แม้ว่าหรงเฟยจะถูกรุ่ยอ๋องบีบคอ แต่นางยังคงมีท่าทีอ่อนโยน และมองเขาด้วยน้ำตาเอ่อคลอ“ถึงแม้เจ้า...จะทำกับข้าเช่นนี้ ข้าก็ยังให้อภัยเจ้า...เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทูล...ฝ่าบาท ว่าเจ้าเป็นคนพาข้าออกจากวัง เป็นเจ้า...ที่ขังข้าไว้นานหลายปีถึงเพียงนี้“พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าเชื่อว่า...เจ้าจะไม่ทำร้ายข้าจริง ๆ”ในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ปล่อยมือ หันหลังให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงขรึม “มู่หรงหลัน เจ้าจะต้องเสียใจ”หรงเฟยยืนพิงกำแพงหิน มองดูอิดโรยอย่างมาก“คำพูดนี้ข้าก็มอบให้เจ้าเช่นกัน “พวกเราต่างก็ทำเพื่อปกป้องฝ่าบาทมิใช่หรือ?“ส่วนจะใช้วิธีการแบบใด นั่นก็เป็นการตัดสินใจของพวกเราแต่ละคน”หลังจากพูดจบ นางเดินอ้อมไปทางด้านหน้าของรุ่ยอ๋อง ยกมือขึ้นมาและดึงจี้หยกที่ห้อยเอวของเขาเบา ๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน: “จงจำไว้ว่า พวกเราสามคนจะต้องปกป้องกันและกัน และจะไม่มีวันแยกจากกันชั่วชีวิต”รุ่ยอ๋องรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ช่วงหนึ่ง และปัดมือของนางออก“มู่หรงหลัน เจ้าเกินจะเยียวยาแล้ว”หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปจากภูเขาจำลองอย่างแน่วแน่หรงเฟยยังคงอยู่ในถ้ำภูเขาจำลองที่มืดมิด พร้อมกั
ณ ตำหนักวั่นโซ่วไทฮองไทเฮาทรงเอ็นดูหรงเฟยเป็นพิเศษโดยไม่ปิดบังนางตั้งใจให้หรงเฟยนั่งอยู่ในตำแหน่งถัดจากตน พร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“เมื่อคืนเจ้านอนหลับดีหรือไม่?”หรงเฟยพยักหน้าตอบ ลำพังแค่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็ดูสง่างามแสนเรียบง่ายพระสนมคนอื่น ๆ ทั้งอิจฉาทั้งริษยา ต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะชมการแสดงงิ้วเลยไทเฮาก็ทรงรู้สึกกระวนกระวายเช่นกันก่อนที่การแสดงงิ้วจะเริ่มขึ้น ไทฮองไทเฮาทรงตรัสกับทุกคนว่า“เรื่องที่หรงเฟยกลับเข้าวัง พวกเจ้าก็คงรู้กันหมดแล้ว“สิ่งที่ข้าอยากพูดในวันนี้ ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น”เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้ นางก็หันไปมองไทเฮา“ในตอนนั้นหรงเฟยป่วยหนัก ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ทั้งยังถูกฝังอย่างเร่งรีบ จนเกือบถึงแก่ชีวิตทั้งที่อายุยังน้อย “ข้าสงสัยว่านางอาจจะถูกคนลอบทำร้าย จึงสั่งคนไปสับเปลี่ยนร่างที่อยู่ในโลง“สิ่งที่โชคดีคือ สวรรค์เมตตา หรงเฟยยังไม่ตาย เพียงแต่เพราะนางอ่อนแออย่างหนัก จึงทำให้อวัยวะในร่างกายหยุดทำงานชั่วคราว”เหล่าพระสนมได้ยิน ถึงแม้จะตระหนกตกใจ ทว่าก็ยอมรับได้อย่างไรเสียเรื่องของคนผู้นี้ที่ “ฟื้นคืนชีพ” ก็ไม่ถึงกับน่าอัศจ
เซียวอวี้ขมวดคิ้ว คำพูดของไทฮองไทเฮาเมื่อครู่ ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน และตกใจอย่างคาดไม่ถึงหรงเฟยแท้งบุตรเมื่อใด!?นางสนมเจียปากไวเอ่ยขึ้นทันที“ไทฮองไทเฮา หรงเฟยเคยแท้งบุตรหรือ? เหตุใดหม่อมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกันไทฮองไทเฮาทรงจับมือของหรงเฟย พร้อมกับรู้สึกเสียใจ“นั่นเป็นเรื่องหลังจากที่ฝ่าบาททรงออกไปทำศึกแล้ว “ตอนนั้นหรงเฟยก็มีอาการป่วยอยู่ เดิมทีแล้วจึงไม่ได้สนใจเรื่องนั้น และไม่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ด้วย“จนกระทั่ง...”เอ่ยมาถึงตอนนี้ นางเจตนามองไปทางไทเฮาแวบหนึ่งไทเฮาทรงจดจำเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน กลางฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมานางหลบเลี่ยงสายตาเชิงตำหนิของไทฮองไทเฮา ในใจรู้สึกกระวนกระวายเรื่องการตั้งครรภ์ของหรงเฟย นางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความจริง อีกทั้งยังเป็นคนทำร้ายโดยทางอ้อมอีกด้วยหากมิใช่นางขัดขวางหมอหลวงเหล่านั้นไว้ หรงเฟยในตอนนั้นคงไม่ถึงกับ “สองชีวิตในหนึ่งร่าง” เช่นนี้เรื่องนี้นางไม่เคยกล้าบอกกับผู้ใดเลย กลัวว่าหลังจากฮ่องเต้ทรงทราบ จะยิ่งเกลียดนางที่มีฐานะเป็นไทเฮาผู้นี้ทว่าท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ไม่มีทางป
เซียวอวี้มั่นใจว่า เรื่องที่ตนเองเคยทำ จะไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาดเขาไม่เคยแตะต้องหรงเฟย!ถึงแม้จะเมาสุรา เขาก็ไม่ถึงกับทำเรื่องต่ำทรามเช่นนั้นทว่าหรงเฟยก็ดูเหมือนไม่มีเหตุผลที่จะโกหกพวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ และยังเป็นสหายร่วมเรียนมาด้วยกัน ในตอนแรกที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ นางจะโกหกเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไรหรงเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และฝืนยิ้ม ทว่านัยน์ตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่แตกสลาย“ท่านจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร“เรื่องในคืนนั้น เดิมทีแล้วก็เป็นความผิดพลาด“หม่อมฉันจะลืมมันไป และหวังว่าท่านก็จะลืมเช่นกัน อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นหนามยอกอกระหว่างท่านกับฮองเฮาเลยเพคะ”เซียวอวี้ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน และจ้องนางด้วยสายตาเคี่ยวเข็ญ“มู่หรงหลัน อาศัยว่าที่ผ่านมาพวกเรามีความผูกพันกันมายาวนานหลายสิบปี อย่าโกหกเรา เด็กคนนั้นเป็นบุตรของเราจริงหรือ”หรงเฟยกัดเนื้อนุ่ม ๆ ในริมฝีปาก และพยักหน้าอย่างยากเย็น เซียวอวี้รู้สึกหายใจไม่ทัน มือกำหมัดไว้แน่น จนกระดูกข้อต่อนิ้วถูกบีบเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!หลังจากเงียบไปนาน เขาก็พูดเพียงประโยคเดียว“
ณ ตำหนักฉางเล่อหรงเฟยนำหลักฐานการติดต่อระหว่างเฉินอ๋องกับเสนาบดีเหล่านั้นมาถวาย“นี่คือสิ่งที่บิดาสืบสวนจนพบเพคะ เขาสงสัยแต่แรกว่าเฉินอ๋องมีเจตนาแอบแฝง จึงแสร้งผูกมิตรกับเขา เพื่อสืบหารายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดเหล่านั้น”หรงเฟยนำหลักฐานเหล่านี้มาแสดง ลดความยุ่งยากให้กับเซียวอวี้ได้ไม่น้อยหลังจากเขาดูแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“บิดาของเจ้ามีความดีความชอบ”แววตาของหรงเฟยดูแน่วแน่และภักดี“ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์คือหน้าที่ของบิดาอยู่แล้ว การช่วยให้ฝ่าบาททรงคลายความกังวลในพระทัยได้นั้นถือว่าดี สองวันที่ผ่านมา เพราะเรื่องของเฉินอ๋อง ท่านทรงงานยุ่งจนดึกทุกวัน ตอนนี้ก็ได้หยุดพักหายใจหายคอเสียที”วันนี้เซียวอวี้มาที่ตำหนักฉางเล่อ ก็เพราะหลักฐานในมือของหรงเฟยเหล่านี้เมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ เขาปกครองราชสำนัก หรงเฟยก็อาศัยกำลังของคนในตระกูลช่วยเหลือเขานางไม่เหมือนสตรีทั่วไป แค่มองดูนุ่มนวลอ่อนหวาน แท้จริงแล้วลงมืออย่างเฉียบขาด และมักจะคิดหาวิธีการใหม่ ๆ อยู่เสมอเขาให้นางคอยเป็นผู้ช่วยอยู่หลายเรื่อง ดังนั้นที่ว่าวังหลังไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง แต่ไหนแต่ไรมานางจะได้รับการยก
ลมหายใจของเซียวอวี้พลันหยุดชะงักไปในทันที พลางหมุนตัวเดินเข้าไปจับแขนของนางเอาไว้“เจ้าจักออกจากวังไปตามหาคนชุดคลุมดำใช่หรือไม่ ได้ เราอนุญาติให้เจ้าออกไปสืบความได้”น้ำเสียงของเซียวอวี้สั่นเครือเล็กน้อย “เจ้าอยากจะไปสืบหา ก็ไปสืบมาได้เลย”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองตรงไปที่เซียวอวี้ด้วยท่าทีสงบ ในแววตาหาได้มีร่องรอยความอาทรณ์ใด ๆ ไม่“มิใช่เพียงแค่ตามหาคนคลุมชุดดำเท่านั้นเพคะ ฝ่าบาท การออกไปในครานี้ หม่อมฉันจักไม่กลับมาอีกแล้ว”ดวงตาเรียวหงส์ของเซียวอวี้พลันหรี่เล็กลงมา แสดงให้เห็นท่าทีไม่สบอารมณ์ของเขาได้ในทันที ทว่า ก็ยังคงท่วงท่าใจเย็นเอาไว้“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใดกัน? ในสัญญาระบุเอาไว้ว่าหนึ่งปี...”“ท่านจำผิดแล้วพคะ เป็นครึ่งปีต่างหาก” เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันยื่นสัญญาในมือให้กับเขาในทันทีเซียวอวี้จึงรีบเปิดสัญญาออกมาโยไว ใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มไปด้วยอารมณ์ประหลาดใจ ตกใจ ทั้งยังรู้สึกเสียใจยิ่งนักในใบสัญญาเขียนเอาไว้ว่าครึ่งปีจริง ๆ !หากแต่เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าในคราที่ตกลงกันนั้น สัญญามีระยะเวลาเป็นหนึ่งปี!เช่นนั้น ความเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นคือนางเปล
เมื่อเหลียนซวงเดินเข้ามาด้านในตำหนักนั้น พลันเห็นฉากกั้นล้มลงไปอยู่กับพื้นในทันที“ฮองเฮาเพคะ ท่านอยากจะไปจากที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ?”น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนเต็มไปด้วยความทุ้มลึก“ใช่ ส่วนคดีของตระกูลเฉินนั้น ข้าจักจำเอาไว้”คนชุดคลุมดำผู้นั้นก็มีส่วนร่วมในการสังหารราชครูเฉินเช่นเดียวกันใบหน้าของเหลียนซวงเต็มไปด้วยความกังวลมากมาย“ฮองเฮาเพคะ บ่าวเกรงว่าฝ่าบาท…”“เขาจักเข้าใจมันได้เอง” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันหม่นแสงลงหากว่ามิอาจหลีกเลี่ยงได้แล้วไซร้ นางก็มิอยากจะก่อเรื่องจนทำให้ทุกคนรับรู้เรื่องราวทั้งหมดเช่นเดียวกันคืนนั้น เซียวอวี้นอนไม่หลับทั้งคืนภายในใจราวกับมีเพลิงสุมอยู่ในอกเขาคิดว่าตัวเองจักสามารถมีเวลาอยู่กับฮองเฮาอีกหนึ่งปีมาโดยตลอดแต่นางกลับลอบเปลี่ยนจากหนึ่งปีเป็นครึ่งปี!เขาที่มั่นใจว่าตนเองจักสามารถค่อย ๆ พิชิตใจนางได้นั้น แต่นางกลับวางแผนที่จะหนีหายไปจากเขามาตั้งแต่แรก!ในใต้หล้า เหตุใดถึงมีสตรีไร้ใจเช่นนางได้กัน!วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เซียวอวี้ว่าความยามเช้าเสร็จแล้วนั้น เขาก็เสด็จมาที่ตำหนักหย่งเหอในทันทีเหล่าทหารองครักษ์ต่างพากันเฝ้าเวรยามด
ม่านลูกปัดพลันถูกเปิดออก ยามที่เห็นว่าตนเองกำลังถูกอุ้มเข้าไปในมุ้งนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงคว้าผ้าม่านเอาไว้แน่น ทว่า แรงที่จะจับนั้นหาได้มีไม่ขณะที่เซียวอวี้ค่อย ๆ ก้าวเดินไปข้างหน้านั้น ม่านก็ค่อย ๆ หลุดจากมือนางไปเรื่อย ๆ ยามที่เห็นม่านค่อย ๆ ทยอยปิดเข้าหากัน นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเต็มไปด้วยความโกรธเล็กน้อย..เซียวอวี้อุ้มนางมายังข้างเตียง ก่อนจะช่วยนางปลดปิ่นปักผมไม้และผ้าคาดหัวลงมาด้วยความระมัดระวังผมสีดำราวน้ำหมึกจึงค่อย ๆ ล่วงตกลงมา นิ้วเรียวยาวของเซียวอวี้พลันลอดผ่านเส้นผมไปจับที่ท้ายทอยของเฟิ่งจิ่วเหยียน ดวงตาของเซียวอวี้พลันเต็มไปด้วยร่องรอยอารมณ์มากมาย“วันนี้เราตั้งใจจะคุยกับเจ้าดี ๆ“หากว่าเจ้ารักษาสัญญาจะจากเราไปเมื่อครบสัญญาหนึ่งปี เราก็คงมิต้องโมโหเช่นยามนี้“แต่เจ้ากลับไม่ฟังคำเรา ทั้งยังยึดถือในวิถีของตนเองยิ่งนัก“เราจึงได้แต่จำเป็นจักต้องใช้วิธีการของเราเอง เพื่อบังคับให้เจ้ารักษาสัญญา”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้แรงกัดริมฝีปากของตนเองเอาไว้ เพื่อให้ตนเองได้สติอยู่เสมอเซียวอวี้ที่มองออกว่านางจักทำอันใดนั้น จึงเอ่ยเตือนขึ้นมาว่า“เรามิได้บอกแล้วหรือ หากเ
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร