ณ แคว้นซีหนี่ว์หลายวันมานี้มีหมอเทวดาท่านหนึ่งมา ด้วยการรักษาของเขา อาการป่วยของประมุขแคว้นเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นคนล้วนพูดกันว่าเรื่องน่ายินดีทำให้จิตใจเบิกบาน พอท่านประมุขแคว้นหาใต้เท้าซู่ยวนผู้เป็นน้องสาวพบ อาการป่วยก็ดีขึ้นภายในห้องโถงด้านข้างสีหน้าของหลิวอิ๋งดูดำมืดอย่างยิ่งเดิมคิดว่าประมุขแคว้นนี่ใกล้จะตายแล้วนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะอาการดีขึ้นเช่นนี้!หมอสมควรตายนี่โผล่มาจากที่ใดกัน!ยามนี้ดูไปแล้ว ประมุขแคว้นนั่นคงจะไม่ตายในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่จะถึงคราวที่นางได้เป็นประมุขแคว้นล่ะ?ความทะเยอทะยานในดวงตาของหลิวอิ๋งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆไม่ได้!นางจะรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นางต้องทำอะไรซักอย่างหลิวอิ๋งลุกขึ้นยืนทันที แล้วไปขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้นภายในตำหนักบรรทมประมุขแคว้นเพิ่งจะดื่มยาเสร็จหลิวอิ๋งเดินเข้าไปด้านหน้าแท่นบรรทม แล้วโค้งกายคารวะ“ท่านพี่”ประมุขแคว้นเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาแฝงด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยน“ซู่ยวน เจ้ามาแล้วหรือ ทำไม มีเรื่องอะไรหรือ?”สาวใช้ยกเก้าอี้กลมเข้ามา หลิวอิ๋งนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาตินางเริ่มพูดอย่า
……กลางเดือนสิบอากาศหนาวเย็นบนภูเขาหวูหยาเริ่มทวีความเข้มข้น ราวกับเข้าสู่ช่วงหนาวเย็นแห่งเหมันต์บนภูเขาหวูหยาแห่งนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ห่างหายจากการฝึกวิชายุทธ์ต่อให้อากาศจะหนาวเหน็บ นางก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าทุกวันวันนี้ นางได้เจอเสวียนหลิงเฟิง ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางลมหนาว ในอาภรณ์ตัวบาง กลับไม่เห็นความอิดโรยใด ๆ ทั่วสรรค์พางกายเหมือนเซียนเฒ่าลงมาจุติโลกมนุษย์ เปล่งประกายออกมาเดิมนางอยากไปฝึกที่อื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสวียนหลิงเฟิงพูดคำปริศนาออกมา“มันเป็นโชคชะตา ย่อมหลีกหนีไม่พ้น” เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยโชคชะตาอะไร?หรือหมายถึง ชั่วชีวิตนี้นางจะไม่มีลูกอีก อย่าฝืนโชคชะตาอย่างนั้นหรือ?ไม่นาน เซียวอวี้ก็ตามมาเช้านี้เขาได้รับสาส์นลับจากเมืองหลวง จึงเสียเวลาไปหน่อยเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางลมหนาว ไม่ไหวติง เขาก็รีบเดินเข้าไป“เป็นอะไรไป?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมาหาเขา นัยน์ตาก่อเกิดความเด็ดเดี่ยว“ฝ่าบาท หลังจากกลับไปที่วังหลวง ขอให้ท่านกระจายความโปรดปรานให้เหล่านางสนมอย่างทั่วถึง”สีหน้าของเซียวอวี้อึมครึมเล็กน้อย“เจ้าพูดไร้
หยิ่นลิ่วส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเปิดอ่าน กลับเห็นเป็นลายมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ ——[มารเดาเจ้ามีบุญคุณต่อซู่ยวน เราจึงเชิญนางมาแคว้นซีหนี่ว์เพื่อพบปะกัน และในวันหน้าจะให้คนไปส่งท่านกลับอย่างปอดภัย]“เป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวอวี้ถามอย่างเป็นห่วงเฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา แววตาเยือกเย็นแน่นิ่ง“เป็นฝีมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกนางจับตัวแม่ยายไป เพื่ออะไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ย“บางที ประมุขคงสงสัยว่าแม่ของข้าคือซูย่วน”ความเป็นไปได้ที่นางคาดเดาไว้ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เองก็น่าจะคาดเดาได้เหมือนกันแต่ไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะใช้วิธีที่ตรงไปตรงมา——ด้วยจับตัวไปเช่นนี้ทว่า ในเมื่อเป็นการพิสูจน์ความแน่ใจเกี่ยวกับตัวตนของซูย่วน ท่านแม่ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรเฟิ่งจิ่วหยียนจ้องไปทางทิศตะวันออกด้วยแววตานิ่งงันเทียบกับเรื่องที่ท่านแม่ถูกพาตัวไป นางสนใจว่า ผู้ใดคือซูย่วนมากกว่านางกำชับหยิ่นลิ่ว“ไปบอกจวนพลทหาร ท่านแม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม”“รับทราบ!”เซียวอวี้เสนอ “เราจะส่งคนไปท
นายหญิงเฟิ่งสงสัยในตัวตนของหลิวอิ๋งแต่บางอย่าง นางไม่สามารถพูดออกไปในตอนนี้อาอิ๋งกับประมุขแคว้นซีหนี่ว์นับญาติกัน เพราะมีหลักฐานยืนยันยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้อาอิ๋งหน้าเหมือนท่านแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่า อาอิ๋งคือลูกแท้ ๆ ของท่านแม่บางที อาอิ๋งอาจจะเป็นน้องสาวของประมุขแคว้นซีหนี่ว์จริง ๆ…ประมุขแคว้นซีหนี่ว์จ้องนางเขม็ง สายตาลุ่มลึกคลุมเครือโอวหยางเหลียนที่นั่งอยู่ยิ้มอย่างใจดี“ฮูหยินเฟิ่ง หลายปีมานี้ ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยดูแลซู่ยวนมาโดยตลอด แน่นอนว่าที่เชิญท่านมา ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงอยากแสดงความขอบคุณต่อท่าน ท่านอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์สักพักดีหรือไม่?“ท่านสบายใจได้ ประมุขแคว้นของเราส่งจดหมายไปบอกฮ่องเต้ฉีกับฮองเฮาแล้ว พวกนางต่างรู้ว่าท่านอยู่ที่ใด”นายหญิงเฟิ่งมีสีหน้าตกตะลึง พลันผุดตัวลุกขึ้น“อาอิ๋งอยู่ที่ใด? ข้าอยากเจอนาง”นางเสียมารยาทบ้าง ทว่า ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไม่ถือสาฝ่ายหลังเป็นผู้ใจกว้าง จึงออกคำสั่งมั่วซินหมัวมัว“พาฮูหยินเฟิ่งไปที่ตำหนักข้าง”“เพคะ ท่านประมุข”จากตรงนี้ถึงตำหนักข้าง ใช้เวลาไม่นาน นายหญิงเฟิ่งกลับรู้สึกว่า เส้นทางนี้
นายหญิงเฟิ่งยืนอึ้งอยู่กับที่เจิ้งจีพร่ำเพ้อถึงฝ่าบาท ทั้งยังคิดจะตั้งครรภ์ราชโอรส!เช่นนั้นก็ไม่แปลกใจ ที่จิ่วเหยียนจะไล่พวกนางออกไป“อาอิ๋ง เรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่?” ความรู้สึกผิดบนใบหน้าของนายหญิงเฟิ่งเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นซักถามหลิวอิ๋งไม่ปฏิเสธ“ท่านพี่ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เด็กที่เจิ้งจีคลอดออกมา ก็คือหลานของฮองเฮา แทนที่จะเสียเปรียบให้นางสนมคนอื่น มิสู้…”“อาอิ๋ง เจ้าเลอะเลือนหรือไร!” นายหญิงเฟิ่งตำหนิอย่างเด็ดขาดไม่คิดเลยว่าอาอิ๋งจะมีความคิดเช่นนี้นายหญิงเฟิ่งตำหนิพวกนางต่อ“พวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าถึงได้คิดเยี่ยงนี้! จิ่วเหยียนลูกของข้า ไม่ชอบให้มีอะไรขัดหูขัดตา พวกเจ้าคิดจะให้ท่าฝ่าบาทต่อหน้าต่อตานางเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร?”เจิ้งจีเลิกเสแสร้ง แสยะยิ้มออกมา“ให้ท่าอะไร? ลูกสาวของท่านไม่มีน้ำยาเอง ยังมีหน้าอยากครอบครองฝ่าบาทอีก! ต่อให้ไม่มีข้า ไม่ช้าก็เร็วฝ่าบาทก็ต้องให้ความโปรดปรานแก่สตรีคนอื่นอยู่ดี ถึงเวลานั้น พวกท่านสองแม่ลูกต้องร้องไห้แน่!”หลิวอิ๋งเองก็ห้ามปรามด้วยน้ำเสียงไพเราะ“ท่านพี่ แม้นข้าจะเป็นคนของแคว้นซีหนี่ว์ แต่พวกเราก็เป็
มั่วซินหมัวมัวเห็นนายหญิงเฟิ่งทรุดนั่งบนเก้าอี้ ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว ก็รีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา“ฮูหยินเฟิ่ง ท่านเป็นอะไรไป!”หลิวอิ๋งเองก็รีบลุกขึ้น “มั่วซิน รีบไปเรียกหมอหลวงมา ไม่รู้นางเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็หายใจไม่ออก”ไม่นาน หมอหลวงก็มาหลังจากฝังเข็มเสร็จ อาการของนายหญิงเฟิ่งก็ดีขึ้นเพียงแต่ แววตาของนางว่างเปล่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่เจิ้งจียืนอยู่ข้างมารดา ดวงตาเต็มไปด้วยแววคาดโทษนังแก่นี่ กล้าปากมากก็ลองดู!ทว่า ต่อให้ท่านป้าผู้เป็นประมุขแคว้นรู้แล้วอย่างไร? นางกับท่านแม่ต่างหากคือครอบครัวเดียวกัน แล้วนังแก่นี่เป็นใคร?ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน นายหญิงเฟิ่งก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา“ข้าจะกลับแคว้นหนานฉี”มั่วซินหมัวมัวมีสีหน้าเรียบเฉย “รอบ่าวไปเรียนแจ้งประมุขแคว้นสักครู่”หลิวอิ๋งค่อนข้างสงสัยฉงนใจถึงขั้นส่งมั่วซินหมัวมัวตามมาที่ตำหนักข้างด้วยขนาดนี้ เหมือนประมุขแคว้นจะใส่ใจหลิวหนิงมากเกินไปแล้วทว่า ประมุขแคว้นยอมให้นายหญิงเฟิ่งกลับไปที่แคว้นหนานฉีทันที ทำลายล้างความสงสัยของหลิวอิ๋งนายหญิงเฟิ่งออกจากวังหลวง โดยมีหลิวอิ๋งมาส่งนางขณะกำลังจะแยกจากกัน หลิวอิ๋งก็แสร้
“ออกไปให้หมด” ประมุขแคว้นออกคำสั่งเหล่าขุนนาง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้มั่วซินหมัวมัว พาเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาสองเค่อยามต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงห้องบรรทมนางอยู่ในชุดสีเข้ม ใบหน้าสุขุมเยือกเย็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไล่ข้าหลวงทุกคนออกไป เหลือไว้เพียงมั่วซินหมัวมัวคนเดียว“ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด” เฟิ่งจิ่วเหยียนถามเข้าประเด็นทันทีประมุขแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “นั่งลงคุยกันก่อนสิ”เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับนางจ้องประมุขบนเตียงอย่างแน่นิ่งไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน อาการป่วยของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน“ท่านต้องการตามหาซู่ยวน หากไม่มีอะไรผิดพลาด ท่านแม่ของข้าคือ…”ประมุขแคว้นยิ้มมุมปากเบา ๆ“เจ้าก็รู้นี่ ว่าแม่ของเจ้าหน้าคล้ายหลายส่วน…แค่ก ๆ!”พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ นางก็เริ่มไอออกมามั่วซินหมัวมัวรีบเข้าไปช่วย ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองรับเลือดที่ประมุขแคว้นอาเจียนออกมาประมุขแคว้นค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเฟิ่งจิ่วเหยียน“เด็กน้อย เจ้ามานี่สิ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองนาง ไม่ขยับไหวติงมั่วซินหมัวมัวเห็นเช
ภายในห้องบรรทมประมุขแคว้นถอดเสื้อคลุมมังกรออก เปลี่ยนใส่เสื้อคลุมเรียบง่ายเจิ้งจีเดินเข้ามา ถามอย่างสงสัย“ท่านป้า นี่ท่านกำลังจะไปที่ไหน?”ประมุขแคว้นมีสีหน้าราบเรียบ “ตรวจลาดตระเวนการประปา”เจิ้งจีเดินเข้าไปประคองแขนของประมุขแคว้นอย่างสนิทสนม แล้วออดอ้อนนาง“ท่านป้าช่างมุ่งมั่นเพื่อประชาชนจริง ๆ!“ฮ่องเต้ทั่วใต้หล้านี้ ไม่มีผู้ใดดีเท่าท่านแล้ว“ท่านป้า เมื่อครู่ข้าเห็นฮองเฮาแคว้นหนานฉี นางมาทำไมหรือ?”ประมุขแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ พูดอย่างสงบนิ่งเป็นพิเศษ “นางติดตามฮ่องเต้ฉีใส่ชุดสามัญชนออกเยี่ยมแต่ละแคว้น จึงตั้งใจแวะเวียนมาที่แคว้นซีหนี่ว์ เพื่อเจรจาเรื่องพันธมิตรของทั้งสองแคว้น”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้น…ฮ่องเต้ฉีเสด็จมาหรือไม่?” เจิ้งจีสนใจฮ่องเต้ฉี มากกว่าสนใจป้าของตัวเอง จนไม่สังเกตว่า ประมุขแคว้นที่อยู่ข้าง ๆ ริมฝีปากเริ่มซีดขาวอย่างมากมั่วซินหมัวมัวเดินเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ“ท่านประมุข รถม้าเตรียมเสร็จแล้ว”ประมุขแคว้นดึงแขนตัวเองออก ก่อนจะไปก็กำชับเจิ้งจีว่า“เจ้ากับแม่ของเจ้าอยู่ในวังกันดี ๆ พรุ่งนี้เตรียมออกปฏิบัติภารกิจราชทูตที่แคว้นหนานฉี”
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย