เมื่อคืนวานเซียวอวี้กำเริบเสิบสานยิ่ง คิดอาศัยแรงจากสุรามาบีบบังคับเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนหาใช่สตรีอ่อนแอทั่วไปไม่ จึงชกเขาเข้าเต็ม ๆ หนึ่งหมัดขณะนี้ผู้ที่ชกเขากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ในมือถือไข่ไก่ที่ปอกเปลือกแล้วเอาไว้ดวงตานั้นแตกต่างจากส่วนอื่นในร่างกาย ไม่อาจใช้กำลังภายในสลายเลือดคั่งได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงได้แต่ใช้วิธีทั่วไป ทว่าผลลัพธ์ก็ช้ายิ่งตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงยามนี้ ได้ใช้ไข่ไก่ไปสิบกว่าฟองแล้วทว่ารอยฟกช้ำบนดวงตาของเขาก็ยังไม่หายไป จึงไม่อาจพบใครได้เซียวอวี้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง จะใช้วิธีพูดเกลี้ยกล่อมแบบไหนไม่ดีเขาไม่เคยพบสตรีที่แรงมากถึงเพียงนี้มาก่อน!ชกมาหมัดหนึ่ง เขาก็เกือบจะตาบอดแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนใช้ไข่ไก่กลิ้งประคบรอบตาเขาหลายรอบ ทันใดนั้นเขาพลันจับข้อมือของนาง“เจ้าช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง!”ตีคนไม่ควรตีหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ของแคว้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเรียบนิ่งกล่าว “ท่านทำผิดก่อน”เซียวอวี้เป็นฝ่ายผิดจริง ๆทว่าเมื่อกลับมาคิดดู ต้องโทษเฟิ่งหมิงเซวียนน่าตายนั่น!พูดหลักการบ้าบออะไรนั่น!หากเฟิ่งหมิงเซวียนมาได้ยิ
“ฮองเฮา เดี๋ยวก็จะได้พบหน้ากับสาวใช้ของเจ้าผู้นั้นแล้ว เหตุใดจึงดูไม่ยินดีเลยเล่า?” เซียวอวี้รู้สึกเบิกบานใจที่วางแผนได้เหนือกว่านางอีกขั้นเขามองสำรวจคนตรงหน้า คิดอยากเห็นว่านางจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไรยามนั้นนางทุ่มเทความคิดอย่างมากในการส่งเหลียนซวงออกจากวัง เขามีลางสังหรณ์ว่านี่ไม่ปกติ จึงจัดวางหมากลับไว้เพิ่มเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบขึ้นมอง สบตากับเขาดวงตาของนางราวกับมีรอยยิ้มบาง ๆ อยู่เซียวอวี้มองจนตกอยู่ในภวังค์ ทว่าทันใดนั้น...“เพละ!” เสียงดังขึ้นตามแรงในมือนาง เขาพลันรู้สึกเจ็บปวดบริเวณดวงตาอย่างรุนแรงไข่ทั้งฟองนั้น แตกจนเป็นผงสีเหลืองและขาวผสมกันเละเทะ กระจายไปทั่วดวงตาของเขา“ฮองเฮา เจ้าคิดจะฆ่าสามีหรือไร!”นางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!......ณ ชายแดนเหนือคู่สามีภรรยาเมิ่งได้รับจดหมายแววตาฮูหยินเมิ่งดุดัน“เฉียวม่อถึงกับทำป้ายคำสั่งอินทรีเหินปลอมขึ้น เช่นนั้นป้ายคำสั่งที่นางส่งคืนมาก่อนหน้านี้ก็เป็นของปลอมหรือ?”นางรีบปลดกลไกกล่องทันที ป้ายคำสั่งอินทรีด้านในนั้นมองอย่างไรก็เหมือนกับของจริงไม่ผิดเพี้ยนแม่ทัพเมิ่งรับมันมาดู แล้วหยีตาดูอยู่พักหนึ่ง
หลังถูกลูกธนูยิง เดิมเฉียวม่อคิดว่า ตัวเองต้องตายเป็นแน่นางคิดว่า ตายไปทั้งอย่างนี้ก็ดี จะได้จบ ๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ยามมวลความเจ็บปวดถึงขั้วกระดูกม้วนตัวเข้ามา นางฟื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในถ้ำแปลกถิ่น บริเวณรอบด้านต่างเต็มไปด้วยกำแพงหิน นางถูกมัดไว้บนเตียงไม้ผุพังหลังหนึ่งทันใดนั้นพลันมีเสียงแก่ชราดังขึ้นมาข้างหู“แม่ทัพน้อยเมิ่ง ฟื้นแล้วหรือ…”ตอนนี้เฉียวม่อถึงได้เห็นว่า บนหัวนางมีบุคคลหนึ่งยืนอยู่ใบหน้าของคนผู้นั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเขาก้มหน้า จ้องมองมาที่นางพร้อมฉีกยิ้มร่าเฉียวม่อถามทันที “เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?”นั่นสินะ ศิษย์พี่คงเคยช่วยเหลือคนไว้มากมาย!คนผู้นี้ต้องคิดว่านางเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งเหมือนองค์หญิงใหญ่แน่ ๆ ถึงได้ช่วยชีวิตนางอย่างไม่สนสิ่งใดคนผู้นั้นยื่นมือไปจับหน้าอกของนางที่ถูกลูกธนูปัก นางพลันรู้สึกเย็นวูบจากนั้นก็ได้ยินเขาส่งเสียงหัวเราะชวนสยองออกมา“สมกับเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งผู้ฝึกปรนร่างกายมาอย่างดี ร่างกายนี้ ช่างแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า“ถูกลูกธนูปักเสี่ยงตายถึงชีวิตแท้ ๆ แต่กลับรอด
เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งลงบนก้อนหินข้าง ๆ ท่าทางดูเหน็ดเหนื่อยนางหยิบผ้าออกมาผืนหนึ่ง เช็ดคราบเลือดบนคมดาบไปพลาง เอื้อนเอ่ยช้า ๆ เหมือนหาเรื่องคุย“หลังจากที่สงครามรัฐเหลียงสิ้นสุดลง ท่านอาจารย์ประกาศต่อภายนอกว่า ข้าบาดเจ็บสาหัส ต้องส่งตัวไปยังสถานที่กบดาล“เจ้าคิดว่า เขาทำเช่นนั้นเพียงเพื่อปิดบังเรื่องที่ข้ากลับไปที่เมืองหลวงงั้นหรือ?”เฉียวม่ออ้าปากพะงาบ ๆ พูดอย่างยากลำบาก“แล้วไม่ใช่หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนช้อนตาขึ้น สายตาลุ่มลึกดั่งมหาสมุทร“เรื่องแก้แค้นแทนเวยเฉียง เดิมทีไม่จำเป็นลงแรงเนิ่นนานถึงเพียงนี้“หากข้าอยากออกจากวัง ย่อมมีวิธีอยู่แล้ว“ความจริงก็คือ ชายแดนทิศเหนือไม่ค่อยสงบสุข ข้าจึงไม่สามารถกลับไปได้เร็ว”เฉียวม่ออารมณ์เดือดพล่าน เลือดบนตัวไหลออกมามากกว่าเดิมที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!นางสู้กับศิษย์พี่มาตั้งนาน สุดท้ายก็เดินหมากผิดไปหนึ่งตัว!!ดาบในมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนถูเช็ดจนมันขลับ สะท้อนใบหน้าเด็ดเดี่ยวของนาง“เจ้าอยากล่อเสือออกจากถ้ำ แต่กลับไม่รู้เลยว่า ข้าเองก็จำใจต้องออกจากถ้ำเหมือนกัน“ต้องโทษอาจารย์ที่ไม่ได้บอกเจ้าอย่างชัดเจน ว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลง
ณ สนามม้าหลวง วันนี้ลมแรงมากเฟิ่งจิ่วเหยียนว้าวุ่นโดยพลันเหตุใดถึงกลายมาเป็นนางสอนฮ่องเต้ยิงธนูล่ะ?รอยช้ำบนดวงตาของเซียวอวี้จางหายไป ใบหน้าจึงงดงามไร้ที่ติเขาหยิบคันธนูขึ้นมา แล้วหันไปถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“เราจับท่านี้ ถูกต้องไหม?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเรียกสติกลับมา หันไปมองเขาจึงเห็นว่าท่วงท่าค่อนข้างดูสบาย ๆ เลยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง“อืม ใกล้เคียง”เมื่อเขายิงธนูออกไป กลับห่างจากเป้านิ่งค่อนข้างไกลเฉินจี๋ไม่เข้าใจทักษะยิงธนูของฝ่าบาทแม่นยำมาตลอด แล้ววันนี้เป็นอะไรไป?เซียวอวี้ยิงอีกลูกปั่ก!ครั้งนี้แย่กว่าเดิม หลุดจากเป้านิ่งไปแล้ว!เฉินจี๋ :แปลกมาก! ฝ่าบาทต้องตรวจตราสาส์นร้องทุกข์มากเกิน จนข้อมือเสียหายเป็นแน่!ยิงธนูพลาดสองครั้งติด เซียวอวี้กลับไม่หงุดหงิดเลยสักนิด“ฮองเฮา” เขาเงยหน้ามองเฟิ่งจิ่วเหยียน แม้นไม่มีท่าทีถ่อมตน แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยแววขอคำแนะนำเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยเห็นภาพเขายิงธนูสังหารเฉียวม่อ จึงรู้ดีว่าทักษะยิงธนูของเขาเป็นเช่นไรและรู้ด้วยว่าที่เขาอยากให้นางสอนในตอนนี้เพราะคิดอะไรอยู่นางมองตรงไปยังเบื้องหน้า กล่าวเตือนอย่างไม่เกรงใจ“ที่แห่งนี
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างตายด้าน“ต้องสอนตามความสามารถของผู้เรียน หากเป็นคนมีทักษะยิงธนูธรรมดา ข้าจะให้เขายิงตำแหน่งกลางอก เพราะเป้านิ่งค่อนข้างกว้าง โอกาสชนะมีสูง“แต่คนที่มีทักษะยิงธนูเหนือชั้นเช่นท่าน พุ่งโจมตีส่วนหัว จะยิ่งทำให้ถึงแก่ชีวิตได้แม่นยำมากกว่า“แต่ส่วนหัวเองก็มีชั้นเชิง อาจจะดูเหมือนว่าหน้าผากคือจุดเล็ง แต่ความจริงจุดเล็งอยู่หลังศีรษะ——บริเวณกะโหลกส่วนล่าง หรือก็คือจุดที่เชื่อมต่อกับกระดูกไขสันหลังบริเวณลำคอนั่นเอง…”ขณะที่นางพูด เซียวอวี้ก็ฟังอย่างตั้งใจแต่ไม่ทันได้รู้ตัว พอมองริมฝีปากที่กำลังขยับอ้าของนาง หัวใจของเขาก็กระตุกไหวณ ตำหนักฉือหนิงองค์หญิงใหญ่ปักถุงหอมเรียบร้อย จึงตั้งใจว่าจะไปส่งให้ฮองเฮาด้วยตนเอง“อะไรนะ? ฝ่าบาทกำลังสอนฮองเฮายิงธนูอยู่งั้นหรือ?”เพ้อเจ้อ!เหล่าข้าหลวงต้องส่งสารผิดแน่นอน!ทักษะยิงธนูของแม่ทัพน้อยไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า! จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทสอนด้วยหรือ?องค์หญิงใหญ่ตรงไปที่สนามม้าหลวงด้วยท่าทางองอาจเป็นดั่งคาด สิ่งที่นางเห็น เป็นฮองเฮากำลังสอนฮ่องเต้ชัด ๆ!นางมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮ่องเต้ผู้เป็นน้องชาย ยามที่ยังเป็นเ
องค์หญิงใหญ่กลับไปเหมือนวิญญาณออกจากร่าง เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันมาสอนเซียวอวี้ยิงธนูต่อเซียวอวี้กลับเหม่อลอย“อาการปวดหัวของเจ้า รุนแรงหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเก็บหุ่นไปพลาง พูดขึ้นมาลอย ๆ“อาการเดิม ๆ ข้าชินแล้วล่ะ”คิ้วคมของเซียวอวี้ขมวดมุ่น ถามต่อเหมือนไม่ตั้งใจ“ตอนที่อาการปวดหัวของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์กำเริบ ยาที่เจ้าเคยให้นาง เป็นยาที่เจ้าใช้เองหรือ?”ตอนนั้น เขาไม่รู้ว่านางเองก็มีอาการปวดหัวเหมือนกัน แถมยังบังคับนางส่งยาที่มีทั้งหมดมาให้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์อีก…เฟิ่งจิ่วเหยียนคร้านจะอธิบาย“เพคะ“ฝ่าบาท ท่านยิงธนูได้แล้ว”เซียวอวี้กลับวางธนูลง จดจ้องมาที่นางด้วยสายตาลุ่มลึก “เจ้าควรบอกเราตั้งแต่แรก หากเรารู้ว่าเจ้าเองก็ต้องใช้ยานั้น ก็คงไม่บังคับเจ้า…”เฟิ่งจิ่วเหยียนเริ่มรำคาญ“ฝ่าบาท วันนี้ข้ามาสอนยิงธนูให้ท่าน ไม่ใช่มารำลึกถึงความหลังกับท่าน”กับคนที่นางไม่ได้สนใจ นางไม่ได้มีเวลาว่างมากระเง้ากระงอดด้วยขนาดนั้นหัวใจของเซียวอวี้ว้าวุ่น จนมือเสียสมดุลก่อนหน้านี้เขาทำอะไรลงไป!ฟิ้ว——หัวลูกธนูเฉียดผ่านศีรษะของหุ่น หลุดออกจากเป้านิ่งไปแล้ว!เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองเซียว
วันต่อมา ไทฮองไทเฮาทรงเรียกฮ่องเต้มาตักเตือนต่อหน้า“ข้าก็ใช่ว่าไม่พอใจที่เจ้ากับฮองเฮาจะมีความรักต่อกัน เพียงแต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานะด้วยเช่นกัน“ฮองเฮาควรสุขุมเรียบร้อย และควบคุมดูแลวังหลังให้ดี“ทว่านางกลับละเลยถึงเพียงนี้ เป็นสตรีจะฝึกยิงธนูอะไรกัน? ทั้งยังชักนำให้ฝ่าบาทอย่างเจ้าละเลยงานราชกิจอีกด้วย“สองวันก่อนเจ้าก็ไม่ได้เข้าว่าราชกิจด้วยซ้ำ...ดูเถอะว่าฮองเฮาทำให้เจ้าหลงใหลจนกลายเป็นสภาพใด!“ฝ่าบาท เจ้าก็มิใช่คนที่หลงใหลในรูปโฉม หลายวันนี้เป็นเช่นไรหรือ? เหตุใดจึงเลอะเลือนถึงเพียงนี้!”ไทฮองไทเฮาทรงเอ่ยตั้งมากมาย ทว่ากลับเห็นฮ่องเต้ราวกับวิญญาณล่องลอย ตัวคนอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ใจลอยไปที่ใด“ฝ่าบาท!” ไทฮองไทเฮาทรงตะคอกด้วยความโมโหแววตาของเซียวอวี้ดูเย็นชา “เสด็จย่ามีเรื่องอันใด?”แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ฟังสิ่งที่นางเอ่ยเมื่อครู่ไทฮองไทเฮาทรงหายใจแทบติดขัด“ข้ากำลังตักเตือนเจ้าเรื่องขอบเขตที่เหมาะสมของการเป็นกษัตริย์“ทั้งเจ้าก็ยังเป็นสามี จึงควรจะควบคุมภรรยาของตนให้ดี อย่าปล่อยให้ฮองเฮามีอิทธิพลต่อเจ้า”เซียวอวี้ยังเย้ยหยันตนเองเขาหรือจะควบคุมฮองเฮาได้?เมื่
เซียวอวี้ที่เกือบจะเดินไปถึงประตูหน้าตำหนักแล้วนั้น พลันได้ยินเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเรียกเขาขึ้นมา“กษัตริย์ของแผ่นดินควรจักมีความใจเย็นและควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง ยามนี้ท่านกำลังทำอันใดอยู่กัน?”เมื่อเซียวอวี้หันกายกลับมานั้น พลันเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยกฉากกั้นขึ้นมาแล้วฉากกั้นที่หนักเช่นนั้น นางกลับ “ยก” มันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เซียวอวี้จึงเอ่ยเยาะเย้ยออกมาด้วยความเย็นชา“หากเรายังไม่ใจเย็นพอ นั่นก็เป็นเพราะถูกความเย็นชาของเจ้าบีบบังคับมัน”ผู้ใดจักทนความเฉยเมยของนางได้กัน?เฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง“หากว่าข้าเอ่ยคำโกหกออกไป ท่านจักชอบฟังมันเช่นนั้นหรือ?”เซียวอวี้พลันตวาดออกมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์“ใช่ เราชอบฟังเรื่องโกหก!”“ได้ ข้าสนใจเรื่องนั้นเป็นอย่างมาก หากท่านไปโปรดปรานมู่หรงฉานแล้วไซร้ ข้าจะรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์นางตั้งใจที่จะทำให้เขารู้ว่า คำโกหกนั้นหาได้ฟังดูดีเสมอไปไม่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการทำให้เขาใจเย็นลง แล้วมานั่งหารือเรื่องจักทำเช่นไรถึงจะจัดการจับตัวผู้วางยาพิษให้ได้ไวที่สุดเซีย
เซียวจั๋วที่ขาดแคลนเงินทอง แต่ก็ยังคงพาเฟิ่งจิ่วเหยียนมาที่ร้านอาหารเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกสงสัยยิ่งนัก เขามิคิดจะมีท่าทีระวังตัวจากผู้อื่นเลยหรือ?“อาหารพวกนี้พอหรือไม่?” เซียวจั๋วแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อนาง ราวกับว่าเขาหาได้มีท่าทีสงสัยที่นางพยายามจะบุกรุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้านไม่ ทั้งยังเห็นนางราวกับเป็นสหายที่พามากินข้าวก็ไม่ปาน ทั้งยังมิคิดเอ่ยถามนามของนางอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดสายตามองเขาเซียวจั๋วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ทั้งยังมีรอยปะชุนอยู่บนเสื้อผ้าอีกหากใครได้พบะเจอคนผู้นี้ละก็ คงคิดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าครั้งหนึ่งเขาจักเคยเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานฉีมาก่อนเซียวจั๋วและเซียวอวี้มีความคล้ายกันยิ่งนัก หากแต่ลักษณะนิสัยของพวกเขากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเซียวอวี้มีท่าทีโหดเหี้ยวอำมหิต ทั้งยังเต็มไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจเซียวจั๋วกลับมีท่าทีคล้ายกับบัณฑิตที่มีความอ่อนโยนสง่างาม ทำให้ผู้คนอยากจะเข้าใกล้เขาลักษณะเด่นตรงจุดนี้คล้ายกับรุ่ยอ๋องยิ่งนักเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยเข้าประเด็นในทันที“เมื่อครู่ คุณชายรู้จักคนในครอบครัวนั้นงั้นหรือ?”เซียวจั๋วหาได้ตอบนางไม่ พ
มู่หรงฉานตกตะลึงไปในทันที“ร่วมบรรทม? กงกงมิได้ประกาศผิดไปใช่หรือไม่? ไทฮองไทเฮาประชวรหนักเช่นนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึง…”หลิวซื่อเหลียงพลันพยักหน้าลงด้วยท่าทีนอบน้อม“กุ้ยเหรินได้ยินไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวก็มิได้ประกาศผิดไปเช่นกัน ท่านเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉานมองยังประตูหน้าตำหนักด้วยท่าทีเป็นกังวล“กงกง ไทฮองไทเฮาในยามนี้เป็นเช่นไรบ้างเพคะ? หากข้ามิได้เข้าไปเยี่ยมคงมิอาจวางใจได้ ได้โปรด ท่านช่วยไปทูลขอเข้าเฝ้าให้ข้าที”มู่หรงฉานทำทีว่าตนเองหาได้สนใจเรื่องการร่วมบรรทมไม่ ทั้งยังเอาแต่สนใจเรื่องอาการป่วยของไทฮองไทเฮาเท่านั้นหลิวซื่อเหลียงจึงตอบกลับไปด้วยความพอดีว่า“เนื่องจากฝ่าบาทมีรับสั่งว่ามิให้ผู้ใดเข้าพบ กุ้ยเหรินรั้งรอก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวทูลกล่าวมากไปย่อมไร้ความหมาย”มู่หรงฉานจึงได้ยอมแพ้หลังจากออกจากตำหนักวั่นโซ่วแล้วนั้น นางกำนัลรับใช้ชิวหงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป“กุ้ยเหรินเพคะ อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะกลับมาโปรดปรานท่านเช่นเดิมแล้ว ทำเอาบ่าวนึกตกใจยิ่งนัก!”นางครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไทฮองไทเฮาประชวรหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงมีกระจิตกระใจทำเช่นนั้นได้?ทว่า
ภายในตำหนักวั่นโซ่ว หมอหลวงคล้ายกับมีดาบจ่ออยู่ที่ลำคอ พลางเอ่ยรายงานออกมาด้วยท่าทีระมัดระวัง“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ไทฮองไทเฮามีอาการเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวอวี้จึงรีบก้าวเดินเข้าไปด้านในใบหน้าของเขาพลันมืดมนไปในทันทีถึงอย่างไร ญาติที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ของเขาก็หาได้มีมากไม่ด้านในตำหนัก ไทฮองไทเฮานอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนแรง พลางมองเซียวอวี้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและมิอยากจาก“ฝ่าบาท……”เซียวอวี้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า พลางจับมือนางเอาไว้“เสด็จย่า” เซียวอวี้พยายามกดน้ำเสียงของตัวเองเอาไว้จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็ล้มป่วยลงเช่นนี้ ทำให้พระนางเอ่ยพูดออกมาได้อย่างติดติดขัดขัด ทั้งยังใช้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมากพระนางพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงของตนเองออกมา ทำเอาเส้นเลือดบนลำคอถึงกับปูดบวมขึ้น พลางเอ่ยออกมาว่า“ข้า...แก่มากแล้ว ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก“เจ้าที่มีชะตากรรมชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก… ข้าที่คอยมองดูอยู่ตรงนี้ ก็หวังว่าข้างกายของเจ้าจักมีคนรู้ใจ มี... มีลูก...“ฝ่าบาทก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เจ้าจักต้องมีครอบครัว อย่าได้ตำหนิข้าเลย.
คุกเทียนเหลาภายในห้องทรมาน พลันมีเสียงกรีดร้องดังออกมา“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมหาได้...หาได้ทรยศต่อแว่นแคว้นไม่! มิได้มีผู้ใดมาชี้นำกระหม่อม กระหม่อมทำทั้งหมดก็เพื่อยุทธภพของแคว้นหนานฉี...อ๊าก! กระหม่อมรู้สึกจากใจว่าท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนี้!”“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน...”ผู้ที่ถูกมัดติดเก้าอี้ไม้นั้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่คอยกระทำการปลุกปั่นผู้คนหลังจากที่เมิ่งเฉียวม่อตายไปบรรดาเหล่าขุนนางที่กระทำกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทำร้ายขุนนางผู้ภักดีนั้น ล้วนแต่เป็นขุนนางที่โง่เง่าหูเบา ทว่า ผู้ที่ชักใยคอยปลุกปั่นอยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ทั้งยังเป็นผู้ที่กระจ่ายข่าวลือออกไปนั้น คือผู้กระทำผิดที่แท้จริงต่างหากในเมื่อตามหาพวกมันพบแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยคนเหล่านี้ไปง่าย ๆ อย่างแน่นอนทำให้ข้าราชบริพารราษฎรมากมายในหนานฉีต้องเกิดความโกลาหลเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันจักต้องร่วมมือกับคนนอกแคว้นอย่างแน่นอนทว่า ถึงแม้จะทรมานเพื่อเค้นถามความจริงออกมาหลายวันแล้วก็ตาม พวกมันก็ยังคงปากแข็งอยู่วันนี้ เซียวอวี้จึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองเฉินจี๋โค้งกายคำนับมือ พล
“ฮองเฮาเพคะ...” เหลียนซวงกลับมาแล้วภายในใจของเหลียนซวงรู้สึกซับซ้อนยิ่งนักนางที่มิอาจทำตามแผนการหลบหนีที่ฮองเฮาสั่งการไว้ได้ กลัวว่าตนเองจักเป็นตัวถ่วงให้กับฮองเฮาทว่า นางยังอยากรั้งอยู่คอยรับใช้ข้างกายฮองเฮา ทั้งยังอยากจะอยู่เผชิญหน้าปัญหามากมายกับฮองเฮาเช่นนี้“ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทท่าน…” เหลียนซวงที่อยากจะพูดถึงเรื่องขององครักษ์เงาขึ้นมานั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า: “ข้ารู้แล้ว”เซียวอวี้ย่อมไม่มีทางนำความโกรธของตนเองไปลงที่เหลียนซวงเพียงเพราะเรื่องที่นางปกปิดสถานะตัวตนของตนเองอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว หากให้เหลียนซวงอยู่ในวังหลวงต่อไปก็คงจะมิเป็นปัญหาอันใดนักเหลียนซวงรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ยิ่งนักนางได้แต่ก้มหน้าก้มตาลง “หากว่าบ่าววิ่งไวกว่านี้...”“นี่หาใช่ความผิดของเจ้าไม่” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉนเมย ก่อนจะมองไปยังองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักนั่นคือคนของเซียวอวี้ และยังเป็นคนที่ส่งตัวเหลียนซวงกลับมาอีกด้วยหลังจากที่ซุนหมัวมัวรู้ว่าเหลียนซวงกลับมาที่วังแล้วนั้น ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนักหากแม่นางผู้นี้กลับมา เช่นนี้ฮองเฮาก็ม
ในช่วงบ่ายขันทีได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้ไปตำหนักซินฮุ่ยเพื่อประกาศราชโองการชิวหงตามจิ้งเฟยไปรับราชโองการด้วย โดยคิดว่าจะต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นทว่าไม่นานนัก สีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงและตื่นตระหนก “...จิ้งเฟยถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ยกเลิกอำนาจในการช่วยควบคุมวังหลังทั้งหกตำหนัก ลดลงมาเป็นกุ้ยเหริน นับแต่วันพรุ่งนี้ให้ย้ายออกจากตำหนัก!”“เป็นไปไม่ได้!” ชิวหงตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว “ฝ่าบาททรงไม่มีทางทำเช่นนี้กับพระนาง!”พระสนมไม่ได้ทำผิดอันใด เหตุใดจึงถูกถอดถอน!จิ้งเฟยยังคงวางตัวเหมาะสมตามชาติตระกูลสูงศักดิ์ ฝืนยิ้มพร้อมกับรับราชโองการ และขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างนอบน้อมหลังจากขันทีที่มาประกาศราชโองการผู้นั้นกลับไป นางถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างโดยทันที ทั้งจ้องมองบนพื้นด้วยแววตาหม่นหมอง และในมือยังกุมราชโองการนั้นไว้แน่น ชิวหงจิตใจว้าวุ่น“พระนาง นี่เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?“เห็นชัดว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานท่าน...เขาจะถอดถอนตำแหน่งเฟยของท่านได้อย่างไร!”เจ้านายรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองกันหมด เจ้านายตกต่ำก็ตกต่ำกันหมด นางยิ่งร้อนใจกว่าจิ้งเฟยเสียอีกจิ้งเฟยยังคงนิ่ง
ณ ตำหนักซินฮุ่ยจิ้งเฟยสีหน้าดูคร่ำเคร่ง ไม่อ่อนโยนและสุขุมเหมือนที่ผ่านมานางขยี้ดอกไม้ตูมในมือจนป่นปี้“ได้ยินข่าวแล้วหรือไม่”ชิวหงก้มหน้าก้มตา รับรู้ถึงความโกรธของพระสนม พร้อมเอ่ยอย่างระวังตัว“แม้ชาวบ้านจะตีกลองร้องทุกข์ เพื่อให้ถอดถอนฮองเฮา ทว่าฝ่าบาท...”นางแอบเงยหน้าขึ้น เหลือบมองดูสีหน้าของจิ้งเฟย “ฝ่าบาททรงคัดค้านความเห็นของฝูงชน ไม่ทำตามใจราษฎร”จู่ ๆ จิ้งเฟยก็ยิ้มขึ้นมาทันทีรอยยิ้มของนางดูอ่อนโยนเป็นที่สุด“ฝ่าบาททรงต้องการจะปกป้องฮองเฮาจริง ๆ”“พระนาง พวกเราควรทำอย่างไรดี?”จิ้งเฟยมองออกไปด้านนอก พระอาทิตย์ตกแล้ว ราตรีกำลังมาเยือน“ฝ่าบาททรงคิดจะปกป้องฮองเฮา ก็ต้องดูว่าชาวบ้านกับเหล่าทหารจำนวนมหาศาลจะเห็นด้วยหรือไม่”นางรอได้ การตายของแม่ทัพน้อยเมิ่ง ยังไม่กระจายเป็นวงกว้างอย่างเต็มที่อย่างน้อย ชายแดนเหนือและค่ายทหารเป่ยต้าทางนั้นก็ยังไม่ได้รับรู้ข่าวนั่นคือทหารทั้งหมดของเมิ่งเฉียวม่อทันทีที่พวกเขาก่อความวุ่นวาย ชายแดนเหนือจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมฮ่องเต้ทรงไม่มีทางนิ่งเฉยโดยไม่แยแส......ณ ตำหนักหย่งเหอประมาณยามจื่อ เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้กล
สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนชะงักงัน สันหลังเหยียดตรง และไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆมือข้างหนึ่งของนางถูกเซียวอวี้กุมเอาไว้เมื่อรู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด นางจึงรีบแกะมือของเขาออกทันทีเซียวอวี้พลันเปลี่ยนเป็นจับคางของนาง ทำท่าเหมือนต้องการจะจูบนางนางรีบถอยหลบทันที ทว่ากลับเห็นเขาหยุดนิ่ง และส่งยิ้มมาให้นางในรอยยิ้มนั้นแฝงทั้งการหยอกล้อและการเย้าแหย่“เราคิดว่าเจ้าไร้ยางอายถึงขั้นว่าไม่หวาดกลัวสิ่งใดเลย ทำไม ก็เข้าใจเป็นอย่างดีมิใช่หรือ? แม่ทัพน้อย...ไม่ใช่ประสบการณ์โชกโชนหรอกรึ”นิ้วเรียวยาวของเขาเกี่ยวคางของนางให้ยกขึ้นเบา ๆ เผยให้เห็นส่วนโค้งของลำคอ เขาจูบลงไปเบา ๆ บนคอของนางโดยไม่ทันตั้งตัวแผ่นหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกชาขึ้นมาทันที“ปล่อย...”เซียวอวี้คว้าเอวของนางไว้ ทันใดนั้นพลันก้มศีรษะลงไปที่ซอกคอของนาง“มันทรมานมาก ขอเราพักหน่อยเถอะ” ดูเหมือนคนที่เหนื่อยล้าอย่างเต็มที่ผู้นี้ พบเจอสถานที่ที่ได้พักผ่อนอย่างสงบ ทั้งตัวรู้สึกผ่อนคลายทั้งดูเหมือนสัตว์ป่าที่ก่อนหน้ายังดุร้าย ตอนนี้กลับเชื่องลง และขดตัวหมอบอยู่ข้าง ๆ ขาเจ้านาย ดูสงบนิ่งกระทั่งว่านอนสอนง่าย ผ่านไปไม่นา