หลังตื่นจากฝันร้ายนั้น เซียวอวี้ก็ไม่รู้สึกง่วงนอนอีกเลย เขาก้าวลงจากเตียง คว้าเสื้อคลุมที่แขวนอยู่บนฉากบังตาแล้วเดินออกไป มุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่งเหอ ครั้นมาถึงตำหนักหย่งเหอ เซียวอวี้ไม่ได้เข้าไปในตำหนักบรรทม เพียงแต่ยืนอยู่ข้างนอกเท่านั้น ในชั่วยามนี้ ฮองเฮาคงจะเข้านอนไปแล้ว เขายืนนิ่งอยู่สักพัก และในยามที่ชั่งใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ซุนหมัวมัวพลันเดินมาหาแล้ว ซุนหมัวมัวต้องการให้ฝ่าบาทและฮองเฮากลับมาคืนดีกันอีกครั้ง จึงเอ่ยหยั่งเชิง ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ “ฝ่าบาท ได้โปรดอย่าใส่พระทัยคำพูดที่รุนแรงของฮองเฮาเลยเพคะ แท้จริงแล้วพระนางก็แค่กำลังแง่งอน และขออภัยที่บ่าวพูดมากเกินไป ฮองเฮาจิตใจสูงส่ง จนไม่อยากจะมองเห็นท่านกับหรงเฟยเพคะ...” เซียวอวี้ขมวดคิ้ว เพียงเหลือบมองจากหางตา “นางเป็นเช่นนี้เพราะหรงเฟยรึ?” ซุนหมัวมัวพยักหน้างึก ๆ “ถูกต้องเพคะ! ฮองเฮามีความรักลึกซึ้งต่อพระองค์ มิฉะนั้นจะเสี่ยงชีวิตเพื่อไปส่งเสบียงอาหารให้ท่านได้อย่างไร? ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทกรีธาทัพออกรบนั้น ฮองเฮาคิดถึงท่านอยู่เสมอเพคะ ทว่าเมื่อหรงเฟยกลับมาแล้ว ฮองเฮ
เซียวอวี้กระชับกอดนางไว้แน่น และเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ฮองเฮา เราไม่ได้โกหกเจ้า บุตรของหรงเฟยนั้น เราสืบพบแล้วว่า มิใช่บุตรของเราจริง ๆ เรากลัวเจ้าจะไม่เชื่อ ทว่าในที่สุด เราก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้แล้ว...ฮองเฮา อย่าจากเราไปเลย” หลังพูดจบ เขาก็ยื่นกระดาษคำให้การของข้าหลวงให้นาง ด้วยมือที่สั่นเทานิด ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนตกตะลึงไม่น้อย ทันใดนั้นนางก็ผลักมือของเขาออก เวลาเดียวกัน กระดาษพลันกระจัดกระจายอยู่บนพื้น สายลมที่หนาวเหน็บแห่งสารทฤดู พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เซียวอวี้ก้มลงไปหยิบมันทันที แต่แล้วก็พลันแข็งทื่อ เมื่อคิดดูแล้ว ดูเหมือนเขาจะกระจ่างขึ้นโดยฉับพลัน จึงโยนคำให้การในมือทิ้งไป พลางลุกขึ้น และเผชิญหน้ากับคนตรงหน้า ด้วยดวงตาที่แดงเรื่อ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งมากขึ้น “หรือว่า...เจ้าไม่ได้สนใจ เรื่องที่เราจะบริสุทธิ์หรือไม่เลยรึ” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูกระดาษคำให้การที่กระจายเกลื่อนพื้น “ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ “หม่อมฉันไม่เคยเอ่ยว่า สาเหตุที่จะจากไปนั้นเป็นเพราะเรื่องของท่านกับหรงเฟยเพคะ” จนถึงยามนี้ เข
ฮ่องเต้ประชวร เหล่าหมอหลวงกล่าวว่า ฝ่าบาททรงติดเชื้อไข้หวัด ทว่าฝ่าบาทไม่เคยละเลยการออกว่าราชกิจเลยสักวันเดียว ณ วันที่เข้าสู่เดือนสิบสอง ในที่สุดก็มีพระราชโองการหย่าร้าง ประกาศลงมา เหลียนซวงหลั่งน้ำตาด้วยความปีติ “ฮองเฮาเพคะ ในที่สุดท่านก็ได้เป็นอิสระแล้ว!” นางรู้สึกมีความสุขกับฮองเฮาด้วยใจจริง ช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อได้เห็นฝ่าบาทเป็นเช่นนั้น ก็กลัวเหลือเกินว่าฮองเฮาจะถูกกักขังไว้ในพระราชวังตลอดชีวิต โชคดี ที่สุดท้ายฝ่าบาทก็คล้อยตามกระแสส่วนใหญ่ และยินยอมให้ฮองเฮาจากไป ทว่าสิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ มิใช่การปลดฮองเฮา แต่เป็นการหย่าขาดจากกัน ในทุกราชวงศ์ที่ผ่านมานั้น ล้วนมิเคยเกิดขึ้น ซุนหมัวมัวนั้นแตกต่างจากเหลียนซวง นางร้องไห้อย่างน่าอนาถ “ฮองเฮาเพคะ ฮองเฮาของบ่าว! เหตุใดท่านจึงปลงไม่ตก เหตุใดจะต้องออกจากวังให้ได้!” ซุนหมัวมัวทรุดกายนั่งอยู่บนชายคาระเบียง และร้องไห้สะเทือนฟ้าดิน ราวกับกำลังไว้ทุกข์ให้บิดามารดา ข้าหลวงหลายคนพยายามดึงนางขึ้นมา กลับไม่สามารถทำได้เลย ณ ฝ่ายใน เฟิ่งจิ่วเหยียนรับพระราชโองการนั
เซียวอวี้ดูเหมือนเพิ่งตื่นจากการหลับใหล อาภรณ์ของเขาบิดเบี้ยว และหลวมโพรก ผมเผ้ากระจัดกระจายไร้ระเบียบ ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นพราวด้วยเสน่ห์ระคนอ่อนแอ ริมฝีปากได้รูปของเขาก็ซีดเซียว คล้ายว่าเจ็บป่วยร้ายแรง ยากที่จะรอดชีวิต หลิวซื่อเหลียงที่อยู่ข้าง ๆ ก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าเอ่ยโน้มน้าวแต่อย่างใด แตกต่างจากเฉินจี๋ที่สงบนิ่ง ยังคงยื่นส่งลูกธนูให้กับฝ่าบาท เซียวอวี้จ้องมองคนที่อยู่ในระยะไกลอย่างไม่เผยอารมณ์ วางลูกธนูไว้บนสายอีกครั้ง และเล็งเป้าไปที่นาง... “ฝ่าบาท อย่านะเพคะ!” นางสนมทั้งหมดรีบเข้ามาสร้างกำแพงมนุษย์ขึ้น ต้องการที่จะขวางลูกธนูนั้น หนิงเฟยกลัวตาย ครั้นไม่รอให้นางได้เลือก ก็ถูกคนสองคนที่อยู่ข้างซ้ายและขวาจับเอาไว้ นางรู้สึกโมโหเล็กน้อย ทว่านางรู้สึกโกรธฝ่าบาทยิ่งกว่า “ฝ่าบาทพคะ! ท่านมิอาจทำร้ายเฟิ่งเวยเฉียงได้!” หนิงเฟยตะโกน ด้วยกลัวว่าฝ่าบาทจะยิงพวกนางตายเช่นกัน มู่หรงฉานไม่พูดจาอย่างนุ่มนวลเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางตะโกนอย่างเปี่ยมความชอบธรรม “วิญญูชนรับปากหนึ่งครั้งมีค่าดุจทองพันตําลึง! ฝ่าบาทได้มีพระราชโอง
ฮูหยินเฟิ่งทั้งประหลาดใจและไร้หนทาง ราวกับเด็กคนหนึ่งที่กระทำความผิด “เจ้า...เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? จะไม่กลับบ้านหรือ? แล้วเจ้าจะไปที่ใด?” นายท่านเฟิ่งเกิดอาการโทสะปะทุฉับพลัน จนกระโดดตัวโยน “ยังจะไปที่ใดได้อีกเล่า! นางอยากกลับไปที่...” เมื่อตระหนักได้ว่ามีคนอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงกลืนคำว่า “ตระกูลเมิ่ง” ลงคอ ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งสงบ “ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีบ้านอยู่ทุกหัวระแหง พวกท่านแค่คิดว่าไม่มีข้าเป็นลูกสาว เฉกเช่นเมื่อในอดีตก็พอ” หลังเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางก็เดินจากไปทันที ฝีเท้าเรียบเรื่อย และเด็ดขาด เบื้องหลังคือเสียงดุด่ากราดเกรี้ยวของนายท่านเฟิ่ง และเสียงร้องไห้ของฮูหยินเฟิ่ง “ลูกเนรคุณ! เจ้ามันลูกเนรคุณ! ดี! เจ้าอยากตายในทุ่งหญ้ารกร้างก็เชิญ!” “นายท่าน หยุดพูดได้แล้ว!” “ข้าจะต้องพูด! ละทิ้งแว่นแคว้นไว้เบื้องหลังได้อย่างไร นาง...นางคิดแต่จะท่องไปทั่วยุทธภพ! ข้าควรจับนางกดน้ำให้ตายเสียตั้งแต่แรก! ข้า...” นายท่านเฟิ่งโรคหัวใจกำเริบอีกแล้ว “นายท่าน! นายท่าน!” ฮูหยินเฟิ่งหยิบยาออกมาทันที และป้อนใส่ปากของเขา
เซียวอวี้ยืนอยู่หน้าประตูไม้การบูร มิได้ก้าวเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ราวกับว่า ตราบใดที่ไม่ผลักเปิดประตูนั้น เขาก็ยังสามารถหลอกตัวเองได้——ฮองเฮายังอยู่ข้างใน ครั้นได้ยินเหลียนซวงทำความเคารพ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นางก็ทิ้งเจ้าไว้เช่นกันรึ” เหลียนซวงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา ซึ่งดูเหมือนอ่อนแอยิ่งนัก ด่านของความรักช่างผ่านไปยากจริง ๆ เซียวอวี้อยู่ในตำหนักหย่งเหอตลอดทั้งวัน หนังสือฎีกาก็กองพะเนินอยู่ในห้องทรงพระอักษรแบบนั้น เมื่อหรงเฟยได้ทราบเรื่อง ก็มาเกลี้ยกล่อมถึงตำหนักหย่งเหอด้วยตนเอง ครั้นเห็น ฮ่องเต้เพียงยืนอยู่ริมหน้าต่าง และมองดูต้นไม้ในลานกว้าง ผ่านหน้าต่างบานนั้น โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ ได้ทราบจากปากข้าหลวงว่า เขายืนอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งวันแล้ว ในเวลานี้ตะวันคล้อยลับฟ้า ถึงเวลาสำรับเย็นแล้ว เขากลับไม่ยอมให้ผู้ใดมารบกวน ณ ประตูตำหนัก เหลียนซวงเห็นหรงเฟยเดินเข้ามา ก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก มาพอดีเวลา ได้โปรดรีบพาฝ่าบาทเสด็จออกไปเร็ว ๆ เถิด นี่มันน่าหวาดผวาเกินไปแล้ว หรงเฟยเดินไปหยุดอยู่ข้าง
สิบวันให้หลัง ณ ชายแดนแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับไปมองด้วยความเหงาครู่หนึ่ง ซึ่งตกอยู่ในสายตาของอู๋ไป๋ เขาจึงอดพูดไม่ได้ “แม่ทัพน้อย ถ้าหันกลับไปตอนนี้ ก็ยังไม่สายเกินนะขอรับ” เขารู้ชัดเจน แม่ทัพน้อยมิใช่คนเย็นชาไร้น้ำใจ ตรงกันข้ามคือให้ความสำคัญกับมิตรภาพเป็นพิเศษ หากมีบ้านให้กลับไป เหตุใดจะต้องแยกย้ายไปสุดฟ้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความลำบากใจของแม่ทัพน้อย เหมือนกับที่เขารู้ ในมุมหนึ่ง จากคำพูดของคนชุดคลุมดำ บัดนี้แม่ทัพน้อยตกเป็นเป้าหมายของสมาชิกพรรคเทียนหลง ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นรู้จักโฉมหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากของแม่ทัพน้อย ตั้งแต่เมื่อใด และยังรู้ด้วยว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันเคยเป็น “เมิ่งสิงโจว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเบาะแสที่สืบได้ล่าสุด พรรคเทียนหลงแอบฟื้นคืนความรุ่งโรจน์มานานแล้ว อีกทั้งประมุขพรรคของพวกเขา จะออกจากที่ซ่อนในเร็ววันนี้ ในอีกด้านหนึ่ง “เมิ่งสิงโจว” กลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขา กอปรกับตัวตนของซูฮ่วน——เป็นหนึ่งในผู้นำที่กวาดล้างพรรคเทียนหลงในปีนั้น เกรงว่าพรรคเทียนหลงจะรู้ความจริงในไม่ช้าก็เร็ว และชำระแค้นเก่าแค้นใหม่
มังกรพสุธาที่อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า ราวกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงค่อย ๆ ว่ายมาทางเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมกับดวงตาที่เปล่งแสงสีเขียวเข้ม บ้างก็กระโดดขึ้นไป เกาะติดอยู่บนกำแพงหิน แล้วคลานเข้าไปหานาง พวกมันไม่ใช่มังกรพสุธาธรรมดาอีกแล้ว จากผิวหนังที่นูนและบวมนั้น มองแวบแรกก็รู้ว่ามีพิษ เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกินยาเม็ดต้านพิษ และค่อย ๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก... สองชั่วยามต่อมา นอกถ้ำ อู๋ไป๋รอคอยอย่างกระวนกระวายใจ และกังวล เขากลัวว่าแม่ทัพน้อยจะตกอยู่ในอันตราย จึงอยากจะเข้าไปตรวจสอบ ในขณะที่เขาลังเลไม่กล้าตัดสินใจ พลันมีคนเดินออกมาแล้ว เขารีบเข้าไปต้อนรับทันที “แม่ทัพน้อย...” ครั้นเพิ่งจะเปิดปากพูด ก็ได้เห็นเลือดเต็มใบหน้าของแม่ทัพน้อย ซึ่งน่าหวาดผวายิ่งนัก อู๋ไป๋พลันตื่นตัวขึ้นมาทันที รีบไปอารักขาจากด้านหลัง เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ไม่มีคนอยู่ข้างใน” อู๋ไป๋ยังสงสัย “แล้วเลือดบนร่างกายของท่าน…” เมื่อเอ่ยเช่นนี้ เขาพลันตอบสนองขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หรือเป็นมังกรพสุธาขอรับ? แม
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั
บนบัลลังก์มังกร หลิวอิ๋งมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังได้เปรียบแล้วฝืนยิ้ม“ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดนี่เอง ถึงอย่างไรความจริงก็เป็นเรื่องภายในของแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นหนานฉี...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะหลิวอิ๋งที่กำลังพูดด้วยแววตาเย็นชา“ข้าจะพบประมุขแคว้น”หลิวอิ๋งซ่อนเจตนาไม่ดีไว้ในรอยยิ้ม“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ประมุขแคว้นทรงสวรรคตแล้ว ยามนี้ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะกลัวว่าในแคว้นจะเกิดความวุ่นวาย หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็รีบไปที่ตำหนักบรรทมสิ ประมุขแคว้น...ทรงอยู่ในโลงแล้ว”“อะไรนะ!” ปฏิกิริยาของมั่วซินหมัวมัวรุนแรงมากหลิวอิ๋งแสร้งแสดงท่าทีเสียใจ ใช้มือหนึ่งปิดใบหน้า ไหล่สั่นสะท้าน ราวกับกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความเศร้านางก้มศีรษะลงครึ่งนึง แล้วกล่าวเสริมว่า“เหล่าขุนนางรักเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้าต้องการปิดบังพวกท่าน ทว่านี่เป็นเรื่องกะทันหัน ภายในก็วุ่นวาย ภายนอกศัตรูรุกราน ข้าไม่กล้าพูดออกมา“วันนี้ กบฏมั่วซินกลับเดินเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง ในที่สุดวิญญาณของท่านพี่ที่อยู่บนสวรรค์ ก็ได้ตายตาหลับเสียที“ท่านพี่...”นางร้องไห้เสียใจ ทำให้เหล่าขุนนางร้องตามไปด้วย“ท่านประมุข!”มั่วซินห
เหล่าขุนนางของแคว้นซีหนี่ว์ล้วนรู้ดี มั่วซินหมัวมัวเป็นคนเก่าแก่ข้างกายประมุข ได้รับความไว้วางใจจากประมุขเป็นอย่างมากคำพูดของนาง น่าจะไม่ผิดทว่า ใต้เท้าซู่ยวนคนนี้ เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของประมุข...ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครมั่วซินกล่าวหาว่าสถานะซู่ยวนเป็นตัวปลอม ซู่ยวนก็กล่าวหาว่ามั่วซินกบฏ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นของตนเองจนเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาพูด“เหตุใดไม่ให้ประมุขทรงตรัสด้วยตนเอง?”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สายตาหลิวอิ๋งฉายแววความโหดร้าย“ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าทำร้ายพี่สาว! พวกเจ้าเป็นโจรกบฏ อย่าคิดที่จะได้พบประมุข! ทหาร จัดการพวกนาง!”“ข้าจะดูว่าใครกล้าลงมือ!” แม่ทัพใหญ่หูย่วนเอ๋อร์ออกมายืนด้านหน้า ปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียนกับมั่วซินหมัวมัวหลิวอิ๋งตำหนิหูย่วนเอ๋อร์“แม่ทัพหู เจ้าก็คิดจะกบฏหรือ! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่รู้ความจริง ถูกคนหลอกลวง ข้าให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบมายืนฝั่งข้า! จับกุมตัวโจรกบฏ!”หูย่วนเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม“ต่อให้จะลงโทษใคร ก็ควรให้ประมุขตัดสิน! ใต้เท้าซู่ยวน ประมุขอยู่ที่ใด!”หลิวอิ๋งเห็นว่าคนพวกนี้ไม่ฟังคำพูดตนเอง บีบ
ในพระราชวัง แคว้นซีหนี่ว์หลิวอิ๋งพาประมุขกลับวังอย่างเปิดเผย เหล่าข้าหลวงล้วนเคารพนาง ไม่สงสัยในตัวนางเพื่อไม่ให้ประมุขเปิดปากขอความช่วยเหลือ หลิวอิ๋งให้นางทานยาสลบ ทำให้นางตกอยู่ในสภาวะหมดสติเทียบกับความใจเย็นของหลิวอิ๋ง เจิ้งจีรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้ามองผู้ใดจนกระทั่งพาประมุขส่งมาถึงตำหนักบรรทม หลังจากสั่งให้ข้าหลวงทั้งหมดออกไปแล้ว เจิ้งจีค่อยถามด้วยเสียงเบา“ท่านแม่ เราทำเช่นนี้ จะไม่มีใครรู้จริง ๆ หรือ?”หลิวอิ๋งมองประมุขบนเตียง ด้วยแววตาโหดเหี้ยม“นางใกล้จะตายแล้ว ตำแหน่งประมุข ไม่ช้าก็จะเป็นของข้า ขอเพียงข้าควบคุมทั่วทั้งแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้า!”เจิ้งจียังคงรู้สึกหวาดกลัวหวนคิดถึงเมื่อไม่นาน นักฆ่าพวกนั้นบุกเข้ามาในจวนชานเมือง สังหารองครักษ์ข้างกายประมุข แล้วก็ปลอมเป็นองครักษ์ ร่วมมือกับพวกนาง พาประมุขกลับวังตอนนี้ นักฆ่าพวกนั้นก็อยู่ในวัง กระทั่ง คอยจับตามองอยู่ข้างกายพวกเขาต่อให้ท่านแม่เป็นประมุข ก็จะสามารถสบายใจไม่ทุกข์ไม่ร้อนจริงหรือ?“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้ากลัว”น้ำเสียงเจิ้งจีสั่นเทาหลิวอิ๋งลูบใบหน้านาง พูดเตือนนาง
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ