Share

บทที่ ๒ เกี่ยวพัน

อิงตามกฎของธรรมชาติไล่จากผู้แข็งแกร่งสู่ผู้ที่อ่อนแอ เจ้าป่าย่อมมีชัยเหนือสัพพะสัตว์ทั้งปวง

บ้านเหมบำรุงขึ้นชื่อว่ามีทรัพย์สินมากมายเกินกว่าจะนั่งนับด้วยนิ้วของคนร้อยคน ด้วยผู้นำตระกูลสืบสายเลือดมาจากเสือดาวหิมะอันเป็นที่น่ายำเกรง

กระนั้นการส่งต่อเงินทองมากมายที่มีไปยังรุ่นสู่รุ่นจึงเป็นเรื่องยากเนื่องจากการหาแม่พันธุ์มาเป็นตัวกลางยากแสนยาก ทว่าสุดท้ายด้วยความพยายามไม่ว่าจะด้วยพลังเงินตราหรือพลังไสยศาสตร์จึงออกมาเป็นทายาทจำนวนสามคนซึ่งกุมอำนาจบริวารเอาไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือคนนอกตระกูล

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

“น้องสิน พี่มาหาแล้วนะจ๊ะ”

เสียงลั้นลาอย่างคุณชายอารมณ์ดีเปิดประตูตำหนักเข้ามาหาน้องแฝดคนรองอย่างไม่ถือตัว ภูวธรรศมองห้องโอ่โถงประดับประดาไปด้วยของขลังในโหลแก้ว เชิงเทียน บายศรีและสายสิญจน์พันรอบเสา

“ขนลุกว่ะ”

“กูก็พอกัน”

“แล้วพูดเพื่อ?”

“ได้ยินว่าน้องเปลวชอบคนพูดเพราะ”

เดินมือล้วงกระเป๋าเมียงมองข้าวของใช้แปลกตาต่อล้อต่อเถียงกับน้องรองซึ่งเป็นพ่อครูสืบวิชาของบิดามาเพื่อสืบทอดตำหนักหิรัณย์ หน้าตาไอ้หมอนี่เหมือนกันอย่างกับเขาและน้องอีกคนอย่างกับแกะ ถ้าไม่นุ่งห่มขาวหรือสักยันต์ทั่วตัวก็คงแยกไม่ออก

*แอ๊ด* เสียงบานประตูไม้เก่าแง้มเปิดชวนให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างธรรศต้องชะโงกหน้าเอียงคอไปดูยังประตูข้างตู้เศียรครูจึงเห็นว่าวันนี้น้องชายอีกผู้หนึ่งก็มาด้วย

รุต น้องชายคนสุดท้อง สถานะเป็นเจ้าของห้างธนเลิศและหุ้นส่วนสถานบันเทิงยามราตรีร่วมกับพวกเขา

“พวกเอ็งจะมาทำไมวันนี้พร้อมกัน”

“กูจะมาดูดวง”

“กูจะมาเสริมเสน่ห์”

“พวกเอ็งเห็นตำหนักกูเป็นอะไรวะ”

ตำหนักหิรัณย์ขึ้นชื่อเรื่องทำเวทคุณไสยและของปลุกเสก ใครก็ตามที่ได้ไปล้วนกล่าวกันปากต่อปากว่าเรือนหลังนี้มีของชั้นดีซ่อนไว้ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อครูยังคัดเลือกคนที่จะได้รับของชิ้นนั้น ๆ ไปกับตัว ดังนั้นคนที่มีโอกาสได้เข้ามาใกล้ชิดแล้วหยิบยืมความสามารถทางไสยศาสตร์ไปจากที่นี่นั้นมีน้อยเพียงหยิบมือ

แต่พวกมึงที่มีสิทธิ์เข้าออกตามใจกลับเข้ามาดูดวงกับเสริมเสน่ห์ต๊อกต๋อยเนี่ยนะ!

“กูอยากรู้ว่ากูกับน้องเปลวจะมีโอกาสเร็ว ๆ นี้ไหม”

“พ่อก็เคยบอกแต่เด็กแล้วไม่ใช่เหรอว่าได้แน่ เอ็งจะกังวลทำไมวะ”

แฝดพี่แฝดน้องต่อล้อต่อเถียงโดยมีพ่อครูแฝดคนรองนั่งขัดสมาธิกอดอกมองเจ้าสองตัวมันทะเลาะกันอย่างเอือมระอา เพราะแบบนี้เขาถึงไม่อยากให้มาพร้อมกันสองคน

“เอ้า! ไอ้รุต กูก็อยากเข้าหอเร็ว ๆ ไหมวะ”

“หวังเมียชาวบ้านมันคงเร็วนักหรอก!”

“เอ๊ะไอ้นี่! กะหรี่ชมว่าหล่อหน่อยทำเป็นเหลิงเหรอวะ!”

“พวกเอ็งสองตัวหยุดทะเลาะกันได้ไหม”

“ไอ้คนเมียไม่รักอยู่นิ่ง ๆ ไปเลย!”

“ถ้าพวกมึงยังไม่อยากโดนกุมารกูเล่นก็หุบปากแล้วไสตูดไปนั่งดี ๆ เดี๋ยวนี้”

“ครับ...”

จากการประสานเสียงด่ากลายเป็นพี่น้องเสือต้องมานั่งขด ๆ เก็บหูเก็บหางอยู่มุมห้องรอแฝดคนรองตระเตรียมสถานที่

พวกเขาใช่ว่าจะตีกันทุกครั้งที่เจอหน้าแต่มันแค่หมั่นไส้ขำขันตามประสาพี่น้องที่เกิดมาหน้าเหมือนกันเด๊ะ ทว่าอย่างไรพวกเขาก็คงไว้ซึ่งสำนวนยามศึกเรารบ ยามสงบเราตบกันเอง

ในตอนที่น้องรองมันหาเมียมาแต่งเข้าบ้านได้เป็นตัวเป็นตน แฝดพี่อย่างเขาก็เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจถึงจะรู้ทั้งบ้านแล้วก็ตามถึงลำดับการได้เมียมาจากปากพ่อซึ่งเป็นอดีตพ่อครูก็ตาม แต่คนมีเมียเท่ากับคนน่าอิจฉา คนน่าอิจฉาเท่ากับคนน่าหมั่นไส้

เอาไว้เขาได้น้องเปลวมาเป็นเมียเมื่อไหร่นะ จะอวดตั้งแต่เช้ากลางวันเย็นเลยคอยดู

ธรรศมองข้าวของบนเรือนก็พลอยคิดถึงคำที่พ่อเคยบอกกับพวกเขาทั้งสามถึงเรื่องความรัก กล่าวคือชีวิตในทุกด้านจะดีเว้นเสียแต่อุปสรรคทางด้านความรักที่ต้องลำบากตรากตรำถึงจะได้เพชรเม็ดงามมาครอบครอง มันไม่เป็นการยากที่พ่อจะบอกวิธีการแก้เคล็ดหรือชี้แนะแนวทางอันโรยด้วยกลีบกุหลาบ กระนั้นทุกคนเกิดมามีกรรม การหลบเลี่ยงสิ่งที่ควรเผชิญในชาตินี้มีแต่จะไปส่งผลในภายภาคหน้า และพวกเขารู้กันดีว่าหากโชคชะตาเอาคืนเมื่อไหร่ มันหนักกว่าที่ควรเป็นร้อยเท่าพันเท่า

“ของไอ้รุตมันนาน ไอ้ธรรศมาก่อน”

เสียงแฝดรองเอ่ยเรียกพี่ชาย ธรรศจึงเชิดหน้าชูตาเหยียดมองน้องชายให้หมั่นไส้เล่น ๆ ก่อนจะไปนั่งหน้าเจ้าน้องรอคำทำนาย ด้วยว่าเป็นพี่น้องกันและมาบ่อยเป็นนิจ เจ้าสินมันจึงมีข้อมูลส่วนตัวครบทุกอย่าง แค่ยื่นมือไปให้มันดูและรอมันเขียนตรวจทานดวงดาวเพียงครู่ก็ได้แล้ว

“ทุกอย่างคล้ายเดิม”

“ไม่มีอะไรแนะนำหน่อยเหรอ?”

“เอ็งรีบประจบน้องเขาไปก็ดูไม่มีอะไรดีขึ้นใช่ไหมล่ะ”

ภูวธรรศเศร้าสร้อย ที่เขามาเพราะคิดว่าอยากจะรีบเร่งเขยิบความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกก้าวแท้ ๆ เชียว

“แต่มีคำเตือน”

“หือ?”

“ระวังเจ้ากรรมนายเวรเอาไว้ ไม่ใช่ของเอ็งแต่เป็นว่าที่เมียเอ็ง รีบกำจัดออกไปได้ยิ่งดี”

“ต้องทำพิธีขับไล่ไหม?”

“มันมาในรูปคน จัดการด้วยวิธีทางโลกได้ สืบประวัติเมียเองดูแล้วจะรู้เองว่าเป็นใคร”

“ขอบใจ”

“จ่ายค่าครูด้วย ไปหยอดตู้ตรงนั้น”

ธรรศยิ้มแหยงไอ้นี่ก็มีเงินทองใช้เหลือเฟือยังจะมาขูดรีดพี่น้องร่วมสายเลือดอีก แต่ว่าไม่ได้ ตำหนักนี้ต้องแลกด้วยบางอย่างที่สมน้ำสมเนื้อ พี่ชายจึงไม่มีทางเลือกควักกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรมายอดลงตู้

ต่อไปตาของเจ้ารุตที่มันไปหลงรักพ่อเล้าเจ้าของซ่องในเขตการดูแลตัวเอง กินในบ้านแบบนี้เค้าลางไม่ค่อยดีในสายตาเขาเท่าไรหรอก แต่เขาอย่าพึ่งไปห่วงคนอื่นเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า

“ไอ้ธรรศ”

“มีอะไรอีกล่ะ?”

ไอ้สินมันเรียกขณะกำลังตวัดขาเดินลงจากตำหนัก ปกติมันไม่เคยเป็นแบบนี้นี่

“จะเอาคนนี้จริงเหรอวะ”

“ก็เออสิ”

“ตามใจ”

ภูวธรรศไม่ได้ใส่ใจกับคำทักมากนัก เพราะถึงจะไม่ได้ร่ำเรียนเป็นจริงเป็นจังแต่ก็พอรู้มาบ้างถึงไสยศาสตร์การทำนาย มันกำลังจะบอกว่าสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดย่อมได้มาอยู่กำมือยากเป็นธรรมดา และคำว่าสมบูรณ์แบบ ไม่ได้หมายถึงความบริสุทธิ์แต่คือคนที่เข้ากับดวงชะตา มีสิ่งที่เรียกว่าคู่ชีวิต และคำที่สูงส่งกว่าคืออีกครึ่งชีวิตซึ่งการจะได้มานั้นต้องผ่านบททดสอบมากมายเพื่อแลกมา

คิดแล้วนึกขำ ไอ้สินมันออกปากบอกเขาแต่ไม่ส่องกระจกดูตัวเองเลยว่ามันก็เลือกเดินในเส้นทางเดียวกัน

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

กิจวัตรของภูวธรรศในวัน ๆ หนึ่งนั้นคือการตื่นเช้ามาทำธุระส่วนตัวก่อนออกมาตรวจงานรับเหมาและตรวจสอบโครงการอื่น ๆ ในการดูแล เมื่อก่อนเขาชอบที่จะออกไปลงพื้นที่มากกว่าแต่พอน้องเปลวมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ขาเจ้ากรรมมันดันอยากมานั่งไขว่ห้างตรวจเอกสารอยู่ยังโถงรับแขกเสียอย่างนั้น

อันที่จริงมีตลาดสามแห่งซึ่งเขาเป็นเจ้าของแต่เรื่องเก็บค่าแผงเขาจ้างลูกน้องไปดูแลแทน เพราะการได้นั่งจิบกาแฟร้อนในบรรยากาศลมเย็นสบายพร้อมมองแม่วัวน้อยปัดกวาดเช็ดถูเรือนไปนี่มันเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างยิ่งเลยเชียว

เขารู้สึกว่าตัวเองลำบากมากในการดึงหน้าให้ตึงเปรี๊ยะอยู่ตลอดเวลา หากทำตัวเซ่อซ่าเข้าละก็น้องเปลวอาจนำเรื่องที่เขาจริง ๆ เป็นคนนิสัยขี้ใจอ่อนเหลวเป๋ว ไม่ได้เคร่งขรึมอย่างที่แสดงออกต่อหน้าไปบอกผัวละก็ตำแหน่งเจ้าหนี้อาจสั่นคลอน ลดอำนาจการต่อรองลงมาก็ได้

“คุณธรรศจ๊ะ มีตรงไหนที่อยากให้เช็ดอีกไหมจ๊ะ?”

เปลวเดินถือผ้าขี้ริ้วมาโน้มตัวถามด้วยความสุภาพ คนเป็นเจ้านายจึงตัวกระตุกกาแฟกระฉอกเล็กน้อย

“ไม่...ไม่มีแล้ว เอ็งไปพักเถอะ”

“จ้ะ”

เมื่อเห็นแม่โคน้อยเดินลงบันไดไปก็รีบวางแก้วกาแฟมานั่งก้มหน้าหวีดร้องอยู่ในใจคนเดียว

เมื่อสักครู่ในตอนที่เจ้าน้องโน้มตัวลงมาสายตาเขากลับไม่ได้สบตามองหน้าแต่ดันเผลอไปมองสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเสียได้

*เพียะ!* ธรรศเลือกที่จะตบหน้าตัวเองเรียกสติที่ฟุ้งซ่านกลับคืนมา รู้ ๆ อยู่ว่าการไปมองแบบนั้นมันบัดสีแค่ไหน แต่...ก็สมกับที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่วัวจริง ๆ

*เพียะ!* สงสัยครั้งเดียวมันจะไม่พอ คุณชายภูวธรรศตบแก้มอีกครั้งจนมันแดงเสมอกันทั้งสองฝั่งพลางนั่งประสานมือมองออกไปยังท้องฟ้าโล่งกว้างให้จิตใจได้ซึมซับกับธรรมชาติ โดยหวังให้ความคิดดำมืดค่อย ๆ เจือจางลงจากเสียงนกร้องและเสียงลมพัด

“เฮ้อ...”

จากที่ไปดูดวงมาเมื่อเช้า เขาจึงเริ่มคิดเรื่องสืบประวัติน้องเปลวจริงจังอีกครั้ง เขารู้เรื่องราวชีวิตผ่านการทำนายของบิดามาล่วงหน้าหลายปี เรียกว่าได้เปรียบในหลาย ๆ ความหมาย เขามีเวลาเหลือเฟือในการเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับอนาคต ทว่าทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบมาจนกระทั่งเรื่องคู่ชีวิต

พลาดไปเพียงเสี้ยวจังหวะเดียว เอ็งก็กลายเป็นของคนอื่นเสียแล้ว

จนเมื่อพยายามข่มใจไม่ให้นึกย้อนถึงอดีตอันแสนหวานที่มีร่วมกันและกำลังจะยอมแพ้ เอ็งกลับมาหาอีกครั้งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นเวลากว่าหกปีที่ไม่ได้เจอกัน พี่หวังว่าเอ็งจะยังจำกันได้แม้เพียงนิดแต่ไม่เลย...

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

“ธรรศลูก วันนี้ไม่ไปเล่นกับน้องเขาเหรอ?”

เสียงมารดาหูกระต่ายเอ่ยเรียกแฝดชายคนโตซึ่งคล้ายจะเดินกลับเข้าห้องนอนทันทีหลังทานมื้อเช้าเสร็จแทนที่จะลงไปวิ่งเล่นกับน้องข้างบ้านที่สนิทกันมาตั้งแต่ยังเล็ก

“น้องบอกอยากเล่นลูกข่าง เลยจะขึ้นไปเอาจ้ะ”

ภูวธรรศในวัยสิบเจ็ดยังไม่ผ่านพิธีซ่อนสังขารส่ายหางดุ๊กดิ๊กยิ้มดีใจขณะสนทนากับมารดา แล้วจึงรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อค้นกรุของเล่นในกล่องเก่าเก็บ

บ้านหลังนี้ไม่ใช่เรือนไทยแต่เป็นบ้านสองชั้นอิงตามแบบโคโลเนียล ผนังมีสีอ่อนตัดกับพื้นไม้สีเข้ม บานประตูหน้าต่างประดับเส้นลูกฟักเรียบหรู ทรงหลังคาสีทรงจั่วปั้นหยาปูด้วยกระเบื้องว่าวประกอบกับไม้ฉลุลาย มองจากภายนอกไม่มีใครไม่รู้ถึงฐานะอันมั่งคั่งร่ำรวย

“ฉันว่าไอ้ธรรศมันออกหน้าออกตาเกินไปแล้วนะรุต”

“ก็เนื้อคู่เล่นมาเช่าที่อยู่ข้างบ้านเลยนี่”

มารุตเคี้ยวข้าวไข่เจียวในปากหงุบ ๆ กับพี่คนรองที่นั่งหรี่ตามองพี่ชายฝาแฝดตนวิ่งลงมาพร้อมลูกข่างเต็มมือประหนึ่งจะเอาไปเล่นกับคนทั้งหมู่บ้าน

พวกเขารู้มาก่อนว่าจะได้ใครรูปร่างลักษณะนิสัยแบบไหนมาเป็นคู่ชีวิต ต่างกันก็แค่ระยะเวลาการพบเจอ และคนที่มีโอกาสทำคะแนนเป็นคนแรกคือภูวธรรศพี่ใหญ่ของบ้าน พอวันหนึ่งที่บิดากลับจากการไปตกลงทำสัญญาเช่าที่ก็มาเรียกตัวแฝดคนโตออกไปดูหน้าบ้านพร้อมชี้ปลายนิ้วไปยังลูกวัวน้อยในชุดผ้าสีชมพูกลีบดอกบัวพลางกล่าว

‘คนคนนั้นแหละ คู่ของเอ็ง’ ทันทีเมื่อเด็กคนนั้นเหลือบตามามองเพียงแค่แรกพบก็พลอยทำให้รู้สึกเนื้อตัวเบาหวิวก่อนจะตามด้วยไอร้อนที่ค่อย ๆ ถูกปลุกปั้นจากกลางอกขึ้นมายังใบหูและหน้าแก้ม ในคืนนั้นเขาไม่อาจลืมภาพเมื่อครั้งสบตาได้เลย

ผิวสีน้ำผึ้งต้องแสงอาทิตย์ ลอนผมหยักศกถูกถักเป็นเปียยาว เครื่องหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดู และการแต่งกายเรียบร้อยน่ามอง

นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบสิบปีทั้งสองคนก็สนิทสนมกันมากกว่าพี่น้องแท้ ๆ เสียอีก วันหยุดหนึ่งวันของภูวธรรศคือการอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันลงมากินข้าวและไปเล่นไปคุยกับน้องวัวน้อยข้างบ้านก่อนจะกลับมาอาบน้ำนอนหลับฝันถึงน้องวัวน้อยต่อ หรือหากกลับมาจากโรงเรียนอย่างน้อยขอแค่ได้เห็นหน้าน้องวัวน้อยออกมาช่วยคุณแม่รดน้ำต้นไม้ ธรรศก็ชื่นใจไม่ต่างจากกอหญ้าในสวน

“พี่ธรรศจ๊ะ พี่ธรรศเป็นพิโดรใช่ไหมจ๊ะ?”

“ใช่ ทำไมเหรอ?”

น้องวัวน้อยนั่งมองเจ้าลูกข่างสีเข้มหมุนติ้วอยู่บนลานดินแห้งด้วยสายตาจดจ่อพลางถามด้วยความสงสัย

“แม่ฉันบอกว่าพี่ที่เป็นพิโดรจะรู้กลิ่นสุคนธ์ ฉันเลยอยากรู้ว่าตัวฉันมีกลิ่นอะไรน่ะจ้ะ”

สุคนธ์ พิโดร รดา สามเพศรองในโลกที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นเพื่อให้เหล่าสิ่งมีชีวิตดำรงเผ่าพันธุ์ไปได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น

สุคนธ์ มนุษย์ฐานพีระมิดนับเป็นเพศซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยที่สุดในบรรดาเพศทั้งหมด ด้วยรูปลักษณ์ที่ในสายตาใครก็ถูกมองว่าอ่อนแอ ตั้งแต่เกิดส่วนใหญ่จึงล้วนถูกประคบประหงมดูแลประหนึ่งไข่ในหิน ส่งกลิ่นหอมกำจายเมื่อเข้า ‘ฤดูพิสมัย’ ชักจูงพิโดรที่อยู่ใกล้ให้เข้ามามีสัมพันธ์ทางกายเพื่อก่อเกิดทายาท

พิโดร มนุษย์ยอดพีระมิด มีรูปร่างสูงใหญ่เป็นที่น่าเกรงขาม มิหนำซ้ำส่วนใหญ่มียศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจต่อรองสูงที่สุดในบรรดาเพศทั้งหมด สามารถขับกลิ่นข่มเพศอื่นได้โดยเฉพาะสุคนธ์ ในทางตรงกันข้ามกลับถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมของสุคนธ์ได้ง่ายในบางรายอาจคลุ้มคลั่งไม่อาจควบคุมสติสัมปชัญญะได้เลยเชียว

รดา เพศที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคม เป็นคนธรรมดาดาษดื่นไม่สามารถรับรู้กลิ่นพิสมัยของสุคนธ์ได้กระนั้นในบางครั้งก็สามารถได้กลิ่นข่มจากพิโดรได้เช่นกัน

ภูวธรรศทราบเรื่องพวกนี้มาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นคู่สุคนธ์พิโดรจึงได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กถึงวิธีปฏิบัติกับเพศรองโดยเฉพาะเพศที่อ่อนแอที่สุดอย่างที่น้องเปลวเป็น

“ตอนนี้พี่ยังไม่ได้กลิ่นเราหรอก คงต้องรอโตกว่านี้ก่อน”

ตอนนี้น้องเจ้าอายุสิบสามย่างสิบสี่แม้ยังไม่ใช่วัยเจริญพันธุ์แต่ใบหน้ากลับกลมกลึงจิ้มลิ้มน่ารักฉายแววงดงามเมื่อเติบใหญ่ ไหนจะนิสัยน่ารักใสซื่อประหนึ่งดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ยิ่งทำให้เขาเอื้อเอ็นดูเข้าไปอีก

เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ากลิ่นกายของน้องวัวน้อยเมื่อได้สัมผัสมันจะหอมรัญจวนเพียงใด อยากให้วันที่เราได้เป็นครอบครัวเดียวกันมาถึงเร็ว ๆ แล้วสิ

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status