เซียวอวี้ยังจำเรื่องราววันพระราชสมภพของเสด็จแม่ ยามที่เขาอายุหกขวบได้เป็นอย่างดีคืนนั้น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จมาเยือนตำหนักเว่ยยาง เสด็จแม่มีความสุขยิ่งนัก ทั้งยังลงมือจัดเตรียมทำน้ำแกงด้วยตนเองเพื่อรอฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จมาหมัวมัวพาเซียวอวี้ออกมา ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าวกับเขาว่า “องค์ชายห้าเพคะ พระสนมจะเสด็จร่วมบรรมทมกับฝ่าบาทในคืนนี้ พระองค์ควรรีบกลับไปบรรมทมแต่โดยไวนะเพคะ”เขาเข้าใจความหมายของหมัวมัวได้ในทันที ว่าเสด็จแม่จักได้กลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งแล้ว เช่นนี้ วันวานภายในตำหนักเว่ยยางก็จะกลับขึ้นมาดีขึ้นอีกครั้งเซียวอวี้ยังคงคาดหวังว่า เสด็จแม่กับเสด็จพ่อจักคืนดีกันเสียที เช่นนี้เสด็จแม่ก็จักมิต้องมีท่าทีเศร้าอกเศร้าใจตลอดวันอีกต่อไป“เราจำได้ว่า แสงจันทร์ในคืนนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง”เสียงของเซียวอวี้แหบแห้งเล็กน้อย “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรู้สึกเหนื่อยอ่อนนัก จึงเข้าไปงีบหลับบนเตียง เสด็จแม่ที่เป็นกังวลว่าพระองค์จะมีอาการเมามายจากฤทธิ์สุรานั้น จึงได้ไปที่ห้องเครื่องเพื่อจัดเตรียมน้ำแกงสร่างเมา หลังจากที่พระนางกลับมายังห้องโถงหลักนั้น ก็พลันพบว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนกำลังร่ว
ห้องทรงพระอักษรรุ่ยอ๋องรายงานคำให้การของเหยาเนียงเซียวอวี้เพียงกวาดตามองเล็กน้อย ก่อนสายตาจะไปหยุดจับจ้องที่คำว่า “เป่ยเยี่ยน” สองคำนี้แววตาของรุ่ยอ๋องแห้งพลันเต็มไปด้วยรอยแดงก่ำเล็กน้อยเขาพลางเอ่ยออกมาด้วยความเนิบนาบว่า“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตามที่เหยาเนียงได้ให้การยอมรับออกมานั้น นางเป็นสายให้กับเป่ยเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ ในปีนั้นนางได้รับคำสั่งให้ทำการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อต้องการทำให้หนานฉีเกิดความระส่ำระส่าย“ยามนี้ ฝั่งของเป่ยเยี่ยนคงมิอาจนิ่งนอนใจได้อีก ถึงได้ส่งนางมาสังหารท่านเช่นนี้”ดวงตาของเซียวอวี้หรี่เรียวเล็กลง พลางก้มหน้าอ่านคำให้การเสียหลายครั้งหลายครา“เจ้าคิดว่า สิ่งที่นางกล่าวออกมานั้นน่าเชื่อถือได้มากเพียงใดกัน?”น้ำเสียงของเซียวอวี้เจือไปด้วยความเย็นชา สายตาของเขาหาได้มีที่ว่างเว้นใด ๆ ไม่รุ่ยอ๋องพลางกล่าวออกมาตามจริงว่า“ภายใต้การทรมานที่รุนแรงเช่นนี้ ย่อมมีความจริงปรากฏขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ“ทว่า เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วนั้น บุคคลที่ถูกส่งตัวให้มาเป็นสายลับได้เช่นนี้ คงหาใช่คนธรรมดาไม่“กระหม่อมก็มิรู้ว่า สมควรจักเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด“ทว่า เรื่องท
หร่วนฝูอวี้พลันยกมือสองข้างจับประตูห้องขังเอาไว้ ท่วงท่าของนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนัก ราวกับอสรพิษสาวกำลังเลื้อยพันประตูซึ่งต่างจากนักโทษคนอื่น ๆนางมองไปที่รุ่ยอ๋อง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา“คนที่ท่านชอบ คือฝ่าบาทใช่หรือไม่?”ดวงตาของรุ่ยอ๋องพลันมืดคล้ำไปในทันทีฝ่ามือของหร่วนฝูอวี้พลันวางเอาไว้บนริมฝีปากของตน ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา“อั๊ยหยา! ข้าเดาถูกจริง ๆ หรือนี่?”คิดว่านางโง่เง่ามากหรือไรในช่วงหลายวันที่อยู่ในเมืองหลวงนั้น นางลอบตรวจสอบเขามาหมดแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เขาหาได้มีสตรีข้างกายไม่ กลับมักจะตัวติดกับฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น อีกทั้งทั้งสองคนยังชอบนัดเจอกันที่สนามม้าหลวงอีกเมื่อมาเห็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในใจของเขาหาได้อยู่ไกลไม่ แต่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม!รุ่ยอ๋องที่ยินเสียงหัวเราะของนางเช่นนั้น พลันรู้สึกได้ถึงความเยาะเย้ยและความชั่วร้ายที่ลอยออกมารุ่ยอ๋องที่มิอาจทนไหวนั้น กำลังจะหันกายจากไป หร่วนฝูอวี้พลันรีบเรียกเขาเอาไว้“เฮ้! ช้าก่อน! ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงโมโหเช่นนั้นเล่า?“หน้าท่านบางมากหรือไร!“เช่นนั้น ให้ข้าช่วยป่าวประกาศให้ท่านดีหรือไม่?”
วันเวลาแห่งความสุขมักจะแสนสั้นเสมอหลังผ่านงานมงคลสมรสไปได้สามวันนั้น เซียวอวี้ก็ได้เวลาไปว่าความยามเช้าเสียทีเขามักจะตื่นนอนตรงเวลา กิจวัตรเช่นนี้หาได้เคยหย่อนยานไม่ทว่า เมื่อมีสตรีงามมาร่วมเคียงหมอนด้วยเช่นนี้ ก็ทำเอาเขามิอยากจากนางไปหลังจากพักผ่อนที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อคืนนี้ ยามที่เซียวอวี้ลืมตาขึ้นมานั้น เมื่อคิดที่จะเข้าไปโอบกอดคนข้างกายกลับพบว่าคว้าได้แต่อากาศเซียวอวี้จึงสะดุ้งขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นเปิดม่านออกมา“ฮองเฮาเล่า!”หลิวซื่อเหลียงที่กำลังรั้งรออยู่ห้องโถงด้านนอกนั้น เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้ามารายงาน“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟ้ายังมิสางฮองเฮาก็ตื่นบรรทมมาฝึกยุทธ์อยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เรื่องนี้ทำเอาหลิวซื่อเหลียงเองนึกตกใจยิ่งนักมิแปลกใจเลยที่ฮองเฮาเติบโตมาจากค่ายทหาร แม้แต่การตื่นนอนในยามเช้ายังตื่นไวกว่าฝ่าบาทเสียอีกเซียวอวี้รู้ดีว่านางมีนิสัยฝึกยุทธ์ในตอนเช้า ทว่า เขามิคิดว่าจะเช้ามากขนาดนี้ด้านนอกตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดลำลอง พร้อมผมที่รวบเอาไว้สูง ผมหางม้าของนางสะบัดไปตามแรงเคลื่อนไหว หากมองจากไกล ๆ คล้ายกับชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกาย
มีบางอย่างที่เซียวอวี้มิต้องการเก็บมันเอาไว้ในใจ เขาต้องการรู้คำตอบที่ชัดเจนเซียวอวี้จ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีจริงจัง ก่อนจะไล่จี้ถาม“เรากับต้วนไหวซวี่ เจ้ารักใครมากกว่ากัน? เจ้าปฏิบัติกับเขาอ่อนโยนเช่นนั้น แต่เหตุใดกับเราถึงทำเป็นเย็นชาทั้งยังมิรู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย? จิ่วเหยียน สิ่งที่เจ้าเคยเอ่ยกับต้วนไหวซวี่นั้น เจ้าหาได้เคยเอ่ยวาจาเช่นนั้นกับเราไม่...”เมื่อมองย้อนกลับไป คำพูดที่นางเคยทำให้เขารู้สึกชอบนั้น คงจะเป็นคำที่นางบอกว่ามีใจต่อเขากระมังในยามนั้น เพียงแค่ได้ยินก็ทำเอาเซียวอวี้นึกพอใจกับมันยิ่งนักแต่เขายังอยากได้มากกว่านี้ ทั้งยังอยากรู้อีกว่า นางรักเขามากเพียงใด ถึงขนาดมิอยากจากเขาไปหรือไม่เซียวอวี้ที่กล่าวออกมามากมายนั้น หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงแค่ถามกลับคำเดียว“ข้าเคยเอ่ยอันใดกับต้วนไหวซวี่กัน?”นางหาได้รู้เรื่องนี้ไม่ เหตุใดเขาถึงรู้เล่า?เซียวอวี้เอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง“เจ้าเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเป็นปมมากไปอีกจนทำให้นางต้องเอ่ยอธิบายออกมาด้วยท่าทีจริงจัง“นั่นเพราะท่านแตกต่างจากเขา ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ หม่อมฉัน
เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยถามกับเซียวอวี้“ลูกของท่าน?”เซียวอวี้เพียงรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น“หาใช่ของเราไม่”ครู่หนึ่ง ราวกับเซียวอวี้ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่า…”ยามที่เกิดความชุลมุนในวิหารบรรพบรุษนั้น มู่หรงหลันตามหาเด็กที่มีรูปร่างคล้ายกับเขาแล้วเอามาแอบอ้างว่าเป็นทายาทของเขากันหลังจากที่พรรคเทียนหลงพ่ายแพ้ไปแล้วนั้น เด็กคนนั้นก็ถูกโยนเข้าไปในคุกเทียนเหลาหลังจากที่รุ่ยอ๋องสืบความแล้วนั้น ก็พบว่าเด็กคนนั้นถูกพรรคเทียนหลงนำไปชุบเลี้ยงใช้งาน เขาถูกขโมยตัวมาจากบิดามารดาที่แท้จริงของตนเองหลังจากตามหาจนพบว่า ครอบครัวนี้หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเทียนหลงไม่ รุ่ยอ๋องจึงจัดการส่งเด็กให้กลับไปอยู่ข้างกายบิดามารดาที่แท้จริงของตนเองอีกครั้ง……เพื่อป้องกันมิให้เด็กคนนี้เอ่ยเรื่องไร้สาระออกมาที่หน้าประตูวังหลวง เฉินจี๋จึงนำเด็กคนนั้นเข้าวังมาทำการสอบสวนเป็นดั่งที่เซียวอวี้คิดเอาไว้ เป็นเด็กคนนั้นจริงทั้งยังคงสวมใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ทว่า ใบหน้ากลับซูบผอมมากกว่าเดิมเสียอีกเมื่อเห็นเซียวอวี้นั้น เด็กคนนั้นพลางเอ่ยถามออกมาด้วยท่า
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหยาเนียงจักต้องมิใช่คนของเป่ยเยี่ยนอย่างแน่นอน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจแต่หากมิใช่เป่ยเยี่ยนแล้วเป็นผู้ใดที่เป็นคนชี้นำเล่า?ทั้งเฟิ่งจิ่วเหยียนและเซียวอวี้ก็ยังมิอาจหาข้อสรุปให้กับเรื่องนี้ได้ในขณะเดียวกันโรงพักแรมนอกเมืองบุรุษที่สวมใส่อาภรณ์เนื้อธรรมดาพลางยืนอยู่ริมหน้าต่าง ก่อนจะเหม่อมองยังทิศทางของราชวังหนานฉีใช้ใต้หล้าเป็นหมาก ย่อมต้องเป็นผู้เริ่มเดินน่าเสียดายที่คู่ต่อสู้สูญเสียความทะเยอทะยานของตนเองไป จนยินยอมไปเป็นฮูหยินผู้อื่นเช่นนี้……เซียวอวี้จึงฝากเรื่องของเหยาเหนียงให้หยิ่นเอ้อร์ไปทำการสืบหาต่อไปใต้หล้าเกิดความผัดพวน คลื่นลมมีความแปรปรวนสิ่งที่เซียวอวี้ต้องทำในยามนี้คือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับหนานฉี เพื่อป้องกันศัตรูภายนอกมิให้เข้ามารุกรานได้ง่าย ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ หาได้จำเป็นต้องเกรงกลัวอันใดไม่คืนนี้ ทั้งเขาและเฟิ่งจิ่วเหยียนต่างก็พูดคุยปรึกษาหารือกันว่าจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกองทัพจนถึงดึกดื่น“ที่ท่านอาจารย์ของเจ้าเสนอให้มีการปรับโครงสร้างนั้น เราว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว ทว่า เรายังอยากฟังความคิดเห็นของ
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หลังจากผ่านการคัดเลือกคนแล้วนั้น นักเรียนในสถาบันทางการทหารนั้นมีมากถึงสามสิบนายมีทั้งทหารที่เคยเข้าร่วมรบ ทั้งยังมีท่านแม่ทัพที่เคยเป็นขุนนาง ยังมีเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยกับการออกศึกและต้องการอุทิศตนเพื่อรับใช้ประเทศชาติอีกด้วยถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการฝึกฝนแม่ทัพ เหล่าราษฎรคนธรรมดานั้นยากที่จะเข้ามาร่วมเรียนด้วยได้อาจารย์ในสถาบันทางการทหารนั้นตอนนี้มีเพียงสามคนนอกจากเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วนั้น ยังมีอาจารย์ที่สอนด้านกลยุทธ์ เช่นการวาดแผนภูมิประเทศ การวางแผนการจัดกองกำลังพล หรือการสร้างข้อความลับ อาจารย์อีกท่านหนึ่งนั้นจักสอนวิธีการจดจำ การใช้งานคนรวมไปถึงการต่อสู้ด้านจิตวิทยาก่อนที่ชั้นเรียนของสถาบันทหารจะเริ่มต้นขึ้นนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมากนางต้องคิดว่า ตนเองจักสอนอะไรพวกเขาและจะสอนพวกเขาเช่นไรตกกลางคืน เซียวอวี้ที่เสด็จมายังตำหนักหย่งเหอนั้น เมื่อเห็นตำราทางการทหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ รวมไปถึงบรรดารายชื่อของนักเรียนที่เข้ามาร่วมชั้นสถาบันทหารหลังจากที่เขาหยิบขึ้นมาอ่านก่อนจะพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่งมีหลายชื่อที่เขาคุ้นหน้าคุ้นต
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร