ดวงตาของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาช่วงข้าวใหม่ปลามันย่อมเป็นช่วงสำคัญ แต่เขาในฐานะจักรพรรดิ ควรคำนึงถึงเรื่องแว่นแคว้นเป็นสำคัญเขามองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยแววตารู้สึกผิดอยู่บ้าง“เจ้ากลับไปที่ตำหนักหย่งเหอก่อน เราจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างใจเย็น“เพคะ”ณ ตำหนักหย่งเหอเหล่าสนมพากันมาน้อมทักทายฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนได้พบพวกนาง ก็มิได้รู้สึกแปลกหน้าพวกนางได้พบนาง ก็เป็นเช่นเดียวกันว่ากันว่าฮองเฮาองค์ใหม่นี้เป็นพี่น้องฝาแฝดกับฮองเฮาองค์ก่อน กลับนึกไม่ถึงว่าจะคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะบุคลิกท่าทางนี้หนิงเฟยยิ่งตะลึงงันอยู่ตรงจุดนั้นนางรู้สึกเพียงว่า บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้เหมือนกับฮองเฮาองค์ก่อนทุกประการมิน่าแปลกใจที่ฮ่องเต้ทรงยืนกรานจะอภิเษกสมรสกับคนผู้นี้ให้ได้จักต้องหลงเหลือเยื่อใยต่อฮองเฮาองค์ก่อนเป็นแน่หนิงเฟยคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกเห็นใจฮองเฮาองค์ใหม่อย่างมาก เฟิ่งจิ่วเหยียนแค่ทำเหมือนว่าพบกับพวกนางเป็นครั้งแรก ไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะเอ่ยมากเกินกว่านี้หลังจากที่พวกนางกลับไป สาวใช้ผู้หนึ่งก็เข้ามาใก
วันนี้ฮ่องเต้มิได้เสด็จไปว่าราชกิจ เรื่องราวทุกอย่างในวังถูกส่งมอบให้กับรุ่ยอ๋องในยามนี้ รุ่ยอ๋องมองดูจดหมายฉบับนี้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแผนชั่วร้ายหากปล่อยให้ฮ่องเต้เสด็จไปเพียงลำพัง จักต้องตกหลุมพรางเป็นแน่ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลผู้นี้ยังฉลาดมาก กลับรู้จักใช้ซูเฟยมาเป็นตัวล่อซูเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้ ขณะที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ก็ปลิดชีพตนเองเรื่องนี้เป็นปมในใจของฮ่องเต้มาโดยตลอดหากจดหมายฉบับนี้ไปถึงมือฮ่องเต้จริง ๆ เกรงว่า...แววตาอ่อนโยนของรุ่ยอ๋องฉายแววความแน่วแน่“หลิวหวา ข้าจักไปตามนัดหมายแทนฮ่องเต้ เจ้าไปตามหาคนที่รู้วิธีการแปลงโฉม”หลิวหวารู้สึกกังวล “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มิหารือกับฝ่าบาทก่อน แล้วค่อยตัดสินใจหรือขอรับ?น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องเรียบเฉยและทุ้มต่ำ“มิจำเป็น”ฮ่องเต้เพิ่งจะอภิเษกสมรส หาได้ยากที่จะมีช่วงเวลาปลอดโปร่งโล่งใจเช่นนี้ เขามิต้องการให้คนอื่นมารบกวนฮ่องเต้ทว่าในเมื่อเป็นเรื่องของซูเฟย เขาจักต้องไปสักครั้ง ถึงจะวางใจได้ภายในห้อง หร่วนฝูอวี้จัดแต่งอาภรณ์เรียบร้อย ยืนพิงอยู่ขอบประตูด้วยท่าทางเย้ายวน ทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“มิต้องไ
หลังจากหนิงเฟยออกจากตำหนักเสียนซิ่ง ก็ตรงไปยังตำหนักหย่งเหอสาวใช้หว่านชิวเอ่ยอย่างนอบน้อม“หนิงเฟย ฝ่าบาทกับฮองเฮากำลังหารือเรื่องสำคัญอยู่ด้านใน ไม่สะดวกจะพบท่าน”หนิงเฟย: หารือเรื่องสำคัญ?นี่ก็เพิ่งจะอภิเษกสมรส มีเรื่องใดที่ต้องหารือกัน?เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ากำลังทำเรื่องอนาจารตอนกลางวันแสก ๆ นะ?“มิเป็นไร ข้าค่อยมาช้ากว่านี้สักหน่อย”หว่านชิวคิดจะบอกว่า หากมาช้ากว่านี้สักหน่อย คาดว่าจะมิได้พบฮองเฮาเช่นกันด้านนอกพระราชวังเนินเขาอู๋หลี่ ศาลาเฟิงอวี่รุ่ยอ๋องทำตามที่เขียนในจดหมาย แปลงโฉมเป็นฮ่องเต้และมาตามการนัดหมายเขาสั่งให้หลิวหวาซุ่มโจมตีอย่างลับ ๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันในที่ไกล ๆ มองเห็นหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ในศาลาหลังจากเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นหญิงผู้นั้นอายุราว ๆ สามสิบสี่สิบปี แต่งกายด้วยชุดขาว มองดูซูบผอมและอ่อนแอเขาหยุดอยู่นอกศาลา มิได้เดินเข้าไปเมื่อประสานสายตากัน หญิงสาวก็น้ำตาไหลพราก“ข้าคิดว่า ท่านมิเต็มใจจะพบข้าอีกแล้ว”รุ่ยอ๋องรู้สึกเกินความคาดหมายอยู่บ้างฟังจากคำพูด หญิงผู้นี้เป็นคนที่เคยรู้จักกับฮ่องเต้?เขามิเอ่ยสิ่งใด รอจังหวะไปพลาง ๆ ก่อน
ณ ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ฟังรุ่ยอ๋องเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว สายตาดูเยือกเย็นและดุดันเขาเหลือบตาขึ้นมองในทันที แววตาราวกับใบมีดอันคมกริบ“นางอยู่ที่ใด หญิงผู้นั้น อยู่ที่ใด!”รุ่ยอ๋องสังเกตเห็น เมื่อฮ่องเต้ทรงเอ่ยถึงหญิงผู้นั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง“อยู่ในคุกหลวง กระหม่อมสั่งให้คนพานางไปควบคุมตัวไว้ก่อน”ใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามของเซียวอวี้ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น พร้อมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ย้ายนางไปที่คุกเทียนเหลา”“พ่ะย่ะค่ะ”ณ คุกเทียนเหลานักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ที่แห่งนี้มีจำนวนมาก ในนั้นมีขุนนางที่พัวพันคดี จนกระทั่งเชื้อพระวงศ์อีกจำนวนไม่น้อยเมื่อพวกเขาเห็นฮ่องเต้เสด็จมา ก็พากันคุกเข่าร้องขออภัยโทษ“ฝ่าบาท อภัยโทษให้กระหม่อมด้วย!”“ฝ่าบาท ขอร้องให้ท่านปล่อยกระหม่อมออกไปเถิด!”“ฝ่าบาท ข้าน้อยมิกล้าทำอีกแล้ว!”เซียวอวี้เมินเฉยต่อเสียงเหล่านี้ สายตาดูเย็นชา และเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนในสมองเต็มไปด้วยภาพของมารดา---ท่าทางที่ดูทุกข์ใจ ท่าทางที่ดูเจ็บปวด ยังมีท่าทางที่ดูโศกเศร้า และท่าทางที่ตกจากที่สูงของนาง...เดิมทีเป็นเพราะเรื่อ
ใบหน้าที่เจือไปด้วยความอ่อนหวานและบอบบางของเหยาเนียงนั้น ในยามนี้พลันทะมึนตึงดำคล้ำขึ้นมานางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเซียวอวี้ ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า“คิดไม่ถึงใช่หรือไม่! พวกเจ้าคิดว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วย แม้แต่ตัวฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว คือข้า! เป็นข้าที่วางยาพิษฝ่าบาท!“ฝ่าบาท ข้าต้องขอบพระทัยท่านยิ่งนัก“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกระทำการสิ่งใดมักจะระมัดระวัง หากมิใช่ในปีนั้นท่านนึกสงสารบ่าว ทั้งยังให้พระสนมซูเฟยพาตัวบ่าวมาที่ตำหนักเว่ยยาง บ่าวก็คงมิมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเช่นนี้อย่างแน่นอน… ฮ่าฮ่า!”ดวงตาของเซียวอวี้พลางเจือไปด้วยความเย็นชาที่นางพูดขึ้นมาเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการให้เซียวอวี้โมโหขึ้นมาเท่านั้นทว่า……เซียวอวี้หาได้คิดสนใจไม่ ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจักสิ้นพระชนม์อย่างไร!บุรุษที่ทอดทิ้งเสด็จแม่ของเขาไปราวกับสิ่งของไร้ค่า ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ของแว่นแคว้นเขานั้น หาได้ทำสิ่งใดผิดไปไม่ ทว่า ในฐานะบิดาและสามี เขาสมควรตกตายไปนานแล้ว!“เราอยากให้นางแม้อยู่ก็มิมีหนทางรอด อยากตายก็มิอาจตายได้
เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้พูดอะไรมากไม่ นางเพียงแค่กล่าวกับเซียวอวี้ว่า“อาจารย์หญิงจะต้องกลับไปที่ชายแดนเหนือแล้ว”เซียวอวี้คิดว่าพวกนางเศร้าเสียใจที่จะต้องจากกัน ถึงได้มีอาการหม่นหมองเช่นนี้เขาจึงวางแขนโอบไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ พลางหันไปกล่าวกับฮูหยินเมิ่งว่า“ท่านอาจารย์หญิงวางใจได้ จิ่วเหยียนแต่งให้เรานั้น นางจะมิถูกรังแกใด ๆ หากนางอยากไปเยี่ยมเยียนพวกท่านละก็ เราก็จะไม่ห้ามอีกด้วย ท่านเองก็เข้าวังมาพบนางได้เสมอ”แน่นอนว่า มีเพียงฮูหยินเมิ่งเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ท่านแม่ทัพเมิ่งที่ตรึงกำลังเฝ้าปกป้องอยู่ที่ชายแดนนั้น ย่อมมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำแหน่งฮูหยินเมิ่งโค้งกายคำนับขอบคุณ“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท เพียงเท่านี้ หม่อมฉันก็จากไปได้อย่างสบายใจแล้วเพคะ”ถึงเวลารับสำรับมื้อค่ำพอดี เซียวอวี้จึงเสนอขึ้นมา“รั้งอยู่รับสำรับมื้อค่ำด้วยกันเถิด มื้อนี้เพื่อเลี้ยงส่งท่านโดยเฉพาะ”ฮูหยินเมิ่งเหลือบมองที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ก่อนจะส่ายหัวไปมา“อย่าดีกว่าเพคะ คู่ใหม่ปลามันเช่นฝ่าบาทและฮองเฮานั้น หม่อมฉันมิกล้ารบกวนเวลาของพวกท่าน”……หลังจากที่ฮูหยินเมิ่งจากไป เหล่าข้ารับใช้ในวังก็เข
เซียวอวี้ยังจำเรื่องราววันพระราชสมภพของเสด็จแม่ ยามที่เขาอายุหกขวบได้เป็นอย่างดีคืนนั้น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จมาเยือนตำหนักเว่ยยาง เสด็จแม่มีความสุขยิ่งนัก ทั้งยังลงมือจัดเตรียมทำน้ำแกงด้วยตนเองเพื่อรอฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จมาหมัวมัวพาเซียวอวี้ออกมา ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าวกับเขาว่า “องค์ชายห้าเพคะ พระสนมจะเสด็จร่วมบรรมทมกับฝ่าบาทในคืนนี้ พระองค์ควรรีบกลับไปบรรมทมแต่โดยไวนะเพคะ”เขาเข้าใจความหมายของหมัวมัวได้ในทันที ว่าเสด็จแม่จักได้กลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งแล้ว เช่นนี้ วันวานภายในตำหนักเว่ยยางก็จะกลับขึ้นมาดีขึ้นอีกครั้งเซียวอวี้ยังคงคาดหวังว่า เสด็จแม่กับเสด็จพ่อจักคืนดีกันเสียที เช่นนี้เสด็จแม่ก็จักมิต้องมีท่าทีเศร้าอกเศร้าใจตลอดวันอีกต่อไป“เราจำได้ว่า แสงจันทร์ในคืนนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง”เสียงของเซียวอวี้แหบแห้งเล็กน้อย “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรู้สึกเหนื่อยอ่อนนัก จึงเข้าไปงีบหลับบนเตียง เสด็จแม่ที่เป็นกังวลว่าพระองค์จะมีอาการเมามายจากฤทธิ์สุรานั้น จึงได้ไปที่ห้องเครื่องเพื่อจัดเตรียมน้ำแกงสร่างเมา หลังจากที่พระนางกลับมายังห้องโถงหลักนั้น ก็พลันพบว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนกำลังร่ว
ห้องทรงพระอักษรรุ่ยอ๋องรายงานคำให้การของเหยาเนียงเซียวอวี้เพียงกวาดตามองเล็กน้อย ก่อนสายตาจะไปหยุดจับจ้องที่คำว่า “เป่ยเยี่ยน” สองคำนี้แววตาของรุ่ยอ๋องแห้งพลันเต็มไปด้วยรอยแดงก่ำเล็กน้อยเขาพลางเอ่ยออกมาด้วยความเนิบนาบว่า“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตามที่เหยาเนียงได้ให้การยอมรับออกมานั้น นางเป็นสายให้กับเป่ยเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ ในปีนั้นนางได้รับคำสั่งให้ทำการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อต้องการทำให้หนานฉีเกิดความระส่ำระส่าย“ยามนี้ ฝั่งของเป่ยเยี่ยนคงมิอาจนิ่งนอนใจได้อีก ถึงได้ส่งนางมาสังหารท่านเช่นนี้”ดวงตาของเซียวอวี้หรี่เรียวเล็กลง พลางก้มหน้าอ่านคำให้การเสียหลายครั้งหลายครา“เจ้าคิดว่า สิ่งที่นางกล่าวออกมานั้นน่าเชื่อถือได้มากเพียงใดกัน?”น้ำเสียงของเซียวอวี้เจือไปด้วยความเย็นชา สายตาของเขาหาได้มีที่ว่างเว้นใด ๆ ไม่รุ่ยอ๋องพลางกล่าวออกมาตามจริงว่า“ภายใต้การทรมานที่รุนแรงเช่นนี้ ย่อมมีความจริงปรากฏขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ“ทว่า เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วนั้น บุคคลที่ถูกส่งตัวให้มาเป็นสายลับได้เช่นนี้ คงหาใช่คนธรรมดาไม่“กระหม่อมก็มิรู้ว่า สมควรจักเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด“ทว่า เรื่องท
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร