เฟิ่งจิ่วเหยียนมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า“เฟิ่งหมิงเซวียนรับปากเจ้า ว่าจะสู่ขอเจ้าเป็นภรรยา หรือเจ้าเองที่อยากเป็นภรรยาเอก?”แผ่นหลังอิงเอ๋อร์แข็งทื่อนางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมพูดตอบ“คุณชายรองเป็นคนพูด”เฟิ่งจิ่วเหยียนย้อนถามอย่างใจเย็น ไม่สะทกสะท้าน“เขาแต่งงานกับเจ้าไม่ได้ แต่สามารถเลี้ยงเจ้าไว้ข้างนอก เจ้าก็ไม่ยินดีหรือ?”สีหน้าอิงเอ๋อร์นิ่งอึ้ง คิ้วคู่งามขมวดขึ้นมา พร้อมลองถาม “ฮองเฮาหมายความว่า...เมียเก็บ?”เห็นสีหน้าฮองเฮาไม่เปลี่ยนแปลง อิงเอ๋อร์ส่ายหัวอย่างรุนแรง“ไม่ ข้าไม่ยอม!“ฮองเฮา ข้าก็เคยเป็นหญิงสาวตระกูลที่ดี สิ่งที่ข้าต้องการ คือการแต่งงานเป็นภรรยาเอก ข้าไม่เป็นเมียเก็บที่ไม่มีศักดิ์ศรี ที่จะถูกผู้ชายทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้”หว่านชิวได้ยินเช่นนี้แล้ว ประหลาดใจไม่น้อยอิงเอ๋อร์คนนี้ เป็นเพียงหญิงคณิกาคนหนึ่ง กลับมีความทะเยอทะยานมากขนาดนี้สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบใจเย็น จับจ้องอิงเอ๋อร์ ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นมา“เฟิ่งหมิงเซวียนผิดคำพูด”“หากเขาอยากจะเป็นคุณชายรองตระกูลเฟิ่งต่อไป ก็จะแต่งงานให้เจ้าเป็นภรรยาเอ
อู๋ไป๋เคยสืบเรื่องของคนในตระกูลหลิวเขาจึงพูดขึ้นมาก่อน “ฮองเฮา คนตระกูลหลิว นอกจากท่านแม่กับน้าหญิงของท่าน ล้วนไม่มีแล้ว พวกเขาล้วนไม่มีนิสัยวาดภาพ ดังนั้นเป็นไปได้อย่างมากที่จะไม่สามารถหาเจอภาพวาดของพวกเขา”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “พาตงฟางซื่อ ไปหาคนที่พอรู้จักคนตระกูลหลิว แล้วให้พวกเขาเล่าให้ฟัง”อู๋ไป๋เข้าใจขึ้นมาทันทีใช่!เขาลืมตงฟางซื่อไปได้อย่างไร!“ฮองเฮา กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”……ข้างนอกวังสายตาเฟิ่งหมิงเซวียนที่มองอิงเอ๋อร์ ราวกับกำลังมองศัตรู“เจ้าทำร้ายข้าเกือบตายแล้ว!”อิงเอ๋อร์ไม่เสียใจเลย “ขอเพียงครอบครัวเราได้อยู่พร้อมหน้ากัน ก็ไม่กลัวว่าจะไม่ได้มีชีวิตที่ดี ต่อให้เจ้าไม่ใช่คุณชายรองตระกูลเฟิ่ง ข้าก็ชอบเจ้า แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข”นางเพียงแค่ต้องการครอบครัวที่สมบูรณ์“อ้าก...” เฟิ่งหมิงเซวียนยกมือกุมหัว คุกเข่าอยู่บนพื้นจวนตระกูลเฟิ่งอี๋เหนียงหลินเห็นลูกชายกลับมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ก็ถามขึ้นมาอย่างห่วงใย“ลูก เจ้าเข้าวังไปทำอันใดหรือ? ฝ่าบาทมอบหมายงานสำคัญให้เจ้าใช่หรือไม่?”เฟิ่งหมิงเซวียนเกลียดแค้นอย่างมาก พร
ที่ภูเขาหวูหยาในแท่นฝึกวรยุทธที่สูงตระหง่าน ผู้เฒ่าผมขาวนั่งบำเพ็ญอยู่อย่างสงบคนนี้ก็คือผู้ดูแลภูเขาหวูหยา อาจารย์ของเซียวอวี้...เสวียนหลิงเฟิงศิษย์คนหนึ่งเข้าไปในแท่น รายงานอย่างเคารพนอบน้อม“อาจารย์ ฝ่าบาทกับฮองเฮามาถึงแล้วขอรับ ท่านจะพบพวกเขาตอนนี้เลยหรือไม่?”ตามกฎของฆราวาส ฮ่องเต้ฮองเฮาเสด็จ ทุกคนล้วนต้องออกมาต้อนรับทว่า เสวียนหลิงเฟิงเป็นถึงอาจารย์ของฮ่องเต้ ยังเป็นผู้บำเพ็ญมีวรยุทธสูงส่งสันโดษ จึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงกฎปฏิบัติเหล่านี้ทว่า เขาก็ไม่ปล่อยให้ฮ่องเต้ฮองเฮาทั้งสองต้องรอหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสวียนหลิงเฟิงที่อยู่บนแท่นสูงลืมตาขึ้นมา ยกมือสงบลมปราณ ใบหน้าสงบเรียบเฉย“ให้พวกเขาเข้ามา”“ขอรับ อาจารย์”เวลานี้ ข้างนอกแทนฝึกบำเพ็ญ เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ที่สูงมองไกลออกไป เท่าที่สายตามองเห็น ทุกสิ่งอย่างล้วนเขียวชอุ่ม ที่สูงล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอก ใต้ฟ้าเหนือเมฆา ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในดินแดนสวรรค์ เซียวอวี้ยืนอยู่ด้านข้างนาง ดึงจับมือของนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ“งดงามหรือไม่?” เขาถามเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไกลออกไป ผงกศีรษะเล็กน้อย“เรียกได้ว่าเป็นดินแดนมหัศจรร
รอยยิ้มของเสวียนหลิงเฟิงที่อยู่บนแท่นสูงดูแข็งทื่อเล็กน้อยเมื่อครู่ ฮองเฮาว่ากระไรนะ?ฝ่าบาททรงบาดเจ็บถึงแก่นกายรึ?จากที่เขารู้มา ความจริงไม่ใช่เช่นนี้อย่าว่าแต่เสวียนหลิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจเลย แม้แต่ตัวเซียวอวี้เองก็ยังตกตะลึงอย่างยิ่งร่างกายของเขาแข็งแรงดีมาก ไม่เคยเกิดความผิดปกติมาก่อนแต่เพียงครู่หนึ่งเขาก็พลันนึกได้สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน จะให้กำเนิดบุตรได้หรือไม่ เป็นเรื่องของคนสองคนหลังจากคิดได้แล้ว ปฏิกิริยาของเซียวอวี้ก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เขาคล้อยตามคำที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดเมื่อครู่ทันที เขาพูดกับเสวียนหลิงเฟิงผู้เป็นอาจารย์“ใช่แล้วขอรับ ขอท่านได้โปรดตรวจและรักษาให้ศิษย์ด้วยเถิด”มุมปากเสวียนหลิงเฟิงกระตุกเบา ๆเจ้าเด็กสองคนนี้นี่ โกหกคล่องปากเหมือนไม่ต้องคิดเลย!เฟิ่งจิ่วเหยียนมั่นใจว่าเสวียนหลิงเฟิงผู้นี้ไม่มีทางปฏิเสธเขาเก่งกาจเพียงนี้ ย่อมรู้จุดประสงค์ที่พวกนางเข้ามาในเขาในเมื่อทราบถึงเรื่องนี้ แล้วยังส่งศิษย์ไปต้อนรับที่ประตูหุบเขา ก็พิสูจน์แล้วว่าเขามีใจที่จะรักษาโรคกลัวความหนาวให้นางทว่าถูกห้ามไว้ด้วยกฎของภูเขาหวูหยา ทันใดนั้นเสวียนหลิงเฟิ
ใบหน้าที่แก่ชราของโอวหยางเหลียน มีความชอบธรรมอย่างเห็นได้ชัด“ท่านกับซู่ยวน คนหนึ่งเหมือนมารดา อีกคนเหมือนบิดา วันนี้เมื่อได้เห็นใบหน้า ซู่ยวนผู้นั้นไม่เหมือนบิดาของท่านซักนิด ต้องไม่ใช่ตัวจริงแน่!”สีหน้าของมั่วซินหมัวมัวพลันซับซ้อน คิดอยากพูดโน้มน้าวโอวหยางเหลียนแต่ก็พูดไม่ออกวันนี้ท่านประมุขได้พบกับใต้เท้าซู่ยวนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาการป่วยอาจจะดีขึ้นก็ได้ใต้เท้าโอวหยางเหลียนกลับเปิดเผยความจริงออกมาเช่นนี้ นี่มิใช่การทำให้อารมณ์ของท่านประมุขขึ้น ๆ ลง ๆ จนอาจจะส่งผลให้อาการป่วยแย่ลงหรอกหรือ?ทว่าเมื่อหันไปดูท่านประมุขอีกครั้ง กลับดูไม่มีปฏิกิริยาอะไรมั่วซินหมัวมัวจึงกล่าวเตือนอย่างวิตกกังวล“ท่านประมุข...”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยกมือขึ้นอย่างอาจหาญ มั่วซินหมัวมัวจึงหยุดพูดโอวหยางเหลียนพูดอย่างจริงจัง“ท่านประมุข หม่อมฉันทราบว่าพระองค์ตัดสินใจที่จะมอบตำแหน่งประมุขให้ซู่ยวน ดังนั้นตัวตนของซู่ยวนเป็นจริงหรือปลอม เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก“ขอพระองค์โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง สืบให้ชัดเจนก่อน ค่อยตัดสินใจเถิดเพคะ”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา“แล้วชิ้น
ภายในภูเขาหวูหยามีศิษย์อยู่ทั้งหมดสามสิบคนในบรรดาพวกเขา มีหลายคนที่โตมากับเซียวอวี้ เวลาพูดจาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนักวันนั้นเซียวอวี้ที่ไม่ค่อยออกมานอกเรือน ได้ออกมาแล้วพบกับศิษย์น้องผู้หนึ่งเข้าฝ่ายหลังที่มาส่งยา คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม เขามองจนเซียวอวี้รู้สึกเดือดดาล“ศิษย์พี่ ยานี้ท่านรีบดื่มตอนร้อน ๆ เถิด”เซียวอวี้: …อดทนไว้!เขารับยามา ยามที่กำลังจะหันกายจากไปนั้นเอง ศิษย์น้องผู้นั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง“ศิษย์พี่ มิน่าเล่าตั้งแต่ท่านขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยมีบุตรหลานเลย ท่านนี่นะ น่าจะรีบกลับมาหาอาจารย์ตั้งนานแล้ว!”ความโกรธในร่างของเซียวอวี้ที่ลดลงไปพลันพุ่งขึ้นในทันทีพอหันกลับมา ศิษย์น้องผู้นั้นก็วิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วสมควรตายนัก!เขากลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทว่าเมื่อเจอเฟิ่งจิ่วเหยียนก็รีบปรับอารมณ์ของตนแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที“จิ่วเหยียน ได้เวลาดื่มยาแล้ว”คนอื่นล้วนเข้าใจว่ายานี้สำหรับให้เขาดื่ม ทว่าที่จริงแล้วล้วนต้มให้นางทั้งนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยกชามยาขึ้นแล้วดื่มคำใหญ่โดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เพียงครู่หนึ่งก็เห็นก้นชามยานี้เซียว
ประมุขแคว้นซีหนีว์ส่งจดหมายมาเล่าเรื่องของหลิวอิ๋งอย่างละเอียดเฟิ่งจิ่วเหยียนอ่านจดหมายจนจบ ก็พูดกับเซียวอวี้ด้วยสีหน้าจริงจัง“ทางแคว้นซีหนีว์สงสัยว่าหลิวอิ๋งไม่ใช่ซู่ยวนตัวจริง”ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ เซียวอวี้กับนางไม่แปลกใจซักนิดหลายวันก่อนหน้านี้นางได้รับภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวมาแล้วตงฟางซื่ออาศัยคำบรรยายของแต่ละฝ่าย วาดภาพเหมือนของสามีภรรยาสกุลหลิว รวมทั้งบุตรชายคนเล็กที่ตายไปแล้วออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยพิจารณาอย่างละเอียดมาก่อน และดูออกว่าหลิวอิ๋งกับน้องชายผู้นั้น หน้าตาเหมือนพ่อและแม่อยู่หลายส่วนมีเพียงท่านแม่ของนางเท่านั้น ที่หน้าตาไม่เหมือนคนตระกูลหลิวทว่าการอาศัยเพียงจุดนี้จุดเดียว ยากที่จะเป็นหลักฐานได้ถึงอย่างไรอายุของหลิวอิ๋ง ก็ตรงกับซู่ยวนพอดีจะต้องมีเรื่องที่ถูกปิดบังอยู่เป็นแน่เฟิ่งจิ่วเหยียนเก็บจดหมายขึ้น ทอดมองไปไกลด้วยสายตาเย็นชา......ณ แคว้นซีหนี่ว์ภายในพระราชวังเจิ้งจีเดินเล่นในวังจนครบรอบหนึ่งแล้วพูดกับมารดาเป็นการส่วนตัวว่า“ท่านแม่ พวกเขาล้วนพูดกันว่าท่านประมุขจะให้ท่านสืบทอดตำแหน่งต่อ!”หลิวอิ๋งไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยเรื่องนี้นางรู้
เมืองหลวงแคว้นหนานฉีณ จวนตระกูลเฟิ่งอี๋เหนียงหลินร้องไห้จนแทบขาดใจ น้ำมูกน้ำตาไหลพราก“ลูกเอ๋ย ลูกรักของแม่ เจ้ามีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน...”ขณะที่นางกำลังร้องไห้ เฟิ่งหมิงเซวียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นว่า“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย ท่านร้องไห้ทำไมกัน?”อี๋เหนียงหลินจิ้มหน้าผากของเขาด้วยความโมโห “เจ้าจะออกจากตระกูลเฟิ่งไปแต่งกับแม่นางหอนางโลม เจ้า...เจ้าตายไปยังดีเสียกว่า!”เฟิ่งหมิงเซวียนเองก็ทุกข์ใจมากเช่นกันทว่าเรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว เขาเองก็ไม่อาจขัดขืนได้ถึงอย่างไรอิงเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ลูกของเขาแล้ว เขาจะเป็นพ่อคนแล้ว พอคิดเช่นนี้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องร้ายไปซะหมดต่อให้ภายนอกเขาไม่ใช่คนตระกูลเฟิ่งแล้ว ทว่าเขามีสายเลือดตระกูลเฟิ่งไหลเวียนอยู่ หากอนาคตเขาต้องการความช่วยเหลือ ท่านพ่อและพี่ใหญ่ไม่มีทางนิ่งเฉยเป็นแน่เฟิ่งหมิงเซวียนพูดโน้มน้าวตัวเองเรียบร้อยยามนี้เขาต้องพูดโน้มน้าวท่านแม่ ให้นางยอมรับความจริงให้ได้อี๋เหนียงหลินร้องไห้ไม่หยุด และไม่ฟังที่เขาพูดในหัวของนางคิดเพียงว่า ทำไมตนไม่ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดก่อนที่ท่านพี่จะไปยังกำชับนางว่าให้ดูแลเรือนในและบ
ณ ตำหนักฉือหนิงสายตาที่ไทเฮามองมายังฮ่องเต้ ดูไม่สบายใจและไม่มั่นใจอยู่บ้างนางไม่คิดว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง เลยแวะมาเยี่ยมนางเซียวอวี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบใด ๆ“ถวายบังคมเสด็จแม่“เราจะไม่อยู่วัง วันกลับยังไม่แน่ชัด เรื่องภายในวังหลัง เรากังวลว่าหนิงเฟยคนเดียวจะตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากฝากให้ท่านดูแลชั่วคราว”ไทเฮางุนงงยิ่งกว่าเดิมเขาจะออกจากวังไปทำอะไรอีก?ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?เซียวอวี้ส่งสายตา หลิวซื่อเหลียงจึงนำตราประทับทองวางลงบนโต๊ะมีตราประทับทอง ก็จะสามารถควบคุมเรื่องทุกอย่างในวังหลังได้นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้จับตราประทับทองแต่บางเรื่อง นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี“ฮ่องเต้ เจ้าไม่อยู่วังอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะอะไรล่ะ? อีกอย่าง ตอนนั้นฮองเฮาใส่ชุดสามัญชนออกตรวจแต่ละเมืองกับเจ้า ทำไมมีแต่เจ้ากลับมาคนเดียว ฮองเฮาล่ะ?”แววตาของเซียวอวี้ราบเรียบ คำโป้ปดพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด“เราต้องกลับมาจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก ฮองเฮายังออกตรวจอยู่ ครั้งนี้ เราจึงต้องไปตามหานาง”ไม่รู้ไทเฮาเชื่อหรือไม่ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่
เซียวอวี้ไม่ทันได้รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมา แต่กลับได้ยินข่าวลือที่นางจะขึ้นบัลลังก์ในแคว้นซีหนี่ว์เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดที่จะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้จากนิสัยของจิ่วเหยียน มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อปกป้องแคว้นซีหนี่ว์แล้ว นางจะปล่อยไปตามสถานการณ์ รับช่วงแก้ปัญหาต่อของแคว้นซีหนี่ว์ นัยน์ตาของเซียวอวี้เจือแววหม่นหมองเขาสั่งเฉินจี๋ “ไปสืบมาให้ชัดเจน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เฉินจี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาจะทิ้งฝ่าบาท และหันหลังให้แคว้นหนานฉีทั้งอย่างนี้วันต่อมาณ ตำหนักฉือหนิง หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกอ่อนเพลีย มักจะนอนไม่หลับสนิทหมอหลวงตรวจชีพจรให้นาง หนิงเฟยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ “หมอหลวง ร่างกายของท่านป้าเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรหรือไม่?”หมอหลวงโค้งคำนับ “ทูลพระนาง เส้นลมปราณจุดเริ่นของไทเฮาอ่อนแรง เส้นลมปราณไท่ชงก็น้อยลง ชีพจรเทียนขุยหดหาย อุโมงค์อุดตัน ระดูหมด”เขาอธิบายจบ สีหน้าของไทเฮาพลันแข็งค้าง หัวใจเหมือนถูกอะไรทับไว้ จนหายใจไม่ออกระดูหมด นั่นหมายความว่านางเข้าสู่วัยชราอย่างสมบูรณ์นี่เป็นเรื่องที่สตรีต้องประสบพบเจอในชีวิตแต่นางไม่คิดเลยว
หัวหน้าแม่ทัพของแคว้นเจิ้งมีสีหน้าอดกลั้น“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก ควรถอยทัพ เพื่อปกป้องกองกำลังของแค้นให้คงอยู่!”หัวหน้าแม่ทัพแคว้นเสี่ยวโจวหงุดหงิดอย่างยิ่ง“สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า! ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์และแคว้นหนานฉี ผูกมัดรวมกันแล้ว!”หากพวกเขาเคลื่อนทัพเมื่อใด กองทัพชายแดนตะวันตกของแคว้นหนานฉีก็จะเคลื่อนไหวทันทีพอถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะถูกโจมตีทั้งสองทางอันตรายนี้ จะเข้าไปเสี่ยงไม่ได้แคว้นหนานฉีในปัจจุบัน เปรียบเสมือนปีศาจจอมตะกละที่กินอย่างไรก็ไม่อิ่มท้องหากถูกพวกเขาโจมตียึดครอง ก็ไม่ใช่แค่ตกเป็นแคว้นอาณานิคม แต่แคว้นจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก……บริเวณขอบชายแดนเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ไปไหนลมค่อย ๆ แรงขึ้น หูย่วนเอ๋อร์นำผ้าคลุมกันลม มาคลุมให้นางอย่างนอบน้อมสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทอดมองยังเบื้องหน้า กล่าวอย่างลุ่มลึก“แม่ทัพหู ข้าอยากให้เจ้าบอกมาตามตรง“เรื่องที่สองแม่ลูกหลิวอิ๋งกลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ท่านป้ารู้หรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์บอกอย่างงุนงง“ยามที่ประมุขแคว้นรักษาตัวอยู่ที่ชานเมือง นางรู้อะไร หรือไม่รู้อะไรนั้น ข้าไม่รู้เรื่อ
เมื่อเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ความหวัง เจิ้งจีก็ตะโกนสาปแช่งไล่หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกล“เฟิ่งจิ่วเหยียนเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ เจ้าสร้างบาปกรรมเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีลูกอีกไม่ได้แน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยิน ในใจกลับไม่สะทกสะท้านด้านหลัง มีเสียงยกดาบและลงดาบดังตามมาติด ๆหลิวอิ๋งพูดถูก ถูกประหารศีรษะก็แค่หลุดล่วงบนพื้นวันนี้ ศีรษะของนางหลุดในวังหลวงแคว้นซีหนี่ว์หัวกลิ้งหลุน ๆ ดึงดันหันไปทางตำหนักหลัก จ้องบัลลังก์ที่นางยังไม่ได้ครอบครอง อย่างตายตาไม่หลับเจิ้งจีเห็นภาพนี้ พลันนิ่งอึ้ง“ไม่นะ! ไม่——ท่านแม่!”เมื่อเห็นดาบกำลังจะฟันลงที่นาง นางก็เบิกตากว้างนางเสียใจนางไม่น่าตามมารดาไปที่เมืองหลวง ไม่น่าไปฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยากเป็นนางสนม ไม่น่ากลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์อีกครั้งหากนางอยู่ที่เจียงโจว ก็คงไม่ตายต่อมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา…ศีรษะหลุดออกจากบ่าหล่นบนพื้นตายตาไม่หลับเหมือนกัน……นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์กองทัพของแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งโจวเตรียมบุกโจมตีเวลากลางคืน ทหารสอดแนมมารายงาน“ท่านแม่ทัพ! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว! แต่ซู่ย
ความผูกพันที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อแคว้นซีหนี่ว์ ไม่ลึกซึ้งเท่าความผูกพันที่มีต่อแคว้นหนานฉีเนื่องจากนางเติบโตในแคว้นหนานฉีตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเคยเป็นทหารของแคว้นหนานฉีญาติสนิทมิตรสหายของนาง ล้วนอยู่ในแคว้นหนานฉีทั้งนั้นตอนนี้ นางยังเป็นฮองเฮาของแคว้นหนานฉีอีกด้วยหากนางตัวคนเดียว บางทีนางอาจจะสามารถอยู่ได้แบบไม่ต้องลังเล แต่ว่าตอนนี้ หากให้นางทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนานฉี อยู่เป็นฮ่องเต้ที่แคว้นซีหนี่ว์ นางทำไม่ได้นางมีหลายเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้และยังอาลัยอาวรณ์อยู่สามีของนาง ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วไหนจะเวยเฉียง…ทว่า แคว้นซีหนี่ว์เองก็ต้องปกป้องในด้านส่วนตัว นี่คือสายเลือดตระกูลบรรพบุรุษของนางในด้านส่วนรวม จำเป็นต้องมีแคว้นเฉกเช่นแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรี อีกอย่าง แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งก็สนิทชิดเชื้อกับเป่ยเยี่ยน หากพวกเขาแบ่งแยกแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะสร้างความกดดันต่อชายแดนทางตะวันตกของแคว้นหนานฉี หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ข้าจะช่วยแคว้นซีหนี่ว์ปราบปรามศัตรูให้ล่าถอย แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ คงต้องให้ผู้ปรา
ณ แคว้นหนานฉีภายในพระราชวังความรู้สึกไม่สบายใจของเซียวอวี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆเขาฝืนอ่านฎีกาจนจบ แล้วขึ้นราชรถไปตำหนักหย่งเหอด้วยจิตใจที่ล่องลอยหลิวซื่อเหลียงรีบตามมาด้านหลัง เขามองออกว่าฝ่าบาทกำลังวิตกกังวล ก็นึกว่าฝ่าบาททรงกังวลเรื่องของแคว้น จึงให้ข้าหลวงถอยออกไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเซียวอวี้นั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักชั้นในเป็นเวลานานหากไม่ติดเรื่องฐานะฮ่องเต้ ยามนี้เขาอยากจะไปแคว้นซีหนี่ว์ ตามจิ่วเหยียนของเขากลับมาแล้วแคว้นซีหนี่ว์ในเวลาเดียวกันเฟิ่งจิ่วเหยียนตกอยู่ในสองสถานการณ์ที่ยากลำบากด้านหนึ่ง นางรู้ดีว่าด้วยฐานะฮองเฮาแคว้นหนานฉีของนาง ไม่อาจอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ได้อีกด้านหนึ่ง แคว้นซีหนี่ว์ถูกคุกคามจากแคว้นศัตรู หากนางพาท่านแม่จากไปโดยไม่สนใจความอยู่รอดของแคว้นซีหนี่ว์ ย่อมทำใจได้ยากภายในตำหนัก โอวหยางเหลียนและหูย่วนเอ๋อร์ต่างคุกเข่าให้นางอยู่บนพื้น ขอร้องให้นางอยู่ต่อด้านนอกตำหนัก เหล่าขุนนางที่เดิมยังอยู่ที่ท้องพระโรงหน้า ไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากที่ใด ยามนี้ต่างก็มาคุกเข่าอยู่ด้านนอก ขอให้นางขึ้นครองราชย์แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักอึ้ง“ลุกข
หลิวอิ๋งไม่สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง นางถามเจิ้งจีเป็นอย่างแรก“ท่านป้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”“ท่านแม่ ท่านป้าสวรรคตแล้วเจ้าค่ะ...”ความทรงจำของเจิ้งจีเลือนราง จึงนึกว่าท่านแม่เองก็จำได้ไม่ชัดเจนเช่นกันหญิงผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือยามนี้นางจึงรีบพูดเรื่องสำคัญ “ท่านแม่ มีคนบุกเข้าไปในตำหนักบรรทม พวกเขาตีข้าจนสลบ ท่านรีบส่งทหารรักษาพระองค์ไปจับพวกเขาเร็วเข้า!”หลังจากเจิ้งจีที่อยู่นอกตำหนักฟื้นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ยังมีเสียงเลือนรางที่ดังมาจากด้านในตำหนักอีก ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือหนีเพื่อไปขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนตีนางจนสลบ และไม่รู้ว่าในตำหนักเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลิวอิ๋งได้ยินคำพูดของลูกสาว ก็คิดว่าประมุขแคว้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ได้มีเรื่องอย่างการฟื้นคืนชีพ ก็รู้สึกยินดียิ่งตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ที่ว่าประมุขแคว้นยังเหลือลมหายใจอยู่อะไรนั่น ที่แท้ก็เป็นการหลอกนาง!เฮ้อ! โชคดีที่นางไม่ติดกับ!พอซู่เฉียนเสวี่ยตายแล้ว ทีนี้นางอยากรู้นัก ใครจะพิสูจน์ได้เล่าว่านางไม่ใช่ซู่ยวน?......ตอนที่นายหญิงเฟิ่งมาถึงพระราชว
“ท่านประมุข แคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งต่างจ้องแคว้นเราตาเป็นมัน ท่านทำใจทิ้งพวกเราลงได้หรือเพคะ!”“ท่านประมุข ท่านจะต้องอายุยืนเป็นร้อยปี! ได้โปรดทำใจให้ฮึกเหิมเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ จะต้องทรงดีขึ้นนะเพคะ!”“ท่านประมุข หม่อมฉันไร้ความสามารถ หม่อมฉันมาช่วยพระองค์ช้าเกินไป! แท้ที่จริงแล้วหลิวอิ๋งผู้นั้น ใช่ใต้เท้าซู่ยวนหรือไม่เพคะ? ขอท่านเผยความจริงด้วยเถิด!”ประมุขแคว้นที่อยู่บนเตียง เบ้าตาจมลึก ริมฝีปากซีดขาว ผอมจนเห็นกระดูก อาภรณ์ขาวบนร่างดูราวกับผ้าห่อศพ แผ่กลิ่นอายความตายออกมาลมหายใจของนางแผ่วเบา ทว่าเสียงที่ออกมาจากปากกลับชัดเจนยิ่ง “หลิวอิ๋ง...ไม่ใช่ซู่ยวน จะให้นางทำให้แคว้นซีหนีว์วุ่นวายไม่ได้!”เมื่อซู่เฉียนเสวี่ยพูดคำสุดท้ายจบ ก็ราวกับว่านางได้ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดแล้ว นางหายใจรุนแรงราวกับว่าวิญญาณในร่างกำลังล่องลอยออกไป นางเงยหน้าขึ้นด้วยความทรมานอย่างที่สุด เพื่อให้ลมหายใจเคลื่อนผ่านสะดวกเหล่าขุนนางคนสนิทต่างก่นด่าถึงความไม่เป็นธรรม“ท่านประมุข ท่านวางใจเถิดเพคะ! หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ซู่ยวนตัวปลอมนั่นขึ้นครองราชย์เด็ดขาด!”“ใช่ ฆ่านางซะ! นางหลอกลวงเบื้องสูง ทั้งยังทำร้ายท
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั