ณ วังหลวงเฟิ่งจิ่วเหยียนวางแผนว่าก่อนงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ในวัง จะจัดงานดูตัวราชบุตรเขยให้กับองค์หญิงใหญ่นี่เป็นเรื่องที่เซียวอวี้ฝากฝังไว้กับนางด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจมาที่ตำหนักฉือหนิง เพื่อหารือกับไทเฮาไทเฮาทรงหวังเช่นกันว่าบุตรสาวจะได้สมรสอีกครั้ง หากสามารถให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรสาวได้ ก็จะยิ่งเป็นการดีมิเช่นนั้น อยู่คนเดียวก็จะโดดเดี่ยวเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยตรงไปตรงมา “จวนองค์หญิงใหญ่มีบ่าวรับใช้มาก อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ก็ยังทรงมีมิตรสหายมากมาย ไม่มีทางโดดเดี่ยวเป็นแน่”ไทเฮาทรงตะลึงงันชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าฮองเฮาจะทรงเอ่ยคำพูดทำนองนี้ออกมาได้“พวกเขาต่างก็เป็นคนนอก จะเหมือนกันได้อย่างไร คนเหล่านั้น เดิมทีก็มิได้จริงใจกับฉีเอ๋อร์อยู่แล้ว...”ขณะที่พูด กุ้ยหมัวมัวก็เข้ามารายงาน “ไทเฮา ฮองเฮา องค์หญิงใหญ่เสด็จมาแล้วเพคะ”เมื่อได้ยินว่ากำลังจะคัดเลือกสามีให้นาง องค์หญิงใหญ่จึงรีบเข้ามาในวัง กลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียว ก็จะได้รับสมรสพระราชทานตามใจชอบจากฮ่องเต้หลังจากองค์หญิงใหญ่เสด็จเข้ามา ก็โค้งคำนับคนสองคนที่นั่งอยู่ตามลำดับ“หม่อมฉันน้อมทักทายเสด็จแม่ และถวายบังค
เฟิ่งจิ่วเหยียนเคยรับปากมารดาว่า จะดูแลหลิวอิ๋งสองแม่ลูกแทนนางเป็นอย่างดีดังนั้น เมื่อหลิวอิ๋งถือจดหมายของนายหญิงเฟิ่งมาพบนาง นางเองจึงมิอาจไล่คนไปได้นางสั่งอู๋ไป๋“พานางไปที่ตำหนักหย่งเหอ”อู๋ไป๋ประสานมือรับคำสั่ง“พ่ะย่ะค่ะ!”หลิวอิ๋งสองคนแม่ลูกเป็นครั้งแรกที่เข้ามาในวัง ประตูวังดูโอ่อ่างดงาม พอเข้าประตูวังมาแล้ว ภายในยิ่งกว้างขวาง และตำหนักที่ตั้งอยู่เรียงราย ยิ่งง่ายต่อการเดินพลัดหลงขันทีนำทางอยู่ด้านหน้า สองแม่ลูกเดินตามติดทุกฝีก้าวตอนอยู่ที่เจียงโจว คฤหาสน์จวนตระกูลเฉียนนั้นหรูหราโอ่อ่า ศาลาและหอคอย ก็สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือดี แม้แต่จวนเจ้าเมืองก็ยังถือว่าห่างไกลตอนนี้หากเปรียบเทียบกับพระราชวังแห่งนี้ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเจิ้งจีอดที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมิได้ในดวงตาของนางยากจะซ่อนความตื่นตะลึงและความปรารถนาเอาไว้ได้มิน่าแปลกใจที่หลายคนต้องการจะเข้าวังมาเป็นสนม วังหลวงแห่งนี้ช่างงดงามเหลือเกิน!ราวกับตำหนักสวรรค์บนเมฆา คนที่พำนักอยู่ที่แห่งนี้ เป็นคนที่อยู่เหนือคนโดยแท้คนเป็นนายสามารถควบคุมอำนาจชี้เป็นชี้ตาย คำเดียวสั่งให้ตาย หรือคำเดียวสั่งให้มีชีวิตอย
มิเพียงแต่หลิวอิ๋งแม่ลูก เฟิ่งหลินก็อยากรู้เช่นกันว่า เหตุใดฮองเฮาจึงเรียกเขาเข้าวังมาอย่างกะทันหันทันทีที่เข้ามาตำหนักหย่งเหอ จิตใจเขาก็เริ่มกระวนกระวายเมื่อมาถึงตำหนักชั้นใน มองเห็นหลิวอิ๋งแม่ลูกก็อยู่ที่นี่เช่นกัน จิตใจเขายิ่งกระวนกระวายหนักหรือว่า สองแม่ลูกคู่นี้ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับเขาอีก?ช้าก่อน!หากรู้เรื่องนี้แต่แรก เขาจะได้พาพ่อบ้านเข้าวังมาพร้อมกันด้วย!มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ใดจะรับฝ่ามือแทนเขา!!ทว่าคิดดูอีกที เขาก็ถือเป็นบิดาของฮองเฮา เป็นผู้อาวุโส! ฮองเฮาคงมิกล้าลงมือกับเขาจริง ๆ !“กระหม่อม ถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” สายตาของนายท่านเฟิ่งมิได้เพ่งมองเป็นเวลานาน รีบก้มศีรษะแสดงความเคารพ“มิต้องมากพิธี” น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนฟังดูเรียบเฉยหลังจากนายท่านเฟิ่งยืดตัวตรง พลันมองไปทางหลิวอิ๋งโดยมิรู้ตัว ในแววตาฉายความสงสัย รวมทั้งความรู้สึกโมโหหลิวอิ๋งประสานสายตากับนายท่านเฟิ่ง เริ่มรู้ตัวว่า ฮองเฮาทรงเรียกเขาเข้าวังมาด้วย จักต้องมีเจตนาร้ายเป็นแน่!ทว่า นางไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวไม่ว่าจะมาด้วยวิธีใดก็สามารถรับมือได้นางทำการค้าการขายมาหลายปี ไม่มีอุปสรรคใดที
หลังจากนายท่านเฟิ่งกินยาแล้ว โรคหัวใจระงับไว้ได้ ทว่าเพลิงโทสะในใจลูกแล้วลูกเล่า กลับลุกโหมอย่างรุนแรงไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่า ตนเองเพียงแค่แต่งงานใหม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับต้องทำให้เขาไปอยู่ที่เจียงโจว และทำให้ชาตินี้เขาไม่มีวันกลับมาที่เมืองหลวงได้อีก!ความคับแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอกเขา มิอาจยับยั้งได้อีกต่อไปทว่า มิใช่พุ่งเป้าไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน กลับพุ่งเป้าไปที่หลิวอิ๋งเขาคว้าแขนของหลิวอิ๋งด้วยความโมโห เบิกตาโพลงพร้อมกับเค้นถาม“เจ้าทำสิ่งใด! เจ้าทำสิ่งใดอีก!”จักต้องเป็นหลิวอิ๋งที่ทำความผิดไว้ก่อนหน้านี้เป็นแน่ มิเช่นนั้น ฮองเฮาจะไม่กระทำการโหดร้ายเช่นนี้!หลิวอิ๋งรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งคราวนี้ นางมิได้ทำสิ่งใดจริง ๆ!หลิวอิ๋งพยายามโต้แย้งด้วยเหตุผล“ท่านพี่ ข้ามิได้ทำสิ่งใดจริง ๆ”นางน้ำตาไหลริน ท่าทางดูอ่อนแอบอบบาง พลันหันไปมองทางเฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หากท่านมีสิ่งใดไม่พอพระทัยหม่อมฉัน ก็มาลงที่หม่อมฉัน อย่าโยงใยไปถึงผู้อื่น...โดยเฉพาะเป็นบิดาท่าน เขาไม่มีความผิด”นายท่านเฟิ่ง: เหลวไหล! แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีความผิด!เขาถูกวางแผนเล่นงานม
ถึงอย่างไรหลิวอิ๋งก็ยังมีความฉลาดช่ำชอง ต่างจากเจิ้งจีที่เปิดเผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้า หลิวอิ๋งจึงวางท่าทีสงบนิ่งนางจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียน พลางย้อนถามอย่างสงบนิ่งเหมือนปกติ“ฮองเฮา เรื่องระหว่างหม่อมฉันกับท่านพี่ในตอนนั้น ท่านพี่หญิงก็ทราบดี อีกทั้งยังเคยบอกกับท่านว่า นั่นเป็นความผิดพลาดทั้งหมด...เป็นเพราะตอนนั้นหม่อมฉันอายุยังน้อย“ทว่าที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ว่า ‘ทำวิธีเช่นเดียวกัน’ คืออะไร? โปรดอภัยที่หม่อมฉันไม่เข้าใจ เหตุใดท่านถึงเอ่ยเช่นนั้น!“หรือท่านเข้าใจว่า พวกเราต้องการมาร่วมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ในวัง ก็เพื่อจะใกล้ชิดกับฝ่าบาท? นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!“ฮองเฮา ผู้ใดมิรู้บ้างว่า ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านเพียงผู้เดียว ใครจะมาแทนที่ท่านได้เล่า? เจิ้งจีของเราก็เคยแต่งงานมาแล้วที่เจียงโจว น่าเสียดายที่เหมือนหม่อมฉัน ต่างก็โชคร้าย สามีเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ให้กำเนิดบุตรชายสองคน และบุตรสาวหนึ่งคน แต่ถูกครอบครัวสามีแย่งชิงไป ซ้ำยังขับไล่นางออกมา“พวกเรามาที่เมืองหลวง เพียงเพื่อมาหาคนพึ่งพิง!”เจิ้งจีก้มศีรษะลง กลอกตาไปมาด้วยความวิตกเมื่อฟังมารดาเอ่ยจบ เจิ้งจีพลันเปลี่ยนเป็นเยือ
สีหน้าของสองแม่ลูกหลิวอิ๋งต่างซีดเผือดพวกนางไม่เคยรู้เลยว่า โรงพักแรมที่ตัวเองพักอยู่ มีเส้นสายของฮองเฮาอยู่ด้วย!ไม่แปลกใจที่ฮองเฮาจะรู้ทุกเรื่องไม่แปลกใจที่ฮองเฮาไม่ยอมเชื่อพวกนางจบกัน!เจิ้งจีหวนนึกถึงคำพูดที่ตัวเองเคยพูด ลมหายใจพลันเปลี่ยนเป็นหอบถี่ ฝ่ามือร้อนชื้น แผ่นหลังเย็นวาบนางคล้องแขนหลิวอิ๋งเอาไว้“ท่านแม่ พวกเราควรทำอย่างไรดี…”หลิวอิ๋งเองก็อยากรู้ ว่าพวกนางควรทำเช่นไร จึงจะสามารถต้านทานคลื่นลูกใหญ่นั้นได้ผิดที่ตัวเองประมาทเกินไป ไม่คิดเลยว่า ฮองเฮาจะมีคนเก่งอยู่รอบกาย อยากสอดแนมว่าพวกนางสองแม่ลูกพูดอะไรกัน ก็คงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!นางลืมไปได้อย่างไร ว่าที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ อย่างเจียงโจว?การสู้กันระหว่างหญิงสาวในเจียงโจว เปรียบเทียบกับฝีมือของฮองเฮาแล้ว แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!นางประเมินฮองเฮาไว้น้อยเกินไป ไม่สิ นางประเมินราชวงศ์ไว้น้อยเกินไปต่างหาก!นางร้อนรนมากเกินไป จนไม่คิดให้ละเอียดรอบคอบตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้วนายท่านเฟิ่งมองสองแม่ลูก แล้วหันไปมองอู๋ไป๋ทันใดนั้น เขาก็จับมืออู๋ไป๋ กล่าวอย่างจริงจัง“เจ้าไปบอกฮองเฮา ว่าทั้งห
เซียวอวี้ไม่คิดเลยว่า สองแม่ลูกคู่นั้น จะกล้าวางแผนจับเขาเช่นนี้!แค่ให้องครักษ์ไล่พวกเขาออกไปนอกวัง นับว่าเมตตาแล้ว!คิดได้เช่นนี้ ก็อดตำหนิเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้“เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกเราให้เร็วกว่านี้?”เขากลัวว่าสองแม่ลูกคู่นั้นจะลงมือทำร้ายจิ่วเหยียน ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกลเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คิดเช่นนั้น “เทียบกับงานราชกิจแล้ว เรื่องนี้ไม่นับว่าสำคัญ”ยิ่งไปกว่านั้น นางสามารถจัดการด้วยตัวเองได้เซียวอวี้นั่งลงข้างกายนาง โอบไหล่ของนางไว้อย่างแผ่วเบา เชิดคางของนางขึ้นเล็กน้อย แล้วจุมพิตลงบนหน้าผาก“จะว่าไป ที่เรายังไม่ถูกพวกนางสองแม่ลูกเล่นงาน ต้องขอบคุณฮองเฮาที่มีปัญญา ปกป้องเราได้”ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา “ท่านรู้ก็ดี”“ไม่แปลกใจที่เจ้าแนะนำ ให้พ่อของเจ้าไปเป็นซือหม่าที่เจียงโจว ที่แท้ในตอนนั้น เจ้าก็รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นั้นประสงค์ร้ายนี่เอง” เซียวอวี้เข้าใจเรื่องราวในที่สุดเดิมเขาคิดว่า นางเพียงไม่ชอบใจที่นายท่านเฟิ่งจะแต่งงานใหม่ แถมยังแต่งงานกับน้าของนางอีกขณะเดียวกันเขาก็คิดไม่ตก “พ่อของเจ้าคิดอะไรอยู่ เราดูเป็นคนไม่เลือกขนาดนั้นเ
เงินรางวัลบนป้ายนั้น ไม่มากพอทำให้หลิวอิ๋งหวั่นไหวข้อความบนป้าย ไม่ได้บอกว่าเจ้าของปิ่นคือผู้ใดทว่า หลิวอิ๋งมีประสบการณ์ค้าขายมาหลายปี นางย่อมคิดได้อย่างมีไหวพริบ ว่าป้ายนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆด้วยเหตุนี้ นางจึงรีบกลับไปที่โรงพักแรม “เราต้องกลับเจียงโจวเดี๋ยวนี้!”ตั้งแต่ที่ท่านพ่อท่านแม่และน้องชายลาจากโลกไป สิ่งของที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ ล้วนถูกส่งมาเก็บไว้ในบ้านของนางที่เจียงโจวนางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ พกเงินทองมาเพียงเล็กน้อยดังนั้น อยากหาปิ่นครึ่งท่อนนั้นเจอ ก็ต้องกลับไปที่เจียงโจวเจิ้งจีไม่เข้าใจ นางจึงถามอย่างร้อนใจ“ท่านแม่ เหตุใดต้องกลับเจียงโจวล่ะ? พวกเราเพิ่งออกมาจากเจียงโจวนะ…หรือว่าท่านพ่อ ท่านพ่อไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือ เขาไล่พวกเราไป ใช่หรือไม่?”หลิวอิ๋งกลัวว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง จึงให้นางออกไปก่อนแล้วค่อยเล่าเจิ้งจีกลับสะอื้นไห้“ท่านพ่อไม่ต้องการท่านไม่ว่า แต่ข้าคือลูกสาวแท้ ๆ ของเขานะ เขาไม่ต้องการแม้กระทั่งข้าเลยหรือ…ต้องเป็นฮองเฮาแน่ ๆ ฮองเฮาต้องบังคับเขาแน่นอน!”เพี้ยะ!หลิวอิ๋งโมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไร นัยน์ตาเต็มไปด้วยโทสะแห่งความไม่ได้ดั่งใจ
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย