เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปาก ท่าทางสงบนิ่ง เผยกลิ่นอายความเยือกเย็นออกมานี่เป็นสิ่งที่กุ้ยเฟยทำได้ฉลาดมากเฟิ่งหมิงเซวียนติดสินบนลู่ซิน เพื่อขอตำแหน่งจริง ๆดังนั้น แม้นความผิดถูกเปิดโปง ก็ไม่นับว่าลู่ซินพูดปด ทั้งยังโยนความผิดส่วนหนึ่งมาที่เฟิ่งหมิงเซวียนและฮองเฮาได้อีกหากไม่ใช่เพราะนางส่งคนไปสืบรู้ชัดตั้งแต่แรก ก็คงไม่คาดคิดว่าคนวางแผนของเรื่องนี้คือกุ้ยเฟย——ใช้ประโยชน์จากความปรารถนาอยากได้ตำแหน่งของเฟิ่งหมิงเซวียน สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเรื่องนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้โต้แย้งอะไร“หม่อมฉันอาจจะอบรมสั่งสอนแบบผิด ๆ จึงทำให้น้องชายกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้“หม่อมฉันน้อมรับผิด เชิญฝ่าบาทลงทัณฑ์”นางรับผิดอย่างไม่อิดออด กลับทำให้เซียวอวี้ประหลาดใจแต่คำว่า “อาจจะ” ฟังดูเป็นคำส่วนเกิน ราวกับกำลังประชดประชันเซียวอวี้จ้องเขม็งมาที่นาง“กลับไปสำนึกผิดที่ตำหนักหย่งเหอก่อน ถึงคราวที่เราควรพิจารณาแล้ว ว่ายังสามารถให้เจ้าครอบครองตราประทับทองต่อหรือไม่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งคำนับราวกับยอมรับผลสรุปนี้ได้อย่างง่ายดาย“เพคะ ฝ่าบาท”ทันทีที่นางออกไป เฟิ่งหมิงเซวียนพลันตื่นตระหนก และเกิดค
กุ้ยเฟยฝืนทนเจ็บปวดจากบาดแผล ตรงมายังห้องทรงพระอักษรเพื่อน้อมรับผิดเซียวอวี้ทอดมองมาที่นางด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แผลยังไม่หายดี กลับไปพักที่ตำหนักหลิงเซียวเถอะ”ดวงตาคู่งามของกุ้ยเฟยพลันรื้นไปด้วยน้ำตา“หากหม่อมฉันไม่สามารถอธิบายกับฝ่าบาทให้ชัดเจน หม่อมฉันก็มิอาจสบายใจได้“เซวียฉือเคยส่งสิ่งของมาให้หม่อมฉันจริง ๆ แต่หม่อมฉันไม่ได้เต็มใจรับไว้เลย…”ดวงตาคมกริบของเซียวอวี้ก่อเกิดแววรำคาญ“พอได้แล้ว“เรื่องนี้ไม่สำคัญ“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เราฟัง กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักหลิงเซียวก่อนเถอะ แผลเจ้าหายดีแล้วค่อยว่ากัน”กุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่าเขาจะไม่ตรวจสอบเรื่องของเซวียฉือแล้ว แถมยังเป็นห่วงร่างกายของตนเองอีกนางแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกดูเหมือนว่า ฝ่าบาทยังทรงใส่ใจนางเหมือนเดิมนั่นสินะ นางเป็นถึงสนมคนโปรด รับเงินแค่นี้จะเป็นอะไรไป?ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลของเหล่านางสนมส่งเครื่องบรรณาการมาให้นาง แม้นฝ่าบาททรงทราบ แต่ก็ทำเป็นหลับตาข้างเดียวมิใช่หรือเทียบกับของรวมกันที่คนพวกนั้นส่งให้แล้ว ของที่เซวียฉือส่งให้นับว่าไม่มากพอเหมาะกับเป็นช่วงเวลาที่สองแคว้นกำลังเจรจ
เฟิ่งหมิงเซวียนถูกนำตัวไปขังในคุกหลวง ทั้งยังถูกห้ามสอบจอหงวน และห้ามเข้ารับตำแหน่งราชการ ไม่ต่างอะไรกับการพรากชีวิตของอี๋เหนียงหลินไปครึ่งนางคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าฮูหยินเฟิ่ง ไร้ซึ่งคราบคนยโสโอหังเหมือนในยามปกติ“ฮูหยิน ท่านต้องช่วยหมิงเซวียนด้วยนะ!“พวกเราหมดสิ้นหนทางแล้ว หากท่านเข้าวังไปขอร้องฮองเฮา ไม่แน่ฝ่าบาทอาจจะเห็นแก่นางยอมลดโทษลง...ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านล่ะ!”ฮูหยินเฟิ่งใจอ่อน แต่ก็รู้ตัวดีคดีนี้ข้องเกี่ยวกับขุนนางในราชสำนัก ฮองเฮาอยากจะเลี่ยงแทบไม่ทัน แล้วจะให้ไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวได้อย่างไร?“อี๋เหนียงหลิน เจ้าลุกขึ้นมาพูดกันดี ๆ เถอะ“เรื่องในครั้งนี้ หมิงเซวียนกระทำผิดลงไปจริง ๆ“ฮองเฮาจะบิดเบือนกฎหมายเพราะเรื่องส่วนตัวได้อย่างไร?“สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ มีเพียงให้คนไปส่งข้าวส่งน้ำที่คุกหลวง เพื่อให้หมิงเซวียนลำบากน้อยลง”อี๋เหนียงหลินฟังแล้ว พลันคิดว่านางไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองเพราะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ จึงได้กล่าวถ้อยคำเฉยชาเช่นนี้ออกมาบุตรชายของนางได้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม ซ้ำยังได้รางวัลทองหมื่นตำลึง แล้วจะมาสนใจหมิงเซวียนไปเพื่ออะไรคงอยากให้หมิงเซ
ในคืนนั้น ขบวนเสด็จมาเยือนตำหนักหลิงเซียวใบหน้ากุ้ยเฟยเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ท่วงท่าอรชร ใช้ผงแป้งกลบทับรอยแผลบนหน้า จนมองไม่เห็นจุดบกพร่อง นางจึงมั่นใจในความงามของตนเองเพิ่มอีกหลายส่วน“ฝ่าบาท ท่านทรงงานอย่างหนัก ต้องพักผ่อนมากกว่านี้นะเพคะ“หากท่านเหนื่อย หม่อมฉันคงเจ็บปวด”เซียวอวี้รับอาหารที่นางคีบมาให้ แล้วเงยหน้ามองนาง“เรื่องเช่นนี้เจ้าไม่ต้องทำด้วยตนเอง นั่งเป็นเพื่อนเราทานอาหารดี ๆ พอ”คำพูดของเขาแสดงความห่วงใย สำหรับฮ่องเต้ผู้เลือดเย็นแล้ว นับเป็นความอ่อนโยนที่หาได้ยากหัวใจของกุ้ยเฟยเหมือนถูกชโลมด้วยน้ำผึ้ง แม้แต่ลมหายใจก็ยังหอมหวาน“หม่อมฉันเต็มใจปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเพคะ”หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับ เป็นครั้งแรงที่ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่หลังจากเสวยพระกายาหารเสร็จ เซียวอวี้ก็ออกคำสั่ง“คืนนี้เราจะค้างที่ตำหนักหลิงเซียว”กุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น พลันดีใจลิงโลด รีบให้ชุนเหอไปเก็บกวาดแท่นบรรทมเป็นเช่นนี้อีกสองวันติดต่อกัน ฝ่าบาทยังคงเสด็จมาที่ตำหนักหลิงเซียวตั้งแต่เช้า เสวยอาหารกับกุ้ยเฟยเสร็จ ก็อยู่ค้างคืนต่อกุ้ยเฟยได้ร่วมบรรทมสามวันติดต่อกัน ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเปล่
หลังจากบ่ายลมพัดแรงโหมกระหน่ำ เมฆครึ้มดำรวมตัวกันบนอากาศในบริเวณตำหนักหลิงเซียว พลอยทำให้คนรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้องกุ้ยเฟยปวดหัวอย่างรุนแรง กลับไม่มียาบรรเทาความเจ็บปวดนี้นางนอนบนเตียง ร้องโอดโอยไม่หยุดดีที่ไม่นานนัก นางก็ไม่ปวดหัวแล้ว แต่กลับแน่นหน้าอกอย่างไม่มีสาเหตุ ทรมานอย่างยิ่งนางไม่มีอารมณ์รับชมการแสดงของคณะงิ้วอีกต่อไปแต่เหล่าข้าหลวงกลับรับชมอย่างใจจดใจจ่อเจ้านายได้รับความโปรดปราน เหล่าคนรับใช้ก็สุขสบายณ ตำหนักหย่งเหอ ซุนหมัวมัวเริ่มพร่ำบ่นอีก“คนในตำหนักหลิงเซียวกำลังดูการแสดงงิ้ว แต่เรากลับต้องมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ที่นี่ พูดออกไป ผู้ใดจะเชื่อว่าพวกเราคือข้ารับใช้ในตำหนักของฮองเฮา?”ไม่เพียงแค่ตำหนักหย่งเหอ เหล่านางสนมและคนรับใช้ของแต่ละตำหนัก ต่างก็อิจฉาตำหนักหลิงเซียวกันทั้งนั้นหนิงเฟยมานั่งเล่นพูดคุยกับเสียนเฟย“ท่านพี่เสียนเฟย คนเรานี่วาสนาต่างกันเหลือเกิน ข้าไม่เป็นอะไร แต่ท่านพี่กับกุ้ยเฟย ต่างก็คล้ายคลึงกับหรงเฟย ไฉนไม่เห็นฝ่าบาทโปรดปรานเจ้าเช่นนั้นบ้างล่ะ?”เสียนเฟยไม่คิดเช่นนั้น“ฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานใคร ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของฝ่าบาท”หนิงเฟยย
กุ้ยเฟยไม่คิดเลยว่า ฝ่าบาทจะตามสืบเรื่องของนางมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฝ่าบาทดูโปรดปรานนางมากกว่าเดิมมิใช่หรือ?วันนี้ยังเชิญคณะงิ้วเข้าวังมาแสดงให้นางรับชม“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…” กุ้ยเฟยยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็สะอึกพูดอะไรไม่ออกเพราะสิ่งที่สายตาของนางเห็นในตอนนี้ คือสีหน้าเย็นชาสุดขีดของชายหนุ่มเขาสืบเจอหลักฐานทั้งหมดแล้ว หากนางยังแก้ตัวต่อไปไม่ยอมรับ ก็มีแต่จะทำให้เขาไม่พอใจและผิดหวังมากกว่าเดิมอีกอย่าง เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางเหมือนตกจากสวรรค์ลงไปยังก้นเหว ไม่มีเวลาคิดหาวิธีรับมือด้วยซ้ำเฟิ่งจิ่วเหยียนประสานมือคารวะเซียวอวี้“ฝ่าบาท เรื่องที่กุ้ยเฟยร่วมมือกับราชทูต มีหลักฐานครบถ้วนทุกอย่าง“แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสนมคนโปรดของท่าน หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป คงไม่เป็นผลดีแก่ความมั่นคงทางทหาร ดังนั้น หม่อมฉันแนะนำว่า ควรหาข้ออ้างอย่างอื่น นำตัวนางเข้าตำหนักเย็น”ก่อนความจริงของคดีเวยเฉิยจะถูกเปิดเผย นางจะไม่ยอมให้กุ้ยเฟยตายแบบง่าย ๆ แน่นอน อีกอย่างเซียวอวี้ก็น่าจะยังทำใจไม่ได้ดังนั้น สู้นางสร้างบุญคุณให้อีกฝ่ายดีกว่านางต้องการหาบันทึกของจ้าวเฉียนในตำหนักหลิงเซีย
ชุนเหอยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร เดิมคิดว่าคืนนี้พระนางจะได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาท ตัวนางเองย่อมได้รับรางวัลไปด้วย นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะมีพระดำรัสสั่งให้ลดตำแหน่งพระนางเป็นกุ้ยเหริน ทั้งยังให้ย้ายออกจากตำหนักหลิงเซียวที่เป็นสัญลักษณ์ของความโปรดปรานอย่างล้นเหลืออีกเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้...ชุนเหอที่ยังอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกคุกเข่าลงอย่างรีบร้อน หัวหน้าขันทีหลิวซื่อเหลียงเดินออกมาประกาศพระราชดำรัสด้วยเสียงก้องกังวาล“ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้หลิงกุ้ยเหรินย้ายไปพำนักที่ตำหนักชิงซวี ข้าหลวงเดิมของตำหนักหลิงเซียวจะถูดจัดสรรไปยังตำหนักอื่น ไม่อนุญาตให้ติดตามไปด้วย!”ตำหนักชิงซวี?นั่นแทบไม่ต่างอะไรกับการไปตำหนักเย็นเลยเชียวนะ!ครั้นชุนเหอฟังพระประสงค์ของฝ่าบาทเสร็จ สมองของนางก็มืดมิดไปหมดพระนางถูกลงโทษ แม้แต่ข้าหลวงเหล่านี้ก็ยังถูกแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ต้องการตัดแขนขาของพระนาง!อารมณ์ตื่นตระหนก สับสน หวาดกลัว...ความรู้สึกกระวนกระวายใจทุกรูปแบบล้วนผสมปนเปกันไปหมดท้องฟ้ายามราตรีปรากฎฟ้าแล่บฟ้าร้อง พายุฝนพลันซัดโหมลงมาชุนเหอเงยหน้ามองอย่างระมัดระวัง กลับเห็นพระนางนั่งค
คนในตำหนักหลิงเซียวต่างหวาดกลัวนางข้าหลวงหลายคนมาล้อมวงถกเถียงพูดคุยกันด้วยสีหน้าเป็นกังวล“พระนางกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมไม่ได้แล้วจริง ๆ หรือ?”“ดูท่าจะจริง! เมื่อครู่พี่ชุนเหอกลับมาคนเดียว ได้ยินว่าพระนางถูกส่งไปตำหนักชิงซวีโดยไม่ให้นำสิ่งใดติดตัวไปด้วยเลย!”ในขณะเดียวกัน ณ ตำหนักชิงซวีหลังจากหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ถูกนำตัวมาส่ง ก็มีข้าหลวงมาคอยปรนนิบัติ ทว่าล้วนไม่ใช่คนที่นางเรียกใช้อยู่เป็นประจำ แม้แต่ชุนเหอก็ไม่อยู่ที่นี่!การที่คนอื่นไม่อาจติดตามนางมาที่ตำหนักชิงซวีได้นั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าชุนเหอเป็นสาวใช้ข้างกายของนาง มีความสัมพันธ์นายบ่าวกับนางอย่างเหนียวแน่น!หลิงเยี่ยนเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันทีฝ่าบาททรงพิโรธนางแล้วจริง ๆ ทรงส่งคนข้างกายนางทั้งหมดให้แยกย้ายกันไป ทิ้งให้นางอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว ไร้คนให้ใช้งาน...เมื่อตระหนักได้ถึงความรุนแรงของบทลงโทษในครั้งนี้ หลิงเยี่ยนเอ๋อร์สะบัดศีรษะ พุ่งตรงไปข้างประตูพร้อมตะโกนเสียงดัง“ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท!“ฝ่าบาท! หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ”ผ่านไปไม่นาน เสียงของนางก็แหบแห้งแต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ นางพยายามฝ่าออกไปท่าม
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย