ใต้ฝ่าเท้า เกลื่อนกลาดไปด้วยศพหลังจากพวกองครักษ์ขึ้นไปบนภูเขาเทียนฉือ ถึงแม้ลงเขามาก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่ากำลังกายยังไม่ฟื้นคืนกลับมาพวกเขาพยายามปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียน ล้วนตายอยู่ภายใต้ดาบของนักฆ่านักฆ่าก็ตายไปกว่าครึ่งที่เหลือยี่สิบกว่าคน ล้อมรอบเฟิ่งจิ่วเหยียนกับอู๋ไป๋ไว้ภาพตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนปรากฏเป็นเงาภาพซ้อน ข้างหูเสียงดังอื้อ ได้ยินเสียงกรีดร้องของอู๋ไป๋อย่างเลือนราง“นายท่าน ท่านรีบไป!”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดี พวกเขาหนีไม่พ้นแล้วบางที นี่ก็คือแผนลวงตั้งแต่แรกแล้วหลอกล่อนางมายังภูเขาหิมะเทียนฉือ รอหลังจากนางสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด ค่อยลงมือฆ่า...เฟิ่งจิ่วเหยียนหายใจหนักหน่วง แม้แต่เรี่ยวแรงถือดาบก็ไม่มีแล้วนางถือดาบไว้ ร่างกายโอนเอนเล็กน้อยติ๋งๆ!ติ๋ง ๆ...เลือดสีแดงเข้ม ไหลหยดออกมาจากปากของนาง“นายท่าน!” ดวงตาอู๋ไป๋แดงจางๆนักฆ่าที่หลงเหลือพวกนั้นก็ล้วนได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อยพวกเขาไม่คิดว่า ซูฮ่วนคนนี้จะฆ่ายากมากขนาดนี้ทว่าตอนนี้นางโดดเดี่ยวไม่มีใครช่วยตูม...มีเสียงดังมาจากบนยอดเขาหิมะทุกคนเงยหน้ามอง จากนั้นดวงตาล้วนเบิกกว้าง“หิมะถล่ม!”
อู๋ไป๋พุ่งออกไป กอดขาเซียวอวี้ไว้“ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยไม่เป็นไร นางจะไม่เป็นไร ใช่หรือไม่!”เขาเข้าใจแล้ว!แม่ทัพน้อยรู้ หากนางมีอันตราย เขาต้องไม่ไปไหน เพื่อให้เขารีบไปอย่างรวดเร็ว นางสร้างเรื่องหลอกลวงว่าป้ายหยกมีความลับ ภารกิจสำคัญที่สุดของทหาร นั่นคือความเชื่อฟังกับความรับผิดชอบที่ฝังลึกถึงในกระดูกของเขาแม่ทัพน้อยใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ทำให้เขาได้หนีเอาตัวรอด...เขากลับ เพิ่งคิดได้ในตอนนี้!เซียวอวี้เตะเขาอย่างไร้ความปรานี เดินออกไปนอกตำหนัก สีหน้าเยือกเย็นยิ่งกว่าฤดูหนาว เต็มไปด้วยไอสังหาร“นางต้องมีชีวิตอยู่ แน่นอน”นางยังไม่ได้แต่งงานกับเขา ยังตายไม่ได้!เขาจะต้องตามหานางให้เจอ!……คุกหลวงมู่หรงหลันนั่งอยู่บนหญ้าแห้งบนพื้น สวมชุดนักโทษ ไม่มีท่าทีสูงศักดิ์เหมือนที่ผ่านมาหม่ากงกงมาที่นี่ เพื่อบอกกับนาง“แม่นาง แผนการของท่านสำเร็จแล้ว“หิมะบนภูเขาหิมะเทียนฉือถล่ม ซูฮ่วน ตายแล้ว”มู่หรงหลันได้ยินเช่นนี้ ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวา เป็นประกายมีสีสันขึ้นมาทันที“ตายแล้วจริงๆ หรือ?”หม่ากงกงผงกศีรษะอย่างมั่นใจ“นั่นคือหิมะถล่ม ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตมาได้ เวลานี้ฝ่าบาทออกจาก
ภูเขาหิมะเทียนฉือถูกปิดล้อมหนึ่งเดือน ตามคำร่ำลือ ทหารรักษาพระองค์ของฝ่าบาทถูกซุ่มโจมตี ไร้ผู้รอดชีวิต ฝ่าบาทเสด็จด้วยพระองค์เอง ตามหากระดูกผู้ภักดี เรียกดวงวิญญาณผู้ภักดีพริบตาเดียวก็ปลายเดือนสิบเอ็ดแล้วหิมะบนภูเขาเทียนฉือยิ่งหนาขึ้นแผ่นดินจะขาดผู้ปกครองไม่ได้สักวันวันนี้ รุ่ยอ๋องมาตามหา เฉินจี๋เห็นรุ่ยอ๋อง ก็พูดขึ้นมา “ท่านอ๋อง ขอท่านทรงกล่อมฝ่าบาทด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”รุ่ยอ๋องไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่หากคนที่ตายเป็นเพียงองครักษ์เหล่านั้น ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะไม่ทันได้มอบหมายอะไรเลย ก็ละทิ้งงานราชกิจของแผ่นดินเสียไปแบบนี้เมื่อถามเฉินจี๋ ค่อยรู้ว่า...ซูฮ่วนตายแล้วซูฮ่วนคนนั้นอีกแล้ว...รุ่ยอ๋องมองไปบนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ความเศร้าโศกปรากฏชัดในแววตาอันอ่อนโยนเขาถามเฉินจี๋“ฝ่าบาท รักซูฮ่วนใช่หรือไม่?”รุ่ยอ๋องกับฝ่าบาทมีมิตรภาพอันลึกซึ้ง เฉินจี๋ครุ่นคิดดูแล้ว ก็เล่าความจริงให้ฟัง“ท่านอ๋อง ซูฮ่วนเป็นสตรี ฝ่าบาทเตรียมที่จะแต่งตั้งให้นางเป็นฮองเฮา นางมายังภูเขาหิมะเทียนฉือ เพื่อหาดอกจื่อซวี่ให้กับองค์หญิงน้อย”คำพูดไม่กี่ประโยคง่ายๆ ทำให้รุ่ยอ๋องตกตะลึงอย่างมาก
ไม่ทันรอให้รุ่ยอ๋องถูกพาตัวกลับเมืองหลวง เซียวอวี้หมดสติไปก่อนแล้วหมอบอกว่า ไข้หวัดลมหนาวของเขารุนแรงขึ้น จะต้องพักผ่อนดูแลให้ดีดังนั้น รุ่ยอ๋องตัดสินใจ ฉวยโอกาสตอนที่ฝ่าบาทไม่รู้สึกตัว พาตัวเขากลับวังหลวงอากาศบนภูเขาเทียนฉือหนาวเย็นมาก ไม่ควรอยู่นานฝ่าบาทไปแล้ว องครักษ์หลายร้อยคนยังอยู่เฉินจี๋สั่งการพวกเขา เมื่อพบศพของซูฮ่วน ให้รีบรายงานทันทีเขามั่นใจว่า หิมะถล่มเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่มีวรยุทธสูงส่งแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นอู๋ไป๋ที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดนี้ ก็ก่นด่าขึ้นมาอย่างโกรธเคือง“ไอ้สารเลว! เฉินจี๋! ไสหัวเจ้าไป! นายท่านของข้าต้องยังไม่ตาย! !”เฉินจี๋รู้ว่าในใจอู๋ไป๋รู้สึกแย่ จึงไม่ถือสาทว่า ในฐานะที่เขาเป็นราชองครักษ์ จะต้องปกป้องฝ่าบาทเขาไม่สามารถจะทนเห็นฝ่าบาทเพื่อตามหาศพ จนตนเองต้องป่วยลุกไม่ขึ้นไม่ได้อีกต่อไปหลังจากมองกระโจมที่ถูกรื้อ ฝ่าบาทถูกพาตัวไป อู๋ไป๋คุกเข่าบนพื้นหิมะ มองดูภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอย่างเหม่อลอย ในใจทุกข์ระทม“อ้าก...” เขาทุบกำปั้นลงไป ฝังหัวเข้าไปในหิมะและปล่อยเสียงคำรามต่ำ“ตามหาคนต่อไป” ข้างหน้ามีเสียงทุ้มต่ำของหยิ่นลิ่วดังขึ้นมา
เมืองหลวง ภายในวังหลังจากที่หมอหลวงฝังเข็มใช้ยา เซียวอวี้ค่อยๆ ดีขึ้นมา ทว่าร่างกายยังอ่อนแอมาก ราวกับสูญเสียดวงวิญญาณ ไร้ซึ่งชีวิตชีวาคนฉลาดล้วนมองออก ครั้งนี้ฝ่าบาทป่วยอย่างสาหัสมากตำหนักฉือหนิงไทเฮาร้อนรุ่มดั่งไฟสุมทรวง“เกิดอะไรขึ้นกันแน่! หลายวันก่อนฝ่าบาทรีบร้อนออกจากวัง แล้วทำไมถึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้?”ถามอะไรกุ้ยหมัวมัวก็ไม่รู้เรื่องสีหน้าหนิงเฟยเป็นกังวล “ท่านป้า ฝ่าบาทไม่มีโอรสสักคน หากเป็นอะไร...” “หุบปาก! พูดจาอะไรเหลวไหล!” ไทเฮาพูดตัดบททันทีหนิงเฟยกัดริมฝีปาก“ท่านป้า ท่านอย่าหาว่าข้าพูดจาไม่น่าฟัง ฝ่าบาทอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกเราจำเป็นต้องวางแผนไว้แล้ว”“น้องหญิงพูดถูก” องค์หญิงใหญ่เดินเข้ามาจากข้างนอก คนยังมาไม่ถึง เสียงมาถึงก่อนแล้วไทเฮาราวกับหาเจอแกนสำคัญ สีหน้าที่ตึงเครียดค่อยผ่อนคลายลง“ฉีเอ๋อร์! เจ้ามาแล้วหรือ!”องค์หญิงใหญ่นั่งลง สีหน้าเคร่งขรึม“ส่วนหน้ามีข่าวลือแพร่สะพัด แต่ละฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวสั่นคลอน เสด็จแม่ เราจำเป็นต้องเตรียมการ จะให้ใครมาฆ่ามาแกงไม่ได้!”ไทเฮามององค์หญิงใหญ่ แล้วก็มองหนิงเฟย“พวกเจ้า...เฮ้อ! ฝ่าบาทเพียงเป็นไข้หวัด ไม
ดอกจื่อซวี่ที่เฟิ่งจิ่วเหยียนแลกมาด้วยชีวิต หลังจากองค์หญิงน้อยทานแล้ว ชีวิตพ้นขีดอันตรายชั่วขณะเซียวอวี้ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย มาเยี่ยมดูอาการขององค์หญิงน้อยเวลานี้นางมีพลังงานเต็มเปี่ยม นั่งอยู่บนเตียง จิบยาทีละน้อยรอยยิ้มของนางบริสุทธิ์อ่อนหวาน“เสด็จพี่ฮ่องเต้ ท่านเก่งมากเลย! พวกเขาล้วนพูดว่า ทานให้คนไปหายาวิเศษมาก รักษาอาการป่วยของข้าจนหายแล้ว ตอนนี้ข้าไม่เจ็บปวดเลยสักนิดแล้ว!”เฉินจี๋รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเขาอยากอุดปากองค์หญิงน้อยไว้จริงๆสิ่งที่ฝ่าบาทเสียใจที่สุดในตอนนี้ ก็คือให้ซูฮ่วนไปยังภูเขาเทียนฉือจู้กั๋วกงน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าฝ่าบาท“ฝ่าบาท บุญคุณยิ่งใหญ่ของท่าน กระหม่อมไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร! องครักษ์ที่นำดอกจื่อซวี่กลับมาคนนั้น กระหม่อมอยากเจอเขา แสดงความ...”“จู้กั๋วกง!” เฉินจี๋ทนไม่ไหวแล้ว เสี่ยงโทษการขัดต่อพระบัญชา ก็ต้องพูดขัดจังหวะสีหน้าเซียวอวี้ดั่งน้ำนิ่ง แววตาไร้ความรู้สึก ราวกับไม่มีคลื่นกระเพื่อมแม้แต่น้อยเขาเพียงมององค์หญิงน้อยอยู่อย่างเงียบๆองค์หญิงน้อยตาดี เห็นเส้นผมเสด็จพี่ฮ่องเต้มีเส้นสีเทาเงินอยู่บ้างเล็กน้อย ดูเ
หม่ากงกงทำความเคารพอย่างยิ้มแย้ม“แม่นาง นี่คือโอรสที่ท่านคลอดให้กับฝ่าบาทในปีนั้น!”แววตามู่หรงหลันมัวหมอง พร้อมย้อนถามเขา “ไม่ต้องพูดถึงในตอนนั้น ข้ารักษาเด็กคนนั้นไว้ไม่ได้“หรือเจ้าไม่รู้ว่า ฝ่าบาทไม่เคยแตะต้องข้า?”หม่ากงกงพูดขึ้นมาอย่างไม่หวาดหวั่น “ขอเพียงแม่นางมีโอรสคนหนึ่ง ถึงตอนนั้น เราบอกว่าเขาเป็นลูกของผู้ใด เขาก็จะเป็นลูกของผู้นั้น” แววตามู่หรงหลัน ไม่อ่อนโยนเหมือนอย่างที่ผ่านมา กลายเป็นเฉียบคม“พวกเจ้าคิดจะใช้เด็กคนนี้เพื่อขึ้นครองบัลลังก์?“ฝ่าบาทไม่มีทางยอมจำนนง่ายๆ !“เขารู้ดีแก่ใจ เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา“เขาจะเลอะเลือนถึงขั้น ยกบัลลังก์ให้กับเด็กนอกคอกที่มาจากไหนก็ไม่รู้ได้อย่างไร!” หม่ากงกงเดินไปที่ข้างเตียง เอื้อมมือลูบใบหน้าของเด็กคนนั้นแผ่วเบา พร้อมพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า“เรื่องนี้ก็ต้องดูความสามารถของแม่นางแล้ว”……เมืองหลวงจวนตระกูลเฟิ่งนายท่านเฟิ่งหงุดหงิดมากก่อนหน้านี้ฝ่าบาทตรัสว่าจะแต่งตั้งฮองเฮา ทำไมจนถึงบัดนี้แล้วยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร?เป็นถึงกษัตริย์แห่งแผ่นดิน คงไม่ได้พูดล้อเล่นกับเขามั้ง!เมื่อคิดอีกที หรือจิ่วเหยียนเปลี่
เหล่าขุนนางยังไม่ทันไล่เรียงเรื่องให้เข้าใจ ในท้องพระโรงก็มีเสียงกรีดร้องระเบิดขึ้นมาในทันใด“ฝ่าบาท ท่านพูดว่าลูกสาวของกระหม่อม นางเป็นอะไร ! !” นายท่านเฟิ่งราวกับถูกสายฟ้าผ่า น้ำเสียงแหบแห้งเขาเพิ่งรู้ว่า เกิดเรื่องกับลูกสาวของเขา!ดวงตาเซียวอวี้มืดมน ราวกับปกคลุมไปด้วยหมอกหนา“นาง เป็นหรือตายยังไม่รู้”นายท่านเฟิ่งอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างฉับพลัน ระบายความโกรธอย่างเดือดดาลเขาลุกขึ้นยืน คว้าจับเพื่อนร่วมงานที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ฟาดตบหน้าอีกฝ่ายหลายที ฟาดตบไปด้วย ก่นด่าไปด้วย“เป็นเจ้า! เมื่อครู่เจ้าพูดว่าไม่ต้องช่วย! ข้าได้ยินหมดแล้ว! ไอ้เวร! ข้าจะฆ่าเจ้า! ทำไมไม่ช่วยลูกสาวของข้า! ห๊ะ? ทำไม!”“นางอายุสิบหกก็เข้าสู่สนามรบแล้ว! อายุสิบหกเอง! ลูกสาวของพวกเจ้าตอนอายุสิบหกกำลังทำอะไรอยู่! ห๊ะ?“ข้าจะฉีกปากของเจ้า!”ขุนนางบุ๋นที่ถูกตบยังคงมึนงงนี่ใต้เท้าเฟิ่ง บ้าไปแล้วหรือ!ขุนนางคนอื่นเห็นแล้ว ก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว ต้องอยู่ไกลห่างจากคนบ้าคนนั้นนายท่านเฟิ่งอดกลั้นมานานมากแล้วเขาเก็บความลับนั้นไว้ ไม่กล้าบอกกับใคร อัดอั้นใจอย่างมาก!นั่นเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา
ณ ตำหนักฉือหนิงสายตาที่ไทเฮามองมายังฮ่องเต้ ดูไม่สบายใจและไม่มั่นใจอยู่บ้างนางไม่คิดว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง เลยแวะมาเยี่ยมนางเซียวอวี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบใด ๆ“ถวายบังคมเสด็จแม่“เราจะไม่อยู่วัง วันกลับยังไม่แน่ชัด เรื่องภายในวังหลัง เรากังวลว่าหนิงเฟยคนเดียวจะตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากฝากให้ท่านดูแลชั่วคราว”ไทเฮางุนงงยิ่งกว่าเดิมเขาจะออกจากวังไปทำอะไรอีก?ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?เซียวอวี้ส่งสายตา หลิวซื่อเหลียงจึงนำตราประทับทองวางลงบนโต๊ะมีตราประทับทอง ก็จะสามารถควบคุมเรื่องทุกอย่างในวังหลังได้นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้จับตราประทับทองแต่บางเรื่อง นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี“ฮ่องเต้ เจ้าไม่อยู่วังอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะอะไรล่ะ? อีกอย่าง ตอนนั้นฮองเฮาใส่ชุดสามัญชนออกตรวจแต่ละเมืองกับเจ้า ทำไมมีแต่เจ้ากลับมาคนเดียว ฮองเฮาล่ะ?”แววตาของเซียวอวี้ราบเรียบ คำโป้ปดพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด“เราต้องกลับมาจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก ฮองเฮายังออกตรวจอยู่ ครั้งนี้ เราจึงต้องไปตามหานาง”ไม่รู้ไทเฮาเชื่อหรือไม่ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่
เซียวอวี้ไม่ทันได้รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมา แต่กลับได้ยินข่าวลือที่นางจะขึ้นบัลลังก์ในแคว้นซีหนี่ว์เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดที่จะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้จากนิสัยของจิ่วเหยียน มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อปกป้องแคว้นซีหนี่ว์แล้ว นางจะปล่อยไปตามสถานการณ์ รับช่วงแก้ปัญหาต่อของแคว้นซีหนี่ว์ นัยน์ตาของเซียวอวี้เจือแววหม่นหมองเขาสั่งเฉินจี๋ “ไปสืบมาให้ชัดเจน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เฉินจี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาจะทิ้งฝ่าบาท และหันหลังให้แคว้นหนานฉีทั้งอย่างนี้วันต่อมาณ ตำหนักฉือหนิง หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกอ่อนเพลีย มักจะนอนไม่หลับสนิทหมอหลวงตรวจชีพจรให้นาง หนิงเฟยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ “หมอหลวง ร่างกายของท่านป้าเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรหรือไม่?”หมอหลวงโค้งคำนับ “ทูลพระนาง เส้นลมปราณจุดเริ่นของไทเฮาอ่อนแรง เส้นลมปราณไท่ชงก็น้อยลง ชีพจรเทียนขุยหดหาย อุโมงค์อุดตัน ระดูหมด”เขาอธิบายจบ สีหน้าของไทเฮาพลันแข็งค้าง หัวใจเหมือนถูกอะไรทับไว้ จนหายใจไม่ออกระดูหมด นั่นหมายความว่านางเข้าสู่วัยชราอย่างสมบูรณ์นี่เป็นเรื่องที่สตรีต้องประสบพบเจอในชีวิตแต่นางไม่คิดเลยว
หัวหน้าแม่ทัพของแคว้นเจิ้งมีสีหน้าอดกลั้น“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก ควรถอยทัพ เพื่อปกป้องกองกำลังของแค้นให้คงอยู่!”หัวหน้าแม่ทัพแคว้นเสี่ยวโจวหงุดหงิดอย่างยิ่ง“สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า! ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์และแคว้นหนานฉี ผูกมัดรวมกันแล้ว!”หากพวกเขาเคลื่อนทัพเมื่อใด กองทัพชายแดนตะวันตกของแคว้นหนานฉีก็จะเคลื่อนไหวทันทีพอถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะถูกโจมตีทั้งสองทางอันตรายนี้ จะเข้าไปเสี่ยงไม่ได้แคว้นหนานฉีในปัจจุบัน เปรียบเสมือนปีศาจจอมตะกละที่กินอย่างไรก็ไม่อิ่มท้องหากถูกพวกเขาโจมตียึดครอง ก็ไม่ใช่แค่ตกเป็นแคว้นอาณานิคม แต่แคว้นจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก……บริเวณขอบชายแดนเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ไปไหนลมค่อย ๆ แรงขึ้น หูย่วนเอ๋อร์นำผ้าคลุมกันลม มาคลุมให้นางอย่างนอบน้อมสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทอดมองยังเบื้องหน้า กล่าวอย่างลุ่มลึก“แม่ทัพหู ข้าอยากให้เจ้าบอกมาตามตรง“เรื่องที่สองแม่ลูกหลิวอิ๋งกลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ท่านป้ารู้หรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์บอกอย่างงุนงง“ยามที่ประมุขแคว้นรักษาตัวอยู่ที่ชานเมือง นางรู้อะไร หรือไม่รู้อะไรนั้น ข้าไม่รู้เรื่อ
เมื่อเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ความหวัง เจิ้งจีก็ตะโกนสาปแช่งไล่หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกล“เฟิ่งจิ่วเหยียนเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ เจ้าสร้างบาปกรรมเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีลูกอีกไม่ได้แน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยิน ในใจกลับไม่สะทกสะท้านด้านหลัง มีเสียงยกดาบและลงดาบดังตามมาติด ๆหลิวอิ๋งพูดถูก ถูกประหารศีรษะก็แค่หลุดล่วงบนพื้นวันนี้ ศีรษะของนางหลุดในวังหลวงแคว้นซีหนี่ว์หัวกลิ้งหลุน ๆ ดึงดันหันไปทางตำหนักหลัก จ้องบัลลังก์ที่นางยังไม่ได้ครอบครอง อย่างตายตาไม่หลับเจิ้งจีเห็นภาพนี้ พลันนิ่งอึ้ง“ไม่นะ! ไม่——ท่านแม่!”เมื่อเห็นดาบกำลังจะฟันลงที่นาง นางก็เบิกตากว้างนางเสียใจนางไม่น่าตามมารดาไปที่เมืองหลวง ไม่น่าไปฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยากเป็นนางสนม ไม่น่ากลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์อีกครั้งหากนางอยู่ที่เจียงโจว ก็คงไม่ตายต่อมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา…ศีรษะหลุดออกจากบ่าหล่นบนพื้นตายตาไม่หลับเหมือนกัน……นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์กองทัพของแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งโจวเตรียมบุกโจมตีเวลากลางคืน ทหารสอดแนมมารายงาน“ท่านแม่ทัพ! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว! แต่ซู่ย
ความผูกพันที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อแคว้นซีหนี่ว์ ไม่ลึกซึ้งเท่าความผูกพันที่มีต่อแคว้นหนานฉีเนื่องจากนางเติบโตในแคว้นหนานฉีตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเคยเป็นทหารของแคว้นหนานฉีญาติสนิทมิตรสหายของนาง ล้วนอยู่ในแคว้นหนานฉีทั้งนั้นตอนนี้ นางยังเป็นฮองเฮาของแคว้นหนานฉีอีกด้วยหากนางตัวคนเดียว บางทีนางอาจจะสามารถอยู่ได้แบบไม่ต้องลังเล แต่ว่าตอนนี้ หากให้นางทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนานฉี อยู่เป็นฮ่องเต้ที่แคว้นซีหนี่ว์ นางทำไม่ได้นางมีหลายเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้และยังอาลัยอาวรณ์อยู่สามีของนาง ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วไหนจะเวยเฉียง…ทว่า แคว้นซีหนี่ว์เองก็ต้องปกป้องในด้านส่วนตัว นี่คือสายเลือดตระกูลบรรพบุรุษของนางในด้านส่วนรวม จำเป็นต้องมีแคว้นเฉกเช่นแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรี อีกอย่าง แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งก็สนิทชิดเชื้อกับเป่ยเยี่ยน หากพวกเขาแบ่งแยกแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะสร้างความกดดันต่อชายแดนทางตะวันตกของแคว้นหนานฉี หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ข้าจะช่วยแคว้นซีหนี่ว์ปราบปรามศัตรูให้ล่าถอย แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ คงต้องให้ผู้ปรา
ณ แคว้นหนานฉีภายในพระราชวังความรู้สึกไม่สบายใจของเซียวอวี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆเขาฝืนอ่านฎีกาจนจบ แล้วขึ้นราชรถไปตำหนักหย่งเหอด้วยจิตใจที่ล่องลอยหลิวซื่อเหลียงรีบตามมาด้านหลัง เขามองออกว่าฝ่าบาทกำลังวิตกกังวล ก็นึกว่าฝ่าบาททรงกังวลเรื่องของแคว้น จึงให้ข้าหลวงถอยออกไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเซียวอวี้นั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักชั้นในเป็นเวลานานหากไม่ติดเรื่องฐานะฮ่องเต้ ยามนี้เขาอยากจะไปแคว้นซีหนี่ว์ ตามจิ่วเหยียนของเขากลับมาแล้วแคว้นซีหนี่ว์ในเวลาเดียวกันเฟิ่งจิ่วเหยียนตกอยู่ในสองสถานการณ์ที่ยากลำบากด้านหนึ่ง นางรู้ดีว่าด้วยฐานะฮองเฮาแคว้นหนานฉีของนาง ไม่อาจอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ได้อีกด้านหนึ่ง แคว้นซีหนี่ว์ถูกคุกคามจากแคว้นศัตรู หากนางพาท่านแม่จากไปโดยไม่สนใจความอยู่รอดของแคว้นซีหนี่ว์ ย่อมทำใจได้ยากภายในตำหนัก โอวหยางเหลียนและหูย่วนเอ๋อร์ต่างคุกเข่าให้นางอยู่บนพื้น ขอร้องให้นางอยู่ต่อด้านนอกตำหนัก เหล่าขุนนางที่เดิมยังอยู่ที่ท้องพระโรงหน้า ไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากที่ใด ยามนี้ต่างก็มาคุกเข่าอยู่ด้านนอก ขอให้นางขึ้นครองราชย์แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักอึ้ง“ลุกข
หลิวอิ๋งไม่สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง นางถามเจิ้งจีเป็นอย่างแรก“ท่านป้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”“ท่านแม่ ท่านป้าสวรรคตแล้วเจ้าค่ะ...”ความทรงจำของเจิ้งจีเลือนราง จึงนึกว่าท่านแม่เองก็จำได้ไม่ชัดเจนเช่นกันหญิงผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือยามนี้นางจึงรีบพูดเรื่องสำคัญ “ท่านแม่ มีคนบุกเข้าไปในตำหนักบรรทม พวกเขาตีข้าจนสลบ ท่านรีบส่งทหารรักษาพระองค์ไปจับพวกเขาเร็วเข้า!”หลังจากเจิ้งจีที่อยู่นอกตำหนักฟื้นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ยังมีเสียงเลือนรางที่ดังมาจากด้านในตำหนักอีก ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือหนีเพื่อไปขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนตีนางจนสลบ และไม่รู้ว่าในตำหนักเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลิวอิ๋งได้ยินคำพูดของลูกสาว ก็คิดว่าประมุขแคว้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ได้มีเรื่องอย่างการฟื้นคืนชีพ ก็รู้สึกยินดียิ่งตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ที่ว่าประมุขแคว้นยังเหลือลมหายใจอยู่อะไรนั่น ที่แท้ก็เป็นการหลอกนาง!เฮ้อ! โชคดีที่นางไม่ติดกับ!พอซู่เฉียนเสวี่ยตายแล้ว ทีนี้นางอยากรู้นัก ใครจะพิสูจน์ได้เล่าว่านางไม่ใช่ซู่ยวน?......ตอนที่นายหญิงเฟิ่งมาถึงพระราชว
“ท่านประมุข แคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งต่างจ้องแคว้นเราตาเป็นมัน ท่านทำใจทิ้งพวกเราลงได้หรือเพคะ!”“ท่านประมุข ท่านจะต้องอายุยืนเป็นร้อยปี! ได้โปรดทำใจให้ฮึกเหิมเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ จะต้องทรงดีขึ้นนะเพคะ!”“ท่านประมุข หม่อมฉันไร้ความสามารถ หม่อมฉันมาช่วยพระองค์ช้าเกินไป! แท้ที่จริงแล้วหลิวอิ๋งผู้นั้น ใช่ใต้เท้าซู่ยวนหรือไม่เพคะ? ขอท่านเผยความจริงด้วยเถิด!”ประมุขแคว้นที่อยู่บนเตียง เบ้าตาจมลึก ริมฝีปากซีดขาว ผอมจนเห็นกระดูก อาภรณ์ขาวบนร่างดูราวกับผ้าห่อศพ แผ่กลิ่นอายความตายออกมาลมหายใจของนางแผ่วเบา ทว่าเสียงที่ออกมาจากปากกลับชัดเจนยิ่ง “หลิวอิ๋ง...ไม่ใช่ซู่ยวน จะให้นางทำให้แคว้นซีหนีว์วุ่นวายไม่ได้!”เมื่อซู่เฉียนเสวี่ยพูดคำสุดท้ายจบ ก็ราวกับว่านางได้ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดแล้ว นางหายใจรุนแรงราวกับว่าวิญญาณในร่างกำลังล่องลอยออกไป นางเงยหน้าขึ้นด้วยความทรมานอย่างที่สุด เพื่อให้ลมหายใจเคลื่อนผ่านสะดวกเหล่าขุนนางคนสนิทต่างก่นด่าถึงความไม่เป็นธรรม“ท่านประมุข ท่านวางใจเถิดเพคะ! หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ซู่ยวนตัวปลอมนั่นขึ้นครองราชย์เด็ดขาด!”“ใช่ ฆ่านางซะ! นางหลอกลวงเบื้องสูง ทั้งยังทำร้ายท
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั