เพื่อได้แต่งงานเร็ว เซียวอวี้ยังหาช่างเย็บปักมาอีกสิบกว่าคน หมุนเวียนมาทำงานด้วยเหตุนี้ ชุดแต่งงานจึงเสร็จก่อนกำหนดสำนักโหรหลวงได้ทำนาย ฤกษ์งามยามดีออกมาคือเดือนสิบ เกือบจะถูกเซียวอวี้ปลดจากตำแหน่งจากนั้นจึงรีบเปลี่ยนคำพูด กล่าวว่า“งานอภิเษกจัดวันไหน ฤกษ์งามยามดีก็คือวันนั้น!”เหล่าขุนนางนิ่งอึ้งโหรหลวงผู้นี้ ควรปลดทิ้งเสียจริง ๆ!ดังนั้น งานอภิเษกจึงกำหนดขึ้นในวันที่สิบเดือนห้าเซียวอวี้มอบหมายหน้าที่ให้รุ่ยอ๋องไปรับตัวเจ้าสาว ทั้งยังส่งกองกำลังเสริมไปให้เขาคาดโทษเสียงเยือกเย็น“เรื่องนี้ ห้ามให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นแม้เพียงนิด”รุ่ยอ๋องประสานมือรับคำสั่ง “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!” การแต่งงานเร่งรัด เรียกได้ว่าคึกคักเร่าร้อนพิธีในวังมีหนิงเฟยเป็นตัวหลักในการดำเนินงาน ส่วนองค์หญิงใหญ่ก็เอาแต่ชี้นิ้วออกคำสั่งไม่น้อย ใส่ใจเสียยิ่งกว่างานแต่งของตัวเองอีกเรื่องนี้ หนิงเฟยจึงอัดอั้นจนพูดไม่ออก อีกด้าน รุ่ยอ๋องนำขบวนมารับตัวเจ้าสาว ด้วยความยิ่งใหญ่มหาศาลกลางทางถึงได้พบว่า หร่วนฝูอวี้ตามหลังมาตลอดทางเขาดึงนางออกมา ถามอย่างสุดจะทน“แม่นางหร่วน เจ้าคิดจะทำอะไรอี
บุตรสาวตระกูลเมิ่งแต่งงานออกเรือน ทั้งยังได้เป็นฮองเฮาของแคว้น จึงทำให้คนอิจฉาอย่างมากตรงข้ามกับตระกูลเฟิ่งที่อยู่ในเมืองหลวง ไม่ต่างอะไรกับมีคนเพิ่งตาย มืดมนหดหู่ไปหมดนายท่านเฟิ่งเพิ่งได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าเวยเฉียงแต่งงาน โดยที่ไม่บอกบิดาเช่นเขา แถมตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กำลังจะแต่งออกจากตระกูลเมิ่ง แต่ละคน แทบไม่เห็นเขาเป็นพ่อด้วยซ้ำ!วันนี้หลังจากว่าการในยามเช้าเสร็จ เขายังเจอเหล่าเพื่อนร่วมงานเอ่ยแซว“ใต้เท้าเฟิ่ง เจ้านี่ใจกว้างจังเลยนะ ส่งบุตรสาวไปให้ตระกูลเมิ่ง จนตอนนี้เมิ่งฉวีมีรัศมี ได้กลายมาเป็น พ่อตาของฝ่าบาทเสียแล้ว!”“ใต้เท้าเฟิ่ง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก เจ้าน่าจะส่งบุตรสาวมาให้ข้าดีกว่า!”“จะว่าไปแล้ว ใต้เท้าเฟิ่ง เจ้าควรขอบคุณแม่ทัพเมิ่งนะ ที่ไม่เปลี่ยนนามสกุลให้ลูกสาวเจ้า!”นายท่านเฟิ่งได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ในใจอัดอั้นว้าวุ่นไปหมดเขาไม่น่าส่งบุตรสาวไปให้ตาแก่เมิ่งฉวีนั่นเลย!นายท่านเฟิ่งกลับมาที่จวนอย่างเดือดดาล ไม่พูดไม่จา ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสืออี๋เหนียงหลินยกซุปร้อน ๆ เข้ามา จีบปากจีบคอพูดว่า“นายท่าน เป็นอะไรไปหรือ? จะไม่กินมื้อกลางวัน ไม
ไอเย็นชื้นในร่างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังขับออกไปไม่หมด ถึงจะแต่งออกเรือนมา ฮูหยินเมิ่งยังต้องติดตามมาด้วยหลังจากที่นางได้รับสมุนไพรนั้น ก็ส่งให้อาจารย์หญิงดู“นี่บัวกลีบเปลวเพลิง!” ฮูหยินเมิ่งตกใจอย่างมาก“จิ่วเหยียน บัวกลีบเปลวเพลิงเป็นสมุนไพรหายาก มีน้อยกว่าดอกจื่อซวี่นั่นเสียอีก มันเจริญเติบโตในภูเขาไฟแคว้นตงซาน ใช้เวลาห้าสิบปีจึงจะผลิดอก ไอเย็นชื้นในร่างกายของเจ้า หากมีบัวกลีบเปลวเพลิงผสมกับยา อาจจะรักษาอาการป่วยหายดีก็ได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนสงสัยอย่างเดียว ผู้ใดเป็นคนส่งยานี้มาอู๋ไป๋ตอบ “ถามองครักษ์ผู้นั้นแล้ว บอกว่าเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัด ฝ่ายนั้นบอกแค่ว่าเป็นสหายเก่าของท่านแม่ทัพน้อย”นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบนิ่ง ตกอยู่ในภวังค์ความคิดหากเป็นสหายเก่าจริง ๆ เหตุใดต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆฮูหยิ่นเมิ่งเอ่ยปลอบใจว่า “อย่างน้อยบัวกลีบเปลวเพลิงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนผู้นั้นคงไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเจ้าหรอก”เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า “อาจารย์หญิง ของสิ่งนี้มีที่มาไม่ชัดเจน ควรระมัดระวังจะเป็นการดีที่สุด”สำหรับนางบัวกลีบเปลวเพลิงเป็นเพียงทำให้โรคของนางได้หายไวขึ้น นางไม่ได้มีความจำเ
เกี้ยวมงคลถูกหามตรงไปยังโรงพักแรมหลวง หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่งกลับเงียบเหงาไร้ผู้คนนายท่านเฟิ่งมิอาจทนเรื่องกระทบใจเช่นนี้ได้ จึงระบายความขุ่นเคืองมาที่ตัวอี๋เหนียงหลิน“เจ้าพูดมิใช่หรือว่าจะมิพลาดเด็ดขาด! หือ? ข้าบอกว่าข้าจะไปรับด้วยตนเอง เจ้าก็มิยอมให้ข้าไป พูดว่ามีบิดาที่ไหนกันทำตัวด้อยค่าเช่นนั้น เจ้า...ข้ามิควรเชื่อคำบ้าบอของเจ้า!”อี๋เหนียงหลินก็นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนจะใจร้ายถึงเพียงนี้ พูดว่าแต่งออกจากเรือนตระกูลเมิ่ง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิ่งโดยสิ้นเชิงนางกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม“นายท่าน เรื่องนี้จะตำหนิข้ามิได้”“เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน นางมิเห็นท่านอยู่ในสายตา“ใจของนางเอนเอียงไปทางตระกูลเมิ่งแต่แรกแล้ว ในฐานะบุตรสาว เหตุใดจึงทำให้บิดาเสียหน้าได้เช่นนี้เล่า?”“เจ้ายังกล้าพูดอีก!” นายท่านเฟิ่งถลึงตามองอย่างโกรธเคืองเขาสั่งพ่อบ้านในทันที “เตรียมรถม้า ข้าจะไปโรงพักแรมด้วยตนเอง!”หลังจากนายท่านเฟิ่งออกไป อี๋เหนียงหลินก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วร่ำไห้เฟิ่งหมิงเซวียนมิเข้าใจจริง ๆ ว่า เหตุใดบิดายืนกรานจักต้องให้เฟิ่งจิ่วเหยียนแต่งอ
ประตูกลางเปิดออก เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมเครื่องแบบฮองเฮา มงกุฎหงส์งดงามเลอค่า ทว่าก็มิอาจข่มบุคลิกของตัวนางได้และเพื่อสะดวกต่อการประกอบพิธีการ จึงเปลี่ยนจากผ้าคลุมหน้ามาเป็นม่านปิดหน้าแทนม่านมุกและพู่ห้อยกวัดแกว่งไปตามการเดิน ใบหน้าที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเพียงราง ๆเหล่าขุนนางมองมาที่นาง พลันโน้มศีรษะแสดงความเคารพในทันใดบุคคลผู้นี้มิเพียงเป็นฮองเฮา ยังเป็นแม่ทัพน้อยที่คอยปกป้องชายแดนเหนือมานานแรมปีด้วยเซียวอวี้กำลังจะก้าวไปข้างหน้าโดยมิรู้ตัว หลิวซื่อเหลียงจึงรีบเอ่ยเตือนเบา ๆ“ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาว ด้านหลังคือองครักษ์ติดตาม และสินเดิมที่ติดตัวมา นับว่าเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา จะมีเหตุการณ์สำคัญอยู่สามเหตุการณ์ นั่นคือ พิธีรับการแต่งตั้ง ฮ่องเต้และฮองเฮาบูชาสวรรค์ และสุดท้ายถึงจะเป็นพิธีการของสามีภรรยาดังนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหยุดอยู่หน้าบันไดเก้ามังกร เพื่อรอรับการแต่งตั้งก่อนขุนนางที่ดำเนินพิธีการแต่งตั้งยืนอยู่หน้าขั้นบันได กางพระราชกฤษฎีกาออก พร้อมกับอ่าน“ในฐานะฮ่องเต้ จำต้องแต่งตั้งฮองเฮา เพื่
ทุกคนแหงนหน้าขึ้นไป เห็นเพียงภายใต้แสงอาทิตย์ มีเมฆขาวกลุ่มหนึ่งกลายเป็นเจ็ดสี“ข้ามิเคยเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน นี่ถือเป็นลางดี!”“ฮองเฮาทรงเป็นผู้ที่สวรรค์กำหนดอย่างแท้จริง!”“มีฮองเฮาทรงคุณธรรมเช่นนี้ หนานฉีเราจักต้องรุ่งเรืองสืบไปอย่างแน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมมงกุฎหงส์อันหนักอึ้ง มิอาจแหงนหน้าขึ้นมองได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจอยู่แล้วเซียวอวี้ยังเดินมาถามว่า“จิ่วเหยียน เจ้าเห็นแล้วหรือไม่? เป็นเมฆมงคล เรามิเคยเห็นเมฆที่งดงามเท่านี้มาก่อน เจ้าคือคนที่ชะตาลิขิตไว้ให้เราอย่างแท้จริง...”“จะเข้าห้องหอเมื่อใด?” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยแทรกคำพูดของเขา ทั้งเอ่ยอย่างหนักแน่นเซียวอวี้: ?เขาก็อยากเข้าห้องหอ ทว่าเหตุใดนางถึงร้อนใจมากกว่าเขาเสียอีก?ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มจาง ๆ“ใกล้แล้ว”จะตำหนิว่าเขามิใส่ใจคงมิได้ ว่าไปแล้ว เขาก็มิรู้เช่นกันว่า มงกุฎหงส์นี้จะหนักมากเพียงใดผู้ดำเนินการในพระราชพิธียังคงทำหน้าที่ต่อไป“ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงเข้าสู่พิธีการคำนับ! คำนับฟ้าดิน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนและเซียวอวี้หันไป ทำท่าทางโค้งคำนับ“ต่อด้วยคำนับเครือญาติเชื้อพระวงศ์!”ที่ตำแหน่ง
จุมพิตอันลึกซึ้ง ผสานกับกลิ่นสุราอันหอมหวานเมื่อครู่เฟิ่งจิ่วเหยียนปิดตาลง และดื่มด่ำไปกับมันมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เซียวอวี้ก็ผละออกจากนางช้า ๆ และแตะบนหน้าผากนาง พร้อมกับยิ้มอย่างสบายใจ“นี่ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกันดื่มเช่นกัน”ลำคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนแห้งผาก มือหนึ่งคว้าคอเสื้อของเขาไว้ ขนตาตกลงมาครึ่งหนึ่ง “เพคะ”ขณะอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม นางมองที่เขา และคิดจะกระโจนใส่เขาทว่านางรู้ดีว่า ตามกฏแล้ว ต่อไปเซียวอวี้จักต้องไปที่ท้องพระโรงเซียวอวี้ยามอยู่กับนาง ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายเขาจึงออกคำสั่งกับคนด้านนอกทันที“ออกไปก่อน”เหล่าหมัวมัวต่างมองหน้ากัน ก็รีบออกไปนอกตำหนักโดยเร็วหลังจากคนอื่นออกไปหมดแล้ว เขาก็ช่วยนางถอดมงกุฎหงส์ออกด้วยตนเอง เมื่อถือไว้ในมือ ถึงรู้ว่ามันหนักเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มี “พันธนาการ” นี้แล้ว พลันรู้สึกหายใจได้โล่งขึ้นเซียวอวี้โอบกอดนางไว้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“ลำบากแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออก“ท่านควรจะไปที่ท้องพระโรงได้แล้ว”เซียวอวี้เงยคางนางขึ้นมา แสร้งเอ่ยอย่างไม่พอใจ“แต่งงานกันแล้ว เหตุใดยังห่างเหินเช่นนี้?”เฟิ่งจิ่วเ
ณ ท้องพระโรงเหล่าขุนนางกินดื่มอย่างอิ่มหนำแล้ว ฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จมาหลายคนแอบซุบซิบขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากการสอบภาควสันตฤดูเอ่ยว่า“ฝ่าบาทพระพักตร์แจ่มใส สมดังว่าคนเรามีเรื่องมงคลจิตใจย่อมเบิกบาน!”“หากเจ้าได้แต่งภรรยา สีหน้าก็จะดูแจ่มใสเช่นนี้”ขุนนางผู้นั้นนึกถึงเรื่องบางอย่าง ใบหน้าพลันแดงก่ำในทันทีหรือว่าฮ่องเต้ทรงมาช้า เป็นเพราะ...เป็นไปไม่ได้!จะเหลวไหลเช่นนั้นได้อย่างไร!แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้มิใช่คนมัวเมาลุ่มหลงในอิสตรี!บนบัลลังก์มังกร จักรพรรดิหนุ่มดูมีชีวิตชีวา ทว่าคนอยู่ แต่ใจไม่อยู่เขามาที่ท้องพระโรงนี้ เพราะถูกเฟิ่งจิ่วเหยียนรบเร้าในขณะกำลังคิดว่า จะดื่มกับเหล่าขุนนางไม่กี่จอกก็จะกลับไปตำหนักจื้อเฉิน ในเวลานี้ หนานซานอ๋องก็ลุกขึ้นยืน พร้อมชี้แนะอย่างมีเหตุมีผล“ฝ่าบาท ไม่ว่าเรื่องใดมิควรปล่อยตามใจตนเอง“ในฐานะที่ท่านเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ควรเป็นแบบอย่างให้กับบุรุษใต้หล้า“จริงอยู่ว่างานอภิเษกสมรสควรค่าแก่การยินดี ทว่าหากเกินขอบเขตที่เหมาะสม...”คำพูดเหล่านี้เหล่าขุนนางได้ยินถึงกับตะลึงงันหนานซานอ๋องช่างกล้าเอ่ยจริง ๆว
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร