Share

บทที่ ๑ เจ้าหนี้แบบใด

‘สังคมมนุษย์สัตว์’ คือนิยามของโลกนี้ ทุกผู้ทุกคนมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยมีพื้นฐานคล้ายคลึงกับมนุษย์ พัฒนาสังคมระหว่างสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อมาจนเข้าสู่ยุคสมัยสุขสงบซึ่งสิ่งประดิษฐ์เดินหน้าไกลขึ้นจากประวัติศาสตร์ ผู้คนเริ่มตั้งหมู่บ้านเวลาผ่านไปกลายเป็นพระนครอันใหญ่โต ก่อเกิดเศรษฐกิจการเมืองโดยมีคนตัวเล็กตัวน้อยเป็นฟันเฟืองช่วยกันขับเคลื่อนและนั่นคือสังคมมนุษย์สัตว์

การสืบสายพันธุ์ยังคงมีต่อไปตามสัญชาตญาณ กระนั้นหากมีการประสมข้ามสายพันธุ์เลือดที่เข้มกว่าจะเป็นผู้อยู่รอดโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย และนั่นอาจเป็นชนวนของการซื้อขายซึ่งแม่พันธุ์ชั้นดี

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เสียงตะหลิวโลหะกะเทาะกับขอบกระทะใบโตซึ่งเต็มไปด้วยเม็ดข้าวเคลือบไข่ไก่สีทองเนียนละเอียดพร้อมด้วยเนื้อหมูสับและต้นหอมซอยสีเขียวเพิ่มสารอาหาร กลิ่นควันหอมโชยคละคลุ้งไปทั่วครัวไฟซึ่งถูกปลูกไว้หลังเรือนไม้ใหญ่โตของคนมีฐานะ นอกระแนงไม้รายล้อมไปด้วยสวน ปลูกพืชผักสวนครัวและต้นไม้น้อยใหญ่ออกดอกออกผลตามฤดูกาล

มืออย่างหญิงชราขึ้นฝ้ากระ พักจากการจับตะหลิวมาจับผ้าพาดบนคอซับเหงื่อไคล ใบหน้าสูงอายุประดับขนนกสีดำอย่างอีกาเงยขึ้นทอดสายตามองไปยังแฝดน้อยสองคนซึ่งถือกระจาดผักที่พึ่งเก็บมาสด ๆ วิ่งมาทางเธอ

คุณป้าอีกากลั้วหัวเราะในลำคอกับความซุกซนนั้นพลางยกกระทะขึ้นมาวางพักบนผ้าชื้นเหนือกระเบื้องแผ่นเก่า ก่อนจะค่อย ๆ รับสองกระจาดสานใบเล็กขึ้นมาแล้วจึงลูบหัวเป็นรางวัล

“เด็ก ๆ แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง”

เสียงทุ้มอ่อนกล่าวตำหนิบุตรของตน ใบหูประดับขนสั้นนุ่มนิ่มพร้อมเขาน้อยบนศีรษะกับหางอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งกำลังกดลงเป็นสัญญาณของความไม่พอใจ

เด็ก ๆ เห็นมารดาออกโรงดุจึงพากันไปหลบหลังคุณป้าแม่ครัว ทำเอาคนเป็นแม่หรี่ตามองเด็กทั้งสอง เขาว่าตัวเองบอกไปมากกว่ายี่สิบรอบแล้วว่าให้เด็ก ๆ สำรวมกิริยาตั้งแต่รู้ว่าจะต้องมาอยู่ในเขตเรือนหลังนี้

“เอาเถอะจ้ะลูกเปลว ให้เด็ก ๆ วิ่งเล่นให้สมวัยสักหน่อยไม่เป็นอะไรหรอก”

“แต่ตอนวิ่งเด็ก ๆ ถือกระจาดผักด้วยนะจ๊ะ ฉันกลัวลูกทำเสียของ”

“ไม่เป็นไร ถ้าเสียของตกพื้นค่อยไปเก็บมาใหม่ สวนนี้อย่างไรก็เหลือเฟือ”

“ป้าจำเนียนใจดีกับพวกฉันเกินไปแล้วนะจ๊ะ”

“ถ้าไม่ใจดีแล้วใจร้ายก็ลำบากพวกเธอสิ มีกันอยู่สามแม่ลูกไม่คุ้นสถานที่”

“อย่างไรก็ขอบคุณป้ามากเลยนะจ๊ะที่เอ็นดูพวกฉัน”

“ไม่เป็นไรเลยลูก เอ้า ตักไปเยอะ ๆ จะได้อิ่ม ๆ”

แม่โคนมอมยิ้มรับจานสังกะสีสามใบมาจัดเรียงข้างหม้อข้าวใบโต เปิดออกมาก็ส่งกลิ่นหอมฉุย มือสีน้ำผึ้งจับด้ามทัพพีคดข้าวแต่พอกิน อิงตามสรีระลูกน้อยวัยสี่ขวบทั้งสอง ที่ถึงโดนแม่ดุไปก็ยังวิ่งเล่นจับผีเสื้อกันได้อยู่

เรือนงามหลังนี้ไม่ใช่ของพวกเขา แต่เป็นของเจ้าหนี้ผู้กุมชะตาชีวิตครอบครัวของเขาเอาไว้ด้วยเงินที่ถูกยืมไปมากกว่าห้าแสนบาทรวมดอกเบี้ย

หากเทียบตามราคาวัตถุแล้ว ชาหวานหนึ่งแก้วในสภากาแฟมีราคาห้าสิบสตางค์แดง ก๋วยเตี๋ยวมีราคาถ้วยละสามบาท และหากเป็นข้าราชการชั้นสูงมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งทำพร้อมสวัสดิการแล้วไซร้ เงินเดือนจะตกอยู่ประมาณหลักร้อยปลาย ๆ ไม่ถึงพัน ทว่าพ่อของเด็ก ๆ กลับมีหนี้สินถึงหลักแสนโดยไร้ซึ่งงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะรองรับการจะหาเงินจำนวนนั้นมาคืนขั้นต่ำเดือนละหนึ่งร้อยยังยากเลย

ดังนั้นการส่งตัวสมาชิกในครอบครัวมาขัดดอกรับใช้เจ้าหนี้จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นับจากวันแรกที่ก้าวเข้ามาเวลาก็เดินมาบรรจบครบเดือนพอดี

โคนมในผ้าเกาะอกตัวเก่าและผ้าถุงสั้นพอดีเข่าเมื่อคดข้าวเสร็จจึงทยอยหยิบจานกลับมาวางบนแคร่นอกเขตครัว จัดแจงหยิบช้อนก้นหอยวางให้ ทว่าก่อนที่จะเดินกลับไปเอาจานส่วนของตัวเองเขากลับไม่เห็นลูกน้อยวิ่งเล่นอยู่แล้ว

ปิ่นกับเปี่ยมเขาเดินตามคุณผู้ชายไปแล้วจ้ะลูก”

“ตายจริง!? อีกแล้วเหรอ”

ด้วยว่าเป็นกังวล ละสายตาไปครู่เดียวหายตัวไปกันอีกแล้ว

เขาพยายามบอกเด็ก ๆ ไม่ให้หลงตามชายคนนั้นไป ทว่าไม่ทันไรจากที่หวาดกลัวหน้าดุ ๆ ของเจ้าหนี้ หลังได้รับขนมของหวานในวันแรกก็เทใจให้เสียเต็มประดา จนบางทีเมื่อเขาละสายตาออกห่าง สองแฝดชายหญิงก็พากันจูงมือไปตามขนมของล่อแล้ว

พึ่งรู้จักกันไม่เท่าไรถึงแม้จะยังไม่ลงมือทำอะไรกระนั้นการให้ลูกอยู่กับคนแปลกหน้าก็ยังอันตรายอยู่ดี ในตอนนี้เขาจึงละมือจากครัววิ่งออกมายังหน้าประตูหวังจะรั้งตัวลูกเอาไว้

“แม่เปลวดูนี่สิจ๊ะ! ฉันได้ปลาตะเพียนสานมาด้วย!”

“ฉันก็ได้ตะกร้อมาเล่นด้วยนะจ๊ะ!”

“อีกแล้ว แม่บอกว่าอย่าไปรบกวนคุณผู้ชายเขาไงจ๊ะ เอาไปคืนเลย”

“แต่ฉันเลือกชิ้นที่ราคาถูกที่สุดแล้วนะจ๊ะ”

เป็นเด็กหญิงที่โต้เถียงกับมารดา เปลวมองลูกปิ่นออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้ดีว่าลูกสาวตัวเองมีนิสัยดื้อดึงช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไรจึงตอบความในใจออกมาอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนลูกชายที่ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรทว่ามือก็ยังกุมลูกตะกร้อแน่นเหมือนไม่อยากให้เอาไปคืน แต่อย่างไรถึงเป็นของเล่นเศษสตางค์เขาก็ไม่อยากหยิบยืมเพิ่มหรอก

“ปิ่นจำที่แม่บอกได้ใช่ไหมจ๊ะ ว่าถ้าเรายิ่งใช้เงินเยอะพ่อก็จะยิ่งเหนื่อย ดังนั้นเราต้องทำยังไงจ๊ะ”

“ต้องประหยัดจ้ะ...”

“เก่งมาก ไหนร้านอยู่ไหน เดี๋ยวแม่เอาไปคืนให้นะ”

“ไม่ต้อง ฉันซื้อให้”

เสียงทุ้มต่ำแว่วมาจากนอกเขตรั้วไม้ ปรากฏเป็นชายร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตเครื่องแต่งกายมีราคาซึ่งกำลังหิ้วถุงขนมมากมายติดมือมาด้วย ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าของขบเคี้ยวพวกนั้นซื้อมาสำหรับใคร

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะคุณธรรศ คุณซื้อของให้พวกฉันมาเยอะแล้ว ฉันเกรงใจจ้ะ”

ว่าแล้วก็รวบเก็บของเล่นของลูก ๆ มาไว้ในมือ เห็นว่ายังสะอาดสะอ้านดีจึงคิดว่าน่าจะเอาไปคืนได้โดยไร้ซึ่งปัญหา แต่เหล่าขนมนี่สิ

“เอาไปเถอะ มันไม่เกี่ยวหนี้ เด็กวัยนี้มีของเล่นสักหน่อยจะเป็นอะไรไป”

“อย่างไรหักจากเงินฉันก็ได้จ้ะ”

“ไม่หัก ก็บอกอยู่ว่าให้ ไม่เกี่ยวกับหนี้”

คุณผู้ชายเริ่มเปล่งเสียงดุกดสายตาข่มมองลงมา หากเขายังคงดื้อแพ่งมีหวังทำเจ้าตัวไม่พอใจมากกว่าจนมันอาจส่งผลต่อการชำระหนี้

“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ...เด็ก ๆ ขอบคุณคุณผู้ชายเขาเร็ว”

“ขอบคุณจ้ะ!”

สองแฝดประสานเสียงยิ้มดีใจก่อนจะหยิบของเล่นใหม่ของตัวเองคืนแล้วจึงวกกลับไปเห่อของกับคุณป้าจำเนียนยังครัวไฟ ทิ้งแม่โคนมเอาไว้กับเจ้าหนี้สองคน

คุณผู้ชายภูวธรรศ เหมบำรุง ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซ้ำยังเป็นเจ้าของตลาดใหญ่ เจ้าของเรือนและเจ้าของเงินหลักแสนของพวกเขา แม้มีหน้าตาดุประกอบกับไม่ค่อยยิ้มให้เห็นแต่เจ้าหนี้คนนี้ใจดีจนน่าสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามา

ในเวลานั้นเขาตั้งมั่นเอาไว้ว่าจะปกป้องลูกน้อยทั้งสองเอาไว้ให้ได้แม้ตัวเองจะถูกโขกสับอย่างไรก็ตาม เพราะมันก็เป็นที่รู้กันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นใครจะเป็นผู้ถูกกดขี่ ทว่าเมื่ออยู่มาเรื่อย ๆ หลายวันหลายสัปดาห์เจ้าหนี้ของเขากลับไม่แสดงนิสัยคุกคามออกมาแม้สักนิด ไม่ใช้ทำงานหนักแล้วยังจิตใจดีกับเด็ก ๆ มักซื้อของซื้อขนมให้ตลอด ไหนจะเงินเดือนที่อีกฝ่ายรับปากว่าจะให้ด้วยเหตุที่ว่าเขาช่วยงานป้าจำเนียน ทั้งที่มันอยู่นอกขอบข่ายแท้ ๆ

ทว่านั่นคือสิ่งที่เขาหวาดกลัวเหลือเกิน ไม่แน่การที่เขามาทำดีออกเงินให้แบบนี้ หนี้ของพวกเขาอาจพอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าสุดท้ายพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้รับอิสระไปตลอดชีวิต

“เอาขนมไปด้วย เด็กวัยนี้ต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”

“จ้ะ ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ...”

แม่โคนมรับขนมถุงโตมาจากมือคุณชาย ก้มหัวปลก ๆ ซ้ำยิ่งดูปริมาณกับชนิดขนมก็ยิ่งหน้าซีด ขนมในซองเงินเหล่านี้ราคาแพงหูฉี่ที่หากเป็นเขาเมื่อก่อนเด็ก ๆ จะถูกอนุญาตให้กินได้เดือนละครั้งเท่านั้นแถมยังได้แค่ถุงเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ที่คุณผู้ชายซื้อมาให้มันใหญ่กว่านั้นหลายเท่าซ้ำยังเยอะแยะไปหมด ยิ่งทำเขาเกรงใจปนกังวลเข้าไปอีก

“ขะ...คุณผู้ชาย หักเงินเดือนส่วนของฉันไปเลยก็ได้จ้ะ ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณ”

“ถ้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณก็ตั้งใจทำงานบ้าน”

“จ้ะ…”

เปลวไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดไปมากกว่านี้จึงน้อมรับคำ และมันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ยิ่งมันมีมากขึ้นเขาก็ต้องพูดจาระวังปากเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่รู้ว่าคุณธรรศที่ได้ฟังเขาพูดคำเดิม ๆ จะอารมณ์เสียเหวี่ยงมาเมื่อไหร่ก็เป็นได้

แม่โคนมเดินกลับมาพร้อมถุงขนมมากมายที่บางอย่างทั้งชีวิตนี้เขาก็ไม่เคยได้กินเสียด้วยซ้ำ ทว่าคิดในแง่บวกลูก ๆ ก็จะได้มีของดี ๆ กินไม่ต้องตกระกำลำบากอดมื้อกินมื้อเหมือนที่ผ่านมา

“กินเสร็จก็ไปขอบคุณคุณผู้ชายเขาอีกรอบด้วยนะ เข้าใจไหมจ๊ะ”

“จ้ะ!”

สองแฝดที่ยังไม่หายเห่อของเล่นใหม่กินไปก็จับ ๆ ของเล่นจักสานไป ตรงข้ามกับเขาที่ใจยังระแวงปรับตัวยากลำบากอยู่เลย

เพราะมาอยู่ได้แค่เดือนเดียว เขาไม่รู้นิสัยลึกตื้นหนาบางของคุณผู้ชายในตอนนี้ เขาเชื่อว่าทุกการกระทำล้วนมีเหตุผลมารองรับเสมอ แต่เพราะเขาไม่รู้ถึงมัน เขาจึงยังคลางแคลงใจอยู่แบบนี้

เขาได้แต่เก็บความคิดมากนั้นเอาไว้ในใจ แค่ให้เด็ก ๆ มารู้ว่าพ่อแม่เป็นหนี้ก้อนโตเขาก็รู้สึกผิดในฐานะผู้ให้กำเนิดแล้ว หากลูกมารู้ถึงความคิดเขาอีก ไม่รู้มันจะส่งผลต่อพฤติกรรมเด็กหรือเปล่า อย่างน้อยแม้ผ้าขาวจะเปื้อนฝุ่นไปบ้างแต่เขาก็พยายามจะปกป้องและปัดมันออกเท่าที่แม่คนนี้จะทำได้

หน้าที่ของเขาหลังจากลงมือช่วยทำอาหารสำหรับคนงานกรรมกรให้พี่คนงานยกขึ้นกระบะ ก็ขึ้นมาทำความสะอาดเรือนปัดกวาดเช็ดถู รดน้ำต้นไม้ และงานจิปาถะอื่น ๆ ช่วยแม่บ้านคนเดียวของเรือนหลังนี้ เขาได้ยินว่าก่อนเขาจะมาเคยมีพ่อบ้านวัยรุ่นช่วยอยู่แต่ตอนนี้พวกเขาถูกย้ายออกไป แม้จะเหนื่อยไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในเขตเรือนหลังนี้ ดอกเบี้ยก็จะไม่เพิ่มขึ้น

ตกเย็นช่วงพลบค่ำหลังพวกเขาสามแม่ลูกอาบน้ำด้วยกันเสร็จก็พากันเอาตัวลงเตียง พวกเขาได้รับห้องเก็บของเก่าใต้ถุนเรือนเป็นที่ซุกหัวนอน แม้คับแคบแต่สะอาดสะอ้านกว่าที่คิด เห็นครั้งแรกแทบไม่ต้องทำความสะอาดเลย

“แม่จ๋า...”

“หือ? เปี่ยมมีอะไรลูก”

เด็กชายจับชายผ้าเกาะอกสีดินดอนผืนเก่าของมารดาพลางอ้าปากหาวด้วยความง่วงงุน เปลวที่เอื้อมมือไปจะดับเทียนจึงหันลงมาประคบประหงมลูกน้อย

“พ่อกอบจะมาหาเราอีกเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ...?”

“ฉันก็คิดถึงพ่อจ้ะ...”

เด็กหญิงที่นอนอยู่ด้านขวากล่าวเสริมพร้อมกำผ้าผวยเนื้อบางแน่นขนัด คนเป็นแม่จึงปวดใจที่จะกล่าว เพราะแบบนี้เขาจึงอยากปลดหนี้ให้ได้ไวที่สุดแม้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

“พ่อเขาพึ่งมาเมื่อสามวันที่แล้วเอง รออีกประมาณสี่อาทิตย์นะลูกนะ”

แม่โคนมลูบกลุ่มผมเด็กน้อยทั้งสองซึ่งนอนขนาบข้างใต้แสงเทียนอันริบหรี่และสายลมเย็นที่ผ่านเข้ามาตามร่องประตู ความรู้สึกแห้งผากแบบนี้สงสัยคงจะใกล้หน้าหนาวแล้ว คงต้องตระเตรียมเย็บผ้าห่มให้หนาขึ้นสักหน่อย หากไม่ติดพนันหรือหยิบยืมคนอื่นไปทั่วตอนนี้พวกเขาคงจะมีกินมีใช้อยู่บ้างแล้ว ไม่ต้องมาลำบากกายใจอยู่แบบนี้

“ตอนนี้อยู่กับแม่...กอดแม่ไปก่อนนะ...”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

คุณชายภูวธรรศในมาดเคร่งขรึมเดินลงมาเข้าต๊อมอาบน้ำอาบท่าหลังเห็นว่าสามแม่ลูกพากันเข้าไปในห้องนอนแล้ว เจ้าของเรือนวางตะเกียงเจ้าพายุไว้บนชั้นปูนก่อ ตักขันราดทำความสะอาดเนื้อตัวที่พึ่งออกไปทำงานมาหมาด ๆ แววตาสีไพฑูรย์คมกริบเหม่อลอยด้วยว่าในหัวกำลังคิดสะระตะถึงบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะผลิยิ้มมุมปากออกมาชวนให้รอยแผลบากบนหน้ากรามยกขึ้น

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์สัตว์แต่ก็หาได้มีหูหางตามชาติกำเนิดด้วยว่าเข้า ‘พิธีซ่อนสังขาร’ ซึ่งเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์มีสถานะไม่ต่างจากพิธีไหว้ครูหรือเจิมหน้าผาก เป็นการปกปิดรูปเดรัจฉานไม่ให้ใครรู้ถึงตัวตน นอกจากจะไม่มีหางให้มาเกะกะแล้วยังสะท้อนถึงผู้มีฐานะดี เพราะข้าวของแต่ละอย่างในพิธีล้วนมีราคา

ชายร่างกำยำเดินกะจะกลับขึ้นเรือนไปผลัดผ้าเข้านอนพลางตวัดหางตาส่องตะเกียงมองไปยังห้องน้อยใต้ถุนเรือน คิดอยู่เพียงครู่แล้วจึงค่อยก้าวเหยียบขั้นบันไดสาวเท้าเข้าห้องนอนของตน

แม้จะซ่อนหูหางไว้แล้วแต่จะเรียกกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่ออยู่ในห้องส่วนตัวบนร่างหนาของชายสักยันต์จึงปรากฏเป็นใบหูสีขาวและหางยาวลายพร้อยสีดำซึ่งกระดิกไปมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเทตัวลงเตียงดีดดิ้นไปมาอย่างไม่รักษามาด พร้อมกรีดร้องอยู่ในใจ

‘วันนี้น้องเปลวก็น่ารักอีกแล้ว!’ ไหนจะเด็ก ๆ วัวน้อยอีก เพราะมีแม่น่ารักแบบนี้อย่างไรล่ะ เด็ก ๆ ถึงได้น่าอุ้มชูตามไปด้วย ถ้ารู้ว่าจะดีใจกับของเล่นจักสานแบบนี้เขาน่าจะเหมามาให้ทั้งร้าน

ตอนวิ่งมาดูลูกด้วยความเป็นห่วงก็น่ารัก ตอนมองเขาอย่างเกรงใจเป็นกังวลก็น่ารัก ไม่ว่าจะมองมุมไหนทำอะไรหรือแค่ยืนหายใจน้องเปลวก็น่ารักไปหมด

ในตอนที่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสได้เป็นเจ้าหนี้ของบ้านน้องโคนมเขาก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะรับแม่ลูกสามคนมาดูแลเป็นอย่างดี แต่อย่างไรจะประเจิดประเจ้อมากก็ไม่ได้เดี๋ยวจะหมดความน่าเชื่อถือเอา เขาจึงต้องคอยเก็บอาการสงวนท่าทีไว้

ทีแรกเขาว่าจะไปสุดทางซื้อของมาปรนเปรอทุกสิ่งอย่างอยู่หรอก แต่มันติดตรงที่แม่โคนมเขาระแวงไปเสียหมด ซ้ำที่เขาซื้อของให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่อยากได้กลัวว่ามันจะไปเพิ่มหนี้สิน เขาคิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด เก๊กท่าเป็นเจ้าหนี้แล้วค่อยตีเนียนซื้อของให้

อย่างไรเจ้าตัวเขาก็มีผัวเป็นตัวเป็นตน เขาไม่อยากเข้าไปทำลายครอบครัวใครหรอก แล้วหากคนอย่างผัวน้องเปลวมาเห็นเขาเป็นแบบนี้คงจะต้องคิดวางแผนชั่วเป็นแน่ อย่างน้อยให้เงินยืมจ่ายหนี้เล็กหนี้น้อยแล้วรวมมาที่เขาคนเดียวโดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มเขาว่ามันก็เป็นข้อเสนอที่ดีเกินกว่าจะหาได้จากที่ไหนแล้ว

จะว่าไปขนมที่ซื้อให้วันนี้เด็ก ๆ จะชอบไหมนะ จะกินหมดกันไปหรือยัง แล้วน้องเปลวจะได้กินด้วยหรือเปล่านะ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปแอบดูเสียหน่อย แล้วก็ต้องบอกป้าจำเนียนว่าให้ทำรายการอาหารที่ใส่เนื้อสัตว์เยอะ ๆ เด็กพวกนั้นจะได้โตไว ๆ

จนตอนนี้หูหางสีขาวฟูฟ่องก็ยังคงกระดิกส่ายไปมาอย่างอารมณ์ดีด้วยใบหน้าเปรมปรีดิ์ของคุณชายผู้มากมีเงินทอง หากใครมาเห็นคงคิดว่าผีเข้าเป็นแน่

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status