เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีว่าการดื่มมากเกินไปนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ ทว่า สุราในคืนนี้เป็นหร่วนฝูอวี้จงใจจัดเตรียมไว้ แรกเริ่มดื่มแล้วไม่ร้อนผ่าว เสมือนการดื่มน้ำ หลังจากสุราไม่กี่จอกไหลผ่านลำคอ ก็เมามายโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว นางเพียงอยากจะพักสายตาสักหน่อย ทว่าได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ในโสต แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใดบ้าง เพียะ! นางยกมือขึ้นหมายจะปัดไล่เสียงเหล่านั้นออกไป หารู้ไม่ว่า ฝ่ามือนี้ตบไปบนใบหน้าของเซียวอวี้พอดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการตบเบา ๆ ก็ยังทำให้คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่น โดยเฉพาะเหล่าองครักษ์ เหล่าสตรีที่อยู่รอบกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกลากออกไปหมดแล้ว เซียวอวี้ตั้งใจจะมาอุ้มนางกลับไป กลับถูกนางตบหน้าเสีย สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อมีหร่วนฝูอวี้ยังกำลังแต่งตั้ง “นางสนม” อยู่ตรงนั้น หว่างคิ้วของเขาก็มีแต่หมอกควันมืดครึ้ม “เฉินจี๋!” “พ่ะย่ะค่ะ!” “รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย จับไปขังให้หมด!” “พ่ะย่ะค่ะ!” จบคำสั่ง เซียวอวี้ก็หันกลับมาช้อนอุ้มเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ในอ้อมแขน และเดินออกไปจากห้องส่วนตัว ครั้นมาถึงนอกหอสุรา เขาก็
ตำหนักชั้นในของตำหนักจื้อเฉินช่างเงียบงัน นัยน์ตาของเซียวอวี้มืดมน ขณะจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อครู่นี้ นางยังเก็บสัมภาระ โดยบอกว่าจะไปสืบข่าวที่เป่ยเยี่ยนด้วยตนเอง ครั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็พลันล้มลง... ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่า นางยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะแววตาของนางแน่วแน่เกินไป จนเขาเข้าใจผิดว่านางมีสติแล้ว ยามที่ผู้อื่นเมามาย——แสดงอาการเมาตลอดเวลา ขว้างปาข้าวของ หรือระบายความในใจไม่หยุด ฮองเฮาของเขาเมามาย กลับยังใส่ใจในเรื่องกิจการของแว่นแคว้น เขาจะยังตำหนินางได้อย่างไร? ทว่า หากเขาบอกว่าไม่รังเกียจสหายสตรีที่แสนรู้ใจของนางเหล่านั้น ก็คงจะโกหก ท่าทีของเซียอวี้มืดมนและยากแท้หยั่งถึง ทันใดนั้น เขาพลันลุกขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง ไม่นาน ฉลองพระองค์ฮ่องเต้ปักลวดลายสัตว์มงคลกิเลนก็ถูกโยนออกจากหลังม่านเตียง และเสียงที่มีเสน่ห์ของบุรุษก็ดังขึ้นในม่าน “จิ่วเหยียน รีบตั้งครรภ์องค์ชายให้เราเถิด” …… เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกการทรมานของเซียวอวี้ปลุกให้ตื่นขึ้น ปากคอของนางแห้งผาก ครั้นเปิดตามอง
ก่อนงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้ฮองเฮา หนิงเฟยเป็นผู้ควบคุมดูแลวังหลัง ขณะนี้มีฮองเฮาอยู่ในวังหลัง ทว่า ฮองเฮาต้องดูแลกิจการทั้งหมดของสถาบันทางการทหาร หนิงเฟยจึงยังได้ครองอำนาจของการจัดการวังหลังทั้งหกตำหนัก ไม่ง่ายเลยที่ฝ่าบาทจะเรียกให้นางเข้าเฝ้า หลังจากที่ไทเฮาทราบเรื่อง ก็เรียกนางมาสอบถามทันที ตำหนักฉือหนิง หนิงเฟยหน้านิ่วคิ้วขมวด ไทเฮายิ่งทวีความกังวล “สรุปว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแน่?” หนิงเฟยเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ข้าจัดงานเลี้ยงบทกวี เพื่อชายหญิงที่ยังมิได้ออกเรือนเหล่านั้น...ท่านป้า! มิใช่ให้ข้าเป็นแม่สื่อหรือไร!” ถึงอย่างไรนางเป็นถึงพระสนมของราชวงศ์ จักไปทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! ไม่รู้จริง ๆ ว่าฝ่าบาทดำริอันใดอยู่! ไทเฮาโต้แย้งทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? แม่สื่อฟังดูไม่ดีนัก ต้องเรียกผู้เฒ่าจันทรา” หนิงเฟย : ผู้เฒ่าจันทรา? ฟังดูก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม! สรุปแล้ว นางไม่อยากจัดงานเลี้ยงบทกวี ณ ตำหนักจื้อเฉิน เมื่อเซียวอวี้กลับมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ลุกออกจากเตียงแล้ว กำ
เมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกไม่สบายกายเวลาสอนของสถาบันทางการทหารอยู่ยามเว่ย ต่อให้เซียวอวี้กล่อมให้นางพัก นางก็ยังยืนยันที่จะไปคำถามที่นางถามไว้เมื่อวาน ทุกคนล้วนต่างครุ่นคิดในชั้นเรียนวันนี้ แต่ละคนตอบไม่เหมือนกัน แต่ก็ล้วนมีเหตุผลโดยเฉพาะขุนพลที่มีประสบการณ์ในการนำทัพ“ความเย่อหยิ่งนำมาซึ่งโทษ ความถ่อมตนนำมาซึ่งประโยชน์ ถ้าเต็มก็ควรตัด หลักการเดียวกัน อัตราส่วนจิตวิญญาณนักรบที่เหมาะสมที่สุด เราควรมีมากกว่าทหารศัตรูสักหนึ่งถึงสองส่วน น้อยเกินไป จิตวิญญาณนักรบของเรามีไม่เพียงพอ มีมากเกินไป เป็นเรื่องง่ายที่ทหารของเราจะเกียจคร้าน”ถึงแม้เจินเจินไม่เคยนำทัพ ก็สามารถพูดขึ้นมาได้หลายประโยค“ฮองเฮา...ไม่ อาจารย์ ศิษย์คิดว่า การต่อสู้ในสถานการณ์คับขัน มักจะมีโอกาสชนะมากกว่าการมีชัยชนะที่ดูเหมือนแน่นอน”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบสงบ“เห็นทีหลักพิชัยสงครามของพวกเจ้า ล้วนเรียนได้ไม่เลวแล้ว วันนี้เรียนภาคปฏิบัติจริง”“ปฏิบัติจริง?” ทุกคนแปลกใจจะไปทำการสู้รบที่ไหนหรือ?หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพาพวกเขามายังสนามฝึกซ้อมบนสนามฝึกซ้อมมีคนยืนอยู่มากกว่าร้อยคน
แคว้นตงซาน……เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันคิดขึ้นมาได้ ก่อนวันอภิเษก ระหว่างทางนางได้รับบัวกลีบเปลวเพลิงหนึ่งดอก อาจารย์หญิงเคยพูดว่า บัวกลีบเปลวเพลิงนั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แคว้นตงซานคนที่นำบัวกลีบเปลวเพลิงมาให้ จนถึงตอนนี้นางก็ไม่มีข้อมูลตอนนี้เบาะแสมนุษย์โอสถนี้ก็ชี้ไปยังแคว้นตงซาน เห็นที เบาะแสทางด้านแคว้นตงซานก็จำเป็นต้องสืบขบวนเสด็จมายังตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้เข้ามาข้างในตำหนักอย่างชำนาญทาง เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาทำความเคารพเขาขมวดคิ้วเข็ม“เราเคยบอกแล้ว ตอนที่ไม่มีคนอื่น ไม่ต้องมากพิธี”“เพคะ”เซียวอวี้มองเห็นแผนที่บนโต๊ะ “เจ้ากำลังทำอะไร?”เขาพลางพูดพลางหยิบแผ่นที่ขึ้นมา เห็นข้างบนนั้นขีดเส้นทางมาหลายเส้น สุดท้ายมุ่งไปยัง แคว้นตงซาน“นี่คือ?”แววตา เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบ“เส้นทางการค้า”เซียวอวี้ขมวดคิ้วขึ้นมา ครุ่นคิดพลางพูด“แคว้นตงซานมั่งคั่งร่ำรวย ปกครองให้ฝ่ายพลเรือนอยู่เหนือการควบคุมฝ่ายทหาร หนึ่งร้อยปีมานี้ เข้าร่วมการศึกเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับแคว้นอื่น นับจากอดีตฮ่องเต้ ทั้งสองแคว้นต่างไม่มีทูตไปมาหาสู่กัน”“ดังนั้น เส้นทางการค้าระหว่างทั้งสองแคว้
วันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพาพวกองครักษ์ไปยังวิหารเต๋า ลงไปในช่องทางลับช่องทางลับแห่งนี้ เซียวอวี้ได้ส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก่อนหน้านี้ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใดเฟิ่งจิ่วเหยียนชูตะบันไฟ เดินอยู่ในทางแคบที่ยาวนั้นกลไกที่นี่ถูกจัดตั้งอย่างชาญฉลาด คาดว่าช่องทางไปยังที่ต่าง ๆ ล้วนถูกซ่อนไว้แล้วในขณะที่นางกำลังจะคลำหา ทันใดนั้น องครักษ์หลายคนที่เดินอยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้นมา“มีดินปืน คุ้มกันฮองเฮาออกไป!”ตูม! !มีเสียงดังในช่วงหนึ่งของอุโมงค์ใต้ดิน พังทลายทันทีก้อนหินหล่นกระจัดกระจาย ขวางทางไปของทุกคนเฟิ่งจิ่วเหยียนมองขึ้นมาท่ามกลางฝุ่น ดวงตาเยือกเย็นนางรักชีวิตของตนเองหากยังสืบไม่รู้ความจริงก็ตายแล้ว นางจะนอนตายตาไม่หลับยามนี้ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย จึงออกคำสั่ง“ถอย”ในเวลานี้ วิหารเต๋าไม่ไกลออกไปร่มเงาใต้ต้นไม้ มีสองคนยืนอยู่คนที่อยู่ข้างหน้าคนนั้น ต่างจากยามที่อยู่สถาบันทางการทหาร สวมแหวนน้าวที่นิ้วโป้ง ใบหน้าสง่าเยือกเย็นเมื่อเห็นพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนถอยออกมาจากวิหารเต๋า มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย“ไปเถอะ”ลูกน้องที่อยู่ข้างหลั
ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงบทกวี บุรุษทั้งหลายเพื่อแสดงออกถึงความสามารถของตนเอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ดาบใช้ปืนหนิงเฟยมองดูพวกเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงไหลนางอายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์อะไร ค่ำคืนอันยาวนาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวก็ไม่แปลก ที่มีสนมในวังหลังเหล่านั้นมักแอบเป็นชู้กับองครักษ์หลังจากนางเข้าวัง ก็ไม่ได้เจอบุรุษปกติมานานมากแล้วหลังจากการแสดงฝีมือจบลง หนิงเฟยมีคำสั่ง ให้พวกเขาจับคู่เพลิดเพลินชมดอกไม้ตามอัธยาศัยความหมายนั้นไม่สามารถชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้วหากมีคนที่ถูกใจ ก็สามารถไปชักชวนได้งานเลี้ยงบทกวีในวังนี้ จัดขึ้นมาอย่างครึกครื้น องค์หญิงใหญ่เข้าวังมาเยี่ยมไทเฮา ได้ยินเสียงหัวเราะทางนั้น ก็หยุดเท้ามองใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่พอดีคำพูดและการกระทำของหญิงสาวแลดูอ่อนโยน ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ ใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม“คุณชายหลิว ท่านสามารถเข้าสถาบันทางการทหาร มีความสามารถที่โดดเด่น ข้า...ข้าคาดหวังให้อนาคตท่านจะได้เป็นแม่ทัพ”ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามา พร้อมขอบคุณหญิงสาวเห็นเช่นนี้แล้ว ใบห
ในเมื่อรู้จุดประสงค์ขององค์หญิงใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธทันที“องค์หญิง ยังไม่พูดถึงว่าเรื่องที่ท่านเห็นในวันนี้ เป็นความจริงหรือไม่“ต่อให้เป็นความจริง ข้าก็คิดว่า การกระทำของหลิวเหยี่ยน ไม่มีอะไรต้องตำหนิ“หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จะนำทัพทำศึกได้อย่างไร?“ไม่มีทักษะหน้าไหว้หลังหลอก จะหลอกลวงศัตรูได้อย่างไร?“ข้าไม่มีทางปฏิเสธความสามารถของหลิวเหยี่ยน ด้วยเหตุผลนี้”องค์หญิงใหญ่ค่อนข้างผิดหวังนางก็โกรธยังไม่สามารถต้านทานได้“ฮองเฮา เจ้าเชื่อข้า หลิวเหยี่ยนคนนั้นจิตใจไม่ดี”“ถึงแม้ข้านำหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้ แต่ด้วยความรู้สึกของข้า เขาควบคุมไม่ได้”ที่องค์หญิงใหญ่พูดมา เฟิ่งจิ่วเหยียนพอใส่ใจบ้างแล้ว แต่นางไม่มีทางแสดงออกมาต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อย่างไรเมื่อเทียบกับหลิวเหยี่ยน นางยิ่งไม่อยากยอมรับคนขององค์หญิงใหญ่ตอนนี้นางคือฮองเฮา ต้องแยกแยะลำดับความสำคัญรอจอหลังจากองค์หญิงใหญ่ไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งหว่านชิว“ส่งคนไปบ้านเกิดหลิวเหยี่ยน สืบดูว่าคนนี้มีนิสัยอย่างไร”คนที่จะเป็นแม่ทัพ ต้องมีเล่ห์เหลี่ยม แต่หลอกลวงไม่ได้……หลังจากงานเลี้ยงบทกวีจบลง ความร่วมมือฉันพี่น้องของ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู
ณ ห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้กำลังอ่านรายงานการสู้รบชายแดนหลิวซื่อเหลียงก็เข้ามากราบทูลใกล้ ๆ “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ความเหนื่อยล้าของเซียวอวี้พลันมลายหาย ความเย็นชาดุดันคลายลง ปกคลุมด้วยความอ่อนโยนทีละน้อยทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาด้านใน หลิวซื่อเหลียงก็ถอยออกไปด้วยหูตาที่ว่องไวภายในห้องทรงพระอักษร เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาสองคนเท่านั้น จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็มิต้องหลบเลี่ยง“มาได้อย่างไร? ทานสำรับเที่ยงแล้วหรือ?” ระยะนี้เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับงานราชกิจ ที่จริงหลายวันแล้วมิได้ไปทานอาหารร่วมกับนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถาม“ฝ่าบาท สงครามทางด้านใต้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวอวี้จูงมือของนาง เข้าไปในห้องด้านในและนั่งลงบนตั่งตัวเล็กพร้อมกับนางเขาพูดไปเดินไป“เรารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้ กำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี“กองทัพชายแดนใต้มุ่งหน้าไปโจมตีตอบโต้เผ่าสุยเหอแล้ว ตอนนี้ข่าวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นข่าวดี“แนวหลังของเผ่าสุยเหอไม่มั่นคง จึงแทบมิได้สนใจหนานเจียง“คิดว่า ไม่นานก็สามารถถอนกำลังทหารกลับมาได้แล้ว“วิกฤตที่หนานเจียงคลี่คลายได้ไม่ยาก แ
ณ ห้องทรงพระอักษรแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาท คำพูดของหลิวเหยี่ยน ก็ดูน่าเชื่อถือ หากเป็นตามที่เขาพูด การโจมตีกลับทางแนวเหนือตรงเผ่าสุยเหอที่มีการป้องกันอ่อนแอ จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์คับขันในหนานเจียงได้ นี่เป็นยุทธวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้”สถานการณ์คับขันในหนานเจียงตอนนี้ ดินแดนส่วนใหญ่ถูกกองกำลังพันธมิตรของเผ่าสุยเหอยึดครอง กองทัพใหญ่หนานฉีของพวกเขาคิดจะช่วยเหลือหนานเจียง จักต้องอาศัยหนานเจียงเป็นสนามรบ บุกเข้าหนานเจียง และต่อสู้กับเผ่าสุยเหอทว่ายามนี้เผ่าสุยเหอควบคุมถนนน้อยใหญ่ในหนานเจียง ทำให้กองทัพหนานฉียากจะบุกเข้าไปได้ดังนั้น หากสามารถเลี่ยงไปทางหนานเจียง และบุกโจมตีเผ่าสุยเหอโดยตรง ก็นับว่าเป็นแผนการที่ดีเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ แววตาของเซียวอวี้ดูเคร่งขรึมแม้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหลิวเหยี่ยน“ไปเชิญฮองเฮามา” เขาเอ่ยสั่งการชั่วครู่ต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงนางฟังแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยจบ แววตาพลันเยือกเย็นและเคร่งขรึม“การสู้รบโดยใช้ทางเลี่ยง ก็อาจจะได้ผลจริง”เซียวอวี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าเชื่อสิ่งที่หลิวเหยี่ย
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ จวนรุ่ยอ๋องก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกเหรื่อภายในเรือนหอหร่วนฝูอวี้เป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเองขณะที่รุ่ยอ๋องเดินเข้ามา ก็เห็นนางกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ริมโต๊ะ ไม่มีความประหม่าเขินอายอย่างที่เจ้าสาวควรจะมีแม้แต่น้อยมิเพียงแต่นางที่กำลังกิน งู แมงป่อง ตะขาบของนาง...พวกมันก็กำลังกินด้วยเช่นกัน!บนพื้นก็ยังมีสาวใช้คนหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทาง คงจะตกใจจนหมดสติไปรุ่ยอ๋องรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ก้าวเข้ามาในเรือนหอนี้เขาพยายามควบคุมอารมณ์ และเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ“หร่วนฝูอวี้ ข้าแต่งกับเจ้า ก็เพื่อบุตรในท้องของเจ้า“ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด“เรือนนี้...นับตั้งแต่บัดนี้จะมอบให้กับเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้ากับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกในฐานะสามีภรรยา เจ้าก็อย่านำของพวกนี้เข้ามาในเรือนข้า!”พูดจบเขาก็เดินออกไปหร่วนฝูอวี้ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดตอนนี้ ก็คือหนานเจียงด้วยสถานะของพระชายารุ่ยอ๋อง พรุ่งนี้นางก็สามารถเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทได้ถึงเวลานั้น นางก็จะได้พบกับซูฮ่วนแล้วค่ำคืนล่วงไปจนฟ้าสางวันที่สองรุ่ยอ๋
เมื่อรู้ว่าถานไถเหยี่ยนต้องการเข้าพบตัวเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กล่าวเสียงเรียบนิ่ง“ส่งแม่ทัพอาวุโสหลี่ไปที่คุกหลวง”หากถานไถเหยี่ยนอยากช่วยหนานเจียง และแคว้นหนานฉีด้วยใจจริง เช่นนั้น เขาก็สามารถบอกกลยุทธ์ต้านศัตรูแก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางหว่านชิวเห็นด้วยตอนแรกนางกังวล ว่าพระนางจะไปพบหลิวเหยี่ยนด้วยตัวเอง เพราะเรื่องหนานเจียงดูจากตอนนี้ พระนางเหมือนจะรอบคอบกว่านางอีกอีกคนที่กังวลเหมือนหว่านชิว ก็คือเซียวอวี้หลังจากที่เขาได้ยินว่าหลิวเหยี่ยนขอเข้าพบ ก็รีบวางราชสารในมือ ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างรีบร้อนเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังนั่งอยู่ในตำหนัก เขาถึงได้ถอนหายใจโล่งอกอย่างสังเกตได้ยากจากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะทำความเคารพ เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบรัดไว้แน่น“ฮองเฮา รับปากเรา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ห้ามไปพบหลิวเหยี่ยนแบบส่วนตัวเด็ดขาด คนผู้นี้มีความคิดที่คาดเดาได้ยาก เรากลัวว่าเขาจะใช้มันมาหลอกล่อ ทำไม่ดีกับเจ้า”เขาเองก็ได้ยินเรื่องพิษมนุษย์โอสถอะไรนั่นมาเหมือนกันแต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หลิวเหยี่ยนไม่น่าเชื่อถือเขาคิดเอาเองว่า