ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึงตำหนักฉือหนิง องค์หญิงใหญ่ก็เข้าไปต้อนรับด้วยตนเอง “แม่ทัพ...” องค์หญิงใหญ่เกือบจะพลั้งปากเรียก พลันเปลี่ยนคำพูด “ฮองเฮา” เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบสนองอย่างเรียบเฉย และย่อกายคำนับให้ไทเฮาบนที่นั่งหลักก่อน แววตาที่เมตตาของไทเฮา ยังแข็งทื่ออยู่บ้าง “ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง” จากนั้นนางก็หาข้ออ้าง “ข้าเหนื่อยแล้ว กุ้ยหมัวมัว ช่วยประคองข้าไปพักผ่อนข้างในหน่อย” “เพคะ” ไทเฮาจากไปแล้ว เหลือเพียงองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ในตำหนักชั้นนอก เฟิ่งจิ่วเหยียนตระหนักได้ว่า มิใช่ไทเฮาที่มีธุระกับนาง หากแต่เป็นองค์หญิงใหญ่ ฝ่ายหลังเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่ “ฮองเฮาสบายดีหรือไม่?” เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะเบา ๆ “อืม” องค์หญิงใหญ่ไม่อ้อมค้อมอีก และเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนเองโดยตรง “เป็นข้าที่ขอให้เสด็จแม่เชิญท่านมาที่นี่ “หากสถาบันทางการทหารเปิดสอนแล้ว ข้าอยากเข้าเรียนด้วย จะได้หรือไม่?” เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบอย่างสงบเยือกเย็น “เรื่องนี้ องค์หญิงควรไปทูลปรึกษากับฝ่าบาท” องค์หญิงใหญ่พ่นลมหายใจผ่านจมูกอย่างเย็นชา “
เฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเซียวอวี้ พลันยกมือประคองใบหน้าของเขา และถามอย่างจริงจัง “ท่านอยากร้องไห้หรือเพคะ?” เซียวอวี้ : !! นางช่างไร้หัวใจ! ทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันโน้มตัวไปข้างหน้าและจุมพิตที่มุมปากของเขา สัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนหวาน เสมือนขนนกปลิวกระทบใบหน้า “ฝ่าบาท อนุญาตให้หม่อมฉันกอดท่านได้หรือไม่?” เซียวอวี้ผงกศีรษะตามสัญชาตญาณ หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ลุกขึ้น โน้มตัวลง แล้วเอื้อมมือไปช้อนใต้ข้อพับขาของเขา เป็นการ...อุ้มเขาขึ้นแนวนอนไว้ เขาผงะถอยกลับไปทันที ล้มกระแทกเก้าอี้ด้วยความตื่นตระหนก “ฮองเฮา! เจ้าคิดจะทำอันใด!” “อุ้มท่านไงเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะด้วยความฉงน พลางเอ่ยอย่างสงสัย “มิใช่ว่ายินยอมแล้วหรือ ยามนี้จะปฏิเสธหรือเพคะ” เซียวอวี้ : ! “มีผู้ใดอุ้มผู้ชายแบบเจ้ารึ?” นางเห็นเขาเป็นตัวอะไร ช่วยรักษาศักดิ์ศรีให้เขาบ้างเถิด! เฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายด้วยกิริยาผ่อนคลาย “ยามที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บในสนามรบ หม่อมฉันก็ช้อนอุ้มคนอื่นเช่นนี้” เซียวอวี้พูดไม่ออก และยิ่งทำอันใดไม่ถู
รุ่ยอ๋องมิรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเดินออกจากคุกมาได้อย่างไร จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก้าวเดินอย่างล่องลอย คล้ายกับสูญเสียจิตวิญญาณไป เสมือนเปลือกที่ห่อหุ้มความว่างเปล่าไว้ “ท่านอ๋อง...” หลิวหวานึกตำหนิตนเอง หากในคืนนั้นเขาปกป้องท่านอ๋องให้ดี ๆ ท่านอ๋องคงจะไม่ถูกนางแม่มดนั่นทำลาย! รุ่ยอ๋องสะบัดมือของหลิวหวาที่หมายจะช่วยประคองเขาออกไป “อย่าแตะต้องข้า” เสียงแหบต่ำ แสดงถึงสภาพจิตใจที่สิ้นหวังในขณะนี้ ณ ห้องทรงพระอักษร ครั้นเซียวอวี้ได้เห็นใบหน้าอมทุกข์ของรุ่ยอ๋อง คิ้วกระบี่พลันย่นเบา ๆ “เกิดอันใดขึ้น” รุ่ยอ๋องพลันคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “ตึง” “ฝ่าบาท หร่วนฝูอวี้นาง...” ผ่านไปนานเขายังไม่อาจพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้ มีเพียงชื่อของหร่วนฝูอวี้หลุดออกมา เซียวอวี้คาดเดา หรือว่าหร่วนฝูอวี้จะเป็นบุรุษ? มิเช่นนั้น เหตุใดรุ่ยอ๋องถึงหัวใจสลายขนาดนี้?…… ตำหนักหย่งเหอ “หร่วนฝูอวี้ตั้งครรภ์กับรุ่ยอ๋อง?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกคาดไม่ถึงจริง ๆ เซียวอวี้ที่ได้ทราบเรื่องมาก่อนแล้ว ยังรู้สึกตกใจไม่แพ้กัน ทว่าคิดดูอีกที หากหร่วน
ครั้นเริ่มชั้นเรียนของสถาบันทางการทหาร เป็นการให้ลูกศิษย์แนะนำตัวก่อน สำหรับแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนคุ้นเคยอยู่แล้ว ทว่าลูกศิษย์จากชนบทเหล่านั้น นางไม่รู้จักเลย ได้แต่ฟังพวกเขาลุกขึ้นมารายงานตัวทีละคน “ศิษย์เฉินเจิน เป็นชาวเซียงหนาน” “ผู้น้อยฮั่วเหริน ตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง การรับใช้ชาติและฆ่าศัตรูคือปณิธานของข้า!” “ศิษย์เสิ่นกั๋วอัน ชื่นชมชื่อเสียงของแม่ทัพน้อยเมิ่งมานานแล้ว! จึงประพันธ์กวีเพื่อแม่ทัพน้อยโดยเฉพาะ...”…… ครั้นถึงคราวของคนสุดท้าย ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน และมิได้เอ่ยมากความเยี่ยงคนอื่น กลับมีรัศมีของยอดขุนพลนักวางแผน เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ผู้น้อยหลิวเหยี่ยน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้น พลันเกิดความรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างอธิบายไม่ถูก นางตรวจสอบภูมิหลังครอบครัวของคนผู้นี้อีกครั้ง หากแต่ไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติ รูปร่างหน้าตาของหลิวเหยี่ยนดูดีมาก คนด้านข้างจึงเอ่ยหยอกล้อ “หากสหายหลิวไปสนามรบในสภาพเช่นนี้ เกรงว่าข้าศึกจะมองเป็นสาวงามคนหนึ่ง!” ผู้คนพลันหัวเราะกันอย่างครื้นเครง หลิวเหยี่ยน
ผู้คนอยู่กันเต็มห้อง ต่างก็มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน และแสดงความรู้สึกแท้จริงในใจ หร่วนฝูอวี้มองความครึกครื้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ รีบลากเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปในห้อง และปิดประตู “ท่านพี่ บรรดาพี่สาวน้องสาวอยากจะพบเจ้า เพื่อรำลึกความหลังกับเจ้ามานานแล้ว “ตอนนี้เจ้าเป็นฮองเฮา ทว่ายังติดค้างคำอธิบายต่อพวกเราพี่น้อง!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยเป็นคนแรก นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อ “ซูฮ่วน มิใช่สิ ฮองเฮา...ท่านรู้หรือไม่ ข้ายังไม่ได้แต่งงาน ก็เพราะท่าน! ไฉนท่าน ถึงกลายเป็นสตรีไปเสียได้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองหร่วนฝูอวี้อย่างอดที่จะขุ่นเคืองมิได้ ฝ่ายหลังแย้มยิ้มดุจบุปผากินคน นางคิดจะทำอันใดแน่? ก่อนหน้านี้สตรีเหล่านี้อยากจะเข้าใกล้ตนเอง หร่วนฝูอวี้จะพยายามกีดกันทุกวิถีทาง ยามนี้กลับพาทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบ เผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “หร่วนฝูอวี้ ลำบากเจ้ารวบรวมพวกนางทุกคนมาแล้ว” ทว่าคิดดูอีกที นางก็ติดค้างคำอธิบายต่อพวกนางทุกคนจริง ๆ “หากทำให้พวกเจ้าต้องเสียเวลา ข้าก็พร้อมจะรับผิดชอบ” เ
หร่วนฝูอวี้เป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น นางมิเคยโจมตีเซียวอวี้ ล้วนเป็นเพราะความรักที่มีต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน ถึงอย่างไรเฟิ่งจิ่วเหยียนชอบเขามากจริง ๆ คาดไม่ถึงว่า นางยอมถอยครั้งแล้วครั้งเล่า กลับแลกมาด้วยการไม่รู้จักพอของเซียวอวี้ คิดจะขับไล่นางออกจากหนานฉีอย่างนั้นรึ? เฮอะ! ฝันไปเถอะ! นางจะให้วังหลังของเขาไม่ได้สงบสุข! หร่วนฝูอวี้ตระหนักได้ดี ผู้ที่ชอบซูฮ่วนตั้งแต่แรก หากแต่งงานไปแล้วก็หมายความว่าปล่อยวางแล้ว เหลือแต่ผู้ที่มิอาจปล่อยวางได้นั้น จึงไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใคร สุดท้ายมีชีวิตอยู่กับผู้ใดก็ย่อมได้ นางจึงเอ่ยยุยง “ในวังหลวงนั้นสบายมากนัก! “นังพวกนั้น...เอ่อ สตรีในแต่ละตำหนักเหล่านั้น หรูหราฟุ่มเฟือย พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องการกินดื่มอีกต่อไป “ฮ่องเต้ฉีโปรดปรานเพียงฮองเฮาเท่านั้น พวกเจ้าเพียงครอบครองตำแหน่ง และเพิ่มความครึกครื้นให้วังหลังเป็นพอ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเจ้ากับฮองเฮาจักกลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ รอจนกระทั่งฮองเฮาให้กำเนิดบุตร พวกเจ้าก็ได้เป็นแม่บุญธรรมด้วย!” เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ก็ยังมีคนถูกชัก
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีว่าการดื่มมากเกินไปนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ ทว่า สุราในคืนนี้เป็นหร่วนฝูอวี้จงใจจัดเตรียมไว้ แรกเริ่มดื่มแล้วไม่ร้อนผ่าว เสมือนการดื่มน้ำ หลังจากสุราไม่กี่จอกไหลผ่านลำคอ ก็เมามายโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว นางเพียงอยากจะพักสายตาสักหน่อย ทว่าได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ในโสต แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใดบ้าง เพียะ! นางยกมือขึ้นหมายจะปัดไล่เสียงเหล่านั้นออกไป หารู้ไม่ว่า ฝ่ามือนี้ตบไปบนใบหน้าของเซียวอวี้พอดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการตบเบา ๆ ก็ยังทำให้คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่น โดยเฉพาะเหล่าองครักษ์ เหล่าสตรีที่อยู่รอบกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกลากออกไปหมดแล้ว เซียวอวี้ตั้งใจจะมาอุ้มนางกลับไป กลับถูกนางตบหน้าเสีย สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อมีหร่วนฝูอวี้ยังกำลังแต่งตั้ง “นางสนม” อยู่ตรงนั้น หว่างคิ้วของเขาก็มีแต่หมอกควันมืดครึ้ม “เฉินจี๋!” “พ่ะย่ะค่ะ!” “รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย จับไปขังให้หมด!” “พ่ะย่ะค่ะ!” จบคำสั่ง เซียวอวี้ก็หันกลับมาช้อนอุ้มเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ในอ้อมแขน และเดินออกไปจากห้องส่วนตัว ครั้นมาถึงนอกหอสุรา เขาก็
ตำหนักชั้นในของตำหนักจื้อเฉินช่างเงียบงัน นัยน์ตาของเซียวอวี้มืดมน ขณะจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อครู่นี้ นางยังเก็บสัมภาระ โดยบอกว่าจะไปสืบข่าวที่เป่ยเยี่ยนด้วยตนเอง ครั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็พลันล้มลง... ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่า นางยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะแววตาของนางแน่วแน่เกินไป จนเขาเข้าใจผิดว่านางมีสติแล้ว ยามที่ผู้อื่นเมามาย——แสดงอาการเมาตลอดเวลา ขว้างปาข้าวของ หรือระบายความในใจไม่หยุด ฮองเฮาของเขาเมามาย กลับยังใส่ใจในเรื่องกิจการของแว่นแคว้น เขาจะยังตำหนินางได้อย่างไร? ทว่า หากเขาบอกว่าไม่รังเกียจสหายสตรีที่แสนรู้ใจของนางเหล่านั้น ก็คงจะโกหก ท่าทีของเซียอวี้มืดมนและยากแท้หยั่งถึง ทันใดนั้น เขาพลันลุกขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง ไม่นาน ฉลองพระองค์ฮ่องเต้ปักลวดลายสัตว์มงคลกิเลนก็ถูกโยนออกจากหลังม่านเตียง และเสียงที่มีเสน่ห์ของบุรุษก็ดังขึ้นในม่าน “จิ่วเหยียน รีบตั้งครรภ์องค์ชายให้เราเถิด” …… เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกการทรมานของเซียวอวี้ปลุกให้ตื่นขึ้น ปากคอของนางแห้งผาก ครั้นเปิดตามอง
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู
ณ ห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้กำลังอ่านรายงานการสู้รบชายแดนหลิวซื่อเหลียงก็เข้ามากราบทูลใกล้ ๆ “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ความเหนื่อยล้าของเซียวอวี้พลันมลายหาย ความเย็นชาดุดันคลายลง ปกคลุมด้วยความอ่อนโยนทีละน้อยทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาด้านใน หลิวซื่อเหลียงก็ถอยออกไปด้วยหูตาที่ว่องไวภายในห้องทรงพระอักษร เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาสองคนเท่านั้น จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็มิต้องหลบเลี่ยง“มาได้อย่างไร? ทานสำรับเที่ยงแล้วหรือ?” ระยะนี้เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับงานราชกิจ ที่จริงหลายวันแล้วมิได้ไปทานอาหารร่วมกับนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถาม“ฝ่าบาท สงครามทางด้านใต้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวอวี้จูงมือของนาง เข้าไปในห้องด้านในและนั่งลงบนตั่งตัวเล็กพร้อมกับนางเขาพูดไปเดินไป“เรารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้ กำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี“กองทัพชายแดนใต้มุ่งหน้าไปโจมตีตอบโต้เผ่าสุยเหอแล้ว ตอนนี้ข่าวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นข่าวดี“แนวหลังของเผ่าสุยเหอไม่มั่นคง จึงแทบมิได้สนใจหนานเจียง“คิดว่า ไม่นานก็สามารถถอนกำลังทหารกลับมาได้แล้ว“วิกฤตที่หนานเจียงคลี่คลายได้ไม่ยาก แ
ณ ห้องทรงพระอักษรแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาท คำพูดของหลิวเหยี่ยน ก็ดูน่าเชื่อถือ หากเป็นตามที่เขาพูด การโจมตีกลับทางแนวเหนือตรงเผ่าสุยเหอที่มีการป้องกันอ่อนแอ จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์คับขันในหนานเจียงได้ นี่เป็นยุทธวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้”สถานการณ์คับขันในหนานเจียงตอนนี้ ดินแดนส่วนใหญ่ถูกกองกำลังพันธมิตรของเผ่าสุยเหอยึดครอง กองทัพใหญ่หนานฉีของพวกเขาคิดจะช่วยเหลือหนานเจียง จักต้องอาศัยหนานเจียงเป็นสนามรบ บุกเข้าหนานเจียง และต่อสู้กับเผ่าสุยเหอทว่ายามนี้เผ่าสุยเหอควบคุมถนนน้อยใหญ่ในหนานเจียง ทำให้กองทัพหนานฉียากจะบุกเข้าไปได้ดังนั้น หากสามารถเลี่ยงไปทางหนานเจียง และบุกโจมตีเผ่าสุยเหอโดยตรง ก็นับว่าเป็นแผนการที่ดีเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ แววตาของเซียวอวี้ดูเคร่งขรึมแม้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหลิวเหยี่ยน“ไปเชิญฮองเฮามา” เขาเอ่ยสั่งการชั่วครู่ต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงนางฟังแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยจบ แววตาพลันเยือกเย็นและเคร่งขรึม“การสู้รบโดยใช้ทางเลี่ยง ก็อาจจะได้ผลจริง”เซียวอวี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าเชื่อสิ่งที่หลิวเหยี่ย
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ จวนรุ่ยอ๋องก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกเหรื่อภายในเรือนหอหร่วนฝูอวี้เป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเองขณะที่รุ่ยอ๋องเดินเข้ามา ก็เห็นนางกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ริมโต๊ะ ไม่มีความประหม่าเขินอายอย่างที่เจ้าสาวควรจะมีแม้แต่น้อยมิเพียงแต่นางที่กำลังกิน งู แมงป่อง ตะขาบของนาง...พวกมันก็กำลังกินด้วยเช่นกัน!บนพื้นก็ยังมีสาวใช้คนหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทาง คงจะตกใจจนหมดสติไปรุ่ยอ๋องรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ก้าวเข้ามาในเรือนหอนี้เขาพยายามควบคุมอารมณ์ และเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ“หร่วนฝูอวี้ ข้าแต่งกับเจ้า ก็เพื่อบุตรในท้องของเจ้า“ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด“เรือนนี้...นับตั้งแต่บัดนี้จะมอบให้กับเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้ากับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกในฐานะสามีภรรยา เจ้าก็อย่านำของพวกนี้เข้ามาในเรือนข้า!”พูดจบเขาก็เดินออกไปหร่วนฝูอวี้ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดตอนนี้ ก็คือหนานเจียงด้วยสถานะของพระชายารุ่ยอ๋อง พรุ่งนี้นางก็สามารถเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทได้ถึงเวลานั้น นางก็จะได้พบกับซูฮ่วนแล้วค่ำคืนล่วงไปจนฟ้าสางวันที่สองรุ่ยอ๋
เมื่อรู้ว่าถานไถเหยี่ยนต้องการเข้าพบตัวเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กล่าวเสียงเรียบนิ่ง“ส่งแม่ทัพอาวุโสหลี่ไปที่คุกหลวง”หากถานไถเหยี่ยนอยากช่วยหนานเจียง และแคว้นหนานฉีด้วยใจจริง เช่นนั้น เขาก็สามารถบอกกลยุทธ์ต้านศัตรูแก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางหว่านชิวเห็นด้วยตอนแรกนางกังวล ว่าพระนางจะไปพบหลิวเหยี่ยนด้วยตัวเอง เพราะเรื่องหนานเจียงดูจากตอนนี้ พระนางเหมือนจะรอบคอบกว่านางอีกอีกคนที่กังวลเหมือนหว่านชิว ก็คือเซียวอวี้หลังจากที่เขาได้ยินว่าหลิวเหยี่ยนขอเข้าพบ ก็รีบวางราชสารในมือ ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างรีบร้อนเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังนั่งอยู่ในตำหนัก เขาถึงได้ถอนหายใจโล่งอกอย่างสังเกตได้ยากจากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะทำความเคารพ เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบรัดไว้แน่น“ฮองเฮา รับปากเรา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ห้ามไปพบหลิวเหยี่ยนแบบส่วนตัวเด็ดขาด คนผู้นี้มีความคิดที่คาดเดาได้ยาก เรากลัวว่าเขาจะใช้มันมาหลอกล่อ ทำไม่ดีกับเจ้า”เขาเองก็ได้ยินเรื่องพิษมนุษย์โอสถอะไรนั่นมาเหมือนกันแต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หลิวเหยี่ยนไม่น่าเชื่อถือเขาคิดเอาเองว่า