เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีว่าการดื่มมากเกินไปนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ ทว่า สุราในคืนนี้เป็นหร่วนฝูอวี้จงใจจัดเตรียมไว้ แรกเริ่มดื่มแล้วไม่ร้อนผ่าว เสมือนการดื่มน้ำ หลังจากสุราไม่กี่จอกไหลผ่านลำคอ ก็เมามายโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว นางเพียงอยากจะพักสายตาสักหน่อย ทว่าได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ในโสต แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใดบ้าง เพียะ! นางยกมือขึ้นหมายจะปัดไล่เสียงเหล่านั้นออกไป หารู้ไม่ว่า ฝ่ามือนี้ตบไปบนใบหน้าของเซียวอวี้พอดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการตบเบา ๆ ก็ยังทำให้คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่น โดยเฉพาะเหล่าองครักษ์ เหล่าสตรีที่อยู่รอบกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกลากออกไปหมดแล้ว เซียวอวี้ตั้งใจจะมาอุ้มนางกลับไป กลับถูกนางตบหน้าเสีย สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อมีหร่วนฝูอวี้ยังกำลังแต่งตั้ง “นางสนม” อยู่ตรงนั้น หว่างคิ้วของเขาก็มีแต่หมอกควันมืดครึ้ม “เฉินจี๋!” “พ่ะย่ะค่ะ!” “รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย จับไปขังให้หมด!” “พ่ะย่ะค่ะ!” จบคำสั่ง เซียวอวี้ก็หันกลับมาช้อนอุ้มเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ในอ้อมแขน และเดินออกไปจากห้องส่วนตัว ครั้นมาถึงนอกหอสุรา เขาก็
ตำหนักชั้นในของตำหนักจื้อเฉินช่างเงียบงัน นัยน์ตาของเซียวอวี้มืดมน ขณะจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อครู่นี้ นางยังเก็บสัมภาระ โดยบอกว่าจะไปสืบข่าวที่เป่ยเยี่ยนด้วยตนเอง ครั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็พลันล้มลง... ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่า นางยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะแววตาของนางแน่วแน่เกินไป จนเขาเข้าใจผิดว่านางมีสติแล้ว ยามที่ผู้อื่นเมามาย——แสดงอาการเมาตลอดเวลา ขว้างปาข้าวของ หรือระบายความในใจไม่หยุด ฮองเฮาของเขาเมามาย กลับยังใส่ใจในเรื่องกิจการของแว่นแคว้น เขาจะยังตำหนินางได้อย่างไร? ทว่า หากเขาบอกว่าไม่รังเกียจสหายสตรีที่แสนรู้ใจของนางเหล่านั้น ก็คงจะโกหก ท่าทีของเซียอวี้มืดมนและยากแท้หยั่งถึง ทันใดนั้น เขาพลันลุกขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง ไม่นาน ฉลองพระองค์ฮ่องเต้ปักลวดลายสัตว์มงคลกิเลนก็ถูกโยนออกจากหลังม่านเตียง และเสียงที่มีเสน่ห์ของบุรุษก็ดังขึ้นในม่าน “จิ่วเหยียน รีบตั้งครรภ์องค์ชายให้เราเถิด” …… เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกการทรมานของเซียวอวี้ปลุกให้ตื่นขึ้น ปากคอของนางแห้งผาก ครั้นเปิดตามอง
ก่อนงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้ฮองเฮา หนิงเฟยเป็นผู้ควบคุมดูแลวังหลัง ขณะนี้มีฮองเฮาอยู่ในวังหลัง ทว่า ฮองเฮาต้องดูแลกิจการทั้งหมดของสถาบันทางการทหาร หนิงเฟยจึงยังได้ครองอำนาจของการจัดการวังหลังทั้งหกตำหนัก ไม่ง่ายเลยที่ฝ่าบาทจะเรียกให้นางเข้าเฝ้า หลังจากที่ไทเฮาทราบเรื่อง ก็เรียกนางมาสอบถามทันที ตำหนักฉือหนิง หนิงเฟยหน้านิ่วคิ้วขมวด ไทเฮายิ่งทวีความกังวล “สรุปว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแน่?” หนิงเฟยเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ข้าจัดงานเลี้ยงบทกวี เพื่อชายหญิงที่ยังมิได้ออกเรือนเหล่านั้น...ท่านป้า! มิใช่ให้ข้าเป็นแม่สื่อหรือไร!” ถึงอย่างไรนางเป็นถึงพระสนมของราชวงศ์ จักไปทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! ไม่รู้จริง ๆ ว่าฝ่าบาทดำริอันใดอยู่! ไทเฮาโต้แย้งทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? แม่สื่อฟังดูไม่ดีนัก ต้องเรียกผู้เฒ่าจันทรา” หนิงเฟย : ผู้เฒ่าจันทรา? ฟังดูก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม! สรุปแล้ว นางไม่อยากจัดงานเลี้ยงบทกวี ณ ตำหนักจื้อเฉิน เมื่อเซียวอวี้กลับมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ลุกออกจากเตียงแล้ว กำ
เมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกไม่สบายกายเวลาสอนของสถาบันทางการทหารอยู่ยามเว่ย ต่อให้เซียวอวี้กล่อมให้นางพัก นางก็ยังยืนยันที่จะไปคำถามที่นางถามไว้เมื่อวาน ทุกคนล้วนต่างครุ่นคิดในชั้นเรียนวันนี้ แต่ละคนตอบไม่เหมือนกัน แต่ก็ล้วนมีเหตุผลโดยเฉพาะขุนพลที่มีประสบการณ์ในการนำทัพ“ความเย่อหยิ่งนำมาซึ่งโทษ ความถ่อมตนนำมาซึ่งประโยชน์ ถ้าเต็มก็ควรตัด หลักการเดียวกัน อัตราส่วนจิตวิญญาณนักรบที่เหมาะสมที่สุด เราควรมีมากกว่าทหารศัตรูสักหนึ่งถึงสองส่วน น้อยเกินไป จิตวิญญาณนักรบของเรามีไม่เพียงพอ มีมากเกินไป เป็นเรื่องง่ายที่ทหารของเราจะเกียจคร้าน”ถึงแม้เจินเจินไม่เคยนำทัพ ก็สามารถพูดขึ้นมาได้หลายประโยค“ฮองเฮา...ไม่ อาจารย์ ศิษย์คิดว่า การต่อสู้ในสถานการณ์คับขัน มักจะมีโอกาสชนะมากกว่าการมีชัยชนะที่ดูเหมือนแน่นอน”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบสงบ“เห็นทีหลักพิชัยสงครามของพวกเจ้า ล้วนเรียนได้ไม่เลวแล้ว วันนี้เรียนภาคปฏิบัติจริง”“ปฏิบัติจริง?” ทุกคนแปลกใจจะไปทำการสู้รบที่ไหนหรือ?หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพาพวกเขามายังสนามฝึกซ้อมบนสนามฝึกซ้อมมีคนยืนอยู่มากกว่าร้อยคน
แคว้นตงซาน……เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันคิดขึ้นมาได้ ก่อนวันอภิเษก ระหว่างทางนางได้รับบัวกลีบเปลวเพลิงหนึ่งดอก อาจารย์หญิงเคยพูดว่า บัวกลีบเปลวเพลิงนั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แคว้นตงซานคนที่นำบัวกลีบเปลวเพลิงมาให้ จนถึงตอนนี้นางก็ไม่มีข้อมูลตอนนี้เบาะแสมนุษย์โอสถนี้ก็ชี้ไปยังแคว้นตงซาน เห็นที เบาะแสทางด้านแคว้นตงซานก็จำเป็นต้องสืบขบวนเสด็จมายังตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้เข้ามาข้างในตำหนักอย่างชำนาญทาง เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาทำความเคารพเขาขมวดคิ้วเข็ม“เราเคยบอกแล้ว ตอนที่ไม่มีคนอื่น ไม่ต้องมากพิธี”“เพคะ”เซียวอวี้มองเห็นแผนที่บนโต๊ะ “เจ้ากำลังทำอะไร?”เขาพลางพูดพลางหยิบแผ่นที่ขึ้นมา เห็นข้างบนนั้นขีดเส้นทางมาหลายเส้น สุดท้ายมุ่งไปยัง แคว้นตงซาน“นี่คือ?”แววตา เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบ“เส้นทางการค้า”เซียวอวี้ขมวดคิ้วขึ้นมา ครุ่นคิดพลางพูด“แคว้นตงซานมั่งคั่งร่ำรวย ปกครองให้ฝ่ายพลเรือนอยู่เหนือการควบคุมฝ่ายทหาร หนึ่งร้อยปีมานี้ เข้าร่วมการศึกเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับแคว้นอื่น นับจากอดีตฮ่องเต้ ทั้งสองแคว้นต่างไม่มีทูตไปมาหาสู่กัน”“ดังนั้น เส้นทางการค้าระหว่างทั้งสองแคว้
วันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพาพวกองครักษ์ไปยังวิหารเต๋า ลงไปในช่องทางลับช่องทางลับแห่งนี้ เซียวอวี้ได้ส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก่อนหน้านี้ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใดเฟิ่งจิ่วเหยียนชูตะบันไฟ เดินอยู่ในทางแคบที่ยาวนั้นกลไกที่นี่ถูกจัดตั้งอย่างชาญฉลาด คาดว่าช่องทางไปยังที่ต่าง ๆ ล้วนถูกซ่อนไว้แล้วในขณะที่นางกำลังจะคลำหา ทันใดนั้น องครักษ์หลายคนที่เดินอยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้นมา“มีดินปืน คุ้มกันฮองเฮาออกไป!”ตูม! !มีเสียงดังในช่วงหนึ่งของอุโมงค์ใต้ดิน พังทลายทันทีก้อนหินหล่นกระจัดกระจาย ขวางทางไปของทุกคนเฟิ่งจิ่วเหยียนมองขึ้นมาท่ามกลางฝุ่น ดวงตาเยือกเย็นนางรักชีวิตของตนเองหากยังสืบไม่รู้ความจริงก็ตายแล้ว นางจะนอนตายตาไม่หลับยามนี้ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย จึงออกคำสั่ง“ถอย”ในเวลานี้ วิหารเต๋าไม่ไกลออกไปร่มเงาใต้ต้นไม้ มีสองคนยืนอยู่คนที่อยู่ข้างหน้าคนนั้น ต่างจากยามที่อยู่สถาบันทางการทหาร สวมแหวนน้าวที่นิ้วโป้ง ใบหน้าสง่าเยือกเย็นเมื่อเห็นพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนถอยออกมาจากวิหารเต๋า มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย“ไปเถอะ”ลูกน้องที่อยู่ข้างหลั
ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงบทกวี บุรุษทั้งหลายเพื่อแสดงออกถึงความสามารถของตนเอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ดาบใช้ปืนหนิงเฟยมองดูพวกเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงไหลนางอายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์อะไร ค่ำคืนอันยาวนาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวก็ไม่แปลก ที่มีสนมในวังหลังเหล่านั้นมักแอบเป็นชู้กับองครักษ์หลังจากนางเข้าวัง ก็ไม่ได้เจอบุรุษปกติมานานมากแล้วหลังจากการแสดงฝีมือจบลง หนิงเฟยมีคำสั่ง ให้พวกเขาจับคู่เพลิดเพลินชมดอกไม้ตามอัธยาศัยความหมายนั้นไม่สามารถชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้วหากมีคนที่ถูกใจ ก็สามารถไปชักชวนได้งานเลี้ยงบทกวีในวังนี้ จัดขึ้นมาอย่างครึกครื้น องค์หญิงใหญ่เข้าวังมาเยี่ยมไทเฮา ได้ยินเสียงหัวเราะทางนั้น ก็หยุดเท้ามองใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่พอดีคำพูดและการกระทำของหญิงสาวแลดูอ่อนโยน ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ ใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม“คุณชายหลิว ท่านสามารถเข้าสถาบันทางการทหาร มีความสามารถที่โดดเด่น ข้า...ข้าคาดหวังให้อนาคตท่านจะได้เป็นแม่ทัพ”ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามา พร้อมขอบคุณหญิงสาวเห็นเช่นนี้แล้ว ใบห
ในเมื่อรู้จุดประสงค์ขององค์หญิงใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธทันที“องค์หญิง ยังไม่พูดถึงว่าเรื่องที่ท่านเห็นในวันนี้ เป็นความจริงหรือไม่“ต่อให้เป็นความจริง ข้าก็คิดว่า การกระทำของหลิวเหยี่ยน ไม่มีอะไรต้องตำหนิ“หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จะนำทัพทำศึกได้อย่างไร?“ไม่มีทักษะหน้าไหว้หลังหลอก จะหลอกลวงศัตรูได้อย่างไร?“ข้าไม่มีทางปฏิเสธความสามารถของหลิวเหยี่ยน ด้วยเหตุผลนี้”องค์หญิงใหญ่ค่อนข้างผิดหวังนางก็โกรธยังไม่สามารถต้านทานได้“ฮองเฮา เจ้าเชื่อข้า หลิวเหยี่ยนคนนั้นจิตใจไม่ดี”“ถึงแม้ข้านำหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้ แต่ด้วยความรู้สึกของข้า เขาควบคุมไม่ได้”ที่องค์หญิงใหญ่พูดมา เฟิ่งจิ่วเหยียนพอใส่ใจบ้างแล้ว แต่นางไม่มีทางแสดงออกมาต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อย่างไรเมื่อเทียบกับหลิวเหยี่ยน นางยิ่งไม่อยากยอมรับคนขององค์หญิงใหญ่ตอนนี้นางคือฮองเฮา ต้องแยกแยะลำดับความสำคัญรอจอหลังจากองค์หญิงใหญ่ไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งหว่านชิว“ส่งคนไปบ้านเกิดหลิวเหยี่ยน สืบดูว่าคนนี้มีนิสัยอย่างไร”คนที่จะเป็นแม่ทัพ ต้องมีเล่ห์เหลี่ยม แต่หลอกลวงไม่ได้……หลังจากงานเลี้ยงบทกวีจบลง ความร่วมมือฉันพี่น้องของ
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร