เกี้ยวมงคลถูกหามตรงไปยังโรงพักแรมหลวง หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่งกลับเงียบเหงาไร้ผู้คนนายท่านเฟิ่งมิอาจทนเรื่องกระทบใจเช่นนี้ได้ จึงระบายความขุ่นเคืองมาที่ตัวอี๋เหนียงหลิน“เจ้าพูดมิใช่หรือว่าจะมิพลาดเด็ดขาด! หือ? ข้าบอกว่าข้าจะไปรับด้วยตนเอง เจ้าก็มิยอมให้ข้าไป พูดว่ามีบิดาที่ไหนกันทำตัวด้อยค่าเช่นนั้น เจ้า...ข้ามิควรเชื่อคำบ้าบอของเจ้า!”อี๋เหนียงหลินก็นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนจะใจร้ายถึงเพียงนี้ พูดว่าแต่งออกจากเรือนตระกูลเมิ่ง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิ่งโดยสิ้นเชิงนางกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม“นายท่าน เรื่องนี้จะตำหนิข้ามิได้”“เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน นางมิเห็นท่านอยู่ในสายตา“ใจของนางเอนเอียงไปทางตระกูลเมิ่งแต่แรกแล้ว ในฐานะบุตรสาว เหตุใดจึงทำให้บิดาเสียหน้าได้เช่นนี้เล่า?”“เจ้ายังกล้าพูดอีก!” นายท่านเฟิ่งถลึงตามองอย่างโกรธเคืองเขาสั่งพ่อบ้านในทันที “เตรียมรถม้า ข้าจะไปโรงพักแรมด้วยตนเอง!”หลังจากนายท่านเฟิ่งออกไป อี๋เหนียงหลินก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วร่ำไห้เฟิ่งหมิงเซวียนมิเข้าใจจริง ๆ ว่า เหตุใดบิดายืนกรานจักต้องให้เฟิ่งจิ่วเหยียนแต่งอ
ประตูกลางเปิดออก เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมเครื่องแบบฮองเฮา มงกุฎหงส์งดงามเลอค่า ทว่าก็มิอาจข่มบุคลิกของตัวนางได้และเพื่อสะดวกต่อการประกอบพิธีการ จึงเปลี่ยนจากผ้าคลุมหน้ามาเป็นม่านปิดหน้าแทนม่านมุกและพู่ห้อยกวัดแกว่งไปตามการเดิน ใบหน้าที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเพียงราง ๆเหล่าขุนนางมองมาที่นาง พลันโน้มศีรษะแสดงความเคารพในทันใดบุคคลผู้นี้มิเพียงเป็นฮองเฮา ยังเป็นแม่ทัพน้อยที่คอยปกป้องชายแดนเหนือมานานแรมปีด้วยเซียวอวี้กำลังจะก้าวไปข้างหน้าโดยมิรู้ตัว หลิวซื่อเหลียงจึงรีบเอ่ยเตือนเบา ๆ“ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาว ด้านหลังคือองครักษ์ติดตาม และสินเดิมที่ติดตัวมา นับว่าเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา จะมีเหตุการณ์สำคัญอยู่สามเหตุการณ์ นั่นคือ พิธีรับการแต่งตั้ง ฮ่องเต้และฮองเฮาบูชาสวรรค์ และสุดท้ายถึงจะเป็นพิธีการของสามีภรรยาดังนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหยุดอยู่หน้าบันไดเก้ามังกร เพื่อรอรับการแต่งตั้งก่อนขุนนางที่ดำเนินพิธีการแต่งตั้งยืนอยู่หน้าขั้นบันได กางพระราชกฤษฎีกาออก พร้อมกับอ่าน“ในฐานะฮ่องเต้ จำต้องแต่งตั้งฮองเฮา เพื่
“แม่ทัพน้อย สารด่วนที่สุด! คุณหนูใหญ่ได้รับความอัปยศจนปลิดชีพตัวเอง นายหญิงต้องการให้ท่านกลับโดยเร็วที่สุด เพื่ออภิเษกสมรสแทนคุณหนูใหญ่!”ชายแดนแคว้นหนานฉี เกือกม้าย่ำผ่านลำธารที่เพิ่งละลาย หยดน้ำกระเซ็นซ่านเฟิ่งจิ่วเหยียนควบม้านำอยู่หน้าสุด นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายแขนสอบสีดำ ใช้ปิ่นไม้อันเดียวรวบผมดำขลับ เส้นผมและชายชุดสะบัดพลิ้ว ในความองอาจเหนือคนนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์อันคุกรุ่นนางกับเฟิ่งเวยเฉียงน้องสาวเป็นฝาแฝดกัน แต่เนื่องจากการมีฝาแฝดไม่เป็นมงคล นางจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เล็กเวยเฉียงมีนิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เคยผูกความแค้นกับใครนางไม่เข้าใจเลย ใครจะทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ดีงามเช่นนั้นนางจะจับคนผู้นั้นมาถลกหนังเลาะกระดูก สับเป็นชิ้น ๆ ป้อนให้สุนัขกินเสีย!องครักษ์เห็นว่าจะตามไม่ทันความเร็วของนางแล้วจึงตะโกนว่า“แม่ทัพน้อย ตอนนี้ควบม้าตายไปสองตัวแล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม แวะพักก่อนดีหรือไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดแส้ม้า“ตามไม่ทันก็ไสหัวกลับค่ายทหาร! ย่าห์!”โง่เง่า! มีเวลามาพักผ่อนเสียที่ไหน!สิ่งที่นางแบกรับอยู่ตอนนี้คือหนึ่งร้อยกว่าชีวิตในตระกูลเฟิ่ง!องคร
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ในห้องหรี่ดวงเนตรงามลงเล็กน้อยวันนี้ไม่ว่าผลตรวจร่างกายเป็นเช่นไร ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฟิ่งทั้งสิ้นหวงกุ้ยเฟยจะต้องตัดสินว่าบุตรีตระกูลเฟิ่งไม่บริสุทธิ์เป็นแน่ จากนั้นก็ใช้เหตุนี้สร้างเรื่องตามมาถ้าคนที่มาสวมรอยแทนอย่างนางถูกตรวจร่างกายได้ผลว่ายังบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถป้องกันแผนร้ายของหวงกุ้ยเฟย แต่ก็คงจะทำให้หวงกุ้ยเฟยนึกสงสัยขึ้นมาทันทีที่เรื่องสวมรอยแต่งงานมีพิรุธปรากฏ ถึงยามนั้นโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็เพียงพอให้ตระกูลเฟิ่งประสบหายนะได้แล้ว!สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองตรงไปข้างหน้า ใช้มือที่จับทวนมาจนชินนั้นแต้มบุปผาตรงหว่างคิ้วของตนเองอย่างหนักแน่นสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนนางมีเพียงหลักพิชัยสงครามและหลักการเป็นขุนนางอาจารย์หญิงเคยสอนหลักการครองเรือนให้นาง ในนั้นย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติในวังหลวงด้วยเช่นกัน ยามนั้นแม้นางได้เรียนรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้งานเพราะปณิธานของนางอยู่ที่ใต้หล้า ไม่ต้องการถูกคุมขังไว้ในเรือน เป็นเพียงภรรยาตัวน้อยที่โอนอ่อนผ่อนตามสามีคิดไม่ถึงว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตนอกห้องขันทีผู้นั้นเดินนำนางกำนัลจากในวังหลวงตรงมา
ณ ตำหนักฉือหนิง ที่ประทับของไทเฮาไทเฮาได้ยินเรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งแล้วก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่น กล่าวกับกุ้ยหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า“ตอนงานวันเกิดของข้าปีที่แล้ว เคยเห็นเฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้น นิสัยนางอ่อนโยนเกินไป เวลานั้นข้าก็รู้สึกว่านางยากจะรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้“เรื่องในวันนี้กลับแปลกใหม่นัก ถึงกับโต้แย้งคนของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล“ข้าต้องมองนางใหม่เสียแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮา เข้าใจความซับซ้อนในวังอย่างลึกซึ้ง นางรินน้ำชาร้อนกรุ่นให้ไทเฮา“แต่ดูจากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อหวงกุ้ยเฟย แม้ฮองเฮาจะปราดเปรื่องกล้าหาญเพียงไหนก็ยากจะรับมือท่านที่อยู่ตำหนักหลิงเซียวผู้นั้นได้ คืนนี้ ยากจะรับประกันว่าหวงกุ้ยเฟยจะไม่ก่อเรื่องนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่านางมีความเห็นแตกต่างจากไทเฮา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาสลายไป“เจ้าพูดถูก ข้ายังจำได้ว่า วันที่ซิ่วหว่านเข้าวัง เดิมนั้นฝ่าบาทตั้งใจจะไปหานาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นจะเข้ามาขัดขวาง เชิญฝ่าบาทไปหา“น่าสงสารก็แต่ซิ่วหว่านเด็กคนนั้น แม้แต่อาหญิงอย่างข้าก
ฮ่องเต้ทรราชจะเสด็จมา เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่บอกให้เหลียนซวงทำทรงผมกลับไปตามเดิม แต่มือของเหลียนซวงสั่นเทิ้ม คิดว่าคงเป็นเพราะหวาดกลัวฮ่องเต้ทรราชที่กำลังจะมาเยือนผู้นั้นนางมือสั่น ย่อมทำผิดพลาดอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อถูกถอนผมเป็นเส้นที่สาม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ถอยไป ข้าจัดการเอง” นางเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม การฝึกฝนทำผมทรงต่าง ๆ ให้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุนี้ นางจัดแจงเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ทรงผมกลับไปเหมือนตอนแรกได้แล้ว เหลียนซวงเห็นแล้วก็ตกตะลึงเหลือล้น“ฮองเฮา ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมนักเพคะ!”แต่ขณะที่ฝั่งพวกนางเตรียมความพร้อมต้อนรับฮ่องเต้ คนจากนอกตำหนักก็มารายงานอีกครั้งว่า“ฮองเฮา โรคปวดศีรษะของหวงกุ้ยเฟยกำเริบ ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักหลิงเซียวแล้วเพคะ”เหลียนซวงเผยอปาก รู้สึกโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมาหวงกุ้ยเฟยจะต้องแกล้งป่วยเป็นแน่ โรคปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาตอนนี้ จะเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรคงเห็นว่าฝ่าบาทเสด็จกลับวังมาแล้วจึงให้คนไปเชิญน่ะสิพอเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่าหวงกุ้ยเฟยก็คิดถึงเวยเฉียงน้องสาวเวยเฉียงถูกทำร้ายแสนสาหัสจนถึงแก่คว
กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว
เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต
ประตูกลางเปิดออก เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมเครื่องแบบฮองเฮา มงกุฎหงส์งดงามเลอค่า ทว่าก็มิอาจข่มบุคลิกของตัวนางได้และเพื่อสะดวกต่อการประกอบพิธีการ จึงเปลี่ยนจากผ้าคลุมหน้ามาเป็นม่านปิดหน้าแทนม่านมุกและพู่ห้อยกวัดแกว่งไปตามการเดิน ใบหน้าที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเพียงราง ๆเหล่าขุนนางมองมาที่นาง พลันโน้มศีรษะแสดงความเคารพในทันใดบุคคลผู้นี้มิเพียงเป็นฮองเฮา ยังเป็นแม่ทัพน้อยที่คอยปกป้องชายแดนเหนือมานานแรมปีด้วยเซียวอวี้กำลังจะก้าวไปข้างหน้าโดยมิรู้ตัว หลิวซื่อเหลียงจึงรีบเอ่ยเตือนเบา ๆ“ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาว ด้านหลังคือองครักษ์ติดตาม และสินเดิมที่ติดตัวมา นับว่าเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา จะมีเหตุการณ์สำคัญอยู่สามเหตุการณ์ นั่นคือ พิธีรับการแต่งตั้ง ฮ่องเต้และฮองเฮาบูชาสวรรค์ และสุดท้ายถึงจะเป็นพิธีการของสามีภรรยาดังนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหยุดอยู่หน้าบันไดเก้ามังกร เพื่อรอรับการแต่งตั้งก่อนขุนนางที่ดำเนินพิธีการแต่งตั้งยืนอยู่หน้าขั้นบันได กางพระราชกฤษฎีกาออก พร้อมกับอ่าน“ในฐานะฮ่องเต้ จำต้องแต่งตั้งฮองเฮา เพื่
เกี้ยวมงคลถูกหามตรงไปยังโรงพักแรมหลวง หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่งกลับเงียบเหงาไร้ผู้คนนายท่านเฟิ่งมิอาจทนเรื่องกระทบใจเช่นนี้ได้ จึงระบายความขุ่นเคืองมาที่ตัวอี๋เหนียงหลิน“เจ้าพูดมิใช่หรือว่าจะมิพลาดเด็ดขาด! หือ? ข้าบอกว่าข้าจะไปรับด้วยตนเอง เจ้าก็มิยอมให้ข้าไป พูดว่ามีบิดาที่ไหนกันทำตัวด้อยค่าเช่นนั้น เจ้า...ข้ามิควรเชื่อคำบ้าบอของเจ้า!”อี๋เหนียงหลินก็นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนจะใจร้ายถึงเพียงนี้ พูดว่าแต่งออกจากเรือนตระกูลเมิ่ง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิ่งโดยสิ้นเชิงนางกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม“นายท่าน เรื่องนี้จะตำหนิข้ามิได้”“เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน นางมิเห็นท่านอยู่ในสายตา“ใจของนางเอนเอียงไปทางตระกูลเมิ่งแต่แรกแล้ว ในฐานะบุตรสาว เหตุใดจึงทำให้บิดาเสียหน้าได้เช่นนี้เล่า?”“เจ้ายังกล้าพูดอีก!” นายท่านเฟิ่งถลึงตามองอย่างโกรธเคืองเขาสั่งพ่อบ้านในทันที “เตรียมรถม้า ข้าจะไปโรงพักแรมด้วยตนเอง!”หลังจากนายท่านเฟิ่งออกไป อี๋เหนียงหลินก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วร่ำไห้เฟิ่งหมิงเซวียนมิเข้าใจจริง ๆ ว่า เหตุใดบิดายืนกรานจักต้องให้เฟิ่งจิ่วเหยียนแต่งอ
ไอเย็นชื้นในร่างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังขับออกไปไม่หมด ถึงจะแต่งออกเรือนมา ฮูหยินเมิ่งยังต้องติดตามมาด้วยหลังจากที่นางได้รับสมุนไพรนั้น ก็ส่งให้อาจารย์หญิงดู“นี่บัวกลีบเปลวเพลิง!” ฮูหยินเมิ่งตกใจอย่างมาก“จิ่วเหยียน บัวกลีบเปลวเพลิงเป็นสมุนไพรหายาก มีน้อยกว่าดอกจื่อซวี่นั่นเสียอีก มันเจริญเติบโตในภูเขาไฟแคว้นตงซาน ใช้เวลาห้าสิบปีจึงจะผลิดอก ไอเย็นชื้นในร่างกายของเจ้า หากมีบัวกลีบเปลวเพลิงผสมกับยา อาจจะรักษาอาการป่วยหายดีก็ได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนสงสัยอย่างเดียว ผู้ใดเป็นคนส่งยานี้มาอู๋ไป๋ตอบ “ถามองครักษ์ผู้นั้นแล้ว บอกว่าเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัด ฝ่ายนั้นบอกแค่ว่าเป็นสหายเก่าของท่านแม่ทัพน้อย”นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบนิ่ง ตกอยู่ในภวังค์ความคิดหากเป็นสหายเก่าจริง ๆ เหตุใดต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆฮูหยิ่นเมิ่งเอ่ยปลอบใจว่า “อย่างน้อยบัวกลีบเปลวเพลิงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนผู้นั้นคงไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเจ้าหรอก”เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า “อาจารย์หญิง ของสิ่งนี้มีที่มาไม่ชัดเจน ควรระมัดระวังจะเป็นการดีที่สุด”สำหรับนางบัวกลีบเปลวเพลิงเป็นเพียงทำให้โรคของนางได้หายไวขึ้น นางไม่ได้มีความจำเ
บุตรสาวตระกูลเมิ่งแต่งงานออกเรือน ทั้งยังได้เป็นฮองเฮาของแคว้น จึงทำให้คนอิจฉาอย่างมากตรงข้ามกับตระกูลเฟิ่งที่อยู่ในเมืองหลวง ไม่ต่างอะไรกับมีคนเพิ่งตาย มืดมนหดหู่ไปหมดนายท่านเฟิ่งเพิ่งได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าเวยเฉียงแต่งงาน โดยที่ไม่บอกบิดาเช่นเขา แถมตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กำลังจะแต่งออกจากตระกูลเมิ่ง แต่ละคน แทบไม่เห็นเขาเป็นพ่อด้วยซ้ำ!วันนี้หลังจากว่าการในยามเช้าเสร็จ เขายังเจอเหล่าเพื่อนร่วมงานเอ่ยแซว“ใต้เท้าเฟิ่ง เจ้านี่ใจกว้างจังเลยนะ ส่งบุตรสาวไปให้ตระกูลเมิ่ง จนตอนนี้เมิ่งฉวีมีรัศมี ได้กลายมาเป็น พ่อตาของฝ่าบาทเสียแล้ว!”“ใต้เท้าเฟิ่ง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก เจ้าน่าจะส่งบุตรสาวมาให้ข้าดีกว่า!”“จะว่าไปแล้ว ใต้เท้าเฟิ่ง เจ้าควรขอบคุณแม่ทัพเมิ่งนะ ที่ไม่เปลี่ยนนามสกุลให้ลูกสาวเจ้า!”นายท่านเฟิ่งได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ในใจอัดอั้นว้าวุ่นไปหมดเขาไม่น่าส่งบุตรสาวไปให้ตาแก่เมิ่งฉวีนั่นเลย!นายท่านเฟิ่งกลับมาที่จวนอย่างเดือดดาล ไม่พูดไม่จา ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสืออี๋เหนียงหลินยกซุปร้อน ๆ เข้ามา จีบปากจีบคอพูดว่า“นายท่าน เป็นอะไรไปหรือ? จะไม่กินมื้อกลางวัน ไม
เพื่อได้แต่งงานเร็ว เซียวอวี้ยังหาช่างเย็บปักมาอีกสิบกว่าคน หมุนเวียนมาทำงานด้วยเหตุนี้ ชุดแต่งงานจึงเสร็จก่อนกำหนดสำนักโหรหลวงได้ทำนาย ฤกษ์งามยามดีออกมาคือเดือนสิบ เกือบจะถูกเซียวอวี้ปลดจากตำแหน่งจากนั้นจึงรีบเปลี่ยนคำพูด กล่าวว่า“งานอภิเษกจัดวันไหน ฤกษ์งามยามดีก็คือวันนั้น!”เหล่าขุนนางนิ่งอึ้งโหรหลวงผู้นี้ ควรปลดทิ้งเสียจริง ๆ!ดังนั้น งานอภิเษกจึงกำหนดขึ้นในวันที่สิบเดือนห้าเซียวอวี้มอบหมายหน้าที่ให้รุ่ยอ๋องไปรับตัวเจ้าสาว ทั้งยังส่งกองกำลังเสริมไปให้เขาคาดโทษเสียงเยือกเย็น“เรื่องนี้ ห้ามให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นแม้เพียงนิด”รุ่ยอ๋องประสานมือรับคำสั่ง “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!” การแต่งงานเร่งรัด เรียกได้ว่าคึกคักเร่าร้อนพิธีในวังมีหนิงเฟยเป็นตัวหลักในการดำเนินงาน ส่วนองค์หญิงใหญ่ก็เอาแต่ชี้นิ้วออกคำสั่งไม่น้อย ใส่ใจเสียยิ่งกว่างานแต่งของตัวเองอีกเรื่องนี้ หนิงเฟยจึงอัดอั้นจนพูดไม่ออก อีกด้าน รุ่ยอ๋องนำขบวนมารับตัวเจ้าสาว ด้วยความยิ่งใหญ่มหาศาลกลางทางถึงได้พบว่า หร่วนฝูอวี้ตามหลังมาตลอดทางเขาดึงนางออกมา ถามอย่างสุดจะทน“แม่นางหร่วน เจ้าคิดจะทำอะไรอี
เวยเฉียงหลุกหลิกไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อ กัดริมฝีปากแน่นซ่งหลีดื่มสุรามา ใบหน้าจึงแดงระเรื่อเขาเดินเข้าไป สวมกอดนางอย่างเงอะงะ“แม่หญิง…”หัวใจของเวยเฉียงเต้นกระหน่ำเหมือนกวางวิ่งเต้น หลุบตาลง “พี่ใหญ่ซ่ง”ซ่งหลีมองตรงมาที่นาง พูดกลั้วยิ้มว่า “เจ้าควรเรียกข้าว่าสามีสิ”“เจ้าค่ะ สามี” ใบหูของนางแดงก่ำไปหมด ไม่กล้าเงยหน้ามองเขายิ่งกว่าเดิมซ่งหลีจับมือของนาง จูงนางเดินไปยังเตียงนอนจากนั้นก็ประคองนางนั่งลง ปล่อยม่านมุ้งมงคลลงทีละชั้นเวยเฉียงเห็นเช่นนั้น ลำคอพลันแห้งผาก หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าเดิมซ่งหลีเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ เพียงปล่อยไปตามสัญชาตญาณของร่างกาย ค่อย ๆ โน้มตัวนางนอนลงบนเตียง ก้มลงจูบริมฝีปากของนาง ด้วยการกระทำแสนอ่อนโยนเวยเฉียงหลับตาลงอย่างประหม่า ลมหายใจกระชั้นชิด“ท่านพี่…”นางหวาดกลัวเล็กน้อยมือของซ่งหลีลูบตามร่างกายที่สั่นเทาของนางอย่างแผ่วเบา ปลอบโยนนางว่า “ไม่ต้องกลัว แม่หญิง”เขารู้ว่านางเคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายมา เขาเองก็กลัวว่านางจะถูกกระตุ้น จนกลับไปนึกถึงเรื่องราวแสนอัปยศเหล่านั้นดังนั้น เขาจึงระมัดระวังเป็นอย่างมากเขาจะร
ภายในเรือนหอแม่สื่อและสาวใช้ไฉ่เยว่ยืนอยู่ข้างเตียง มองเจ้าบ่าวที่กำลังหน้าแดงก่ำอีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องตรงไปยังเจ้าสาว——เวยเฉียงมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวปกปิดใบหน้า มือทั้งสองข้างวางซ้อนไว้บนตัก แผ่นหลังยืดตรง ท่านั่งดูแข็งทื่อ เห็นเท่านี้ก็พอจะรู้ว่านางกำลังประหม่าซ่งหลีเองก็ไม่ต่างกันเขารับคันชั่งที่ไฉ่เยว่ยื่นมาให้ ด้วยมือสั่นเทากลัวว่าจะเผลอเกี่ยวโดนหน้าของเวยเฉียงเขาระมัดระวัง แง้มเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออก ภายใต้ผ้าผืนนั้น ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างงดงามหมดจรดค่อย ๆ เผยออกมาเวยเฉียงหลุบตาลงอย่างขวยเขิน ใบหน้าเล็ก ๆ แดงระเรื่อยิ่งกว่าริมฝีปากเสียอีกนางไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดออกมา บรรยากาศภายในเรือนหอเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงเข็มหล่นหัวใจของซ่งหลีสั่นไหว“แม่หญิง เจ้าช่างงามเหลือเกิน”เขาคิดกับเวยเฉียงเป็นแค่คนไข้ที่ต้องดูแลในตอนแรก กอปรกับมีคำฝากฝังจากเพื่อนสนิทด้วยเหตุนี้ เขาจึงดูแลรักษานางอย่างไม่ขาดตกบกพร่องต่อมาเขาก็เริ่มสงสารนาง เพราะเรื่องที่นางประสบพบเจอมามันน่าหดหู่มากจริง ๆหลังจากนั้น พอได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางก็ทำให้เขาหวั่นไหวแ
เมื่อเจ้าสาวจะออกเรือน พี่น้องชายของเจ้าสาวจะเป็นคนแบกเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมชุดบุรุษเต็มตัว ใช้ฐานะของพี่ชายฝั่งบ้านเจ้าสาวแบกเวยเฉียงขึ้นหลังฝีเท้าของนางมั่นคงอย่างมากเวยเฉียงพิงหลังอยู่บนหลังนาง ด้วยจิตใจที่สงบสุข“ท่านพี่ พวกเราจะต้องมีความสุข”น้ำตาหยดหนึ่ง หยดลงบนคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนตอบเสียงเบา“แน่นอน”ล้วนกล่าวกันว่า ต้นร้ายปลายดี เวยเฉียงต้องผ่านความทุกข์มามากมายเพียงนี้ จากนี้ไปย่อมมีแต่ความราบรื่นเป็นแน่......เกี้ยวมงคลร้องรำทำเพลงไปตลอดทางจนถึงบ้านตระกูลซ่งเจ้าสาวก็ถูกคนประคองให้เดินลงมาซ่งหลีสวมชุดเจ้าบ่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเขาทนไม่ไหวจนอยากจะไปประคองเจ้าสาวของตน แต่ถูกหญิงมงคลขวางเอาไว้“ท่านเจ้าบ่าว ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ทำพิธีไหว้ฟ้าดินก่อน!”ผู้คนรอบ ๆ พร้อมใจกันหัวเราะทันทีซ่งหลีเองก็หน้าแดงเช่นกันเขาไม่ได้พบเวยเฉียงนานเกินไปแล้ว คิดถึงนางยิ่งหากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องกับซูฮ่วน พวกเขาคงเป็นสามีภรรยากันไปนานแล้วแขกที่มาในวันนี้บางส่วนเป็นสหายที่ดีในยุทธภพของซ่งหลี เจียงหลินก็มาเช่นกันคนหลังพอได้พบเฟิ่งจิ่วเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ อาจารย์หญิง พวกท่านปิดบังอะไรข้ากันแน่”ฮูหยินเมิ่งมองนางอย่างลึกซึ้งจิ่วเหยียนถึงกับยอมตัดสัมพันธ์กับตน ก็จะไล่สืบเรื่องมนุษย์โอสถให้ได้ นางไร้กำลังที่จะทำอะไรแล้วจริง ๆจากนั้น นางก็เปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดและเศร้าโศก“ตอนนั้นสิงโจวเองก็รู้ถึงเรื่องมนุษย์โอสถ จึงแอบปกปิดตัวตนเข้าไปตรวจสอบ เขาเคยเขียนจดหมายให้พวกเรา บอกว่าพบแหล่งซ่องสุมของมนุษย์โอสถพวกนั้นแล้ว จะตามไปสืบต่อ หลังจากนั้น...”“ศิษย์พี่ถูกพวกเขาฆ่าตายหรือ?” เสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนดังขึ้นทันทีหลายปีมานี้ นางกลัวว่าจะทำให้อาจารย์และอาจารย์หญิงเศร้าใจ จึงไม่เคยตามเรื่องการตายของศิษย์พี่อย่างละเอียดมาโดยตลอดศิษย์พี่ผู้นั้นที่ดีกับนางมากที่สุด นางนึกว่าเขาไปช่วยเหลือคนอื่นแล้วเกิดอุบัติเหตุจนสิ้นชีพอย่างที่อาจารย์บอกในยามปกติฮูหยินเมิ่งทั้งใจเย็นและเข้มแข็งทว่ายามนี้เมื่อนึกถึงเรื่องของบุตรชาย นางสะอึกสะอื้นจนพูดต่อไม่ไหว จากนั้นก็ลุกแล้วเดินจากไปใบหน้าที่แข็งทื่อของแม่ทัพเมิ่ง เล่าเรื่องที่เหลือออกมา“อาจารย์หญิงของเจ้าตรวจศพด้วยตนเอง สิงโจวถูกตีจนหัวเข่