ณ พระราชวัง ฮองเต้ทรงคิดบัญชีย้อนหลัง นอกจากไทฮองไทเฮาแล้ว เหล่าท่านอ๋องในคุกเทียนเหลาก็จะถูกลงโทษฐานกระทำความผิดร้ายแรง มีขุนนางหลายคนทูลขอพระเมตตาแทนพวกเขา “ฝ่าบาท เหล่าท่านอ๋องมิรู้เรื่องเลย ล้วนถูกไทฮองไทเฮาหลอกใช้ มิสมควรได้รับโทษหนักพ่ะย่ะค่ะ” เซียวอวี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สายตาเย็นชาคมกริบ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การที่พวกเขานำทหารของตนบุกเข้าวิหารบรรพบุรุษ เป็นเพราะถูกไทฮองไทเฮาหลอกใช้ หรือมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ “พวกเขาเข้ามาในเมืองหลวงโดยไม่มีคำสั่ง ละทิ้งหน้าที่โดยพลการ ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง! “หากกองทัพเยี่ยนบุกโจมตีจริง ๆ แล้วไซร้ พวกเขาจักไม่สามารถพิทักษ์เมืองได้ทัน สมควรปลิดชีพทดแทนความผิด!” เซียวอวี้ไร้ซึ่งไมตรีจิต พลันมีราชโองการทันที ให้ลงโทษเหล่าท่านอ๋องตามกฎหมาย เหล่าขุนนางล้วนแต่น้ำท่วมปาก ทว่าคิดดูอีกที ต้องขอบคุณกองทัพตงปู้กับแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ต่อสู้กับศัตรูสุดความสามารถ หากกองทัพเยี่ยนบรรลุผล ผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการถึง เหล่าท่านอ๋องนั้น ช่างเลอะเลือนอะไรเช่นนี้! ความคิดของพวกเขา ปรากฏชัดเจนม
นายท่านเฟิ่งโกรธมากจนปากเบี้ยวคิ้วตก คล้ายเป็นอัมพาตครึ่งซีก เขาตวาดใส่อี๋เหนียงหลิน “คราวหน้า หากเจ้ายังตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้อีก ก็ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!” อี๋เหนียงหลินทำอะไรไม่ถูก ความเพ้อเจ้อก่อนหน้านี้พลันอันตรธานไปสิ้น เดิมนางคิดว่า รอจนกว่าบุตรสาวตระกูลเฟิ่งกลับมาจากชนบท ตนเองก็จะแสดงอำนาจในฐานะ “ฮูหยิน” อย่างสง่าผ่าเผย เมื่อครู่กลับบอกนางว่า หญิงบ้านนอกคนนั้นกำลังจะได้เป็นฮองเฮา?! เฟิ่งเวยเฉียงเคยได้เป็นฮองเฮา บัดนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังจะได้เป็นฮองเฮาด้วย เหตุใดบุตรสาวของสกุลหลิวถึงได้เป็นฮองเฮาทุกคน! นังแพศยานั่นช่างมีวาสนาอะไรเช่นนี้! อี๋เหนียงหลินเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ได้เห็นที่ในลานกว้าง——เฟิ่งหมิงเซวียนบุตรชายของตนที่กำลังหยอกเล่นกับนกเหล่านั้น ตระกูลเฟิ่งให้กำเนิดฮองเฮาผู้มีคุณธรรม ไฉนตนเองจึงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวได้! ให้กำเนิดบุตรชายยังไม่พอ ยังไร้ประโยชน์ได้ขนาดนี้! อี๋เหนียงหลินเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางริษยา ทว่ายังทราบหลักการรุ่งโรจน์ผู้เดียวพลอยรุ่งเรืองทั้งหมด จึงรีบเรียกสาวใช้เข้ามาสั่งการ ให้ไปยกเลิ
ณ ลานประหาร มู่หรงหลันระเบิดเสียงหัวเราะราวกับคนสติฟั่นเฟือน นางมองดูอาทิตย์ที่ใกล้ลาลับฟ้า หลั่งน้ำตาอย่างไม่ข่มกลั้นตามกฎหมาย ถึงแม้นางจะถูกตัดสินลงโทษแล้ว ยังต้องเลือกวันประหาร และทำการประหารในยามอู่ ทว่าฮ่องเต้แทบรอไม่ไหวแม้เพียงวันเดียว เขามีเจตนาสังหารต่อนางรุนแรงนัก! มู่หรงหลันหันไปมองบิดาของตนเอง และถามอย่างโกรธเคือง “ท่านพูดสิ่งใดกับฝ่าบาท!” มู่หรงเหลียนยอมรับการลงโทษอย่างใจเย็น “พูดความจริง รวมถึงภูมิหลังของเจ้าด้วย” ทันใดนั้นหัวใจของมู่หรงหลันพลันบีบรัด เป็นเช่นนี้เอง! ฝ่าบาทรู้แล้วว่านางเป็นหลานสาวของหยางเหลียนซั่ว และเป็นสายเลือดของราชวงศ์แห่งแคว้นเฉิน ไม่น่าแปลกใจที่เขาอยากจะฆ่านาง! “ฮ่าฮ่า...ท่านพ่อ! ท่านช่างเป็น ‘ท่านพ่อที่ดี’ ของข้าจริง ๆ ! ไฉนท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้เล่า! ข้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของท่านหรือไร? ท่านคิดจะลากข้าไปตายพร้อมท่านจริงรึ!” นางเกลียดเขานัก! หากไม่ใช่เพราะเขา ฝ่าบาทก็อาจจะไม่ใจดำต่อนางขนาดนี้! นี่คือการประหารแล่เนื้อเชียว! แววตาของมู่หรงเหลียนเฉยเมย ครั้นมองดูนาง ก็นึกถึงมารดาผู้ให้กำเน
หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งมองดูรถม้าที่กำลังเคลื่อนจากไป ในใจรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ อี๋เหนียงหลินเอ่ยเตือน “นายท่าน รถม้าออกไปไกลแล้ว พวกเรากลับเข้าข้างในกันเถิด อาหารเย็นชืดหมดแล้วเจ้าค่ะ” นายท่านเฟิ่งสะบัดมือของนางออก แค่นเสียงเย็นชา ก่อนหมุนตัวเดินเข้าจวน เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของจิ่วเหยียนแท้ ๆ ทว่าฝ่าบาทเชิญแต่ฮูหยินเมิ่ง มิได้เชิญเขา! หรือว่าในอนาคตจิ่วเหยียนจะสมรสในฐานะบุตรสาวของตระกูลเมิ่ง? มันน่าโมโหมากนัก! ณ พระราชวัง เซียวอวี้ได้สั่งให้คนเตรียมสำรับเย็นไว้แล้ว เพียงแต่วันนี้มีราชกิจรัดตัว จึงเกือบลืมไปเช่นกัน ฮูหยินเมิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก ไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่งเกินไป อาหารเป็นเรื่องรอง จุดประสงค์หลักคือนางต้องการทูลถามฝ่าบาทว่า จัดเตรียมพิธีสมรสกับจิ่วเหยียนถึงไหนแล้ว เซียวอวี้ก็อยากถามความคิดเห็นของนางกับเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็อยากเกี่ยวดองกับตระกูลเฟิ่ง ยังต้อง... เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนขึ้น และเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ฝ่าบาทเพคะ อาจารย์กับอาจารย์หญิงเลี้ยงดูหม่อมฉันจนเติบใหญ่ ในใจขอ
วังหลวง รับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเซียวอวี้ จึงให้คนส่งอาจารย์หญิงออกจากวังไปก่อนนับจากกลับมาจนถึงตอนนี้ เซียวอวี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นตอนนี้ เขาไม่อยากคุยเรื่องจริงจังหลังจากฮูหยินเมิ่งกลับไป เขาให้ข้าหลวงออกไป จากนั้นก็ดึงเฟิ่งจิ่วเหยียนมาสู่อ้อมอก กอดนางไว้ ราวกับเช่นนี้สามารถขจัดความเหนื่อยล้าได้“เราเหนื่อยมาเลย ดูสิ สาส์นกราบทูลพวกนั้น ช่วงบ่ายเราอ่านหมดแล้ว”กองหนาบนโต๊ะ ดูแล้วก็เหนื่อยมากจริงๆเฟิ่งจิ่วเหยียนปล่อยให้เขากอดพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังคงผลักเขาอย่างใจร้าย“พูดเรื่องจริงจัง คำให้การของหยางเหลียนซั่ว ท่านดูแล้วหรือยัง?” เซียวอวี้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“ที่นี่มีแค่เราสองคน ทำไมถึงห่างเหินเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลีกเลี่ยงสิ่งเล็กน้อย มุ่งเน้นปัญหาหลัก“ท่านราชครูเฉินไม่ได้กบฏ อดีตรัชทายาทก็บริสุทธิ์เช่นกัน เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของพรรคเทียนหลง ท่านควรพิสูจน์คืนความบริสุทธิ์ให้กับพวกเขา”เซียวอวี้พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี“เจ้าพูดถูก ควรคืนความบริสุทธิ์”มู่หรงเหลียนก็ให้การเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเขาเตรียมการไว้ตั้
เซียวอวี้ไม่เคยคิดมาก่อน ตนเองฟังคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ผิดไปเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายอย่างใจเย็น“ในเมื่อพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน ฉะนั้น ‘สื่อ’(ที่มีความหมายว่าตาย) กับ ‘ซื่อ’(ที่มีความหมายว่าสกุล) สับสนได้ง่าย”“ ‘หลิว’(ที่มีความหมายว่าเก็บไว้) เป็นพยางค์สุดท้ายที่อดีตฮ่องเต้ทรงตรัส ไม่สามารถออกเสียงชัดถ้อยเหมือนคนปกติ ด้วยการหายใจลากเสียงยาว คนอื่นได้ยิน หลิว ถูกแยกกลายเป็น ‘ลี่โฮ้ว’(ที่มีความหมายว่าตั้งเป็นฮองเฮา) ” เซียวอวี้ยังคงสงสัย“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่พูดให้กระจ่างโดยตรง? พูดว่าสังหารมู่หรง ไม่ชัดเจนยิ่งกว่าหรือ”ตาคิ้วเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น“อยู่ในชายแดนเหนือ ข้าเคยได้ยินคำสั่งเสียของคนนับไม่ถ้วน ในขณะที่คนใกล้สิ้นใจ รู้ตัวเองว่ามีเวลาคับขัน จึงคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน สำหรับอดีตฮ่องเต้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในประโยคสมบูรณ์ก็คือ มู่หรง”“หรือจะเป็นมู่หรงหลัน ตระกูลมู่หรง ทั้งเผ่าพันธุ์มู่หรง พระองค์อยากเตือนท่าน มู่หรงมีปัญหา”“ทว่าหลังจากพระองค์พูดมู่หรงสองพยางค์ ก็ยากลำบากมากแล้ว ซึ่งเห็นได้จากประโยคที่พระองค์พูดอย่างสั้น ๆ เขากังวลว่าพยางค
คำพูดที่มู่หรงหลันพูดก่อนตาย รุ่ยอ๋องเล่าให้เฟิ่งจิ่วเหยียนฟัง “น่าเสียดาย นางพูดเพียงมนุษย์โอสถ ไม่พูดอะไรต่อ” ระหว่างคิ้วรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิด“พรรคเทียนหลงเคยเลี้ยงมนุษย์โอสถ ควรที่จะสืบต่อไป ทว่าเรื่องนี้ควรให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย”เมื่อพูดเสร็จ นางทำความเคารพกล่าวลารุ่ยอ๋องหันมามองเงาร่างของนางที่เดินจากไป ยังรู้สึกประหลาดใจ...แม่ทัพน้อยเมิ่งที่กล้าหาญสง่างามมีชีวิตชีวาในตอนนั้น กลับเป็นสตรี……ความผิดที่มู่หรงเหลียนรับสารภาพ พัวพันกับคดีที่ไม่เป็นธรรมมากมายเมื่อรวมกับคำสารภาพของหยางเหลียนซั่ว ดังนั้น คดีความอยุติธรรมของอดีตรัชทายาทกับตระกูลเฉินก็กระจ่างขึ้นวันรุ่งขึ้น อาชญากรรมของพรรคเทียนหลงถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้กระทำผิดหลัก หยางเหลียนซั่ว ถูกเปลี่ยนให้เป็น “มนุษย์สุกร” ลากตัวไปในตลาด ให้ผู้คนมุงดูหยางเหลียนซั่วยังสามารถได้ยิน เขาเสียใจอย่างมาก ไม่สามารถฆ่าตัวตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์แคว้นเฉิน ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากจัณฑาลเหล่านี้หยางเหลียนซั่วในยามนี้ ในทุกวันที่มีชีวิตอยู่ ล้วนเป็นการทรมานที่เจ็บปวด
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในวังมีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด จึงนัดไว้เป็นเวลายามไฮ่สุดท้าย ก่อนยามไฮ่หนึ่งชั่วยาม เซียวอวี้ก็มาแล้วเขาแต่งตัวสวมอาภรณ์สีแดง “งดงามฉูดฉาดหรูหรา” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองข้างหลัง ยังนึกว่าเจียงหลินโผล่มาแขกรอบข้างต่างมองดูเขานางมาถึงหอสุราก่อนเวลาครึ่งชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าเขามาเร็วกว่า“หม่อมฉันจองห้องส่วนตัว อยู่ชั้นสอง” เซียวอวี้คว้าจับมือของนางไว้ทันที กลับถูกนางสะบัดทิ้งด้วยสัญชาตญาณยังไง เวลานี้นางแต่งกายเป็นบุรุษผู้ชายสองคนเดินจุงมือกัน ดูได้ที่ไหนมือเซียวอวี้ค้างอยู่กลางอากาศ น้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกหรือนางโกรธที่ตนเองไม่ได้อยู่กับนางมาหลายวัน?เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว เซียวอวี้รวบโอบกอดคนตรงหน้าทันทีข้างนอกประตู อู๋ไป๋ปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วเขาเงยศีรษะขึ้นมา เห็นเฉินจี๋ไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่ยืนตัวตรง ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ“ข้าว่า เจ้าปิดประตูไม่เป็นหรือ?”เฉินจี๋ : ?ภายในห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเซียวอวี้ ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา“เนื้อตัวหม่อมฉันสกปรก”เซียวอวี้เพิ่งค่อยสังเกตเห็น บนอาภรณ์ของนางเปื้อนไปด้วยฝุ่น ราวกับได้มุดผ่านตร
เฟิ่งจิ่วเหยียนแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เซียวอวี้เอ่ยว่า ต้องการจะเป็นพระสวามีของนาง?“ท่านพูดจริงหรือ?” นางไม่เคยนึกถึงหนทางนี้มาก่อนเขาช่างคิดหาแนวทางใหม่เสียจริงเซียวอวี้ดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่นกับนาง พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง“ก่อนมาตามหาเจ้า เรื่องในวัง เราได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว“จะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว หนานฉีกับแคว้นซีหนี่ว์ จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน“เราก็ถือว่า ตามเจ้ากลับไปอยู่บ้านมารดาภรรยาสักสองสามปี“รอจนกว่าจะพิชิตแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้...”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบขัดจังหวะ“กลับบ้านมารดาภรรยา? นี่นำมารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้หรือ?”ไม่ใช่ว่าเขาตรวจสาส์นกราบทูลจนสับสนแล้วหรือเซียวอวี้เอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง“คำพูดแต่ละประโยคที่เราพูด ล้วนมาจากใจจริง“ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีแค่สองหนทางนี้“ตอนนี้ ให้เจ้าเลือก”เฟิ่งจิ่วเหยียนยิ้มมุมปาก ดูท่าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม“เหตุใดหม่อมฉันถึงรู้สึกว่า ท่านกำลังบังคับให้หม่อมฉันเลือก?“ก็รู้ชัดเจนแล้วว่า หม่อมฉันไม่อาจให้ท่านเป็นพระสวามีได้”เซียวอวี้ขมวดคิ้วทันที: “ไม่ให้เราเป็นพระสวามี หรือเจ้าคิดจ
หลังจากประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่ด้านนอก ก็คือเซียวอวี้จริง ๆเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบวางมีดในมือลงทันที พร้อมก้าวเดินไปหาเขาเซียวอวี้ก็มองนางตาไม่กะพริบเช่นกัน ราวกับกลัวว่านางจะจากไปตามแผนที่กำหนด เดิมทีเขาตั้งใจจะไปที่แคว้นซีหนี่ว์โดยตรงทว่าได้รับข่าวจากองครักษ์เงา บอกว่านางกลับมาที่หนานฉีแล้ว เขาจึงรีบมาตามที่อยู่บนจดหมายโชคยังดี พายุหิมะรั้งลูกค้าที่มาพักให้อยู่ต่อ“ฮูหยิน...” ต่อหน้าคนนอก เขาไม่ควรเรียกชื่อนางโดยตรง ทว่าถึงแม้จะเปลี่ยนคำเรียก ก็ยังแฝงไว้ด้วยความรักและความคิดถึงเช่นเดิมภายในห้องนี้มีคนนอก เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงพาเขาไปที่ห้องของนาง พลางกำชับอู๋ไป๋ให้คอยเฝ้าต่อไป พร้อมให้เงินหนึ่งก้อนกับเสี่ยวเอ้อร์เมื่อรับเงินไปแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ปิดหูปิดตา ต่อสิ่งที่ตนเองได้เห็น และได้ยิน เฟิ่งจิ่วเหยียนพาเซียวอวี้เข้ามาที่ห้อง พอปิดประตู เซียวอวี้ก็โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนเสื้อคลุมบนตัวเขา ที่ปกคอขนสัตว์เต็มไปด้วยหิมะ จนเปียกชื้นเฟิ่งจิวเหยียนผลักเขาออกไปเบา ๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เพื่อจะเช็ดให้เขา“ท่านมาได้อย่างไร? ด้านนอกหิมะตก รู้สึกไม่สบายหรือไม่?”เขามีอาการกลัว
คดีมนุษย์โอสถ เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบหามานาน น่าเสียดายที่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆไฉนเลยจะคิดว่า มาค้นพบในโรงพักแรมเล็ก ๆ แห่งนี้สายตาที่นางมองดูพ่อค้าคนนั้น ดูเฉียบคมกว่าเดิมพ่อค้าเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาที่เพิ่งรู้ว่าในลังนั้นคืออะไร ในใจก็มีแผนรับมือไว้แล้ว รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่! มนุษย์โอสถอะไร? ข้าคือผู้คุ้มกัน นั่นคือคนป่วยที่จะส่งไปรักษายังเมืองอื่น...อึก!”อยู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็บีบคอเขา จนทำให้เขาหายใจไม่ออกเขาเงยหน้าขึ้น สบสายตาอันเยือกเย็นดุดันของนางในวินาทีนั้น เขารู้สึกว่าชีวิตตนเองเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายคนที่อยู่ตรงหน้านี้ มีไอสังหารรุนแรง!......คืนราตรียาวนานหลังท้องฟ้าเริ่มสว่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็นำน้ำร้อนมาส่งให้แต่ละห้องขณะที่ส่งมาถึงห้องหนึ่ง คนที่เปิดประตูกลับเปลี่ยนไปแล้วตรงช่องประตูเผยให้เห็นริมฝีปากที่เย็นชาดุดัน“น้ำร้อน ไม่ต้องแล้ว”เสี่ยวเอ้อร์ได้กลิ่นคาวเลือด และคล้ายเหมือนเข้าใจผิดไปเองด้วยบริเวณโดยรอบหนึ่งร้อยลี้ก็มีโรงพักแรมนี้แห่งเดียว ก็ถือว่าเคยเจอเรื่องแปลกมาไม่น้อยเสี่ยวเอ้อร์รู้ถึงความผิดปกติ แต่ไม่ก
“นายท่าน ช่วงหลายวันมานี้หิมะตกหนัก ไม่อาจเดินทางต่อได้เลย พื้นที่โดยรอบหนึ่งร้อยลี้ก็หาเจอโรงพักแรมแห่งนี้เท่านั้น” อู๋ไป๋นำทางอยู่ด้านหน้า ส่วนเฟิ่งจิ่วเหยียนจูงม้าตามมาด้านหลังพายุหิมะรุนแรง นางใช้มือข้างหนึ่งจูงม้า มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นบังตรงหน้า ทว่ากลับยังมีหิมะเข้าตาและเข้าจมูกหลังจากเข้าไปในโรงพักแรม ร่างกายถึงค่อยอุ่นขึ้นบ้างเสี่ยวเอ้อร์ยกชาร้อนออกมา “ท่านทั้งสอง จะพักชั่วคราวหรือพักค้างคืนขอรับ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนปัดหิมะบนเส้นผมออก “พักค้างคืน สองห้อง แต่ขอสุราสองกา กับเนื้อวัวสี่จินมาก่อน”เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มพร้อมตอบกลับ“ได้ขอรับ! ท่านทั้งสองรอสักครู่ ประเดี๋ยวจะนำมาให้!”เช่นเดียวกันมีพ่อค้าอีกหลายคน ก็เจอพายุหิมะจนต้องติดค้างอยู่ในโรงพักแรม พวกเขายังต้องขนสินค้ามาด้วย นับว่าลำบากกว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่มาก ในเวลานี้ พวกเขานั่งล้อมวงอยู่ที่หนึ่ง พลางดื่มสุรา พลางถอนหายใจ“ไม่รู้ว่าหิมะจะหยุดเมื่อใด หากสินค้าชุดนี้ของข้าไม่อาจส่งตามกำหนดเวลาได้ ก็คงไม่อาจขายได้”“นั่นน่ะสิ! เดิมทีคิดว่าแต่ละแคว้นเปิดเส้นทางการค้าขาย ก่อนสิ้นปีจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ นึกไม่ถึงว่าส
ณ ตำหนักฉือหนิงสายตาที่ไทเฮามองมายังฮ่องเต้ ดูไม่สบายใจและไม่มั่นใจอยู่บ้างนางไม่คิดว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง เลยแวะมาเยี่ยมนางเซียวอวี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบใด ๆ“ถวายบังคมเสด็จแม่“เราจะไม่อยู่วัง วันกลับยังไม่แน่ชัด เรื่องภายในวังหลัง เรากังวลว่าหนิงเฟยคนเดียวจะตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากฝากให้ท่านดูแลชั่วคราว”ไทเฮางุนงงยิ่งกว่าเดิมเขาจะออกจากวังไปทำอะไรอีก?ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?เซียวอวี้ส่งสายตา หลิวซื่อเหลียงจึงนำตราประทับทองวางลงบนโต๊ะมีตราประทับทอง ก็จะสามารถควบคุมเรื่องทุกอย่างในวังหลังได้นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้จับตราประทับทองแต่บางเรื่อง นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี“ฮ่องเต้ เจ้าไม่อยู่วังอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะอะไรล่ะ? อีกอย่าง ตอนนั้นฮองเฮาใส่ชุดสามัญชนออกตรวจแต่ละเมืองกับเจ้า ทำไมมีแต่เจ้ากลับมาคนเดียว ฮองเฮาล่ะ?”แววตาของเซียวอวี้ราบเรียบ คำโป้ปดพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด“เราต้องกลับมาจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก ฮองเฮายังออกตรวจอยู่ ครั้งนี้ เราจึงต้องไปตามหานาง”ไม่รู้ไทเฮาเชื่อหรือไม่ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่
เซียวอวี้ไม่ทันได้รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมา แต่กลับได้ยินข่าวลือที่นางจะขึ้นบัลลังก์ในแคว้นซีหนี่ว์เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดที่จะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้จากนิสัยของจิ่วเหยียน มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อปกป้องแคว้นซีหนี่ว์แล้ว นางจะปล่อยไปตามสถานการณ์ รับช่วงแก้ปัญหาต่อของแคว้นซีหนี่ว์ นัยน์ตาของเซียวอวี้เจือแววหม่นหมองเขาสั่งเฉินจี๋ “ไปสืบมาให้ชัดเจน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เฉินจี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาจะทิ้งฝ่าบาท และหันหลังให้แคว้นหนานฉีทั้งอย่างนี้วันต่อมาณ ตำหนักฉือหนิง หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกอ่อนเพลีย มักจะนอนไม่หลับสนิทหมอหลวงตรวจชีพจรให้นาง หนิงเฟยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ “หมอหลวง ร่างกายของท่านป้าเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรหรือไม่?”หมอหลวงโค้งคำนับ “ทูลพระนาง เส้นลมปราณจุดเริ่นของไทเฮาอ่อนแรง เส้นลมปราณไท่ชงก็น้อยลง ชีพจรเทียนขุยหดหาย อุโมงค์อุดตัน ระดูหมด”เขาอธิบายจบ สีหน้าของไทเฮาพลันแข็งค้าง หัวใจเหมือนถูกอะไรทับไว้ จนหายใจไม่ออกระดูหมด นั่นหมายความว่านางเข้าสู่วัยชราอย่างสมบูรณ์นี่เป็นเรื่องที่สตรีต้องประสบพบเจอในชีวิตแต่นางไม่คิดเลยว
หัวหน้าแม่ทัพของแคว้นเจิ้งมีสีหน้าอดกลั้น“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก ควรถอยทัพ เพื่อปกป้องกองกำลังของแค้นให้คงอยู่!”หัวหน้าแม่ทัพแคว้นเสี่ยวโจวหงุดหงิดอย่างยิ่ง“สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า! ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์และแคว้นหนานฉี ผูกมัดรวมกันแล้ว!”หากพวกเขาเคลื่อนทัพเมื่อใด กองทัพชายแดนตะวันตกของแคว้นหนานฉีก็จะเคลื่อนไหวทันทีพอถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะถูกโจมตีทั้งสองทางอันตรายนี้ จะเข้าไปเสี่ยงไม่ได้แคว้นหนานฉีในปัจจุบัน เปรียบเสมือนปีศาจจอมตะกละที่กินอย่างไรก็ไม่อิ่มท้องหากถูกพวกเขาโจมตียึดครอง ก็ไม่ใช่แค่ตกเป็นแคว้นอาณานิคม แต่แคว้นจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก……บริเวณขอบชายแดนเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ไปไหนลมค่อย ๆ แรงขึ้น หูย่วนเอ๋อร์นำผ้าคลุมกันลม มาคลุมให้นางอย่างนอบน้อมสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทอดมองยังเบื้องหน้า กล่าวอย่างลุ่มลึก“แม่ทัพหู ข้าอยากให้เจ้าบอกมาตามตรง“เรื่องที่สองแม่ลูกหลิวอิ๋งกลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ท่านป้ารู้หรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์บอกอย่างงุนงง“ยามที่ประมุขแคว้นรักษาตัวอยู่ที่ชานเมือง นางรู้อะไร หรือไม่รู้อะไรนั้น ข้าไม่รู้เรื่อ
เมื่อเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ความหวัง เจิ้งจีก็ตะโกนสาปแช่งไล่หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกล“เฟิ่งจิ่วเหยียนเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ เจ้าสร้างบาปกรรมเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีลูกอีกไม่ได้แน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยิน ในใจกลับไม่สะทกสะท้านด้านหลัง มีเสียงยกดาบและลงดาบดังตามมาติด ๆหลิวอิ๋งพูดถูก ถูกประหารศีรษะก็แค่หลุดล่วงบนพื้นวันนี้ ศีรษะของนางหลุดในวังหลวงแคว้นซีหนี่ว์หัวกลิ้งหลุน ๆ ดึงดันหันไปทางตำหนักหลัก จ้องบัลลังก์ที่นางยังไม่ได้ครอบครอง อย่างตายตาไม่หลับเจิ้งจีเห็นภาพนี้ พลันนิ่งอึ้ง“ไม่นะ! ไม่——ท่านแม่!”เมื่อเห็นดาบกำลังจะฟันลงที่นาง นางก็เบิกตากว้างนางเสียใจนางไม่น่าตามมารดาไปที่เมืองหลวง ไม่น่าไปฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยากเป็นนางสนม ไม่น่ากลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์อีกครั้งหากนางอยู่ที่เจียงโจว ก็คงไม่ตายต่อมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา…ศีรษะหลุดออกจากบ่าหล่นบนพื้นตายตาไม่หลับเหมือนกัน……นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์กองทัพของแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งโจวเตรียมบุกโจมตีเวลากลางคืน ทหารสอดแนมมารายงาน“ท่านแม่ทัพ! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว! แต่ซู่ย
ความผูกพันที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อแคว้นซีหนี่ว์ ไม่ลึกซึ้งเท่าความผูกพันที่มีต่อแคว้นหนานฉีเนื่องจากนางเติบโตในแคว้นหนานฉีตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเคยเป็นทหารของแคว้นหนานฉีญาติสนิทมิตรสหายของนาง ล้วนอยู่ในแคว้นหนานฉีทั้งนั้นตอนนี้ นางยังเป็นฮองเฮาของแคว้นหนานฉีอีกด้วยหากนางตัวคนเดียว บางทีนางอาจจะสามารถอยู่ได้แบบไม่ต้องลังเล แต่ว่าตอนนี้ หากให้นางทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนานฉี อยู่เป็นฮ่องเต้ที่แคว้นซีหนี่ว์ นางทำไม่ได้นางมีหลายเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้และยังอาลัยอาวรณ์อยู่สามีของนาง ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วไหนจะเวยเฉียง…ทว่า แคว้นซีหนี่ว์เองก็ต้องปกป้องในด้านส่วนตัว นี่คือสายเลือดตระกูลบรรพบุรุษของนางในด้านส่วนรวม จำเป็นต้องมีแคว้นเฉกเช่นแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรี อีกอย่าง แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งก็สนิทชิดเชื้อกับเป่ยเยี่ยน หากพวกเขาแบ่งแยกแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะสร้างความกดดันต่อชายแดนทางตะวันตกของแคว้นหนานฉี หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ข้าจะช่วยแคว้นซีหนี่ว์ปราบปรามศัตรูให้ล่าถอย แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ คงต้องให้ผู้ปรา