ตงฟางซื่อผุดลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้านั้นสงบและจริงจัง “ซูฮ่วน ข้าไม่เห็นด้วย “ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจอยากตามหาหยางเหลียนซั่วให้พบ ทว่าเจ้าควรเชื่อใจในเหล่าพันธมิตรของเจ้า พวกเหล่าฝานกำลังค้นหาที่อยู่ของหยางเหลียนซั่วในเป่ยเยี่ยน ย่อมไม่จำเป็นจะต้องใช้หร่านชิว “เพียงเพื่อล่อหยางเหลียนซั่วออกมา เจ้ากลับปล่อยหร่านชิวตัวหายนะไว้ หากปล่อยให้วิชามารของนางทวีความแข็งแกร่ง ก็จะได้ไม่คุ้มเสียเท่านั้น” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ เขาหยุดไปครู่หนึ่ง นัยน์ตามีความโกรธเจืออยู่ “ยิ่งกว่านั้น เจ้าไว้ชีวิตนางแล้วไซร้ จักไม่ทำให้วิญญาณของสหายชาวยุทธที่ถูกนางสังหารต้องผิดหวังหรือ? พวกเราได้ไล่ตามนางมาถึงจุดนี้ ก็เพื่อกำจัดนางมิใช่รึ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรอให้เขาพูดจบก่อน ค่อยเอ่ยอย่างใจเย็น “คนเหล่านั้นล้วนตายไปแล้ว “หร่านชิวได้บรรลุวิชาดาราโรยหมื่นวิถีขั้นสองแล้ว ต่อจากนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องจับกุมคนเพื่อฝึกวิชาอีก “ตงฟางซื่อ พวกเราต้องยอมรับ ความจริงข้อหนึ่ง——พวกเรามาช้าเกินไป” ตงฟางซื่อคาดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยเช่นนี้ “ยังไม่สายเกินไป ขอเพียงสังหารหร่านชิวได้ ก็จะไม่สายเกินไป
ยามบ่าย เฟิ่งจิ่วเหยียนและคณะได้ออกเดินทาง ไปทางเหนือเพื่อตามหาหร่านชิว ตงฟางซื่อคำนวณเวลาระหว่างทาง และเอ่ย “เมื่อเรายังไม่ฆ่าหร่านชิวในขณะนี้ ให้ข้าไปหารือแผนการที่จะกำจัดหยางเหลียนซั่วกับนางคนเดียว ก็เพียงพอแล้ว “น้องสาวของเจ้ากำลังจะแต่งงานในเดือนสิบเอ็ด นี่ก็เข้าสู่ช่วงปลายเดือนสิบแล้ว เจ้าจะกลับไปที่ชายแดนเหนือก่อนดีหรือไม่?” เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือน ก็จะถึงงานแต่งงานของเวยเฉียงในปลายเดือนสิบเอ็ด เฟิ่งจิ่วเหยียนลังเลใจบ้าง ดังที่ตงฟางซื่อเอ่ย เรื่องของหร่านชิว ไม่จำเป็นต้องให้นางร่วมเดินทางไปด้วยตลอด ในขณะนี้ หยิ่นลิ่วผู้คุ้นเคยกับการเดินทางในความมืดก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเอ่ยเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน “คุณชายซู ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเขียนจดหมายส่งมา แจ้งว่าต้องตัดเย็บชุดแต่งงานของท่านโดยเร็วที่สุด เหตุใดท่านไม่กลับไปวัดตัวที่เมืองหลวงก่อนเล่าขอรับ?” ตงฟางซื่อยิ้มจนตาหยี เอ่ยหยอกล้อ “ซูฮ่วน เจ้ายุ่งมากเชียว งานหนึ่งอยู่ทางเหนือ อีกงานอยู่ทางใต้ ขึ้นอยู่กับเจ้าจะเลือกทางใดแล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เอ่ยอย่างเด็ดขาด
ปัง! ในคืนวันนั้น เจ้าหน้าที่ทหารเข้าปิดล้อมบ้านพักของมู่หรงหลัน พังเปิดประตู และจับกุมนางไว้ ยามนี้มู่หรงหลันได้เข้านอนแล้ว จึงไม่มีเวลาสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย พลันตวาดลั่น “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาบุกบ้านพักส่วนตัวของข้า!” เจ้าหน้าที่ทหารปิดปากนางไว้ทันที และจับนางยัดเข้าไปในรถม้า จากนั้น นางถูกพาเข้าไปในพระราชวัง และเข้าสู่ห้องทรงพระอักษร รุ่ยอ๋องก็อยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยเช่นกัน มู่หรงหลันถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น สองมือถูกมัดไว้ ไพล่ไปที่ด้านหลัง นางมีน้ำตาคลอหน่วยและตื่นตระหนก พลางจับจ้องมองไปที่ฝ่าบาทด้วยแววตาที่น้อยใจไร้เดียงสา “ฝ่าบาท...” ด้านหลังโต๊ะทรงงาน ฮ่องเต้หนุ่มเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ราวกับถูกเทพสังหารเข้าครอบงำก็มิปาน “มู่หรงหลัน เป็นเจ้าทำร้ายเซียวหย่าใช่หรือไม่?” มู่หรงหลันรีบส่ายศีรษะปฏิเสธทันที “ไม่ใช่เพคะ จักเป็นหม่อมฉันได้อย่างไร? ฝ่าบาท ท่านคงจะเข้าพระทัยผิดไปแล้ว หม่อมฉันพักอยู่ที่จวน...” รุ่ยอ๋องมองดูนาง น้ำเสียงเย็นชาทุ้มลึก “มู่หรงหลัน ยอมรับสารภาพเสีย” เปลือกตาของมู่หรงหลันกระตุก
วันนี้รุ่ยอ๋องจะต่อสู้กับมู่หรงหลันจนตกตายไปพร้อมกัน เขาจะไม่ทนให้นางมาคอยรบกวนเขาเหมือนคนบ้า และยังชอบปฏิบัติกับเขาอย่างไร้เหตุผลอยู่เสมออีกแล้ว หากยังปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป เขาแค่กลัวว่าตนเองจะกลายเป็นบ้า “ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมเองที่พานางออกจากวัง! “เมื่อกระหม่อมได้ทราบทีหลังว่านางสังหารองค์หญิงน้อย ก็ตระหนักได้ว่านางหมกมุ่นในตัวท่านจนเสียสติ และนางจะทำร้ายทุกคนที่อยู่รอบกายของท่าน “ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมจะต้องหยุดยั้งพ่ะย่ะค่ะ “ครั้นเมื่อนึกถึงมิตรภาพระหว่างพี่น้องของพวกเราตั้งแต่เยาว์วัย กอปรกับการวินิจฉัยของหมอ บอกว่านางมีอาการป่วยทางจิต และขอเพียงได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็ยังมีโอกาสรักษาหาย “ดังนั้น กระหม่อมจึงขังนางไว้ในจวน และเชิญหมอมารักษาอาการของนางทุกวัน “กระหม่อมหวังว่านางจะกลับมาเป็นคนปกติได้อีกครั้ง ต่อมา อาการของนางก็ดีขึ้นจริง ๆ กระหม่อมจึงค่อย ๆ ผ่อนปรนการควบคุมดูแลนางลง คาดไม่ถึงว่า นางจะฉวยโอกาสตอนที่กระหม่อมออกไปข้างนอก หลอกให้หมอปลดโซ่ตรวน และทำร้ายทั้งหมอทั้งองครักษ์จนบาดเจ็บ ก่อนจะหลบหนีออกมาพ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยอ๋องทูลอธิบา
องค์หญิงน้อยเจ็บป่วยร้ายแรงถึงขั้นวิกฤต สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงไม่พูดมาก เพียงเอ่ยรวบรัดชัดเจนให้เซียวอวี้เข้าใจ “เรื่องการโน้มน้าวหร่านชิวให้ร่วมมือต่อสู้กับหยางเหลียนซั่ว ให้ตงฟางซื่อจัดการคนเดียวก็พอ “เวยเฉียงใกล้จะแต่งงานแล้ว ข้าตั้งใจจะไปยังชายแดนเหนือก่อน เพื่อส่งนางออกเรือน “ก่อนหน้านั้นจะแวะที่ภูเขาหิมะเทียนฉือก่อนเพคะ” ภูเขาหิมะเทียนฉือเป็นสถานที่อันตราย เซียวอวี้ไม่อยากให้นางไปเสี่ยง “เราสั่งให้คนไปหาตัวยาแล้ว...” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยด้วยความผ่อนคลาย “ข้าเคยขึ้นไปที่ยอดเขาเทียนฉือแล้วเพคะ “ทุกคนล้วนกล่าวว่าอันตราย แท้จริงเป็นเพราะถนนบนภูเขาไม่ชัดเจน จึงง่ายจะติดอยู่ในพายุหิมะและหมดแรงไปเอง “หม่อมฉันมีร่างกายที่ทรหดเพียงใด ท่านเองก็รู้ดีเพคะ” ร่างกายที่ทรหด... เซียวอวี้คิดฟุ้งซ่านในเวลาที่ไม่เหมาะสม ความมีชีวิตอยู่หรือตายนั้นสำคัญ มิอาจล่าช้าได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบกระบี่ขึ้นมาทันที พลางลุกขึ้นกล่าวคำอำลา “ฝ่าบาท ขอทูลลาเพคะ” เซียวอวี้ขมวดคิ้วเบา ๆ พลันลุกขึ้นตามนางไป และคว้าแขนของนางไว้
ดอกจื่อซวี่เติบโตอยู่ตามหน้าผา หากต้องการเด็ดมัน ต้องระมัดระวังอย่างมากนายพรานคนนำทางคนนั้นบอกกับนาง ต้องระวังกองหิมะเป็นพิเศษหากเกิดหิมะถล่ม พวกเขาก็จะแย่กันหมดอู๋ไป๋นั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ช่วยอะไรไม่ได้ เริ่มต้นลำคอนั้นเยือกเย็น จากนั้นก็ร้อนรุ่มกระวนกระวายท่ามกลางหิมะอันกว้างใหญ่ เขารู้สึกเพียงว่า ชีวิตของตนเองอยู่ได้ไม่นานแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนก็เป็นคน ปีนเขามาสองวัน กำลังของนางก็ใกล้จะหมดลงแล้วเกล็ดหิมะเกาะบนขนตา ภาพข้างหน้าพร่ามัวยอดเขาหิมะ ลมที่พัดผ่านหน้าราวกับคมมีดทุกย่างก้าว ทรมานราวกับถูกเฉือนอย่างช้าๆนางมองดอกจื่อซวี่ที่เห็นใกล้แค่เอื้อม ทว่าไกลสุดขอบฟ้า มือสั่นเทาแข็งเป็นสีม่วงทว่า คิดถึงชีวิตขององค์หญิงน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ นางก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างเด็ดเดี่ยวเจตจำนงอันน่าอัศจรรย์ ระเบิดออกมาในขณะนี้ก้าวแล้วก้าวเล่า นางเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆแต่แล้ว ฝนฟ้าไม่เป็นใจคิดอยากแย่งชีวิตหนึ่งมาจากในมือยมบาล จักต้องทนรับความพิโรธของท่านลมพัดกระหน่ำบนยอดเขา พร้อมกับเกล็ดหิมะอันกว้างใหญ่ เสมือนพายุหอบเอาเศษปุยเมฆสลายหายไป คลื่นซัดสูงปลาและกุ้งปรากฏต
ใต้ฝ่าเท้า เกลื่อนกลาดไปด้วยศพหลังจากพวกองครักษ์ขึ้นไปบนภูเขาเทียนฉือ ถึงแม้ลงเขามาก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่ากำลังกายยังไม่ฟื้นคืนกลับมาพวกเขาพยายามปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียน ล้วนตายอยู่ภายใต้ดาบของนักฆ่านักฆ่าก็ตายไปกว่าครึ่งที่เหลือยี่สิบกว่าคน ล้อมรอบเฟิ่งจิ่วเหยียนกับอู๋ไป๋ไว้ภาพตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนปรากฏเป็นเงาภาพซ้อน ข้างหูเสียงดังอื้อ ได้ยินเสียงกรีดร้องของอู๋ไป๋อย่างเลือนราง“นายท่าน ท่านรีบไป!”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดี พวกเขาหนีไม่พ้นแล้วบางที นี่ก็คือแผนลวงตั้งแต่แรกแล้วหลอกล่อนางมายังภูเขาหิมะเทียนฉือ รอหลังจากนางสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด ค่อยลงมือฆ่า...เฟิ่งจิ่วเหยียนหายใจหนักหน่วง แม้แต่เรี่ยวแรงถือดาบก็ไม่มีแล้วนางถือดาบไว้ ร่างกายโอนเอนเล็กน้อยติ๋งๆ!ติ๋ง ๆ...เลือดสีแดงเข้ม ไหลหยดออกมาจากปากของนาง“นายท่าน!” ดวงตาอู๋ไป๋แดงจางๆนักฆ่าที่หลงเหลือพวกนั้นก็ล้วนได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อยพวกเขาไม่คิดว่า ซูฮ่วนคนนี้จะฆ่ายากมากขนาดนี้ทว่าตอนนี้นางโดดเดี่ยวไม่มีใครช่วยตูม...มีเสียงดังมาจากบนยอดเขาหิมะทุกคนเงยหน้ามอง จากนั้นดวงตาล้วนเบิกกว้าง“หิมะถล่ม!”
อู๋ไป๋พุ่งออกไป กอดขาเซียวอวี้ไว้“ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยไม่เป็นไร นางจะไม่เป็นไร ใช่หรือไม่!”เขาเข้าใจแล้ว!แม่ทัพน้อยรู้ หากนางมีอันตราย เขาต้องไม่ไปไหน เพื่อให้เขารีบไปอย่างรวดเร็ว นางสร้างเรื่องหลอกลวงว่าป้ายหยกมีความลับ ภารกิจสำคัญที่สุดของทหาร นั่นคือความเชื่อฟังกับความรับผิดชอบที่ฝังลึกถึงในกระดูกของเขาแม่ทัพน้อยใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ทำให้เขาได้หนีเอาตัวรอด...เขากลับ เพิ่งคิดได้ในตอนนี้!เซียวอวี้เตะเขาอย่างไร้ความปรานี เดินออกไปนอกตำหนัก สีหน้าเยือกเย็นยิ่งกว่าฤดูหนาว เต็มไปด้วยไอสังหาร“นางต้องมีชีวิตอยู่ แน่นอน”นางยังไม่ได้แต่งงานกับเขา ยังตายไม่ได้!เขาจะต้องตามหานางให้เจอ!……คุกหลวงมู่หรงหลันนั่งอยู่บนหญ้าแห้งบนพื้น สวมชุดนักโทษ ไม่มีท่าทีสูงศักดิ์เหมือนที่ผ่านมาหม่ากงกงมาที่นี่ เพื่อบอกกับนาง“แม่นาง แผนการของท่านสำเร็จแล้ว“หิมะบนภูเขาหิมะเทียนฉือถล่ม ซูฮ่วน ตายแล้ว”มู่หรงหลันได้ยินเช่นนี้ ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวา เป็นประกายมีสีสันขึ้นมาทันที“ตายแล้วจริงๆ หรือ?”หม่ากงกงผงกศีรษะอย่างมั่นใจ“นั่นคือหิมะถล่ม ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตมาได้ เวลานี้ฝ่าบาทออกจาก
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร