เฟิ่งจิ่วเหยียนวางคีบเหล็กลง และค่อย ๆ ก้าวเดินไปหยุดต่อหน้าของหยางเหลียนซั่ว ในคุกมืดสลัว อับชื้น และเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่ฉุนจมูกนัก หยางเหลียนซั่วสูญเสียดวงตาไปแล้ว การรับรู้เสียงจึงไวมาก เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของนาง เสียงที่เงียบสงบนั้น ชี้นำอารมณ์ที่หลากหลายของผู้คนได้ “มีวิหารลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองหลวง และมีทางลับซ่อนอยู่ใต้วิหารลัทธิเต๋านั้น “และคุกเทียนเหลาแห่งนี้ ก็มีทางลับ ที่เชื่อมต่อกันด้วย “ทางออกที่ปลายทางของพวกมัน คือหุบเขาหลิวหลีในเมืองอาน “ต้องขอบคุณลูกน้องของเจ้า ทำให้ข้าโชคดีได้เดินผ่านเส้นทางลับนั้นโดยบังเอิญ “ตอนแรก ข้าคิดว่ามันเป็นเส้นทางลับธรรมดา ที่ใช้สำหรับหลบหนี และลอบขนส่งมนุษย์โอสถ “หลังจากนั้นก็พบว่า เส้นทางลับนี้มีความผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าสามารถตัดผ่านเป็นเส้นตรงได้ ทว่ากลับอ้อมไปทางป่าทุรกันดาร เป็นทางคดเคี้ยวยาวไกล...” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหยางเหลียนซั่วพลันว้าวุ่น เขาพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ และเขาเก่งในเรื่องเสแสร้งยิ่งนัก ทว่ายามที่อยู่ต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน สิ่งนี้กลับไม่ม
ไทฮองไทเฮามองดูคนที่คุกเข่าร้องไห้อย่างทุกข์ระทม สีหน้าพลันอ่อนลง “หลันเอ๋อร์ เจ้าบอกความจริงข้ามา เจ้ามิรู้จริงหรือว่าคนเหล่านั้นเป็นกบฏ?” มู่หรงหลันส่ายศีรษะ “ไม่รู้เพคะ หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ หม่ากงกงผู้นั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เขาปั่นหัวพวกเราตั้งแต่ต้นจนจบ เสด็จย่า ท่านก็ถูกเขาหลอกด้วยมิใช่หรือเพคะ ท่านย่อมรู้ดีที่สุดว่าเขาเจ้าเล่ห์แค่ไหน ท่านคิดไม่ผิดเลย...” ไทฮองไทเฮาทอดถอนใจ “เอาล่ะ หากข้าถูกปล่อยตัวออกไปได้ จักอธิบายความจริงให้ฝ่าบาทฟังเป็นแน่ และขอให้ปล่อยเจ้าออกไปด้วย” นังสารเลว! คิดว่านางโง่จริงรึ! ในยามนี้นางต้องตกปากรับคำไว้ก่อน เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจไปก่อน มิฉะนั้นมู่หรงหลันจะอับอายกลายเป็นโทสะ ลุกขึ้นมาฆ่านางกลางดึก จะทำอย่างไร? มิรู้จริง ๆ ว่าผู้ใดเป็นคนจัดการ ให้ขังพวกนางไว้ด้วยกัน มู่หรงหลันโค้งคำนับขอบคุณไทฮองไทเฮา นัยน์ตามีแสงสีเข้มแฝงอยู่ ความจริงก็เป็นดั่งที่นางคาดไว้ หยางเหลียนซั่วได้สารภาพจนหมดเปลือก ทว่ามิได้สาวถึงตัวมู่หรงหลันเพียงคนเดียวเท่านั้น และหาได้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ฉันลุงหลานของพวกเขาไม่ เขาคิดว่า มู่หรงห
ในห้องพิจารณาคดี รุ่ยอ๋องนั่งอยู่ตรงพื้นที่สำหรับฟังคำพิจารณาคดี เพื่อฟังมู่หรงเหลียนยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา “ในสมัยนั้น ข้าถูกนางแม่มดของพรรคเทียนหลงใช้มนตร์เสน่ห์ใส่ จึงกระทำความชั่วมากมาย “หลักฐานการกบฏของราชครูเฉินนั้น เป็นข้าปลอมแปลงขึ้นมาเอง “อดีตรัชทายาทสังหารพี่น้องร่วมสายโลหิต รวมกลุ่มก่อกบฏ ก็เป็นฝีมือของข้าใส่ร้ายเช่นกัน...” ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนพลันตกตะลึงพรึงเพริด คาดไม่ถึงว่า วิญญูชนเยี่ยงมู่หรงเหลียน จักกระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ได้! ยิ่งไม่คาดคิดเลยว่า อดีตรัชทายาทจะถูกใส่ร้ายป้ายสี! …… คุกเทียนเหลา ไทฮองไทเฮารอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ข่าวดีก็มาถึงในที่สุด พัศดีเปิดประตูห้องขัง “ไทฮองไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีพระบัญชา ให้ปล่อยตัวท่านออกจากคุกพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงหลันที่อยู่อีกมุมหนึ่งก็มีความสุขขึ้นมาทันที ไทฮองไทเฮาถูกปล่อยตัวออกไปแล้ว นางจะช่วยตนเองออกไปได้แน่ ครั้นรู้ว่าออกไปได้แล้ว ไทฮองไทเฮาก็หาได้มีอาการประชวรอีกไม่ ยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว และเดินออกไปทันที สถานที่แห่งนี้ นางทนอยู่ต่อแม้เพียงอึดใจเดียวก็ไม่ไหวแล้ว
ณ พระราชวัง ฮองเต้ทรงคิดบัญชีย้อนหลัง นอกจากไทฮองไทเฮาแล้ว เหล่าท่านอ๋องในคุกเทียนเหลาก็จะถูกลงโทษฐานกระทำความผิดร้ายแรง มีขุนนางหลายคนทูลขอพระเมตตาแทนพวกเขา “ฝ่าบาท เหล่าท่านอ๋องมิรู้เรื่องเลย ล้วนถูกไทฮองไทเฮาหลอกใช้ มิสมควรได้รับโทษหนักพ่ะย่ะค่ะ” เซียวอวี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สายตาเย็นชาคมกริบ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การที่พวกเขานำทหารของตนบุกเข้าวิหารบรรพบุรุษ เป็นเพราะถูกไทฮองไทเฮาหลอกใช้ หรือมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ “พวกเขาเข้ามาในเมืองหลวงโดยไม่มีคำสั่ง ละทิ้งหน้าที่โดยพลการ ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง! “หากกองทัพเยี่ยนบุกโจมตีจริง ๆ แล้วไซร้ พวกเขาจักไม่สามารถพิทักษ์เมืองได้ทัน สมควรปลิดชีพทดแทนความผิด!” เซียวอวี้ไร้ซึ่งไมตรีจิต พลันมีราชโองการทันที ให้ลงโทษเหล่าท่านอ๋องตามกฎหมาย เหล่าขุนนางล้วนแต่น้ำท่วมปาก ทว่าคิดดูอีกที ต้องขอบคุณกองทัพตงปู้กับแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ต่อสู้กับศัตรูสุดความสามารถ หากกองทัพเยี่ยนบรรลุผล ผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการถึง เหล่าท่านอ๋องนั้น ช่างเลอะเลือนอะไรเช่นนี้! ความคิดของพวกเขา ปรากฏชัดเจนม
นายท่านเฟิ่งโกรธมากจนปากเบี้ยวคิ้วตก คล้ายเป็นอัมพาตครึ่งซีก เขาตวาดใส่อี๋เหนียงหลิน “คราวหน้า หากเจ้ายังตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้อีก ก็ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!” อี๋เหนียงหลินทำอะไรไม่ถูก ความเพ้อเจ้อก่อนหน้านี้พลันอันตรธานไปสิ้น เดิมนางคิดว่า รอจนกว่าบุตรสาวตระกูลเฟิ่งกลับมาจากชนบท ตนเองก็จะแสดงอำนาจในฐานะ “ฮูหยิน” อย่างสง่าผ่าเผย เมื่อครู่กลับบอกนางว่า หญิงบ้านนอกคนนั้นกำลังจะได้เป็นฮองเฮา?! เฟิ่งเวยเฉียงเคยได้เป็นฮองเฮา บัดนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังจะได้เป็นฮองเฮาด้วย เหตุใดบุตรสาวของสกุลหลิวถึงได้เป็นฮองเฮาทุกคน! นังแพศยานั่นช่างมีวาสนาอะไรเช่นนี้! อี๋เหนียงหลินเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ได้เห็นที่ในลานกว้าง——เฟิ่งหมิงเซวียนบุตรชายของตนที่กำลังหยอกเล่นกับนกเหล่านั้น ตระกูลเฟิ่งให้กำเนิดฮองเฮาผู้มีคุณธรรม ไฉนตนเองจึงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวได้! ให้กำเนิดบุตรชายยังไม่พอ ยังไร้ประโยชน์ได้ขนาดนี้! อี๋เหนียงหลินเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางริษยา ทว่ายังทราบหลักการรุ่งโรจน์ผู้เดียวพลอยรุ่งเรืองทั้งหมด จึงรีบเรียกสาวใช้เข้ามาสั่งการ ให้ไปยกเลิ
ณ ลานประหาร มู่หรงหลันระเบิดเสียงหัวเราะราวกับคนสติฟั่นเฟือน นางมองดูอาทิตย์ที่ใกล้ลาลับฟ้า หลั่งน้ำตาอย่างไม่ข่มกลั้นตามกฎหมาย ถึงแม้นางจะถูกตัดสินลงโทษแล้ว ยังต้องเลือกวันประหาร และทำการประหารในยามอู่ ทว่าฮ่องเต้แทบรอไม่ไหวแม้เพียงวันเดียว เขามีเจตนาสังหารต่อนางรุนแรงนัก! มู่หรงหลันหันไปมองบิดาของตนเอง และถามอย่างโกรธเคือง “ท่านพูดสิ่งใดกับฝ่าบาท!” มู่หรงเหลียนยอมรับการลงโทษอย่างใจเย็น “พูดความจริง รวมถึงภูมิหลังของเจ้าด้วย” ทันใดนั้นหัวใจของมู่หรงหลันพลันบีบรัด เป็นเช่นนี้เอง! ฝ่าบาทรู้แล้วว่านางเป็นหลานสาวของหยางเหลียนซั่ว และเป็นสายเลือดของราชวงศ์แห่งแคว้นเฉิน ไม่น่าแปลกใจที่เขาอยากจะฆ่านาง! “ฮ่าฮ่า...ท่านพ่อ! ท่านช่างเป็น ‘ท่านพ่อที่ดี’ ของข้าจริง ๆ ! ไฉนท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้เล่า! ข้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของท่านหรือไร? ท่านคิดจะลากข้าไปตายพร้อมท่านจริงรึ!” นางเกลียดเขานัก! หากไม่ใช่เพราะเขา ฝ่าบาทก็อาจจะไม่ใจดำต่อนางขนาดนี้! นี่คือการประหารแล่เนื้อเชียว! แววตาของมู่หรงเหลียนเฉยเมย ครั้นมองดูนาง ก็นึกถึงมารดาผู้ให้กำเน
หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งมองดูรถม้าที่กำลังเคลื่อนจากไป ในใจรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ อี๋เหนียงหลินเอ่ยเตือน “นายท่าน รถม้าออกไปไกลแล้ว พวกเรากลับเข้าข้างในกันเถิด อาหารเย็นชืดหมดแล้วเจ้าค่ะ” นายท่านเฟิ่งสะบัดมือของนางออก แค่นเสียงเย็นชา ก่อนหมุนตัวเดินเข้าจวน เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของจิ่วเหยียนแท้ ๆ ทว่าฝ่าบาทเชิญแต่ฮูหยินเมิ่ง มิได้เชิญเขา! หรือว่าในอนาคตจิ่วเหยียนจะสมรสในฐานะบุตรสาวของตระกูลเมิ่ง? มันน่าโมโหมากนัก! ณ พระราชวัง เซียวอวี้ได้สั่งให้คนเตรียมสำรับเย็นไว้แล้ว เพียงแต่วันนี้มีราชกิจรัดตัว จึงเกือบลืมไปเช่นกัน ฮูหยินเมิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก ไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่งเกินไป อาหารเป็นเรื่องรอง จุดประสงค์หลักคือนางต้องการทูลถามฝ่าบาทว่า จัดเตรียมพิธีสมรสกับจิ่วเหยียนถึงไหนแล้ว เซียวอวี้ก็อยากถามความคิดเห็นของนางกับเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็อยากเกี่ยวดองกับตระกูลเฟิ่ง ยังต้อง... เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนขึ้น และเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ฝ่าบาทเพคะ อาจารย์กับอาจารย์หญิงเลี้ยงดูหม่อมฉันจนเติบใหญ่ ในใจขอ
วังหลวง รับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเซียวอวี้ จึงให้คนส่งอาจารย์หญิงออกจากวังไปก่อนนับจากกลับมาจนถึงตอนนี้ เซียวอวี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นตอนนี้ เขาไม่อยากคุยเรื่องจริงจังหลังจากฮูหยินเมิ่งกลับไป เขาให้ข้าหลวงออกไป จากนั้นก็ดึงเฟิ่งจิ่วเหยียนมาสู่อ้อมอก กอดนางไว้ ราวกับเช่นนี้สามารถขจัดความเหนื่อยล้าได้“เราเหนื่อยมาเลย ดูสิ สาส์นกราบทูลพวกนั้น ช่วงบ่ายเราอ่านหมดแล้ว”กองหนาบนโต๊ะ ดูแล้วก็เหนื่อยมากจริงๆเฟิ่งจิ่วเหยียนปล่อยให้เขากอดพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังคงผลักเขาอย่างใจร้าย“พูดเรื่องจริงจัง คำให้การของหยางเหลียนซั่ว ท่านดูแล้วหรือยัง?” เซียวอวี้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“ที่นี่มีแค่เราสองคน ทำไมถึงห่างเหินเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลีกเลี่ยงสิ่งเล็กน้อย มุ่งเน้นปัญหาหลัก“ท่านราชครูเฉินไม่ได้กบฏ อดีตรัชทายาทก็บริสุทธิ์เช่นกัน เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของพรรคเทียนหลง ท่านควรพิสูจน์คืนความบริสุทธิ์ให้กับพวกเขา”เซียวอวี้พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี“เจ้าพูดถูก ควรคืนความบริสุทธิ์”มู่หรงเหลียนก็ให้การเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเขาเตรียมการไว้ตั้
ณ ตำหนักฉือหนิงสายตาที่ไทเฮามองมายังฮ่องเต้ ดูไม่สบายใจและไม่มั่นใจอยู่บ้างนางไม่คิดว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง เลยแวะมาเยี่ยมนางเซียวอวี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบใด ๆ“ถวายบังคมเสด็จแม่“เราจะไม่อยู่วัง วันกลับยังไม่แน่ชัด เรื่องภายในวังหลัง เรากังวลว่าหนิงเฟยคนเดียวจะตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากฝากให้ท่านดูแลชั่วคราว”ไทเฮางุนงงยิ่งกว่าเดิมเขาจะออกจากวังไปทำอะไรอีก?ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?เซียวอวี้ส่งสายตา หลิวซื่อเหลียงจึงนำตราประทับทองวางลงบนโต๊ะมีตราประทับทอง ก็จะสามารถควบคุมเรื่องทุกอย่างในวังหลังได้นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้จับตราประทับทองแต่บางเรื่อง นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี“ฮ่องเต้ เจ้าไม่อยู่วังอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะอะไรล่ะ? อีกอย่าง ตอนนั้นฮองเฮาใส่ชุดสามัญชนออกตรวจแต่ละเมืองกับเจ้า ทำไมมีแต่เจ้ากลับมาคนเดียว ฮองเฮาล่ะ?”แววตาของเซียวอวี้ราบเรียบ คำโป้ปดพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด“เราต้องกลับมาจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก ฮองเฮายังออกตรวจอยู่ ครั้งนี้ เราจึงต้องไปตามหานาง”ไม่รู้ไทเฮาเชื่อหรือไม่ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่
เซียวอวี้ไม่ทันได้รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมา แต่กลับได้ยินข่าวลือที่นางจะขึ้นบัลลังก์ในแคว้นซีหนี่ว์เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดที่จะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้จากนิสัยของจิ่วเหยียน มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อปกป้องแคว้นซีหนี่ว์แล้ว นางจะปล่อยไปตามสถานการณ์ รับช่วงแก้ปัญหาต่อของแคว้นซีหนี่ว์ นัยน์ตาของเซียวอวี้เจือแววหม่นหมองเขาสั่งเฉินจี๋ “ไปสืบมาให้ชัดเจน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เฉินจี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาจะทิ้งฝ่าบาท และหันหลังให้แคว้นหนานฉีทั้งอย่างนี้วันต่อมาณ ตำหนักฉือหนิง หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกอ่อนเพลีย มักจะนอนไม่หลับสนิทหมอหลวงตรวจชีพจรให้นาง หนิงเฟยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ “หมอหลวง ร่างกายของท่านป้าเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรหรือไม่?”หมอหลวงโค้งคำนับ “ทูลพระนาง เส้นลมปราณจุดเริ่นของไทเฮาอ่อนแรง เส้นลมปราณไท่ชงก็น้อยลง ชีพจรเทียนขุยหดหาย อุโมงค์อุดตัน ระดูหมด”เขาอธิบายจบ สีหน้าของไทเฮาพลันแข็งค้าง หัวใจเหมือนถูกอะไรทับไว้ จนหายใจไม่ออกระดูหมด นั่นหมายความว่านางเข้าสู่วัยชราอย่างสมบูรณ์นี่เป็นเรื่องที่สตรีต้องประสบพบเจอในชีวิตแต่นางไม่คิดเลยว
หัวหน้าแม่ทัพของแคว้นเจิ้งมีสีหน้าอดกลั้น“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก ควรถอยทัพ เพื่อปกป้องกองกำลังของแค้นให้คงอยู่!”หัวหน้าแม่ทัพแคว้นเสี่ยวโจวหงุดหงิดอย่างยิ่ง“สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า! ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์และแคว้นหนานฉี ผูกมัดรวมกันแล้ว!”หากพวกเขาเคลื่อนทัพเมื่อใด กองทัพชายแดนตะวันตกของแคว้นหนานฉีก็จะเคลื่อนไหวทันทีพอถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะถูกโจมตีทั้งสองทางอันตรายนี้ จะเข้าไปเสี่ยงไม่ได้แคว้นหนานฉีในปัจจุบัน เปรียบเสมือนปีศาจจอมตะกละที่กินอย่างไรก็ไม่อิ่มท้องหากถูกพวกเขาโจมตียึดครอง ก็ไม่ใช่แค่ตกเป็นแคว้นอาณานิคม แต่แคว้นจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก……บริเวณขอบชายแดนเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ไปไหนลมค่อย ๆ แรงขึ้น หูย่วนเอ๋อร์นำผ้าคลุมกันลม มาคลุมให้นางอย่างนอบน้อมสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทอดมองยังเบื้องหน้า กล่าวอย่างลุ่มลึก“แม่ทัพหู ข้าอยากให้เจ้าบอกมาตามตรง“เรื่องที่สองแม่ลูกหลิวอิ๋งกลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ท่านป้ารู้หรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์บอกอย่างงุนงง“ยามที่ประมุขแคว้นรักษาตัวอยู่ที่ชานเมือง นางรู้อะไร หรือไม่รู้อะไรนั้น ข้าไม่รู้เรื่อ
เมื่อเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ความหวัง เจิ้งจีก็ตะโกนสาปแช่งไล่หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกล“เฟิ่งจิ่วเหยียนเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ เจ้าสร้างบาปกรรมเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีลูกอีกไม่ได้แน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยิน ในใจกลับไม่สะทกสะท้านด้านหลัง มีเสียงยกดาบและลงดาบดังตามมาติด ๆหลิวอิ๋งพูดถูก ถูกประหารศีรษะก็แค่หลุดล่วงบนพื้นวันนี้ ศีรษะของนางหลุดในวังหลวงแคว้นซีหนี่ว์หัวกลิ้งหลุน ๆ ดึงดันหันไปทางตำหนักหลัก จ้องบัลลังก์ที่นางยังไม่ได้ครอบครอง อย่างตายตาไม่หลับเจิ้งจีเห็นภาพนี้ พลันนิ่งอึ้ง“ไม่นะ! ไม่——ท่านแม่!”เมื่อเห็นดาบกำลังจะฟันลงที่นาง นางก็เบิกตากว้างนางเสียใจนางไม่น่าตามมารดาไปที่เมืองหลวง ไม่น่าไปฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยากเป็นนางสนม ไม่น่ากลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์อีกครั้งหากนางอยู่ที่เจียงโจว ก็คงไม่ตายต่อมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา…ศีรษะหลุดออกจากบ่าหล่นบนพื้นตายตาไม่หลับเหมือนกัน……นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์กองทัพของแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งโจวเตรียมบุกโจมตีเวลากลางคืน ทหารสอดแนมมารายงาน“ท่านแม่ทัพ! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว! แต่ซู่ย
ความผูกพันที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อแคว้นซีหนี่ว์ ไม่ลึกซึ้งเท่าความผูกพันที่มีต่อแคว้นหนานฉีเนื่องจากนางเติบโตในแคว้นหนานฉีตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเคยเป็นทหารของแคว้นหนานฉีญาติสนิทมิตรสหายของนาง ล้วนอยู่ในแคว้นหนานฉีทั้งนั้นตอนนี้ นางยังเป็นฮองเฮาของแคว้นหนานฉีอีกด้วยหากนางตัวคนเดียว บางทีนางอาจจะสามารถอยู่ได้แบบไม่ต้องลังเล แต่ว่าตอนนี้ หากให้นางทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนานฉี อยู่เป็นฮ่องเต้ที่แคว้นซีหนี่ว์ นางทำไม่ได้นางมีหลายเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้และยังอาลัยอาวรณ์อยู่สามีของนาง ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วไหนจะเวยเฉียง…ทว่า แคว้นซีหนี่ว์เองก็ต้องปกป้องในด้านส่วนตัว นี่คือสายเลือดตระกูลบรรพบุรุษของนางในด้านส่วนรวม จำเป็นต้องมีแคว้นเฉกเช่นแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรี อีกอย่าง แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งก็สนิทชิดเชื้อกับเป่ยเยี่ยน หากพวกเขาแบ่งแยกแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะสร้างความกดดันต่อชายแดนทางตะวันตกของแคว้นหนานฉี หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ข้าจะช่วยแคว้นซีหนี่ว์ปราบปรามศัตรูให้ล่าถอย แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ คงต้องให้ผู้ปรา
ณ แคว้นหนานฉีภายในพระราชวังความรู้สึกไม่สบายใจของเซียวอวี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆเขาฝืนอ่านฎีกาจนจบ แล้วขึ้นราชรถไปตำหนักหย่งเหอด้วยจิตใจที่ล่องลอยหลิวซื่อเหลียงรีบตามมาด้านหลัง เขามองออกว่าฝ่าบาทกำลังวิตกกังวล ก็นึกว่าฝ่าบาททรงกังวลเรื่องของแคว้น จึงให้ข้าหลวงถอยออกไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเซียวอวี้นั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักชั้นในเป็นเวลานานหากไม่ติดเรื่องฐานะฮ่องเต้ ยามนี้เขาอยากจะไปแคว้นซีหนี่ว์ ตามจิ่วเหยียนของเขากลับมาแล้วแคว้นซีหนี่ว์ในเวลาเดียวกันเฟิ่งจิ่วเหยียนตกอยู่ในสองสถานการณ์ที่ยากลำบากด้านหนึ่ง นางรู้ดีว่าด้วยฐานะฮองเฮาแคว้นหนานฉีของนาง ไม่อาจอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ได้อีกด้านหนึ่ง แคว้นซีหนี่ว์ถูกคุกคามจากแคว้นศัตรู หากนางพาท่านแม่จากไปโดยไม่สนใจความอยู่รอดของแคว้นซีหนี่ว์ ย่อมทำใจได้ยากภายในตำหนัก โอวหยางเหลียนและหูย่วนเอ๋อร์ต่างคุกเข่าให้นางอยู่บนพื้น ขอร้องให้นางอยู่ต่อด้านนอกตำหนัก เหล่าขุนนางที่เดิมยังอยู่ที่ท้องพระโรงหน้า ไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากที่ใด ยามนี้ต่างก็มาคุกเข่าอยู่ด้านนอก ขอให้นางขึ้นครองราชย์แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักอึ้ง“ลุกข
หลิวอิ๋งไม่สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง นางถามเจิ้งจีเป็นอย่างแรก“ท่านป้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”“ท่านแม่ ท่านป้าสวรรคตแล้วเจ้าค่ะ...”ความทรงจำของเจิ้งจีเลือนราง จึงนึกว่าท่านแม่เองก็จำได้ไม่ชัดเจนเช่นกันหญิงผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือยามนี้นางจึงรีบพูดเรื่องสำคัญ “ท่านแม่ มีคนบุกเข้าไปในตำหนักบรรทม พวกเขาตีข้าจนสลบ ท่านรีบส่งทหารรักษาพระองค์ไปจับพวกเขาเร็วเข้า!”หลังจากเจิ้งจีที่อยู่นอกตำหนักฟื้นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ยังมีเสียงเลือนรางที่ดังมาจากด้านในตำหนักอีก ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือหนีเพื่อไปขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนตีนางจนสลบ และไม่รู้ว่าในตำหนักเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลิวอิ๋งได้ยินคำพูดของลูกสาว ก็คิดว่าประมุขแคว้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ได้มีเรื่องอย่างการฟื้นคืนชีพ ก็รู้สึกยินดียิ่งตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ที่ว่าประมุขแคว้นยังเหลือลมหายใจอยู่อะไรนั่น ที่แท้ก็เป็นการหลอกนาง!เฮ้อ! โชคดีที่นางไม่ติดกับ!พอซู่เฉียนเสวี่ยตายแล้ว ทีนี้นางอยากรู้นัก ใครจะพิสูจน์ได้เล่าว่านางไม่ใช่ซู่ยวน?......ตอนที่นายหญิงเฟิ่งมาถึงพระราชว
“ท่านประมุข แคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งต่างจ้องแคว้นเราตาเป็นมัน ท่านทำใจทิ้งพวกเราลงได้หรือเพคะ!”“ท่านประมุข ท่านจะต้องอายุยืนเป็นร้อยปี! ได้โปรดทำใจให้ฮึกเหิมเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ จะต้องทรงดีขึ้นนะเพคะ!”“ท่านประมุข หม่อมฉันไร้ความสามารถ หม่อมฉันมาช่วยพระองค์ช้าเกินไป! แท้ที่จริงแล้วหลิวอิ๋งผู้นั้น ใช่ใต้เท้าซู่ยวนหรือไม่เพคะ? ขอท่านเผยความจริงด้วยเถิด!”ประมุขแคว้นที่อยู่บนเตียง เบ้าตาจมลึก ริมฝีปากซีดขาว ผอมจนเห็นกระดูก อาภรณ์ขาวบนร่างดูราวกับผ้าห่อศพ แผ่กลิ่นอายความตายออกมาลมหายใจของนางแผ่วเบา ทว่าเสียงที่ออกมาจากปากกลับชัดเจนยิ่ง “หลิวอิ๋ง...ไม่ใช่ซู่ยวน จะให้นางทำให้แคว้นซีหนีว์วุ่นวายไม่ได้!”เมื่อซู่เฉียนเสวี่ยพูดคำสุดท้ายจบ ก็ราวกับว่านางได้ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดแล้ว นางหายใจรุนแรงราวกับว่าวิญญาณในร่างกำลังล่องลอยออกไป นางเงยหน้าขึ้นด้วยความทรมานอย่างที่สุด เพื่อให้ลมหายใจเคลื่อนผ่านสะดวกเหล่าขุนนางคนสนิทต่างก่นด่าถึงความไม่เป็นธรรม“ท่านประมุข ท่านวางใจเถิดเพคะ! หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ซู่ยวนตัวปลอมนั่นขึ้นครองราชย์เด็ดขาด!”“ใช่ ฆ่านางซะ! นางหลอกลวงเบื้องสูง ทั้งยังทำร้ายท
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั