ห้องทรงพระอักษรรุ่ยอ๋องรายงานคำให้การของเหยาเนียงเซียวอวี้เพียงกวาดตามองเล็กน้อย ก่อนสายตาจะไปหยุดจับจ้องที่คำว่า “เป่ยเยี่ยน” สองคำนี้แววตาของรุ่ยอ๋องแห้งพลันเต็มไปด้วยรอยแดงก่ำเล็กน้อยเขาพลางเอ่ยออกมาด้วยความเนิบนาบว่า“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตามที่เหยาเนียงได้ให้การยอมรับออกมานั้น นางเป็นสายให้กับเป่ยเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ ในปีนั้นนางได้รับคำสั่งให้ทำการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อต้องการทำให้หนานฉีเกิดความระส่ำระส่าย“ยามนี้ ฝั่งของเป่ยเยี่ยนคงมิอาจนิ่งนอนใจได้อีก ถึงได้ส่งนางมาสังหารท่านเช่นนี้”ดวงตาของเซียวอวี้หรี่เรียวเล็กลง พลางก้มหน้าอ่านคำให้การเสียหลายครั้งหลายครา“เจ้าคิดว่า สิ่งที่นางกล่าวออกมานั้นน่าเชื่อถือได้มากเพียงใดกัน?”น้ำเสียงของเซียวอวี้เจือไปด้วยความเย็นชา สายตาของเขาหาได้มีที่ว่างเว้นใด ๆ ไม่รุ่ยอ๋องพลางกล่าวออกมาตามจริงว่า“ภายใต้การทรมานที่รุนแรงเช่นนี้ ย่อมมีความจริงปรากฏขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ“ทว่า เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วนั้น บุคคลที่ถูกส่งตัวให้มาเป็นสายลับได้เช่นนี้ คงหาใช่คนธรรมดาไม่“กระหม่อมก็มิรู้ว่า สมควรจักเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด“ทว่า เรื่องท
หร่วนฝูอวี้พลันยกมือสองข้างจับประตูห้องขังเอาไว้ ท่วงท่าของนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนัก ราวกับอสรพิษสาวกำลังเลื้อยพันประตูซึ่งต่างจากนักโทษคนอื่น ๆนางมองไปที่รุ่ยอ๋อง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา“คนที่ท่านชอบ คือฝ่าบาทใช่หรือไม่?”ดวงตาของรุ่ยอ๋องพลันมืดคล้ำไปในทันทีฝ่ามือของหร่วนฝูอวี้พลันวางเอาไว้บนริมฝีปากของตน ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา“อั๊ยหยา! ข้าเดาถูกจริง ๆ หรือนี่?”คิดว่านางโง่เง่ามากหรือไรในช่วงหลายวันที่อยู่ในเมืองหลวงนั้น นางลอบตรวจสอบเขามาหมดแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เขาหาได้มีสตรีข้างกายไม่ กลับมักจะตัวติดกับฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น อีกทั้งทั้งสองคนยังชอบนัดเจอกันที่สนามม้าหลวงอีกเมื่อมาเห็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในใจของเขาหาได้อยู่ไกลไม่ แต่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม!รุ่ยอ๋องที่ยินเสียงหัวเราะของนางเช่นนั้น พลันรู้สึกได้ถึงความเยาะเย้ยและความชั่วร้ายที่ลอยออกมารุ่ยอ๋องที่มิอาจทนไหวนั้น กำลังจะหันกายจากไป หร่วนฝูอวี้พลันรีบเรียกเขาเอาไว้“เฮ้! ช้าก่อน! ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงโมโหเช่นนั้นเล่า?“หน้าท่านบางมากหรือไร!“เช่นนั้น ให้ข้าช่วยป่าวประกาศให้ท่านดีหรือไม่?”
วันเวลาแห่งความสุขมักจะแสนสั้นเสมอหลังผ่านงานมงคลสมรสไปได้สามวันนั้น เซียวอวี้ก็ได้เวลาไปว่าความยามเช้าเสียทีเขามักจะตื่นนอนตรงเวลา กิจวัตรเช่นนี้หาได้เคยหย่อนยานไม่ทว่า เมื่อมีสตรีงามมาร่วมเคียงหมอนด้วยเช่นนี้ ก็ทำเอาเขามิอยากจากนางไปหลังจากพักผ่อนที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อคืนนี้ ยามที่เซียวอวี้ลืมตาขึ้นมานั้น เมื่อคิดที่จะเข้าไปโอบกอดคนข้างกายกลับพบว่าคว้าได้แต่อากาศเซียวอวี้จึงสะดุ้งขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นเปิดม่านออกมา“ฮองเฮาเล่า!”หลิวซื่อเหลียงที่กำลังรั้งรออยู่ห้องโถงด้านนอกนั้น เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้ามารายงาน“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟ้ายังมิสางฮองเฮาก็ตื่นบรรทมมาฝึกยุทธ์อยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เรื่องนี้ทำเอาหลิวซื่อเหลียงเองนึกตกใจยิ่งนักมิแปลกใจเลยที่ฮองเฮาเติบโตมาจากค่ายทหาร แม้แต่การตื่นนอนในยามเช้ายังตื่นไวกว่าฝ่าบาทเสียอีกเซียวอวี้รู้ดีว่านางมีนิสัยฝึกยุทธ์ในตอนเช้า ทว่า เขามิคิดว่าจะเช้ามากขนาดนี้ด้านนอกตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดลำลอง พร้อมผมที่รวบเอาไว้สูง ผมหางม้าของนางสะบัดไปตามแรงเคลื่อนไหว หากมองจากไกล ๆ คล้ายกับชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกาย
มีบางอย่างที่เซียวอวี้มิต้องการเก็บมันเอาไว้ในใจ เขาต้องการรู้คำตอบที่ชัดเจนเซียวอวี้จ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีจริงจัง ก่อนจะไล่จี้ถาม“เรากับต้วนไหวซวี่ เจ้ารักใครมากกว่ากัน? เจ้าปฏิบัติกับเขาอ่อนโยนเช่นนั้น แต่เหตุใดกับเราถึงทำเป็นเย็นชาทั้งยังมิรู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย? จิ่วเหยียน สิ่งที่เจ้าเคยเอ่ยกับต้วนไหวซวี่นั้น เจ้าหาได้เคยเอ่ยวาจาเช่นนั้นกับเราไม่...”เมื่อมองย้อนกลับไป คำพูดที่นางเคยทำให้เขารู้สึกชอบนั้น คงจะเป็นคำที่นางบอกว่ามีใจต่อเขากระมังในยามนั้น เพียงแค่ได้ยินก็ทำเอาเซียวอวี้นึกพอใจกับมันยิ่งนักแต่เขายังอยากได้มากกว่านี้ ทั้งยังอยากรู้อีกว่า นางรักเขามากเพียงใด ถึงขนาดมิอยากจากเขาไปหรือไม่เซียวอวี้ที่กล่าวออกมามากมายนั้น หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงแค่ถามกลับคำเดียว“ข้าเคยเอ่ยอันใดกับต้วนไหวซวี่กัน?”นางหาได้รู้เรื่องนี้ไม่ เหตุใดเขาถึงรู้เล่า?เซียวอวี้เอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง“เจ้าเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเป็นปมมากไปอีกจนทำให้นางต้องเอ่ยอธิบายออกมาด้วยท่าทีจริงจัง“นั่นเพราะท่านแตกต่างจากเขา ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ หม่อมฉัน
เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยถามกับเซียวอวี้“ลูกของท่าน?”เซียวอวี้เพียงรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น“หาใช่ของเราไม่”ครู่หนึ่ง ราวกับเซียวอวี้ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่า…”ยามที่เกิดความชุลมุนในวิหารบรรพบรุษนั้น มู่หรงหลันตามหาเด็กที่มีรูปร่างคล้ายกับเขาแล้วเอามาแอบอ้างว่าเป็นทายาทของเขากันหลังจากที่พรรคเทียนหลงพ่ายแพ้ไปแล้วนั้น เด็กคนนั้นก็ถูกโยนเข้าไปในคุกเทียนเหลาหลังจากที่รุ่ยอ๋องสืบความแล้วนั้น ก็พบว่าเด็กคนนั้นถูกพรรคเทียนหลงนำไปชุบเลี้ยงใช้งาน เขาถูกขโมยตัวมาจากบิดามารดาที่แท้จริงของตนเองหลังจากตามหาจนพบว่า ครอบครัวนี้หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเทียนหลงไม่ รุ่ยอ๋องจึงจัดการส่งเด็กให้กลับไปอยู่ข้างกายบิดามารดาที่แท้จริงของตนเองอีกครั้ง……เพื่อป้องกันมิให้เด็กคนนี้เอ่ยเรื่องไร้สาระออกมาที่หน้าประตูวังหลวง เฉินจี๋จึงนำเด็กคนนั้นเข้าวังมาทำการสอบสวนเป็นดั่งที่เซียวอวี้คิดเอาไว้ เป็นเด็กคนนั้นจริงทั้งยังคงสวมใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ทว่า ใบหน้ากลับซูบผอมมากกว่าเดิมเสียอีกเมื่อเห็นเซียวอวี้นั้น เด็กคนนั้นพลางเอ่ยถามออกมาด้วยท่า
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหยาเนียงจักต้องมิใช่คนของเป่ยเยี่ยนอย่างแน่นอน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจแต่หากมิใช่เป่ยเยี่ยนแล้วเป็นผู้ใดที่เป็นคนชี้นำเล่า?ทั้งเฟิ่งจิ่วเหยียนและเซียวอวี้ก็ยังมิอาจหาข้อสรุปให้กับเรื่องนี้ได้ในขณะเดียวกันโรงพักแรมนอกเมืองบุรุษที่สวมใส่อาภรณ์เนื้อธรรมดาพลางยืนอยู่ริมหน้าต่าง ก่อนจะเหม่อมองยังทิศทางของราชวังหนานฉีใช้ใต้หล้าเป็นหมาก ย่อมต้องเป็นผู้เริ่มเดินน่าเสียดายที่คู่ต่อสู้สูญเสียความทะเยอทะยานของตนเองไป จนยินยอมไปเป็นฮูหยินผู้อื่นเช่นนี้……เซียวอวี้จึงฝากเรื่องของเหยาเหนียงให้หยิ่นเอ้อร์ไปทำการสืบหาต่อไปใต้หล้าเกิดความผัดพวน คลื่นลมมีความแปรปรวนสิ่งที่เซียวอวี้ต้องทำในยามนี้คือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับหนานฉี เพื่อป้องกันศัตรูภายนอกมิให้เข้ามารุกรานได้ง่าย ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ หาได้จำเป็นต้องเกรงกลัวอันใดไม่คืนนี้ ทั้งเขาและเฟิ่งจิ่วเหยียนต่างก็พูดคุยปรึกษาหารือกันว่าจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกองทัพจนถึงดึกดื่น“ที่ท่านอาจารย์ของเจ้าเสนอให้มีการปรับโครงสร้างนั้น เราว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว ทว่า เรายังอยากฟังความคิดเห็นของ
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หลังจากผ่านการคัดเลือกคนแล้วนั้น นักเรียนในสถาบันทางการทหารนั้นมีมากถึงสามสิบนายมีทั้งทหารที่เคยเข้าร่วมรบ ทั้งยังมีท่านแม่ทัพที่เคยเป็นขุนนาง ยังมีเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยกับการออกศึกและต้องการอุทิศตนเพื่อรับใช้ประเทศชาติอีกด้วยถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการฝึกฝนแม่ทัพ เหล่าราษฎรคนธรรมดานั้นยากที่จะเข้ามาร่วมเรียนด้วยได้อาจารย์ในสถาบันทางการทหารนั้นตอนนี้มีเพียงสามคนนอกจากเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วนั้น ยังมีอาจารย์ที่สอนด้านกลยุทธ์ เช่นการวาดแผนภูมิประเทศ การวางแผนการจัดกองกำลังพล หรือการสร้างข้อความลับ อาจารย์อีกท่านหนึ่งนั้นจักสอนวิธีการจดจำ การใช้งานคนรวมไปถึงการต่อสู้ด้านจิตวิทยาก่อนที่ชั้นเรียนของสถาบันทหารจะเริ่มต้นขึ้นนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมากนางต้องคิดว่า ตนเองจักสอนอะไรพวกเขาและจะสอนพวกเขาเช่นไรตกกลางคืน เซียวอวี้ที่เสด็จมายังตำหนักหย่งเหอนั้น เมื่อเห็นตำราทางการทหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ รวมไปถึงบรรดารายชื่อของนักเรียนที่เข้ามาร่วมชั้นสถาบันทหารหลังจากที่เขาหยิบขึ้นมาอ่านก่อนจะพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่งมีหลายชื่อที่เขาคุ้นหน้าคุ้นต
ตำหนักหย่งเหอ เหล่านางสนมมาน้อมคารวะ ต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ พวกนางมิรู้เลยว่าฮองเฮาพระองค์ใหม่จักเป็นมิตรหรือไม่ แต่ละคนคอยระมัดระวังอย่างมาก หนิงเฟยเอ่ยก่อน “ได้ยินมาว่าฮองเฮาจักไปเป็นอาจารย์สอนวิทยายุทธ หม่อมฉันคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือกระมังเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนยกชาขึ้นจิบอย่างเฉยเมย ทุกการเคลื่อนไหวแฝงไว้ด้วยอำนาจของผู้เหนือกว่า ทำให้ผู้คนยอมจำนน หลังจากดื่มชาแล้ว นางก็เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “หากพวกเจ้าหมดธุระแล้ว ก็กลับไปเสีย” เหล่านางสนมพลันลุกขึ้นยืน แสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียง “เพคะ ฮองเฮา” หนิงเฟยจ้องมองไปที่ใบหน้าของฮองเฮา ให้มองอย่างไร ก็หาได้แตกต่างจากฮองเฮาพระองค์ก่อนไม่ “หนิงเฟย บนใบหน้าของข้ามีลายบุปผาปักอยู่รึ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงเหลือบมอง หัวใจของหนิงเฟยก็สั่นสะท้านทันที หนิงเฟยตื่นตระหนกราวกับถูกจับได้ว่ากระทำสิ่งเลวร้ายอยู่ นางรีบลดศีรษะลงทันที “ไม่ ไม่มีเพคะ ฮองเฮา หม่อมฉันขอทูลลา” เรื่องที่ฮองเฮาจักไปเป็นอาจารย์นั้น นอกจากหนิงเฟยจะทราบแล้ว ไทเฮาก็ได้ยินมาด้วยเช่นกัน ณ ตำหนักฉือหนิง ก
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู
ณ ห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้กำลังอ่านรายงานการสู้รบชายแดนหลิวซื่อเหลียงก็เข้ามากราบทูลใกล้ ๆ “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ความเหนื่อยล้าของเซียวอวี้พลันมลายหาย ความเย็นชาดุดันคลายลง ปกคลุมด้วยความอ่อนโยนทีละน้อยทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาด้านใน หลิวซื่อเหลียงก็ถอยออกไปด้วยหูตาที่ว่องไวภายในห้องทรงพระอักษร เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาสองคนเท่านั้น จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็มิต้องหลบเลี่ยง“มาได้อย่างไร? ทานสำรับเที่ยงแล้วหรือ?” ระยะนี้เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับงานราชกิจ ที่จริงหลายวันแล้วมิได้ไปทานอาหารร่วมกับนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถาม“ฝ่าบาท สงครามทางด้านใต้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวอวี้จูงมือของนาง เข้าไปในห้องด้านในและนั่งลงบนตั่งตัวเล็กพร้อมกับนางเขาพูดไปเดินไป“เรารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้ กำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี“กองทัพชายแดนใต้มุ่งหน้าไปโจมตีตอบโต้เผ่าสุยเหอแล้ว ตอนนี้ข่าวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นข่าวดี“แนวหลังของเผ่าสุยเหอไม่มั่นคง จึงแทบมิได้สนใจหนานเจียง“คิดว่า ไม่นานก็สามารถถอนกำลังทหารกลับมาได้แล้ว“วิกฤตที่หนานเจียงคลี่คลายได้ไม่ยาก แ
ณ ห้องทรงพระอักษรแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาท คำพูดของหลิวเหยี่ยน ก็ดูน่าเชื่อถือ หากเป็นตามที่เขาพูด การโจมตีกลับทางแนวเหนือตรงเผ่าสุยเหอที่มีการป้องกันอ่อนแอ จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์คับขันในหนานเจียงได้ นี่เป็นยุทธวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้”สถานการณ์คับขันในหนานเจียงตอนนี้ ดินแดนส่วนใหญ่ถูกกองกำลังพันธมิตรของเผ่าสุยเหอยึดครอง กองทัพใหญ่หนานฉีของพวกเขาคิดจะช่วยเหลือหนานเจียง จักต้องอาศัยหนานเจียงเป็นสนามรบ บุกเข้าหนานเจียง และต่อสู้กับเผ่าสุยเหอทว่ายามนี้เผ่าสุยเหอควบคุมถนนน้อยใหญ่ในหนานเจียง ทำให้กองทัพหนานฉียากจะบุกเข้าไปได้ดังนั้น หากสามารถเลี่ยงไปทางหนานเจียง และบุกโจมตีเผ่าสุยเหอโดยตรง ก็นับว่าเป็นแผนการที่ดีเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ แววตาของเซียวอวี้ดูเคร่งขรึมแม้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหลิวเหยี่ยน“ไปเชิญฮองเฮามา” เขาเอ่ยสั่งการชั่วครู่ต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงนางฟังแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยจบ แววตาพลันเยือกเย็นและเคร่งขรึม“การสู้รบโดยใช้ทางเลี่ยง ก็อาจจะได้ผลจริง”เซียวอวี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าเชื่อสิ่งที่หลิวเหยี่ย
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ จวนรุ่ยอ๋องก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกเหรื่อภายในเรือนหอหร่วนฝูอวี้เป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเองขณะที่รุ่ยอ๋องเดินเข้ามา ก็เห็นนางกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ริมโต๊ะ ไม่มีความประหม่าเขินอายอย่างที่เจ้าสาวควรจะมีแม้แต่น้อยมิเพียงแต่นางที่กำลังกิน งู แมงป่อง ตะขาบของนาง...พวกมันก็กำลังกินด้วยเช่นกัน!บนพื้นก็ยังมีสาวใช้คนหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทาง คงจะตกใจจนหมดสติไปรุ่ยอ๋องรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ก้าวเข้ามาในเรือนหอนี้เขาพยายามควบคุมอารมณ์ และเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ“หร่วนฝูอวี้ ข้าแต่งกับเจ้า ก็เพื่อบุตรในท้องของเจ้า“ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด“เรือนนี้...นับตั้งแต่บัดนี้จะมอบให้กับเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้ากับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกในฐานะสามีภรรยา เจ้าก็อย่านำของพวกนี้เข้ามาในเรือนข้า!”พูดจบเขาก็เดินออกไปหร่วนฝูอวี้ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดตอนนี้ ก็คือหนานเจียงด้วยสถานะของพระชายารุ่ยอ๋อง พรุ่งนี้นางก็สามารถเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทได้ถึงเวลานั้น นางก็จะได้พบกับซูฮ่วนแล้วค่ำคืนล่วงไปจนฟ้าสางวันที่สองรุ่ยอ๋
เมื่อรู้ว่าถานไถเหยี่ยนต้องการเข้าพบตัวเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กล่าวเสียงเรียบนิ่ง“ส่งแม่ทัพอาวุโสหลี่ไปที่คุกหลวง”หากถานไถเหยี่ยนอยากช่วยหนานเจียง และแคว้นหนานฉีด้วยใจจริง เช่นนั้น เขาก็สามารถบอกกลยุทธ์ต้านศัตรูแก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางหว่านชิวเห็นด้วยตอนแรกนางกังวล ว่าพระนางจะไปพบหลิวเหยี่ยนด้วยตัวเอง เพราะเรื่องหนานเจียงดูจากตอนนี้ พระนางเหมือนจะรอบคอบกว่านางอีกอีกคนที่กังวลเหมือนหว่านชิว ก็คือเซียวอวี้หลังจากที่เขาได้ยินว่าหลิวเหยี่ยนขอเข้าพบ ก็รีบวางราชสารในมือ ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างรีบร้อนเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังนั่งอยู่ในตำหนัก เขาถึงได้ถอนหายใจโล่งอกอย่างสังเกตได้ยากจากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะทำความเคารพ เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบรัดไว้แน่น“ฮองเฮา รับปากเรา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ห้ามไปพบหลิวเหยี่ยนแบบส่วนตัวเด็ดขาด คนผู้นี้มีความคิดที่คาดเดาได้ยาก เรากลัวว่าเขาจะใช้มันมาหลอกล่อ ทำไม่ดีกับเจ้า”เขาเองก็ได้ยินเรื่องพิษมนุษย์โอสถอะไรนั่นมาเหมือนกันแต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หลิวเหยี่ยนไม่น่าเชื่อถือเขาคิดเอาเองว่า