กุ้ยเฟยแทบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้อยู่แล้วเดี๋ยวนั้นเป็นไปไม่ได้!ฝ่าบาทไม่มีทางร่วมบรรทมกับเฟิ่งเวยเฉียง!แล้วก็ โลหิตบนผ้าพรหมจรรย์ต้องไม่ใช่เลือดพรหมจรรย์ของเฟิ่งเวยเฉียงแน่นอน!เพราะเฟิ่งเวยเฉียงสูญเสียความบริสุทธิ์ไปตั้งนานแล้ว!แววตาของกุ้ยเฟยเปลี่ยนแปลงไปมาภายในเวลาแค่พริบตา ในนั้นเปี่ยมด้วยความไม่เชื่อไทฮองไทเฮากลับทรงพอพระทัยมาก นางอนุญาตให้กุ้ยเฟยกลับไปได้ทันทีกุ้ยเฟยออกจากตำหนักวั่นโซ่ว นางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปตลอดทางชุนเหอมีอาการไม่ต่างกันฝ่าบาทกับฮองเฮาเข้าห้องหอกันแล้วจริง ๆ หรือ?แต่ไม่ใช่ว่าฮองเฮา…ชุนเหอมองไปทางพระสนมของตัวเองตามสัญชาตญาณแววตาของกุ้ยเฟยราวกับอาบยาพิษ มันส่องประกายแดงฉานต้องมีปัญหาแน่!การเข้าหอต้องเป็นเรื่องตบตาแน่นอน!ด้านหนึ่งกุ้ยเฟยก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ด้านหนึ่งก็ร้อนใจอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถามให้กระจ่างอีกด้านหนึ่งภายในตำหนักฉือหนิงไทเฮาทรงแปลกใจเมื่อทราบข่าวเรื่องการเข้าหอของฮ่องเต้และฮองเฮา“เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?”กุ้ยหมัวมัวพยักหน้า“ไม่ผิดแน่เพคะ โจวหมัวมัวของไทฮองไทเฮาคอยจับตาดูทุกขั้นตอน อีกทั้งผ้าพรหมจร
ภายในตำหนักหย่งเหอ พระแท่นบรรทมผืนใหม่ถูกปูเรียบร้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนออกจากห้องสรงน้ำแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดทางการเหลียนซวงยกชาร้อนเข้ามาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล“พระนาง ท่าน…ร่วมบรรทมแล้วจริง ๆ หรือเพคะ?”ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีอารมณ์ใด ๆ“เรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องถามมาก”เหลียนซวงได้ยินพระนางพูดแบบนี้ก็ยิ่งสงสัย งุนงงใหญ่ แต่ในเมื่อพระนางไม่ให้ถาม นางก็จะไม่ถามอีกทันใดนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก“พระนาง พระสนมกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ!”หัวใจของเหลียนซวงเต้นผิดจังหวะโดยพลัน“กุ้ยเฟยมาเข้าเฝ้าในเวลานี้ คิดว่าคงเป็นเรื่องที่ท่านร่วมบรรทมเป็นแน่ พระนางจะพบนางหรือไม่เพคะ?”เฟิ่นจิ่วเหยียนดื่มชาที่ยังคงร้อนกรุ่น รู้สึกสบายในลำคอขึ้นมากนางเอ่ยอย่างราบเรียบ“ให้นางเข้ามา”……ภายในตำหนักมีเฟิ่งจิ่วเหยียนกับกุ้ยเฟยแค่เพียงสองคนกุ้ยเฟยมีสีหน้าเกรี้ยวกราดทันทีที่พบนาง ประหนึ่งจะพุ่งตัวเข้ามาฉีกกระชากร่างนางเป็นชิ้น ๆ ในอีกวินาทีถัดไป“ฮองเฮาดูจะลำพองไม่น้อยเลยนะเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ที่นั่น สายตาของนางว่างเปล่าและเหินห่าง ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตานางไม่ตอ
กุ้ยเฟยคิดไม่ตกว่าเฟิ่งเวยเฉียงผ่านการตรวจพรหมจรรย์มาได้อย่างไรครั้นคิดไปคิดมาก็มีแต่ข้อสรุปที่ว่า “คนตรงหน้าไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียง” ที่สามารถอธิบายได้แต่นี่มันก็เหลวไหลเกินไปหากนางไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียงแล้วจะเป็นผู้ใด?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้แก้ตัวอะไรต่อข้อสงสัยของกุ้ยเฟยนางมองกุ้ยเฟยตรง ๆ น้ำเสียงเย็นยะเยียบและลึกทุ้ม“ถูกต้อง ข้าไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียง“นับจากวันที่ถูกโจรภูเขาจับตัวไป ข้าก็ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว”กุ้ยเฟยรู้สึกถึงไอเย็นที่กดดันนางคิดจะถอยห่างออกไปแต่ถูกดึงอกเสื้อเอาไว้นางถูกบังคับให้ต้องย่อตัวลง บาดแผลบนร่างถูกดึงรั้งจนเจ็บแสนสาหัส“เจ้า…ปล่อยนะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนลากตัวนางแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนัยต์ตาของกุ้ยเฟยสั่นไหวเงาดำปกคลุมลงบนตัวนาง ราวกับผีร้ายที่คืบคลานขึ้นมาจากนรกแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนมีรอยยิ้มที่เบาบางมาก“ต่างแดนมียาวิเศษอย่างหนึ่งใช้ทาลงบนผิวเป็นเวลาสี่สิบเก้าวันแล้วจะลอกคราบเกิดใหม่ บาดแผลทั้งหมดจะมลายหายไป ผิวนิ่มละเอียดดุจทารก“นอกจากนี้ยังมีวิชาซ่อมแซม สามารถทำให้หญิงที่เสียพรหมจรรย์ไปแล้วกลับมามีพรหมจรรย์เหมือนเดิม“กระบวนนี้เจ็บปวดทรมานมาก
เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกพิษแดนฝัน ระหว่างที่รอข่าวคราวจากอู๋ไป๋ที่อยู่นอกวัง นางก็ลองขับพิษออกด้วยตัวเองไปด้วยทว่าไม่ทันระวังจึงหมดสติไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้น นางเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีต ขณะเดียวกันก็เหมือนอยู่ในฝันร้ายได้ ‘พบ’ กับคนผู้นั้นที่ไม่ปรากฏตัวในความฝันของนางมานานมากแล้วนางได้คุยอะไรกับเขาเยอะมากมาย…ครั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนฟื้นคืนสติ นางไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานเท่าไรนางรู้สึกเพียงว่าภายในตำหนักเงียบสงัด แม้แต่การหายใจก็ไม่ค่อยราบรื่นนักเหลียนซวงปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับกระดาษ ส่วนมือก็สั่นเทา“พระนาง…ท่าน ท่านฟื้นแล้ว…”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อลุกขึ้นมองก็พบว่าเซียวอวี้อยู่ที่นี่ด้วยเขานั่งอยู่บนตั่งที่ไม่ไกลออกไป สีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งหมื่นปีที่ไม่ละลาย เวลานี้ เขากำลังจ้องนางเงียบ ๆเฟิ่งจิ่วเหยียนใจไม่ดีเล็กน้อยหรือเขาจะรู้แล้วว่านางถูกพิษแดนฝัน?พรึ่บ—บุรุษลุกพรวดขึ้น ผ้าคลุมตัวยาวแกว่งไปมาราวกับคลื่นทะเล“ฮองเฮา เจ้าดีมาก”เขาทิ้งถ้อยคำที่มีความหมายไม่ชัดเจนไว้แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วแน
รุ่ยอ๋องทำความเคารพก่อน “ฝ่าบาท”สายตาของเซียวอวี้ข้ามผ่านรุ่ยอ๋องไป จับจ้องไปที่ตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนเขาใช้น้ำเสียงออกคำสั่งพูดกับนางทันที“เจ้า กลับไป เสด็จย่าไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน”เหลียนซวงหน้าชื่นอกตรมพระนางเป็นถึงภรรยาที่ถูกต้องของฮ่องเต้ หลานสะใภ้ของไทฮองไทเฮา ไยอยู่ในคำพูดของฮ่องเต้ทรราชย์ก็กลายเป็นคนนอกไปแล้ว?เฟิ่งจิ่วเหยียนทำความเคารพด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“เพคะ”นางก็ไม่อยากมาตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้วเมื่อเขาบอกว่าไม่ต้อง นางก็สบายอารมณ์......ณ ตำหนักวั่นโซ่วไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตำแหน่งหลัก ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องนั่งอยู่สองข้างนางกวาดสายตาดุดันไปด้านหน้า“โมงยามนี้แล้ว เหตุใดฮองเฮายังไม่มาน้อมทักทายข้า?”เซียวอวี้ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง“ฮองเฮาปากพล่อย มีแต่จะทำให้เสด็จย่าอารมณ์เสียเปล่า ๆ“เราให้นางกลับไปแล้ว”ไทฮองไทเฮาไม่ได้ซักถามต่อชั่วครู่ทว่าหลังจากที่ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องจากไปแล้ว นางให้โจวหมัวมัวไปสืบถามผ่านไปครู่เดียว โจวหมัวมัวกลับมาแล้ว“บ่าวไปสืบถามมาแล้ว ที่แท้เมื่อวานฮองเฮาไม่สบาย มีอาการหมดสติในเวลากลางคืน“คิดดูแล้ว ฮ่องเต้คงจะเอ็นดูฮ
วันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสว่าง กุ้ยเฟยก็ตื่นบรรทมแล้วในตำหนักไร้ซึ่งร่างเงาของฮ่องเต้ สายตาของนางพลันปรากฎความเศร้าสร้อยชุนเหอแขวนม่านมุ้งขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“ยินดีกับพระนางที่ฮ่องเต้ไม่ตัดขาดความโปรดปราน“เช้าวันนี้ก่อนฮ่องเต้เสด็จออกไปได้ทรงรับสั่งให้บ่าว ปรุงแกงไก่ใส่โสมบำรุงร่างกายให้ท่าน พระนาง บ่าวบังอาจกล่าวถาม เมื่อคืนท่าน...ได้ปรนนิบัติแล้วงั้นหรือ?”ฮ่องเต้โปรดปรานพระนางเป็นเรื่องที่ดี ทว่าแผลสาหัสของพระนางยังไม่หายดี ไม่ควรที่จะปรนนิบัติชุนเหอกังวลใจอย่างเลี่ยงไม่ได้กุ้ยเฟยไม่ได้ตอบกลับ “น้ำ”ตอนที่ชำระร่างกาย ชุนเหอกล่าวว่า“ไทฮองไทเฮากลับวังมาไม่ถึงสองวัน ก็จะไปภูเขาอวี้หยางอีกแล้ว พระนาง ท่านจะไปส่งเสด็จหรือไม่เพคะ?”กุ้ยเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น แววตาเปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง“ส่งเสด็จ? ไปส่งศพเสียมากกว่า!“เดิมทีคิดว่านางจะสามารถลงมือจัดการเฟิ่งจิ่วเหยียน แต่นางกลับส่งเสริมให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาร่วมเรือนหอ นางอายุมากจนเลอะเลือน อายุขนาดนี้แล้ว ยังจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน!” ชุนเหอมองไปด้านนอกตำหนักด้วยความระแวดระวัง เกรงว่าคำพูดเมื่อครู่จะถูกใครได้ยิน
ประตูตำหนักป้องกันเข้มงวดกวดขัน ฮูหยินเฟิ่งขอเข้าพบฮองเฮา รอมาหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงสามารถย่างก้าวเข้าสู่ประตูวังได้หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังเรื่องของพี่ใหญ่แล้ว ท่าทีนิ่งเฉย“ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง”เรื่องของเฟิ่งเหยียนเฉิน นางก็กำลังสืบสอบเช่นกันทว่า ไม่ว่าในอดีตจะเป็นเยี่ยงไร ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเฟิ่ง เขาไม่สามารถหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ไปได้ตลอดฮูหยินเฟิ่งคิดว่านางไม่สนใจใยดี“นั่นเป็นพี่ชายของเจ้านะ หากตัดอนาคตของเขาจริง ๆ ในภายภาคหน้าตระกูลเฟิ่งจะเป็นเช่นไร? อย่ามาอ้างว่าพวกเจ้าไม่ได้เติบโตสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เจ้าจึง...”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองนัยน์ตาของมารดา กล่าวขัดคำพูดอย่างเคร่งขรึม“ล้มลงอยู่ที่ใด ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาที่นั่น“เหตุใดเขาจึงถูกผู้อื่นควบคุม เป็นเพราะเขาพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงเจ้านครฝ่ายซ้ายอำนาจน้อยนิด สูญเสียปณิธาน เขาทำลายอนาคตด้วยตัวเขาเอง“เวยเฉียงเกิดเหตุร้าย ในฐานะที่เขาเป็นพี่คนโตยังปกป้องนางไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องอนาคต เรื่องที่สามารถรับหน้าที่สำคัญของวงศ์ตระกูลได้อีก!”ฮูหยิน
ภายในตำหนักหย่งเหอ เซียวอวี้สีหน้าเคร่งขรึมประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเย็นยะเยือก ถามเฟิ่งจิ่วเหยียนเชิงตำหนิ“หากไม่ใช่ว่าเราบังเอิญเจอวันนี้ ก็ไม่ทราบว่าเจ้าแอบดื่มยานี้ด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเรียบนิ่ง กล่าวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน“ยานี้ท่านแม่ของหม่อมฉันส่งมาให้ นางไม่ทราบเรื่องเบื้องลึกการร่วมเรือนหอ หม่อมฉันกำลังจะสั่งให้เหลียนซวงไปจัดการเสียเพคะ” นางปฏิเสธรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้คนสังเกตร่องรอยการกล่าวโป้ปดไม่ได้แม้แต่น้อยเซียวอวี้มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แววตาเย็นยะเยือก“ทางที่ดีเจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่น”จากนั้น เขาทรงรับสั่งตามหน้าที่“ราชทูตรัฐเหลียงจวนจะเสด็จมาเยี่ยมเยือน จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับ“ก่อนหน้านั้นกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการ ทว่าเพลานี้นางบาดเจ็บสาหัส เราจึงส่งมอบต่อให้เจ้า“จำไว้ด้วย เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับสัมพันธภาพระหว่างสองแคว้น อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ได้ทั้งสิ้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยคนของรัฐเหลียงหน้าไหว้หลังหลอก วาจากลับกลอกการเสด็จมาเยือนแคว้นหนานฉีของราชทูตรัฐเหลียงครั้งนี้ จะต้องมีการต่อสู้แก่งแย่งชิงกันอีกเป็นแน่ทว่า เหล
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย