รอยยิ้มของเสวียนหลิงเฟิงที่อยู่บนแท่นสูงดูแข็งทื่อเล็กน้อยเมื่อครู่ ฮองเฮาว่ากระไรนะ?ฝ่าบาททรงบาดเจ็บถึงแก่นกายรึ?จากที่เขารู้มา ความจริงไม่ใช่เช่นนี้อย่าว่าแต่เสวียนหลิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจเลย แม้แต่ตัวเซียวอวี้เองก็ยังตกตะลึงอย่างยิ่งร่างกายของเขาแข็งแรงดีมาก ไม่เคยเกิดความผิดปกติมาก่อนแต่เพียงครู่หนึ่งเขาก็พลันนึกได้สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน จะให้กำเนิดบุตรได้หรือไม่ เป็นเรื่องของคนสองคนหลังจากคิดได้แล้ว ปฏิกิริยาของเซียวอวี้ก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เขาคล้อยตามคำที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดเมื่อครู่ทันที เขาพูดกับเสวียนหลิงเฟิงผู้เป็นอาจารย์“ใช่แล้วขอรับ ขอท่านได้โปรดตรวจและรักษาให้ศิษย์ด้วยเถิด”มุมปากเสวียนหลิงเฟิงกระตุกเบา ๆเจ้าเด็กสองคนนี้นี่ โกหกคล่องปากเหมือนไม่ต้องคิดเลย!เฟิ่งจิ่วเหยียนมั่นใจว่าเสวียนหลิงเฟิงผู้นี้ไม่มีทางปฏิเสธเขาเก่งกาจเพียงนี้ ย่อมรู้จุดประสงค์ที่พวกนางเข้ามาในเขาในเมื่อทราบถึงเรื่องนี้ แล้วยังส่งศิษย์ไปต้อนรับที่ประตูหุบเขา ก็พิสูจน์แล้วว่าเขามีใจที่จะรักษาโรคกลัวความหนาวให้นางทว่าถูกห้ามไว้ด้วยกฎของภูเขาหวูหยา ทันใดนั้นเสวียนหลิงเฟิ
ใบหน้าที่แก่ชราของโอวหยางเหลียน มีความชอบธรรมอย่างเห็นได้ชัด“ท่านกับซู่ยวน คนหนึ่งเหมือนมารดา อีกคนเหมือนบิดา วันนี้เมื่อได้เห็นใบหน้า ซู่ยวนผู้นั้นไม่เหมือนบิดาของท่านซักนิด ต้องไม่ใช่ตัวจริงแน่!”สีหน้าของมั่วซินหมัวมัวพลันซับซ้อน คิดอยากพูดโน้มน้าวโอวหยางเหลียนแต่ก็พูดไม่ออกวันนี้ท่านประมุขได้พบกับใต้เท้าซู่ยวนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาการป่วยอาจจะดีขึ้นก็ได้ใต้เท้าโอวหยางเหลียนกลับเปิดเผยความจริงออกมาเช่นนี้ นี่มิใช่การทำให้อารมณ์ของท่านประมุขขึ้น ๆ ลง ๆ จนอาจจะส่งผลให้อาการป่วยแย่ลงหรอกหรือ?ทว่าเมื่อหันไปดูท่านประมุขอีกครั้ง กลับดูไม่มีปฏิกิริยาอะไรมั่วซินหมัวมัวจึงกล่าวเตือนอย่างวิตกกังวล“ท่านประมุข...”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยกมือขึ้นอย่างอาจหาญ มั่วซินหมัวมัวจึงหยุดพูดโอวหยางเหลียนพูดอย่างจริงจัง“ท่านประมุข หม่อมฉันทราบว่าพระองค์ตัดสินใจที่จะมอบตำแหน่งประมุขให้ซู่ยวน ดังนั้นตัวตนของซู่ยวนเป็นจริงหรือปลอม เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก“ขอพระองค์โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง สืบให้ชัดเจนก่อน ค่อยตัดสินใจเถิดเพคะ”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา“แล้วชิ้น
ภายในภูเขาหวูหยามีศิษย์อยู่ทั้งหมดสามสิบคนในบรรดาพวกเขา มีหลายคนที่โตมากับเซียวอวี้ เวลาพูดจาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนักวันนั้นเซียวอวี้ที่ไม่ค่อยออกมานอกเรือน ได้ออกมาแล้วพบกับศิษย์น้องผู้หนึ่งเข้าฝ่ายหลังที่มาส่งยา คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม เขามองจนเซียวอวี้รู้สึกเดือดดาล“ศิษย์พี่ ยานี้ท่านรีบดื่มตอนร้อน ๆ เถิด”เซียวอวี้: …อดทนไว้!เขารับยามา ยามที่กำลังจะหันกายจากไปนั้นเอง ศิษย์น้องผู้นั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง“ศิษย์พี่ มิน่าเล่าตั้งแต่ท่านขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยมีบุตรหลานเลย ท่านนี่นะ น่าจะรีบกลับมาหาอาจารย์ตั้งนานแล้ว!”ความโกรธในร่างของเซียวอวี้ที่ลดลงไปพลันพุ่งขึ้นในทันทีพอหันกลับมา ศิษย์น้องผู้นั้นก็วิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วสมควรตายนัก!เขากลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทว่าเมื่อเจอเฟิ่งจิ่วเหยียนก็รีบปรับอารมณ์ของตนแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที“จิ่วเหยียน ได้เวลาดื่มยาแล้ว”คนอื่นล้วนเข้าใจว่ายานี้สำหรับให้เขาดื่ม ทว่าที่จริงแล้วล้วนต้มให้นางทั้งนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยกชามยาขึ้นแล้วดื่มคำใหญ่โดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เพียงครู่หนึ่งก็เห็นก้นชามยานี้เซียว
ประมุขแคว้นซีหนีว์ส่งจดหมายมาเล่าเรื่องของหลิวอิ๋งอย่างละเอียดเฟิ่งจิ่วเหยียนอ่านจดหมายจนจบ ก็พูดกับเซียวอวี้ด้วยสีหน้าจริงจัง“ทางแคว้นซีหนีว์สงสัยว่าหลิวอิ๋งไม่ใช่ซู่ยวนตัวจริง”ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ เซียวอวี้กับนางไม่แปลกใจซักนิดหลายวันก่อนหน้านี้นางได้รับภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวมาแล้วตงฟางซื่ออาศัยคำบรรยายของแต่ละฝ่าย วาดภาพเหมือนของสามีภรรยาสกุลหลิว รวมทั้งบุตรชายคนเล็กที่ตายไปแล้วออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยพิจารณาอย่างละเอียดมาก่อน และดูออกว่าหลิวอิ๋งกับน้องชายผู้นั้น หน้าตาเหมือนพ่อและแม่อยู่หลายส่วนมีเพียงท่านแม่ของนางเท่านั้น ที่หน้าตาไม่เหมือนคนตระกูลหลิวทว่าการอาศัยเพียงจุดนี้จุดเดียว ยากที่จะเป็นหลักฐานได้ถึงอย่างไรอายุของหลิวอิ๋ง ก็ตรงกับซู่ยวนพอดีจะต้องมีเรื่องที่ถูกปิดบังอยู่เป็นแน่เฟิ่งจิ่วเหยียนเก็บจดหมายขึ้น ทอดมองไปไกลด้วยสายตาเย็นชา......ณ แคว้นซีหนี่ว์ภายในพระราชวังเจิ้งจีเดินเล่นในวังจนครบรอบหนึ่งแล้วพูดกับมารดาเป็นการส่วนตัวว่า“ท่านแม่ พวกเขาล้วนพูดกันว่าท่านประมุขจะให้ท่านสืบทอดตำแหน่งต่อ!”หลิวอิ๋งไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยเรื่องนี้นางรู้
เมืองหลวงแคว้นหนานฉีณ จวนตระกูลเฟิ่งอี๋เหนียงหลินร้องไห้จนแทบขาดใจ น้ำมูกน้ำตาไหลพราก“ลูกเอ๋ย ลูกรักของแม่ เจ้ามีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน...”ขณะที่นางกำลังร้องไห้ เฟิ่งหมิงเซวียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นว่า“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย ท่านร้องไห้ทำไมกัน?”อี๋เหนียงหลินจิ้มหน้าผากของเขาด้วยความโมโห “เจ้าจะออกจากตระกูลเฟิ่งไปแต่งกับแม่นางหอนางโลม เจ้า...เจ้าตายไปยังดีเสียกว่า!”เฟิ่งหมิงเซวียนเองก็ทุกข์ใจมากเช่นกันทว่าเรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว เขาเองก็ไม่อาจขัดขืนได้ถึงอย่างไรอิงเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ลูกของเขาแล้ว เขาจะเป็นพ่อคนแล้ว พอคิดเช่นนี้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องร้ายไปซะหมดต่อให้ภายนอกเขาไม่ใช่คนตระกูลเฟิ่งแล้ว ทว่าเขามีสายเลือดตระกูลเฟิ่งไหลเวียนอยู่ หากอนาคตเขาต้องการความช่วยเหลือ ท่านพ่อและพี่ใหญ่ไม่มีทางนิ่งเฉยเป็นแน่เฟิ่งหมิงเซวียนพูดโน้มน้าวตัวเองเรียบร้อยยามนี้เขาต้องพูดโน้มน้าวท่านแม่ ให้นางยอมรับความจริงให้ได้อี๋เหนียงหลินร้องไห้ไม่หยุด และไม่ฟังที่เขาพูดในหัวของนางคิดเพียงว่า ทำไมตนไม่ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดก่อนที่ท่านพี่จะไปยังกำชับนางว่าให้ดูแลเรือนในและบ
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเริ่มผิดปกติอีกครั้ง รุ่ยอ๋องก็หันกายจากไปหร่วนฝูอวี้จงใจเรียกเขาเอาไว้“ท่านอ๋องเพคะ ~อย่าไป”สีหน้ารุ่ยอ๋องมืดครึ้มสตรีนางนี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริง!เขาจะต้องเอากู่เสน่ห์นี่ออกไปให้ได้!......ณ จวนพลทหารนายหญิงเฟิ่งกลับมาจากจางโจวแล้วนึกไม่ถึงเลยว่าสองเดือนที่นางจากเมืองหลวงไป จะเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เดิมนายหญิงเฟิ่งคิดว่า อาอิ๋งจะแต่งให้กับเฟิ่งหลินได้อย่างราบรื่นใครเล่าจะรู้ว่าจิ่วเหยียน เด็กคนนี้จะหัวรั้นเช่นนี้ จะต้องสอดมือเข้าไปยุ่งให้ได้ตระกูลเฟิ่งถอนหมั้น อาอิ๋งก็หายตัวไป“อาอิ๋งไปอยู่ที่ไหนกันแน่? ฮองเฮาเล่า? ข้าจะเข้าเฝ้าฮองเฮาได้อย่างไร?”สะใภ้โจวซื่อประคองนางให้นั่งลง แล้วบอกนางอย่างอดทนว่า“ท่านแม่ ท่านอย่าได้รีบร้อนไป ท่านน้าจะต้องกลับเจียงโจวอย่างปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ฮองเฮาทรงเสด็จออกไปท่องเที่ยวที่เมืองต่าง ๆ กับฝ่าบาทแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเสด็จกลับมาเมื่อใด“อีกซักครู่พอท่านพี่ออกเวรกลับมาที่จวนแล้ว ท่านค่อยคุยกับเขาอย่างละเอียดนะเจ้าคะ”ยามเย็น เฟิ่งเหยียนเฉินกลับมาถึงจวนนายหญิงเฟิ่งร้อนใจดั่งไฟสุม ขมวดคิ้วด้วยความกังวล“
ณ แคว้นซีหนี่ว์หลายวันมานี้มีหมอเทวดาท่านหนึ่งมา ด้วยการรักษาของเขา อาการป่วยของประมุขแคว้นเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นคนล้วนพูดกันว่าเรื่องน่ายินดีทำให้จิตใจเบิกบาน พอท่านประมุขแคว้นหาใต้เท้าซู่ยวนผู้เป็นน้องสาวพบ อาการป่วยก็ดีขึ้นภายในห้องโถงด้านข้างสีหน้าของหลิวอิ๋งดูดำมืดอย่างยิ่งเดิมคิดว่าประมุขแคว้นนี่ใกล้จะตายแล้วนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะอาการดีขึ้นเช่นนี้!หมอสมควรตายนี่โผล่มาจากที่ใดกัน!ยามนี้ดูไปแล้ว ประมุขแคว้นนั่นคงจะไม่ตายในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่จะถึงคราวที่นางได้เป็นประมุขแคว้นล่ะ?ความทะเยอทะยานในดวงตาของหลิวอิ๋งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆไม่ได้!นางจะรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นางต้องทำอะไรซักอย่างหลิวอิ๋งลุกขึ้นยืนทันที แล้วไปขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้นภายในตำหนักบรรทมประมุขแคว้นเพิ่งจะดื่มยาเสร็จหลิวอิ๋งเดินเข้าไปด้านหน้าแท่นบรรทม แล้วโค้งกายคารวะ“ท่านพี่”ประมุขแคว้นเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาแฝงด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยน“ซู่ยวน เจ้ามาแล้วหรือ ทำไม มีเรื่องอะไรหรือ?”สาวใช้ยกเก้าอี้กลมเข้ามา หลิวอิ๋งนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาตินางเริ่มพูดอย่า
……กลางเดือนสิบอากาศหนาวเย็นบนภูเขาหวูหยาเริ่มทวีความเข้มข้น ราวกับเข้าสู่ช่วงหนาวเย็นแห่งเหมันต์บนภูเขาหวูหยาแห่งนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ห่างหายจากการฝึกวิชายุทธ์ต่อให้อากาศจะหนาวเหน็บ นางก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าทุกวันวันนี้ นางได้เจอเสวียนหลิงเฟิง ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางลมหนาว ในอาภรณ์ตัวบาง กลับไม่เห็นความอิดโรยใด ๆ ทั่วสรรค์พางกายเหมือนเซียนเฒ่าลงมาจุติโลกมนุษย์ เปล่งประกายออกมาเดิมนางอยากไปฝึกที่อื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสวียนหลิงเฟิงพูดคำปริศนาออกมา“มันเป็นโชคชะตา ย่อมหลีกหนีไม่พ้น” เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยโชคชะตาอะไร?หรือหมายถึง ชั่วชีวิตนี้นางจะไม่มีลูกอีก อย่าฝืนโชคชะตาอย่างนั้นหรือ?ไม่นาน เซียวอวี้ก็ตามมาเช้านี้เขาได้รับสาส์นลับจากเมืองหลวง จึงเสียเวลาไปหน่อยเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางลมหนาว ไม่ไหวติง เขาก็รีบเดินเข้าไป“เป็นอะไรไป?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมาหาเขา นัยน์ตาก่อเกิดความเด็ดเดี่ยว“ฝ่าบาท หลังจากกลับไปที่วังหลวง ขอให้ท่านกระจายความโปรดปรานให้เหล่านางสนมอย่างทั่วถึง”สีหน้าของเซียวอวี้อึมครึมเล็กน้อย“เจ้าพูดไร้
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั
บนบัลลังก์มังกร หลิวอิ๋งมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังได้เปรียบแล้วฝืนยิ้ม“ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดนี่เอง ถึงอย่างไรความจริงก็เป็นเรื่องภายในของแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นหนานฉี...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะหลิวอิ๋งที่กำลังพูดด้วยแววตาเย็นชา“ข้าจะพบประมุขแคว้น”หลิวอิ๋งซ่อนเจตนาไม่ดีไว้ในรอยยิ้ม“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ประมุขแคว้นทรงสวรรคตแล้ว ยามนี้ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะกลัวว่าในแคว้นจะเกิดความวุ่นวาย หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็รีบไปที่ตำหนักบรรทมสิ ประมุขแคว้น...ทรงอยู่ในโลงแล้ว”“อะไรนะ!” ปฏิกิริยาของมั่วซินหมัวมัวรุนแรงมากหลิวอิ๋งแสร้งแสดงท่าทีเสียใจ ใช้มือหนึ่งปิดใบหน้า ไหล่สั่นสะท้าน ราวกับกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความเศร้านางก้มศีรษะลงครึ่งนึง แล้วกล่าวเสริมว่า“เหล่าขุนนางรักเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้าต้องการปิดบังพวกท่าน ทว่านี่เป็นเรื่องกะทันหัน ภายในก็วุ่นวาย ภายนอกศัตรูรุกราน ข้าไม่กล้าพูดออกมา“วันนี้ กบฏมั่วซินกลับเดินเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง ในที่สุดวิญญาณของท่านพี่ที่อยู่บนสวรรค์ ก็ได้ตายตาหลับเสียที“ท่านพี่...”นางร้องไห้เสียใจ ทำให้เหล่าขุนนางร้องตามไปด้วย“ท่านประมุข!”มั่วซินห
เหล่าขุนนางของแคว้นซีหนี่ว์ล้วนรู้ดี มั่วซินหมัวมัวเป็นคนเก่าแก่ข้างกายประมุข ได้รับความไว้วางใจจากประมุขเป็นอย่างมากคำพูดของนาง น่าจะไม่ผิดทว่า ใต้เท้าซู่ยวนคนนี้ เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของประมุข...ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครมั่วซินกล่าวหาว่าสถานะซู่ยวนเป็นตัวปลอม ซู่ยวนก็กล่าวหาว่ามั่วซินกบฏ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นของตนเองจนเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาพูด“เหตุใดไม่ให้ประมุขทรงตรัสด้วยตนเอง?”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สายตาหลิวอิ๋งฉายแววความโหดร้าย“ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าทำร้ายพี่สาว! พวกเจ้าเป็นโจรกบฏ อย่าคิดที่จะได้พบประมุข! ทหาร จัดการพวกนาง!”“ข้าจะดูว่าใครกล้าลงมือ!” แม่ทัพใหญ่หูย่วนเอ๋อร์ออกมายืนด้านหน้า ปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียนกับมั่วซินหมัวมัวหลิวอิ๋งตำหนิหูย่วนเอ๋อร์“แม่ทัพหู เจ้าก็คิดจะกบฏหรือ! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่รู้ความจริง ถูกคนหลอกลวง ข้าให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบมายืนฝั่งข้า! จับกุมตัวโจรกบฏ!”หูย่วนเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม“ต่อให้จะลงโทษใคร ก็ควรให้ประมุขตัดสิน! ใต้เท้าซู่ยวน ประมุขอยู่ที่ใด!”หลิวอิ๋งเห็นว่าคนพวกนี้ไม่ฟังคำพูดตนเอง บีบ
ในพระราชวัง แคว้นซีหนี่ว์หลิวอิ๋งพาประมุขกลับวังอย่างเปิดเผย เหล่าข้าหลวงล้วนเคารพนาง ไม่สงสัยในตัวนางเพื่อไม่ให้ประมุขเปิดปากขอความช่วยเหลือ หลิวอิ๋งให้นางทานยาสลบ ทำให้นางตกอยู่ในสภาวะหมดสติเทียบกับความใจเย็นของหลิวอิ๋ง เจิ้งจีรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้ามองผู้ใดจนกระทั่งพาประมุขส่งมาถึงตำหนักบรรทม หลังจากสั่งให้ข้าหลวงทั้งหมดออกไปแล้ว เจิ้งจีค่อยถามด้วยเสียงเบา“ท่านแม่ เราทำเช่นนี้ จะไม่มีใครรู้จริง ๆ หรือ?”หลิวอิ๋งมองประมุขบนเตียง ด้วยแววตาโหดเหี้ยม“นางใกล้จะตายแล้ว ตำแหน่งประมุข ไม่ช้าก็จะเป็นของข้า ขอเพียงข้าควบคุมทั่วทั้งแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้า!”เจิ้งจียังคงรู้สึกหวาดกลัวหวนคิดถึงเมื่อไม่นาน นักฆ่าพวกนั้นบุกเข้ามาในจวนชานเมือง สังหารองครักษ์ข้างกายประมุข แล้วก็ปลอมเป็นองครักษ์ ร่วมมือกับพวกนาง พาประมุขกลับวังตอนนี้ นักฆ่าพวกนั้นก็อยู่ในวัง กระทั่ง คอยจับตามองอยู่ข้างกายพวกเขาต่อให้ท่านแม่เป็นประมุข ก็จะสามารถสบายใจไม่ทุกข์ไม่ร้อนจริงหรือ?“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้ากลัว”น้ำเสียงเจิ้งจีสั่นเทาหลิวอิ๋งลูบใบหน้านาง พูดเตือนนาง
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ