เฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเซียวอวี้ พลันยกมือประคองใบหน้าของเขา และถามอย่างจริงจัง “ท่านอยากร้องไห้หรือเพคะ?” เซียวอวี้ : !! นางช่างไร้หัวใจ! ทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันโน้มตัวไปข้างหน้าและจุมพิตที่มุมปากของเขา สัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนหวาน เสมือนขนนกปลิวกระทบใบหน้า “ฝ่าบาท อนุญาตให้หม่อมฉันกอดท่านได้หรือไม่?” เซียวอวี้ผงกศีรษะตามสัญชาตญาณ หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ลุกขึ้น โน้มตัวลง แล้วเอื้อมมือไปช้อนใต้ข้อพับขาของเขา เป็นการ...อุ้มเขาขึ้นแนวนอนไว้ เขาผงะถอยกลับไปทันที ล้มกระแทกเก้าอี้ด้วยความตื่นตระหนก “ฮองเฮา! เจ้าคิดจะทำอันใด!” “อุ้มท่านไงเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะด้วยความฉงน พลางเอ่ยอย่างสงสัย “มิใช่ว่ายินยอมแล้วหรือ ยามนี้จะปฏิเสธหรือเพคะ” เซียวอวี้ : ! “มีผู้ใดอุ้มผู้ชายแบบเจ้ารึ?” นางเห็นเขาเป็นตัวอะไร ช่วยรักษาศักดิ์ศรีให้เขาบ้างเถิด! เฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายด้วยกิริยาผ่อนคลาย “ยามที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บในสนามรบ หม่อมฉันก็ช้อนอุ้มคนอื่นเช่นนี้” เซียวอวี้พูดไม่ออก และยิ่งทำอันใดไม่ถู
รุ่ยอ๋องมิรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเดินออกจากคุกมาได้อย่างไร จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก้าวเดินอย่างล่องลอย คล้ายกับสูญเสียจิตวิญญาณไป เสมือนเปลือกที่ห่อหุ้มความว่างเปล่าไว้ “ท่านอ๋อง...” หลิวหวานึกตำหนิตนเอง หากในคืนนั้นเขาปกป้องท่านอ๋องให้ดี ๆ ท่านอ๋องคงจะไม่ถูกนางแม่มดนั่นทำลาย! รุ่ยอ๋องสะบัดมือของหลิวหวาที่หมายจะช่วยประคองเขาออกไป “อย่าแตะต้องข้า” เสียงแหบต่ำ แสดงถึงสภาพจิตใจที่สิ้นหวังในขณะนี้ ณ ห้องทรงพระอักษร ครั้นเซียวอวี้ได้เห็นใบหน้าอมทุกข์ของรุ่ยอ๋อง คิ้วกระบี่พลันย่นเบา ๆ “เกิดอันใดขึ้น” รุ่ยอ๋องพลันคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “ตึง” “ฝ่าบาท หร่วนฝูอวี้นาง...” ผ่านไปนานเขายังไม่อาจพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้ มีเพียงชื่อของหร่วนฝูอวี้หลุดออกมา เซียวอวี้คาดเดา หรือว่าหร่วนฝูอวี้จะเป็นบุรุษ? มิเช่นนั้น เหตุใดรุ่ยอ๋องถึงหัวใจสลายขนาดนี้?…… ตำหนักหย่งเหอ “หร่วนฝูอวี้ตั้งครรภ์กับรุ่ยอ๋อง?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกคาดไม่ถึงจริง ๆ เซียวอวี้ที่ได้ทราบเรื่องมาก่อนแล้ว ยังรู้สึกตกใจไม่แพ้กัน ทว่าคิดดูอีกที หากหร่วน
ครั้นเริ่มชั้นเรียนของสถาบันทางการทหาร เป็นการให้ลูกศิษย์แนะนำตัวก่อน สำหรับแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนคุ้นเคยอยู่แล้ว ทว่าลูกศิษย์จากชนบทเหล่านั้น นางไม่รู้จักเลย ได้แต่ฟังพวกเขาลุกขึ้นมารายงานตัวทีละคน “ศิษย์เฉินเจิน เป็นชาวเซียงหนาน” “ผู้น้อยฮั่วเหริน ตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง การรับใช้ชาติและฆ่าศัตรูคือปณิธานของข้า!” “ศิษย์เสิ่นกั๋วอัน ชื่นชมชื่อเสียงของแม่ทัพน้อยเมิ่งมานานแล้ว! จึงประพันธ์กวีเพื่อแม่ทัพน้อยโดยเฉพาะ...”…… ครั้นถึงคราวของคนสุดท้าย ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน และมิได้เอ่ยมากความเยี่ยงคนอื่น กลับมีรัศมีของยอดขุนพลนักวางแผน เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ผู้น้อยหลิวเหยี่ยน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้น พลันเกิดความรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างอธิบายไม่ถูก นางตรวจสอบภูมิหลังครอบครัวของคนผู้นี้อีกครั้ง หากแต่ไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติ รูปร่างหน้าตาของหลิวเหยี่ยนดูดีมาก คนด้านข้างจึงเอ่ยหยอกล้อ “หากสหายหลิวไปสนามรบในสภาพเช่นนี้ เกรงว่าข้าศึกจะมองเป็นสาวงามคนหนึ่ง!” ผู้คนพลันหัวเราะกันอย่างครื้นเครง หลิวเหยี่ยน
ผู้คนอยู่กันเต็มห้อง ต่างก็มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน และแสดงความรู้สึกแท้จริงในใจ หร่วนฝูอวี้มองความครึกครื้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ รีบลากเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปในห้อง และปิดประตู “ท่านพี่ บรรดาพี่สาวน้องสาวอยากจะพบเจ้า เพื่อรำลึกความหลังกับเจ้ามานานแล้ว “ตอนนี้เจ้าเป็นฮองเฮา ทว่ายังติดค้างคำอธิบายต่อพวกเราพี่น้อง!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยเป็นคนแรก นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อ “ซูฮ่วน มิใช่สิ ฮองเฮา...ท่านรู้หรือไม่ ข้ายังไม่ได้แต่งงาน ก็เพราะท่าน! ไฉนท่าน ถึงกลายเป็นสตรีไปเสียได้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองหร่วนฝูอวี้อย่างอดที่จะขุ่นเคืองมิได้ ฝ่ายหลังแย้มยิ้มดุจบุปผากินคน นางคิดจะทำอันใดแน่? ก่อนหน้านี้สตรีเหล่านี้อยากจะเข้าใกล้ตนเอง หร่วนฝูอวี้จะพยายามกีดกันทุกวิถีทาง ยามนี้กลับพาทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบ เผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “หร่วนฝูอวี้ ลำบากเจ้ารวบรวมพวกนางทุกคนมาแล้ว” ทว่าคิดดูอีกที นางก็ติดค้างคำอธิบายต่อพวกนางทุกคนจริง ๆ “หากทำให้พวกเจ้าต้องเสียเวลา ข้าก็พร้อมจะรับผิดชอบ” เ
หร่วนฝูอวี้เป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น นางมิเคยโจมตีเซียวอวี้ ล้วนเป็นเพราะความรักที่มีต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน ถึงอย่างไรเฟิ่งจิ่วเหยียนชอบเขามากจริง ๆ คาดไม่ถึงว่า นางยอมถอยครั้งแล้วครั้งเล่า กลับแลกมาด้วยการไม่รู้จักพอของเซียวอวี้ คิดจะขับไล่นางออกจากหนานฉีอย่างนั้นรึ? เฮอะ! ฝันไปเถอะ! นางจะให้วังหลังของเขาไม่ได้สงบสุข! หร่วนฝูอวี้ตระหนักได้ดี ผู้ที่ชอบซูฮ่วนตั้งแต่แรก หากแต่งงานไปแล้วก็หมายความว่าปล่อยวางแล้ว เหลือแต่ผู้ที่มิอาจปล่อยวางได้นั้น จึงไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใคร สุดท้ายมีชีวิตอยู่กับผู้ใดก็ย่อมได้ นางจึงเอ่ยยุยง “ในวังหลวงนั้นสบายมากนัก! “นังพวกนั้น...เอ่อ สตรีในแต่ละตำหนักเหล่านั้น หรูหราฟุ่มเฟือย พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องการกินดื่มอีกต่อไป “ฮ่องเต้ฉีโปรดปรานเพียงฮองเฮาเท่านั้น พวกเจ้าเพียงครอบครองตำแหน่ง และเพิ่มความครึกครื้นให้วังหลังเป็นพอ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเจ้ากับฮองเฮาจักกลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ รอจนกระทั่งฮองเฮาให้กำเนิดบุตร พวกเจ้าก็ได้เป็นแม่บุญธรรมด้วย!” เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ก็ยังมีคนถูกชัก
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีว่าการดื่มมากเกินไปนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ ทว่า สุราในคืนนี้เป็นหร่วนฝูอวี้จงใจจัดเตรียมไว้ แรกเริ่มดื่มแล้วไม่ร้อนผ่าว เสมือนการดื่มน้ำ หลังจากสุราไม่กี่จอกไหลผ่านลำคอ ก็เมามายโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว นางเพียงอยากจะพักสายตาสักหน่อย ทว่าได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ในโสต แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใดบ้าง เพียะ! นางยกมือขึ้นหมายจะปัดไล่เสียงเหล่านั้นออกไป หารู้ไม่ว่า ฝ่ามือนี้ตบไปบนใบหน้าของเซียวอวี้พอดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการตบเบา ๆ ก็ยังทำให้คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่น โดยเฉพาะเหล่าองครักษ์ เหล่าสตรีที่อยู่รอบกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกลากออกไปหมดแล้ว เซียวอวี้ตั้งใจจะมาอุ้มนางกลับไป กลับถูกนางตบหน้าเสีย สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อมีหร่วนฝูอวี้ยังกำลังแต่งตั้ง “นางสนม” อยู่ตรงนั้น หว่างคิ้วของเขาก็มีแต่หมอกควันมืดครึ้ม “เฉินจี๋!” “พ่ะย่ะค่ะ!” “รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย จับไปขังให้หมด!” “พ่ะย่ะค่ะ!” จบคำสั่ง เซียวอวี้ก็หันกลับมาช้อนอุ้มเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ในอ้อมแขน และเดินออกไปจากห้องส่วนตัว ครั้นมาถึงนอกหอสุรา เขาก็
ตำหนักชั้นในของตำหนักจื้อเฉินช่างเงียบงัน นัยน์ตาของเซียวอวี้มืดมน ขณะจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อครู่นี้ นางยังเก็บสัมภาระ โดยบอกว่าจะไปสืบข่าวที่เป่ยเยี่ยนด้วยตนเอง ครั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็พลันล้มลง... ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่า นางยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะแววตาของนางแน่วแน่เกินไป จนเขาเข้าใจผิดว่านางมีสติแล้ว ยามที่ผู้อื่นเมามาย——แสดงอาการเมาตลอดเวลา ขว้างปาข้าวของ หรือระบายความในใจไม่หยุด ฮองเฮาของเขาเมามาย กลับยังใส่ใจในเรื่องกิจการของแว่นแคว้น เขาจะยังตำหนินางได้อย่างไร? ทว่า หากเขาบอกว่าไม่รังเกียจสหายสตรีที่แสนรู้ใจของนางเหล่านั้น ก็คงจะโกหก ท่าทีของเซียอวี้มืดมนและยากแท้หยั่งถึง ทันใดนั้น เขาพลันลุกขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง ไม่นาน ฉลองพระองค์ฮ่องเต้ปักลวดลายสัตว์มงคลกิเลนก็ถูกโยนออกจากหลังม่านเตียง และเสียงที่มีเสน่ห์ของบุรุษก็ดังขึ้นในม่าน “จิ่วเหยียน รีบตั้งครรภ์องค์ชายให้เราเถิด” …… เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกการทรมานของเซียวอวี้ปลุกให้ตื่นขึ้น ปากคอของนางแห้งผาก ครั้นเปิดตามอง
ก่อนงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้ฮองเฮา หนิงเฟยเป็นผู้ควบคุมดูแลวังหลัง ขณะนี้มีฮองเฮาอยู่ในวังหลัง ทว่า ฮองเฮาต้องดูแลกิจการทั้งหมดของสถาบันทางการทหาร หนิงเฟยจึงยังได้ครองอำนาจของการจัดการวังหลังทั้งหกตำหนัก ไม่ง่ายเลยที่ฝ่าบาทจะเรียกให้นางเข้าเฝ้า หลังจากที่ไทเฮาทราบเรื่อง ก็เรียกนางมาสอบถามทันที ตำหนักฉือหนิง หนิงเฟยหน้านิ่วคิ้วขมวด ไทเฮายิ่งทวีความกังวล “สรุปว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแน่?” หนิงเฟยเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ข้าจัดงานเลี้ยงบทกวี เพื่อชายหญิงที่ยังมิได้ออกเรือนเหล่านั้น...ท่านป้า! มิใช่ให้ข้าเป็นแม่สื่อหรือไร!” ถึงอย่างไรนางเป็นถึงพระสนมของราชวงศ์ จักไปทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! ไม่รู้จริง ๆ ว่าฝ่าบาทดำริอันใดอยู่! ไทเฮาโต้แย้งทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? แม่สื่อฟังดูไม่ดีนัก ต้องเรียกผู้เฒ่าจันทรา” หนิงเฟย : ผู้เฒ่าจันทรา? ฟังดูก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม! สรุปแล้ว นางไม่อยากจัดงานเลี้ยงบทกวี ณ ตำหนักจื้อเฉิน เมื่อเซียวอวี้กลับมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ลุกออกจากเตียงแล้ว กำ
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ
หลังจากท่านผู้เฒ่าหลินรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน เดิมทีก็คิดจะสานสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนางทว่านางกลับบอกว่า มิใช่เครือญาติแท้ ๆ หรือ?ใครมิใช่เครือญาติแท้ ๆ กันเล่า?เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “บุตรสาวคนที่สองของตระกูลหลิว เมื่อคลอดออกมาก็มอบให้พวกเจ้าดูแลใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าหลินสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและงุนงง นึกไม่ถึงว่า สิ่งที่นางต้องการจะถาม กลับเป็นเรื่องราวในตอนนั้น...เขาก้มศีรษะลง กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเห็นสีหน้าของตน“พ่ะย่ะค่ะ! ตอนนั้น น้องสาวของข้าน้อยคลอดบุตรสาวคนเล็ก ก็มอบให้พวกเราดูแลเลย“ฮองเฮา เรื่องนี้ยังจะมีอะไรให้น่าพูดถึงอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงถือเครื่องมือทรมานนั้นอยู่ในมือ สายตาดูเยือกเย็นไร้ความปรานี“เจ้ายืนยันได้หรือไม่ว่า เด็กที่มอบให้กับมือพวกเจ้าในตอนนั้น เพิ่งจะคลอดมาได้ไม่นาน?”ท่านผู้เฒ่าหลินตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! เด็กคนนั้นคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน ก็ถูกพวกเรานำมาดูแลแล้ว...”“โกหก” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าหลิน “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น ตอนที่มาถึงมือพวกเจ้า น่าจ
ภายในคุกที่ว่าการท่านผู้เฒ่าหลินในวัยชรา ยืนพิงอยู่มุมกำแพงด้วยอาการตัวสั่นเทาเขามองไปยังเจ้าหน้าที่เหล่านั้นโดยฝืนทำเป็นสงบนิ่ง“พวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับข้า ข้าไม่มีความผิด...”เอ่ยยังมิทันจบ เจ้าหน้าที่ก็ถอยแยกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดช่องทางตรงกลางหลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เข้ามาจากด้านนอก เส้นผมนางถูกรวบยกสูง ดวงตาทั้งคู่ดูองอาจน่ายำเกรง“ทุกคนออกไปก่อน”ตามคำสั่งของนาง บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ออกไปอย่างรู้งาน อู๋ไป๋ปิดประตูห้องขัง และคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องขังภายในห้องขังท่านผู้เฒ่าหลินมิรู้จักเฟิ่งจิ่วเหยียน ในตอนแรกคิดว่านางเป็นขุนนาง ทว่าพอได้ยินเสียงนางเป็นสตรี ก็มิแน่ใจแล้วว่านางเป็นใคร“เจ้าเป็นใคร?” ท่านผู้เฒ่าหลินมองนางตาไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีอ่อนข้อสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเยือกเย็นและหมางเมิน ราวกับดวงดาวระยิบในค่ำคืนเหน็บหนาว ทำเอาผู้คนสั่นสะท้านนางมองท่านผู้เฒ่าหลิน พลางแสร้งทำเป็นหยิบเครื่องมือทรมานที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าหลินตกใจกลัวจนลำคอแห้งผาก ดวงตาเบิกกว้าง ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว“ข้า ข้ามิเคยทำเรื่องช
ไม่นานรุ่ยอ๋องก็จัดหาหญิงสาวให้กับหร่วนฝูอวี้ได้แล้ว เป็นสาวใช้ภายในจวนเขายืนอยู่นอกห้อง ยืนอยู่นานก็มิยอมไปหนึ่งชั่วยามต่อมา ด้านในก็เรียกขอน้ำสาวใช้ผลักประตูเดินออกมารุ่ยอ๋องรีบหันไปมองนาง เห็นเพียงนางถืออ่างเลือดออกมา“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยท่าทีใส่ใจการถอนพิษกู่เสน่ห์ มิใช่แค่ต้องมีสัมพันธ์กับใครสักคนเท่านั้นหรือ?เหตุใดจึงมีเลือดออกมามากมายเพียงนี้?สาวใช้ตอบด้วยอาการตัวสั่นเทา“พระชายาเลือดออกมาก บ่าวคอยช่วยพระชายาเปลี่ยนอาภรณ์ และชำระร่างกายเจ้าค่ะ”สีหน้าของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อยดูแล้วสาวใช้ผู้นี้ ไม่เหมือน...“แค่ช่วยพระชายาชำระร่างกาย?” เขาถามด้วยความไม่แน่ใจสาวใช้พยักหน้าซ้ำ ๆ“เจ้าค่ะ”รุ่ยอ๋องรู้สึกงุนงง มิรู้ว่าหร่วนฝูอวี้ทำสิ่งใดลงไปหรือว่า เขาเข้าใจเจตนาของนางผิดไป นางขอให้เขาหาหญิงสาวให้นาง มิใช่เพื่อจะถอนพิษกู่เสน่ห์หรอกหรือ?ในระหว่างที่ครุ่นคิด เขาก็พุ่งตรงเข้าไปในห้องทันทีทว่าเห็นหร่วนฝูอวี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หร่วนฝูอวี้พลันลืมตาขึ้นนางจ้องมองไปทางรุ่ยอ๋อง ดว
ฉึก---ตามเข็มที่หร่วนฝูอวี้แทงลงไป กู่เสน่ห์ในร่างกายของรุ่ยอ๋องก็แตกระเบิด แปรเปลี่ยนเป็นกองเลือดในเวลานี้ รุ่ยอ๋องรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโจมตีเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายราวกับปล่อยวางของหนักกู่เสน่ห์ หายไปแล้วเขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ มิคาดคิดว่า กู่เสน่ห์ที่ทรมานเขามาหลายเดือนนั้น จะกำจัดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...ในชั่วขณะนั้น หร่วนฝูอวี้ในสภาพราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งตัวคนกลับเอนมาทางด้านหน้า และล้มลงในอ้อมอกเขารุ่ยอ๋องรีบประคองนางไว้ทันที โดยมิรู้สาเหตุ“เจ้าเป็นอะไร?”เมื่อครู่นางก็ยังดี ๆ อยู่มิใช่หรือ?เมื่อก้มลงมอง สีหน้านางซีดขาวไร้เลือดฝาด ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดรุ่ยอ๋องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นผลที่ย้อนกลับมาทำร้ายของกู่เสน่ห์!หากต้องการจะฝังกู่เสน่ห์ให้กับคนอื่น ตนเองก็ต้องฝังกู่เสน่ห์ตัวแม่ไว้ด้วยเช่นกันตอนนี้กู่เสน่ห์ตัวลูกในร่างกายของเขาตายไปแล้ว หร่วนฝูอวี้ย่อมต้องทรมานเป็นธรรมดาทว่าเขามิมีความรู้ด้านนี้มากนัก มิรู้ว่าอาการของนางร้ายแรงเพียงใด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่รุ่ยอ๋องจึงตัดสินใจเด็ดข
หลิวอิ๋งต้องการอาศัยสถานะราชทูต เพื่อเข้าวังไปพบฮ่องเต้ทว่า ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จออกไปภายนอก ยังมิได้เสด็จกลับวัง ข้าหลวงจึงเพียงรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปตามลำดับขั้นภายในวังเมื่อฮองเฮาไม่อยู่ หน้าที่ในวังหลังจึงอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหนิงเฟยนางได้ยินว่าด้านนอกประตูวังมีราชทูตมาจากแคว้นซีหนี่ว์ ต้องการจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พลันรู้สึกราวกับว่าเผชิญศัตรูตัวฉกาจถึงอย่างไร นางก็แค่รับผิดชอบแต่ในวังหลัง นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญของบ้านเมือง นางมิเคยจัดการมาก่อนเช่นกัน“รีบไปเชิญรุ่ยอ๋องมาเดี๋ยวนี้!”หายากที่นางจะมีช่วงเวลาที่สงบสุขไม่กี่วัน จู่ ๆ ก็มีราชทูตมาเยือน คงมิใช่ต้องการให้นางจัดงานเลี้ยงในวัง และต้อนรับราชทูตอีกแล้วกระมัง!เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หนิงเฟยรู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายนางเริ่มจะคิดถึงฮองเฮาขึ้นมาแล้วเหตุการณ์ในวังแห่งนี้ ช่างเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า จนรู้สึกสับสนวุ่นวายรุ่ยอ๋องก็มิเคยได้ยินมาก่อนว่า ราชทูตจากแคว้นซีหนี่ว์จะเดินทางมาเยือนเขาพบกับหลิวอิ๋งเป็นการส่วนตัวสิ่งที่นางพูด เป็นคำพูดเพียงฝ่ายเดียวถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าก็ควรเชื่อแม้จะยังยื
เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้กลับไปยังเมืองหลวงในทันทีไม่ นางต้องการจะสืบเรื่องของซู่ยวนให้กระจ่างเซียวอวี้ยังมีราชกิจที่ต้องสะสาง สองคนจึงแยกทางกันณ เมืองหลวงหลิวอิ๋งแม่ลูกมาถึงในฐานะราชทูต คณะก็เข้าพักในโรงพักแรม ทว่ามิคาดคิดว่า วันต่อมาก็เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งจีวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกน“ท่านแม่! ท่านแม่! เหตุใดคนอื่น ๆ ถึงหายไปแล้วเจ้าคะ?”สีหน้าหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความประหลาดใจคณะราชทูตที่มาพร้อมกับพวกนาง ยังมีขุนนางอีกหลายคนคนเหล่านั้นจะหายไปได้อย่างไร?หลิวอิ๋งวิ่งไปยังห้องที่พวกเขาพักอยู่ ตรวจดูแต่ละห้อง ทว่าว่างเปล่าไร้เงาคนนี่ช่างน่าแปลกยิ่งนัก!สีหน้าเจิ้งจีดูกังวลใจ“ท่านแม่ พวกเขาคงมิได้ถูกมองว่าเป็นสายลับ และถูกจับตัวไปแล้ว?”หลิวอิ๋งสงบสติ เอ่ยพึมพำ“เป็นไปมิได้”แคว้นซีหนี่ว์กับหนานฉีเป็นพันธมิตรกัน หนานฉีคงมิทำให้พวกนางต้องขุ่นเคืองใจหลิวอิ๋งจึงตัดสินใจในทันที “ไปแจ้งทางการ!”ณ ที่ว่าการเจ้าหน้าที่ศาลพาสองแม่ลูกมายังห้องโถงรองซึ่งแตกต่างจากห้องโถงหลักที่ใช้สอบสวนคดี ห้องโถงรองเป็นสถานที่ที่ขุนนางจัดการงานราชการ และรับรองสหาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบนายหญิงเฟิ่งด้วยท่าทีระวังคำพูด“หลิวอิ๋งต่างหากที่เป็นหลิวหนิงบุตรสาวคนโตเริ่มแรกของตระกูลหลิว “ทว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า มิได้มั่นใจเต็มร้อย”นางยึดถือตามความเชื่อเรื่องการกดดวงชะตา จึงได้คาดเดาทว่าประมุขแคว้นซีหนี่ว์กลับเชื่ออย่างสนิทใจหากเป็นเช่นนั้น ข้อสงสัยเกี่ยวกับอายุ ก็คลี่คลายได้มิยากแล้วนางมองไปที่นายหญิงเฟิ่ง สายตาแสดงออกถึงความอ่อนโยน“เจ้าถึงจะเป็นน้องสาวของเรา ตระกูลหลิวให้เจ้าเป็นตัวตายตัวแทน ให้เจ้าแทนที่ตัวตนของหลิวหนิง“ปิ่นปักผมที่หักนั้น ก็เป็นของเจ้า มันเป็นหลักฐานที่ทำให้พวกเราพี่น้องได้รู้ถึงสายสัมพันธ์”นายหญิงเฟิ่งสีหน้าดูสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรจริง และอะไรเท็จขึ้นมาชั่วขณะเฟิ่งจิ่วเหยียนเสนอแนะ“รอหม่อมฉันกลับไปที่หนานฉี จะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป”ประมุขแคว้นกังวลพระทัยว่านางจักพานายหญิงเฟิ่งกลับไปด้วย สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางมารดา “สิ่งที่ข้ารู้ ก็บอกให้ท่านรู้แล้วทั้งหมด ตอนนี้ ถึงเวลาที่ท่านต้องตัดสินใจแล้ว ท่านจะกลับไปหนานฉีกับข้า หรือจะอยู่ต่อ?”นายหญิงเฟิ่งตกอยู่ในภาวะก
นายหญิงเฟิ่งคิดอย่างไรก็ยังมิเข้าใจว่า ตนเองกลายเป็นน้องสาวของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไรเห็นกันอยู่ว่านางเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่านพ่อท่านแม่ เรื่องนี้ เพื่อนบ้านและญาติมิตรที่บ้านเกิด ล้วนเป็นพยานได้พวกเขาต่างเห็นตอนนางคลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะตรงหน้ามารดา“หากดูจากภาพเหมือนแล้ว ท่านไม่เหมือนบุตรแท้ ๆ ของพวกเขาเลย”นายหญิงเฟิ่งคิ้วขมวดแน่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ มิอาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้หากนางมิใช่บุตรแท้ ๆ เหตุใดถึงถูกท่านพ่อท่านแม่รับมาเลี้ยงยังมี ปิ่นปักผมที่หักอันนั้น ก็มิใช่ของอาอิ๋งหรอกหรือ?นางรู้สึกสับสนในใจยิ่งนักในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองไปยังประมุขแคว้นซีหนี่ว์ พลางเอ่ยอย่างช้า ๆ “ข้าสืบพบว่า ตอนนั้นสามีภรรยาตระกูลหลิวให้กำเนิดบุตรสาวคนโต พร้อมกับตั้งชื่อว่าหลิวหนิง“หลิวหนิงตั้งแต่เกิด ร่างกายก็มิค่อยแข็งแรง มักจะร้องไห้งอแงในตอนกลางคืน“คนในหมู่บ้านต่างพูดว่า นางถูกวิญญาณชั่วร้ายตามรังควาน ในไม่ช้าก็จะถูกวิญญาณอาฆาตมาเอาชีวิต”นายหญิงเฟิ่งได้ยินเช่นนี้ จึงพยักหน้าเล็กน้อย“มีเรื่องเช่นนั้นจริง ท่านพ่อท่านแ