมือสองกันเยอะ เขาจึงขยายพื้นที่วางเขตขายเครื่องนุ่งห่มขึ้นมาโดยเฉพาะ ผ่านมาไม่ถึงปีผลตอบรับการจับจองพื้นที่ก็ดีตามคาด ว่าแล้วก็ยืดอกภาคภูมิใจกับตนเอง เขาที่มันคนดีจริง ๆ ได้ช่วยแม่ค้าไหนจะได้เงินเข้ากระเป๋าเพิ่มเป็นของแถมอีกภูวธรรศเดินไปตามทางพร้อมมือขวาอย่างไอ้ม่วงหนูจี๊ด เห็นว่ามันช่วงนี้กำลังส่งคนตามสืบไม่รู้ได้เรื่องได้ราวไปถึงไหนแล้ว‘ไอ้ม่วง’‘ตอนนี้ยังสืบไม่ครบครับ
“มะ...แม่เปลวสวยจังเลยจ้ะ...”เด็กชายเปี่ยมเอ่ยชมมารดาด้วยใบหน้าขวยเขินขณะตัวเองกำลังเปลี่ยนชุด ชุดที่แม่ใส่เป็นชุดที่ลุงธรรศเลือกให้ซึ่งเขามองว่ามันเหมาะกับแม่เปลวมาก ๆ ปกติแม่เปลวในสายตาเขาก็สวยอยู่แล้วพอเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีขาวไล่สีท้องฟ้าแขนพองยาวเว้าไหล่เข้าคู่กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนแม่เปลวก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่!“ไม่หรอกจ้ะ ลูกก็ชมไป”แม่โคนมในชุดใหม่นั่งคุกเข่ากับพื้นช่วยลูกชายติดกระดุมเสื้อ เกี่ยวสายเอี๊ยมสีน้ำตาลอย่างเหม่อลอยก่อนจะปิดท้ายด้วยการติดหูกระต่ายสีฟ้าอ่อนกลางอก นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ใส่เสื้อมีคอปกมีแขนแบบนี้ตั้งแต่ตั้งท้องเด็ก ๆ ไหนเสื้อตัวนี้จะมีผ้าตาข่ายแล้วก็โบผูกคออีก รุ่มร่ามแบบนี้คงทำงานอะไรไม่ได้เรื่องเป็นแน่ ดีนะที่แค่ลองแล้วก็ถอดคืน“เปี่ยมจะออกไปรอข้างนอกก่อนหรือว่าจะออกไปพร้อมกับปิ่นจ๊ะ?”“ดะ...เดี๋ยวฉัน อะ...ออกไปรอข้างน้องจ้ะ”“อื้อ อย่าไปกวนคุณธรรศเขาล่ะ”“จ้ะ”ว่าแล้วก็เดินออกมาเข้าอีกห้องที่เขาบอกให้เด็กหญิงลองใส่เสื้อเอง แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ย
ภูวธรรศบอกเลขาอย่างม่วงเอาไว้ว่าหลังจบมื้อเช้าจะผละออกจากสามแม่ลูกมาทำงานทำการบ้าง เพราะเขาต้องประเมินเก็บข้อมูลส่งไอ้รุตให้ทันก่อนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ แม้จะเป็นห้างขนาดกะทัดรัดแต่ก็มีถึงสามชั้น นี่ปกติไอ้รุตมันเดินตรวจเองให้เสร็จภายในวันเดียวได้อย่างไรวะเนี่ยม่วงซึ่งส่งตัวเจ้านายไปทำงานได้เสียทีหลังคุณธรรศงอแงจะขอเดินกับคุณเปลวต่ออีกครึ่งชั่วโมง เขาที่เอือมระอาจึงหันหลังบอกคนคุ้มกันทั้งสองให้ลากพาคุณธรรศไปทำงานเสีย“ละ...ลุงม่วงจ๊ะ จะพาพวกฉันกลับบ้านใช่ไหมจ๊ะ?”“หือ? นายเขายังไม่ได้บอกเหรอว่าลุงมาทำหน้าที่อะไร”คุณลุงหนูตัวเล็กจิ๋วคลี่ยิ้มกว้าง ในเมื่อคุณธรรศไปแล้ว หน้าที่ใช้เงินปรนเปรอซื้อสิ่งของให้สามแม่ลูกจะเป็นของใครได้เล่าไม่ว่าเปล่าม่วงเดินนำสามแม่ลูกตระเวนซื้อข้าวของใช้จำเป็นอย่างเสื้อผ้าตามฤดูกาล รองเท้าใส่อยู่บ้าน/นอกบ้าน ของเล่นสำหรับคุณหนูวัยสี่ขวบ รวมไปถึงอุปกรณ์การเรียนที่เขาประสานกับคุณกุมภีร์เอาไว้แล้วว่ามีสิ่งใดจำเป็นบ้าง“พี่ม่วงจ๊ะ เรื่องนี้...คือ…”“คุณธรรศสั่งผมมาอีกทีครับว่าให้ดูแลคุณเปลว ดังนั้นถ
เฉลิม × ม่วงอีกไม่นานเด็ก ๆ ในการดูแลของเขาก็จะจบการศึกษาจากโรงเรียนประจำที่ส่งไปพระนคร โดยแต่เดิมตัวเขาเป็นเด็กที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเด็กพวกนั้นก็นับเป็นประหนึ่งน้องชายน้องสาวต่างสายเลือดที่อายุห่างจากเขาไปเยอะโข แต่อย่างไรเขาในฐานะพี่ใหญ่ก็อยากจะหาโอกาสมามอบให้เด็กเหล่านั้น ไม่ต้องให้มาตกระกำลำบากเช่นตัวเองเขาจับพลัดจับผลูจนได้มาทำงานในเครือเหมบำรุงและได้รับความช่วยเหลือจากคุณธรรศโดยการหยิบยืมเงินเพื่อส่งเด็ก ๆ ทั้งหมดเข้าโรงเรียนรวมถึงการบำรุงรักษาสถานรับเลี้ยงที่เขาเติบโตมา ส่วนคนไหนเป็นสุคนธ์ถึงเขาจะไม่สามารถจ้างครูสอนรายบุคคลได้แต่อย่างน้อยก็มีอาจารย์ช่วยกันสอนสั่งดูแลถึงสองคนต่อเด็กห้าสิบกว่าคนมันไม่เชิงว่าเขาเป็นหนี้เจ้านายอย่างคุณภูวธรรศ แต่เป็นเขาเองที่อยากให้เจ้านายหักเงินรายเดือนคืนกลับไป แม้มันจะเล็กน้อยเท่าหยิบมือแต่เขาในตอนนี้ก็คืนมันไปจนหมดแล้ว กระนั้นด้วยบุญคุณที่เจ้านายมอบให้ในตอนที่เขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ตอนที่ยังคงแต่งตัวซอมซ่อเหมือนหนูข้างถนน เขาจึงตั้งมั่นตั
วันนี้เนื่องจากเป็นวันเรียนจบของลูกเปรมซึ่งเข้าสู่วัยรุ่นอย่างเต็มตัว พ่อเสือจึงลางานละหน้าที่หนึ่งวันสำหรับพาครอบครัวมาทานมื้อค่ำในตัวเมืองซึ่งเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ นับเป็นเรื่องปกติของที่บ้านที่จะพาเด็ก ๆ มาฉลองในแต่ละช่วงเวลาสำคัญของชีวิตแม้เปรมจะเป็นสุคนธ์ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไปได้อย่างพี่เปี่ยมพี่ปิ่นแต่ก็ถือว่าเรียนจบหลักสูตรตามที่อาจารย์ซึ่งจ้างมาครบหมดแล้วตอนนี้ลูก ๆ ของเขาโตขึ้นกันเร็วเสียน่าใจหายเผลอแป๊บเดียวปิ่นเปี่ยมก็อายุสิบหกเริ่มทำงานช่วยพ่อธรรศกันแล้ว กระนั้นผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น กลายเป็นว่าปิ่นที่เคยพูดจาเจื้อยแจ้วนั้นสุขุมขึ้น แต่อย่างไรความมั่นใจในตัวเองที่พ่อธรรศมอบให้ผ่านการใช้เวลาร่วมกันก็ยังคงฝังลึก มีหลายครั้งที่ลูกสาวคนนี้แสดงมุมตลก ๆ ออกมา ในขณะเดียวกันเปี่ยมซึ่งเคยเป็นเด็กขี้อายเมื่อโตเป็นหนุ่มกลับเป็นคนแสดงออกชัดเจนพูดจาเถรตรง และมั่นใจในการพูดมากขึ้นบนโต๊ะอาหาร“เปรมกินอันนี้ไหม เดี๋ยวพี่ตักให้”“กินจ้ะ”ภาพพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวแบบนี้ช่าง
เนื่องจากปิ่นเปี่ยมก็โตขึ้นแล้ว สามีจึงเห็นว่าควรหาพื้นที่ส่วนตัวให้อย่างน้อยก็เป็นห้องนอนเล็ก ๆ ให้ฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองส่วนเปรมด้วยว่าพึ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนยังคงต้องนอนห้องเดียวกันกับพวกเขาอยู่ แต่ก็มีอยู่หลายวันเหมือนกันที่พวกเราห้าคนมานอนด้วยกัน จะนับเป็นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ในตอนนี้ปิ่นเปี่ยมขึ้นป.๒ และก็มีบางวันที่เลิกเรียนกลับมาเย็นเนื่องจากมีกิจกรรมของทางโรงเรียนเขา ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีกินเลี้ยงคนงาน ครัวจึงถูกใช้งานอย่างเต็มอัตราโดยมีพี่ม่วงพี่เฉลิมมาช่วยอย่างที่เคยเป็น กว่าจะวางมือจากตะหลิวเช็ดล้างทำความสะอาดพื้นครัวก็ปาไปเกือบหกโมง ลูก ๆ จึงอาบน้ำอาบท่าขึ้นไปทำการบ้านกันก่อนแล้ว ไหนจะได้ยินว่าง่วงเพราะเล่นกีฬามา สงสัยคงต้องขึ้นไปดูน้ำในเหยือกด้านบนเสียหน่อยว่าพอหรือเปล่า“ขอบคุณที่มาช่วยนะจ๊ะพี่ม่วง”“ผมต้องมาช่วยอยู่แล้วครับ”พี่ม่วงมอบยิ้มให้หลังพี่เฉลิมเดินมายกหม้อไปขึ้นท้ายรถ ส่วนพี่ธรรศตอนนี้พึ่งกลับมาจากการออกไปสะสางเรื่องหนี้กับผัวเมียสองคนนั้นนิดหน่อย จะว่าไปหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นหน้าพี่กอบกับคุณ
เนื่องจากเขาสนิทกับพี่ม่วงเป็นทุนเดิมเพราะคุยกันถูกคอถึงเรื่องเด็ก ๆ ที่ได้โอกาสและเงินสนับสนุนจากพี่ธรรศให้ไปเรียนไกลถึงพระนครซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่นั่นการศึกษายอดเยี่ยมแค่ไหน จนตอนนี้เด็ก ๆ เหล่านั้นก็กลับมาช่วยงานของสามีภายใต้การดูแลของพี่ม่วงพี่หนูตัวเล็กเคยเล่าว่าเด็ก ๆ ตัวสูงกันมาก ซึ่งพอได้มาทำงานร่วมกันเขาจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเด็กพวกนั้นก็เป็นที่น่าเอ็นดู รับฟังคำแนะนำ ไหนจะขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้จนมีหลายครั้งที่หากกำไรงาม เขามักจะปันส่วนให้เด็ก ๆ เอาไปกินเลี้ยงหรือไม่ก็เก็บหยอดกระปุกเผื่ออยากจะเอาไปต่อยอดสานฝันเขาอยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจึงเก็บหอมรอมริบเงินเดือนในสมัยที่ยังทำงานประหนึ่งคนใช้ในช่วงเป็นหนี้มาซื้ออุปกรณ์ทำอาหาร และเอาเงินไปจ่ายค่าแผงของพี่ธรรศที่แม้ในเริ่มแรกเจ้าตัวจะอิดออดขอไม่รับแต่เขาก็บอกจุดประสงค์ชัดเจน จนในที่สุดเจ้าพี่ก็ยอมให้กันในช่วงแรกนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แม้มีชะงักไปบ้างเพราะมันคาบเกี่ยวตอนตั้งท้องน้องเปรมแต่สุดท้ายเขาก็พาตัวเองมาขายได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะพี่ธรรศเอาบทบาทสามีภรรยา
“ใต้ท้องทะเลอุดมไปด้วยชาวเมืองปลา...”ย้อนกลับไปในระยะเวลาก่อนที่เขาจะแต่งงาน มันเป็นช่วงที่กุมภีร์กำลังสอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือโดยเริ่มจากการเรียนตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ตามมาด้วยการคัดลายมือ และการฝึกอ่านต่าง ๆ โดยนอกจากแบบเรียนแล้ว ก็มีหนังสือภาพหนังสือนิทานที่ชักจูงความสนใจของสองแฝดได้เพราะมีภาพประกอบสวยงามคนเป็นแม่อย่างเปลวเมื่อลูก ๆ หยิบหนังสือมาให้อ่านก่อนนอนมีหรือจะปฏิเสธ ทั้งพี่ธรรศก็ให้การสนับสนุนการเรียนการสอน ออกไปตระเวนหาซื้อหนังสือนิทานมาตั้งไว้สูงชะลูด ไม่รู้ว่าจะอ่านพวกมันจบก่อนเด็กน้อยโตเลยวัยหรือเปล่าในทุกคืนสองแฝดจะทำข้อตกลงเลือกหนังสือนิทานเล่มใหม่หรือเล่มเดิมที่สนใจวิ่งดุ๊ก ๆ เอามาให้แม่วัวอ่าน ยอมรับเลยว่าช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับลูกในทุกคืนแม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวันแต่มันช่างมอบความสุขให้เขามากมายเหลือเกิน และวันนี้เด็ก ๆ ก็เลือกหนังสือนิทานเรื่อง ‘พระราชาใต้มหาสมุทร’ มาให้เขาอ่าน คงเพราะมีหน้าปกวาดแต่งแต้มสีฟ้าสดใสพร้อมเหล่าสัตว์ทะเลหน้าตาแปลก ๆ เต็มไปหมด อ่านไปเรื่อย ๆ เรื่องราวจะกล่าวถึงพระราชาที่เคยสั่งงานทุกค
ในขณะที่พี่ธรรศช่วงนี้ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาสามวัน เขาในฐานะที่ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องทำงานบ้านงานเรือน ทั้งเดี๋ยวนี้พี่ธรรศก็มักจะไหว้วานเขาให้ตรวจสอบบัญชีไปก่อนระหว่างรอรับสมัครพนักงานคนใหม่เข้ามา เป็นงานที่หนักเอาการเพราะระหว่างวันเขาต้องคอยดูแลเด็ก ๆ โดยเฉพาะเจ้าเปรมที่ร้องไห้งอแงอยู่แทบจะตลอด บางครั้งก็ร้อนเกิน หนาวเกิน ขับถ่าย หิวข้าว หิวนม แม้จะพยายามทำอาหารรสอ่อนให้ทานแต่ลูกชายคนนี้จนอายุได้สองขวบปีก็ยังต้องเอามาเข้าเต้าบ้างเปลวคิดจะให้ลูกเสือตัวน้อยหัดกินผักตั้งแต่เด็กจะได้ทานอะไรได้หลากหลายเหมือนพี่ ๆ คิดสะระตะไปมาตอนนี้ก็นอนหลับปุ๋ยกันไปหมดสามคน ในที่สุดความวุ่นวายในวันหยุดก็เพลาลงเสียทีคนเป็นแม่อย่างเปลวจึงได้เวลาหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยง แล้วจึงรีบมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงประจำเดือนยังห้องพ่อแม่ เขาในตอนนี้ไว้ผมยาวลงมาจนสามารถถักเป็นเปียได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทีแรกด้วยความไม่ชินจึงมีความคิดที่จะตัดสั้นดังเดิม ทว่าก็ทำได้แค่คิดเพราะงานอะไรล้วนยุ่งไปหมด อยู่ไปอยู่มาก็ชินเสียแล้ว*แกร๊ก* เสียงกลอนประตูเปิดออก เปลวที่กำลังวุ่นอย
ผ่านมาหนึ่งปีถ้วนนับตั้งแต่คืนวันแต่งงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่ธรรศพาเขาไปพบสูติแพทย์อยู่เป็นประจำตามกำหนด หาหยูกยาบำรุงตามคำหมอมาต้มให้เขาดื่มทุกคืนก่อนนอน ไหนจะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เต็มตาเต็มโต๊ะยิ่งกว่าเก่า เขาที่ท้องสามแล้วจึงพอมีความคุ้นชินอยู่บ้าง และทราบว่าคนท้องพอทำอะไรเองได้ กระนั้นประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขากลับใช้ไม่ได้กับพี่ธรรศเจ้าตัวหวงเขาหนักหนา จากที่เขาตั้งใจว่าจะลงเรือนไปกินข้าวในครัว ไม่ต้องให้ใครเดินขึ้นเดินลงเพื่อเก็บจานของคนเพียงคนเดียวแต่พี่ธรรศขอปฏิเสธ เป็นคนอาสาเดินหยิบมื้อเช้ากลางวันเย็นกระทั่งขนมมื้อดึกขึ้นมาให้ทุกวี่ทุกวันและการที่ทำเช่นนั้นได้แปลว่าพี่ธรรศต้องแบกงานกระทั่งพาลูกค้ามาคุยที่เรือน เขาเคยพูดคุยขำ ๆ กับเรื่องนี้กับคุณเลขานุการอย่างพี่ม่วง อีกคนก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เพราะต้องวางตารางใหม่ทั้งหมดข้ามวันข้ามคืนแทบไม่ได้นอน เขาจึงดุพี่ธรรศไปหนึ่งรอบจนต่อรองกันว่าจะไม่ฝืนธรรมชาติ ออกไปทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะเป็นครั้งคราวคิดถึงอดีตที่ผ่านมาร่วมหลายเดือนก็กลั้วหัวเราะ อย่างไรเขาก็ไม่ได้มองนิสัยนี้ของพี่ธรรศไปในทาง
กลิ่นหอมสดชื่นของพานพุ่มใบตองโชยมาจากท้ายขบวน เสียงพูดคุยของเหล่าเครือญาติและมิตรสหายแว่วมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดีปรีดา เหล่าพานมงคลไล่เรียงขึ้นมามีผลไม้ ขนม สินสอด และแหวนฝังเพชรเม็ดงามสองวงตั้งเด่นบนพานดอกไม้ใบน้อย เป็นสองแฝดน้องชายผู้ถือพานต้นกล้วยลอบมองเจ้าบ่าวในชุดผ้าไทยซึ่งระริกระรี้เป็นพิเศษภูวธรรศยิ้มแก้มแทบปริ กำพานธูปเทียนแพรแน่นขนัด ตระเตรียมขบวนในการเดินไปหาน้องเปลวบนเรือนกรรณิการ์ ทั้งที่คิดว่าใกล้วันงานจะได้นอนพูดคุยกับน้องเปลวเสียอีกแต่ไม่เลย เพราะแม่ดันบอกว่าพวกเขาต้องนอนแยกห้องกันไม่แค่ ๑ วัน ๓ วันแต่นานถึง ๗ วัน! น้องเปลวขั้นต่ำก่อนแต่งมานอนกับเขาสัปดาห์ละสองหนเชียวนะแม่นอกจากห้ามนอนด้วยกันในขั้นตอนลองชุด หรือลองเครื่องประดับก็ห้ามมอง ยิ่งทำกงการอะไรสองต่อสองยิ่งไม่ได้เลยเชียว เขาคิดถึงใจจะขาดอยู่แล้วขณะภูวธรรศกำลังใคร่ครวญถึงแม่วัวอยู่นั้นเองเสียงกู่ร้องก็ดังขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นตามด้วยเสียงกลองฉิ่งฉาบกรับฆ้องเป็นสัญญาณการเริ่มเดินขบวน พวกลูกน้องของเขาที่ได้วันหยุดมาหนึ่งวันก็คล้ายเป็นวันปล่อยผี เต้นกันไม่เกรงใจเจ้าบ่าวหน้าขบว
“อึก! อืออ...”ฝ่ามือสีน้ำผึ้งกำแน่นอยู่บนลาดไหล่กว้าง ส่งเสียงร้องครางอยู่ข้างใบหูพ่อเสือเมื่อสะโพกอวบกำลังถูกกดลงต่ำสวนทางกับแก่นกายยักษ์เต้นตุบที่เข้าปากทางย้อนขึ้นมากระทุ้งผนังอ่อนชวนให้รู้สึกจุกเสียว“เอ็ง...อึก...รัดแน่นเกินไปแล้ว”“อ๊ะ! พี่ อื้อ!”ภูวธรรศกัดฟันชะลอแรงเกรงว่าจะทำน้องเปลวเจ็บ กระนั้นภาพที่ฉายบนดวงตากลับเร่งเร้าเขาเสียอย่างนั้น แม่วัวหรี่ตามองน้ำตาคลอเบ้าขมวดคิ้วมุ่นพร้อมหน้าแก้มขึ้นริ้วแดงชวนมอง ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวคมเขี้ยวที่คันมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่วายเข้าไปขบเม้มหน้าแก้มกลมกลึงเปลวด้วยความตกใจจึงตัวกระตุกกดสะโพกลงไปจนสุดโคน ปลายป้านกระแทกเข้าผนังอ่อนชนต่อมน้ำคาวอย่างจังจนส่วนหน้าเผลอเสร็จสมอย่างเป็นไปเอง แม่วัวหอบหายใจหนักก่อนจะขอเปลี่ยนแขนไปคล้องลำคอหนาบดเบียดอกอวบอ้อนขอรสจูบปลอบประโลมอีกครั้ง“อือ...”กลิ่นไม้กฤษณาตลบอบอวลอยู่ในโพรงจมูก มันไม่ได้ชวนอึดอัดจนหายใจไม่ออกหรืออยากจะถอนเรียวลิ้นออกเลยแม้แต่น้อย กลับหอมอย่างเข้มขลังดึงดูดให้เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อย่างแยบยล“เอ็งยังเจ็บอยู่ร