Share

บทที่ ๓ ผ่านไปเร็ว

ภูวธรรศเปลี่ยนลูกข่างไปจนครบ เหวี่ยงเชือกแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแต่น้องวัวน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อเลยสักนิด ยิ่งเป็นลูกข่างซึ่งวาดลวดลายสีสันยิ่งจ้องมองไม่วางตา เขาจำได้ว่าตัวเองเล่นแป๊บ ๆ ก็เบื่อแต่ไม่ใช่กับน้องเปลวเลย

บ้านของโคน้อยย้ายมาจากต่างจังหวัด เข้ามาเช่าหนึ่งในบ้านหลังที่เขาเป็นเจ้าของ บ้านหลังนั้นไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป พอดีกับขนาดครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก จากการแต่งตัวน่าจะพึ่งมาเริ่มมีฐานะเมื่อไม่นานมานี้ จากการถามน้องเปลว น้องเจ้าเล่าว่าเมื่อก่อนปลูกกระท่อมทำเถียงนาอยู่กันเล็ก ๆ จนเมื่อมีคนมาขอซื้อที่ด้วยจำนวนเงินมากมายมหาศาลบ้านน้องเปลวจึงคิดย้ายเข้ามาเริ่มต้นใหม่ในตัวเมืองเหนือซึ่งเส้นทางก็ไปได้ดีไม่มีติดขัด

“วันนี้น้องขอไปเล่นบ้านที่ธรรศได้ไหมจ๊ะ?”

“ได้สิ แต่แม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”

ส่วนที่เขาเล่นอยู่ประจำคือลานดินหน้าบ้านน้องเปลว หากจะไปบ้านคนอื่นต้องขอผู้ใหญ่เสียก่อน แต่มาขอปุบปับแบบนี้ไม่รู้มารดาจะอนุญาตหรือไม่ยิ่งเป็นสุคนธ์เสียด้วย

“ฉันขอแม่ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะจ๊ะ”

“แบบนี้น่าจะบอกพี่แต่แรกสิ จะได้พาไปนั่งกินขนม ตากพัดลมเย็น ๆ”

“น้องอยากเล่นข้างนอกก่อน มันปลอดโปร่งดีจ้ะ”

ภูวธรรศในวัยเยาว์มองน้องวัวน้อยลุกขึ้นเดินตามหางสีขาวขนฟูมาติด ๆ ยิ่งมองยิ่งหลงโดยเฉพาะตากลมแป๋วนั่นที่จ้องนาน ๆ ไม่เคยได้เลยสักครั้ง

“เอ็งชอบที่กว้าง ๆ เหรอ?”

“จ้ะ บางครั้งฉันก็คิดถึงบ้านเก่า”

ธรรศคิดตาม น้องเปลวที่เคยชินกับการได้วิ่งเล่นในทุ่งนาโล่งกว้างคงจะรู้สึกอึดอัดน่าดูเมื่อต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในศูนย์กลางจังหวัดที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางคับแคบ

หากเป็นไปได้สักวันเขาอยากจะพาเจ้าตัวไปเที่ยวหรือไม่ก็หาที่ดินผืนกว้างสักผืนปลูกเรือนท่ามกลางทุ่งดอกไม้ให้เป็นของขวัญแก่ว่าที่คู่ชีวิตในอนาคต

“แม่จ้ะ น้องเปลวมาเล่นที่บ้านนะ”

“ตายจริง เราไปนั่งรอที่ระเบียงได้เลยนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ยกเอาของว่างไปให้”

แม่บ้านหูกระต่ายตกใจที่จู่ ๆ เด็กน้อยก็มา เขายังไม่ทันได้เตรียมอะไรรอเอาไว้เลย รู้แบบนี้เมื่อเช้าน่าจะฝากพ่อออกไปซื้อขนมถาดมาสักหน่อย

“รุตกับสินก็ไปเล่นกับน้องเขาด้วยสิลูก”

“ไม่ล่ะจ้ะ ฉันว่าจะไปตำหนักพ่อ”

“ฉันก็จะไปด้วยคนจ้ะ!”

ที่สองหนุ่มไม่ไปเล่นกับน้องเปลวไม่ใช่อะไร เพราะไอ้ธรรศมันไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามกับคู่มันแม้แต่พี่น้องน่ะสิ น้องเปลวก็นิสัยน่ารักจิตใจอ้อมอารีแท้ ๆ จะขอนั่งเล่นคุยด้วยไม่ได้เลยหรืออย่างไร เฮ้อ...ขี้งก

คุณแม่เดือนหูกระต่ายในผ้ากันเปื้อนมองลูกสองคนจูงมือพากันเดินไปตำหนักพ่อก็ถอนหายใจ เด็ก ๆ คิดเป็นจริงเป็นจังเรื่องคู่ครองตั้งแต่ยังอายุเลขหนึ่งแบบนี้มันดีแล้วหรือ แต่พี่ภาสก็บอกว่าลูก ๆ จะได้มีเวลาเตรียมใจ เขาก็กังวลว่าไอ้ตระเตรียมใจที่ว่านั่นจะมันจะหนักหนาสักแค่ไหนกันเชียว 

“แม่ออกไปซื้อขนมไม่ทัน ทานผลไม้ไปก่อนนะจ๊ะ”

“ขอบคุณมากเลยจ้ะ”

เสียงน้องโคน้อยกล่าวขอบคุณเป็นที่ชื่นใจของมารดากระต่ายป่า เขามองแล้วก็แสนจะเอ็นดูถ้ามีเด็กน่ารักแบบนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านบรรยากาศคงอบอวลฟูฟ่องใช่ย่อย

ภูวธรรศมองน้องกินแตงโมแก้มพองเป็นก้อนกลมก็พึงพอใจ เขาอยากจะพูดออกไปว่าเราคือคู่กันแต่ยังทำไม่ได้ตามคำสั่งพ่อที่ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลอง การรู้ก่อนไม่ได้แปลว่าจะเข้าไปแทรกแซงได้ แต่ถ้าแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

“เปลว”

“จ้ะ?”

“ถ้าพี่...อยากจะขอ...หมายถึง...เอ่อ...”

ธรรศคิดว่าทำไมสิ่งที่อยู่ในหัวคิดวนมาเป็นร้อยรอบพันรอบมันถึงพูดออกมายากขนาดนี้กันนะ หรือการที่เขากล่าวออกมาแบบนี้จะดีจริงหรือเปล่า

เปลวผินหน้ามาสบตามองพี่ธรรศที่ใบหน้าดูจะขึ้นเป็นริ้วแดงประกอบกับหูหางที่ลู่ไปด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าพี่ธรรศจะขออะไร แต่ถ้าเขาทำได้ก็ยินดีจะช่วยเหลือ

วัวน้อยยังคงจดจ้องพี่ชายเสือดาวหิมะ เขาตั้งแต่มาที่นี่ก็มีพี่ชายเสือคอยเป็นเพื่อนเล่นรวมไปถึงเป็นที่ปรึกษา เพราะเป็นสุคนธ์จึงไม่สามารถออกไปร่ำเรียนในโรงเรียนได้อย่างใครเขา ต้องเรียนทุกอย่างอยู่ที่บ้านโดยมีครูเข้ามาสอนตั้งแต่เรื่องในตำรารวมไปถึงเรื่องในครัวเรือน งานเย็บปักถักร้อยกรองมาลัย และพี่ธรรศก็มักจะเอาเรื่องสนุก ๆ จากที่โรงเรียนมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ

จนจากความรู้สึกสนิทอย่างพี่น้องเริ่มกลายเป็นอย่างอื่นที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน เพียงแค่อย่างอยู่ด้วยกัน อยากฟังเสียงพูดไปเรื่อย ๆ หรือบางทีก็อยากเข้าไปใกล้ชิดมากกว่านี้

“พี่คือ...อีกสามปีข้างหน้า...”

หางขนขาวฟูตวัดมาอยู่ข้างหน้า โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้รู้ตัวปลายหางมันกลับไปวางอยู่บนตักน้องวัวน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสียอย่างนั้น

“พี่ธรรศจ๊ะ”

เจ้าของชื่อในตอนนี้สั่นเกร็งเกินกว่าจะเอ่ยปากพูด เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวมันน่าเขินอายเกินกว่าจะพูดออกมา ไหนจะหางเจ้ากรรมที่ดันยาวเหยียดจนมันส่ายไปวางบนผ้าถุงสั้นอย่างเป็นไปเอง ซ้ำยิ่งมีอาการตื่นตระหนกขนเขินอะไรล้วนพองฟูขึ้นกว่าเก่า

“ฉันขอลองจับได้ไหมจ๊ะ?”

“ดะ...ได้สิ”

เอาเป็นว่าธรรศในตอนนี้ขอพักในการพูดคำคำนั้นออกไปก่อน แล้วมาตั้งใจควบคุมหางไม่ให้มันกระดิกส่ายไปมากกว่านี้จะดีกว่า

ฝ่ามือสีน้ำผึ้งนุ่มนิ่มจับสัมผัสหางขนฟูอย่างแผ่วเบาก่อนจะตาลุกวาวเมื่ออุ้งมือจมลงไปกับขนยาวสีขาว มือเล็ก ๆ คู่นั่นละเมียดเกลี่ยขนอย่างเพลิดเพลิน ธรรศที่มองน้องวัวน้อยตาเป็นมันยิ่งใจสั่น คนเราจะน่ารักก็ให้มันมีขีดจำกัดบ้างสิ

เขาปล่อยให้หางตนเองอยู่บนตักนั้นตลอดช่วงเที่ยงจนตกบ่าย กินมื้อเที่ยงสนทนาเล่นกันบนโต๊ะเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย ต่อให้จะลุกไปเข้าห้องน้ำเมื่อกลับมาเขาก็เลือกจะวางหางเอาไว้บนตักน้องอยู่ดี ไม่ใช่แค่เห็นว่าวัวน้อยชอบแต่เขาก็ชอบไม่ต่างกัน

“เปลว”

มาจนตกเย็นตอนนี้เขาว่าตัวเองรวบรวมความกล้ามาได้มากพอจะสารภาพออกไปแล้วล่ะ

“จ้ะพี่?”

เปลวเงยหน้าขึ้นมามองเพราะตอนนี้พวกเขาย้ายเข้ามานั่งในบ้านกันสองคนเพราะแดดบ่ายส่องโดนระเบียง

“พี่รักเอ็ง”

ธรรศพูดมันออกไปได้แล้ว แต่ผลของมันคือไอร้อนผ่าวบนหน้าที่ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาเดาได้เลยว่าภาพที่ออกมาคงจะตลกมากเป็นแน่จึงก้มหน้างุด ๆ หลบเลี่ยงการมอง

เปลวที่ได้ยินคำนั้นเข้าไปก็ตกใจใบหูกระตุก หันหน้าหนีไม่ต่างกัน เขาไม่คิดเป็นจริงเป็นจังมาก่อนว่าพี่ธรรศจะมาชอบคนบ้านนอกคอกนาอย่างเขา แม่เองก็บอกกับปากว่าบ้านเหมบำรุงที่เขามาเช่าที่อยู่นั้นรวยล้นฟ้า เขาจึงคิดไปว่าหากคนอย่างพี่ธรรศจะหาคู่ครองสักคนคงต้องเป็นคนระดับเดียวกันเป็นแน่...แต่...กับเขาน่ะเหรอ

“เอ็งไม่ต้องกังวล พี่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”

“พี่หมายถึง...”

เปลวยังคงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ด้วยความตกใจ เขาจินตนาการไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร 

“ถ้าเอ็งอายุถึงเมื่อไหร่ พี่จะไปขอนะ”

มันเป็นคำสัญญาที่เปลวในวัยเด็กไม่รู้แน่ชัดว่ามันหนักแน่นเพียงใด พี่ชายที่โตกว่าถึงสี่ปีมาพูดให้คำมั่นแบบนี้ หากเขาโตพอและอยู่ในวัยเดียวกันจะรู้ถึงความลึกซึ้งของมันมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่นะ

“จ้ะ ฉันจะรอนะจ๊ะ”

ในวันนั้นน้องวัวน้อยยิ้มแย้มแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อชวนน่ารักก่อนที่เขาจะอาสาเดินไปส่งเพราะมันเริ่มเย็นแล้ว

ไม่คิดมาก่อนเลยว่าการกระทำนั้นมันจะย้อนกลับมาแทงตัวเอง เมื่อจู่ ๆ เขากลับถูกโชคชะตาเล่นตลก ไม่กี่เดือนต่อมาข้างบ้านเขาไร้ซึ่งคนอาศัยอยู่พร้อมป้ายประกาศเช่าที่ถูกนำกลับมาตั้งไว้ตามเดิม

*ตึง! ตึง! ตึง! ปึง!* เสียงเดินขึ้นบันไดตึงตังไล่มาตั้งแต่หน้าบันไดจนเปิดประตูบ้านเข้ามา ภูวธรรศในชุดนักเรียนซึ่งได้ไปเห็นป้ายปล่อยเช่าข้างบ้านมาหมาด ๆ อารมณ์ฉุนเฉียวเดินไปทิ้งตัวนั่ง ณ โต๊ะทานข้าวข้างผู้เป็นบิดา

“พ่อรู้อยู่แล้วใช่ไหม?”

“พ่อพูดทุกอย่างที่รู้ไม่ได้”

“อย่างน้อยก็ใบ้มาหน่อยก็ได้นี่!”

ตอนนี้เขาโกรธมากแต่จะไปลงกับใครมากก็ไม่ได้อีก มันช่างน่าโมโหที่จู่ ๆ เจ้าน้องก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วเขากว่าจะตามหา ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอ นานแค่ไหนกว่าเขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีเงินจ้างนักสืบเอง อย่างไรหากจะยืมบิดาคงไม่ยอมให้หรอก

“พ่อก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเอ็งจะได้คนมีตำหนิ

เอ็งนั่นแหละคิดยังไงไปสัญญาเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ”

ธรรศไม่มีคำจะโต้เถียง มันเป็นที่รู้กันดีว่าที่พ่อบอกพวกเขาล่วงหน้าแบบนี้คือให้เวลาทำใจถึงอนาคตที่ไม่ได้เป็นดั่งใจ รวมไปถึงเรื่องราวกะทันหันแบบนี้ด้วยเช่นกัน

“เอ็งไม่ต้องกลัว สุดท้ายสิ่งที่สมควรเป็นของเอ็งจะกลับมาโดยที่เอ็งไม่ต้องพยายามอะไรให้เปลืองแรง”

“...”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

แน่นอนว่าคนอย่างภูวธรรศไม่มีวันตัดใจง่าย ๆ อย่างไรสิ่งที่พ่อพูดมันก็เป็นเพียงคำพยากรณ์ แม้มันจะจริงทุกครั้งแต่โอกาสพลาดใช่ว่าจะไม่มี

เมื่ออายุย่างยี่สิบซึ่งเขาได้รับสืบทอดมรดกและลูกน้องจำนวนหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำคือการส่งคนออกตามหาตัวน้องเปลว ไม่ว่าใครที่มองมาก็คงคิดว่าการกระทำของเขามันไร้สาระ เลือกทุ่มเททั้งกายใจไปกับสิ่งที่หาความเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างความรักมันช่างโง่เขลาสิ้นดี แต่แล้วอย่างไร นี่มันชีวิตเขา หากที่ลงทุนลงแรงไปมันจะไม่ได้อะไรกลับมาเขาก็พร้อมยอมรับมัน

ภูวธรรศวัยแตกเนื้อหนุ่มสวมแว่นกันแดดลงมาจากเบาะคนขับเดินตรงเข้าไปยังอาณาเขตก่อสร้างห้างร้านของไอ้รุตซึ่งยืนหน้าแป้นแล้นอยู่ข้าง ๆ ดูท่าจะตื่นเต้นมากกับการลงทุนครั้งแรก

“เอ็งถือช่อดอกไม้มาทำไม?”

“จะเอาไปให้พี่ชาติ”

“กูได้ยินคนในนั้นพูดกันว่าเขาไม่ชอบดอกไม้นะ”

“แต่เมื่อวานเขาบอกกับกูเองเลยนะว่าชอบ”

“เอ็งโดนต้มแล้ว”

ไอ้รุตหน้าหมองในทันควันกับช่อดอกเบญจมาศสีขาวที่เหี่ยวหดตามอารมณ์คนถือ ผ่านมาจนถึงตอนนี้อีกสองคนเจอคู่ตัวเองหมดแล้วแต่ไอ้เขาที่จำหน้า จำน้ำเสียงได้แม่นกลับยังหาข่าวคราวไม่เจอ ไม่รู้ว่าย้ายไปไหนไกลหรือนั่งเรือออกนอกประเทศไปแล้วหรือเปล่า

เขารู้สึกขุ่นเคือง เขาแก้อะไรไม่ได้เลยเหรอ หรือต่อให้หาเจอก็ใช่ว่าเขาจะสามารถเข้าไปก้าวก่ายชีวิตได้มากมายนัก แต่เขาคิดจริง ๆ ว่าตัวเองอาจจะอดทนรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ บางทีเขาก็อยากลองฝืนชะตา เมื่อใดที่รู้ว่าน้องเปลวอยู่ไหนเขาจะรีบรุดหน้าไปหาทันที

“นายครับ”

“มีอะไร?”

ภูวธรรศซึ่งยืนมองอาคารก่อสร้างหันลงไปมองลูกน้องหูหนูที่เดินเข้ามาทักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงกระซิบแผ่วเบาท่ามกลางความวุ่นวายของคนงานกรรมกร ทว่าเมื่อแรกเสียงนั้นเข้าสู่โสตประสาทคล้ายว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่งไป

เขาคิดเพียงว่าน้องเปลวย้ายออกไปด้วยเหตุบางประการ อาจเป็นเรื่องการเงินหรือเหตุผลส่วนตัวแต่ไม่คิดถึงขั้นนี้

แต่คนที่สมควรมายืนอยู่ข้างกายเขากลับถูกขายให้บ้านอื่นไปแล้ว

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status