ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน ข่าวลือเกี่ยวกับฮองเฮาได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในพระราชวัง ถึงขั้นที่ว่าแพร่กระจายไปถึงวังหน้าเดิมทีไทเฮาอยากจัดการอย่างเงียบ ๆ มองดูแล้วว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล จิตใจวิตกกังวล“ฮองเฮาคือภรรยาของฮ่องเต้ และยังเป็นหน้าตาของพระราชวัง! ไม่ว่าก่อนที่จะเข้าวังนางจะเป็นเยี่ยงไร เพียงแค่นางย่างก้าวเข้ามาในพระราชวังแล้ว ก็ไม่สามารถแปดเปื้อนมลทินได้อีก”กุ้ยหมัวมัวก้มศีรษะอย่างนอบน้อม“บ่าวจะไปกระชับแต่ละตำหนักว่า หากมีผู้ใดแพร่ข่าวลือนี้อีก จะต้องถูกลงโทษสถานหนัก”จุดที่น่ากลัวของลมปากของคนอยู่ตรงที่ ไม่มีทางที่หยุดยั้งไว้ได้อยู่เลยถึงแม้ว่าไทเฮาจะออกโรง เรื่องที่ว่าฮองเฮาสูญเสียพรหมจรรย์ก่อนงานอภิเษกสมรส ยังคงถูกพูดต่อกันไปอย่างเป็นตุเป็นตะนางสนมสองสามคนที่ชอบแส่ยุ่งเรื่องรวมหัวคุยกันเป็นส่วนตัว“ตำหนักหย่งเหอไม่มีการโต้กลับอันใดเลย กลัวแล้วหรือกระไร?”“ข่าวลือพวกนั้น หรือจะเป็นจริงหมด? หรือฮองเฮาไม่ได้บริสุทธิ์จริง... เช่นนั้นนางยังจะสามารถอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน!”“ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน ก่อนงานอภิเษกสมรสฮองเฮาถูกโจรภูเขาลักพาตัวไป ถ
เมื่อได้ยินว่าผนังด้านในของฮองเฮาได้รับความเสียหาย นิ้วมือทั้งห้าใต้แขนเสื้อยาวของเซียวอวี้แปรเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่นฮองเฮาสร้างเรื่องโกหกหลอกลวงจริง ๆ !ในคืนอภิเษกสมรสนั้น เขาไม่น่าใจอ่อนเลย !เขาสติกระเจิงจวนจะระเบิด ก็มีหมัวมัวนางหนึ่งในนั้นเอ่ยถามขึ้น“บ่าวริซักถาม เวลาปกติฮองเฮามักจะเต้นรำหรือไม่ก็ขี่ม้าหรือไม่?”เหลียนซวงตอบอย่างลนลาน : “ใช่เจ้าค่ะ! ใช่เจ้าค่ะ!”หมัวมัวผู้นั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงกราบทูลกับเซียวอวี้ต่อ“ฝ่าบาท สถานการณ์เช่นนี้มีไม่มากนัก สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปของเหล่านางสนมในพระราชวัง ทุกคนล้วนเป็นหญิงสาวที่มักจะถูกเลี้ยงให้สงบเสงี่ยมอยู่ในเรือน ดังนั้นผนังด้านในจึงไม่ได้รับความเสียหาย”“ทว่าสถานการณ์ที่เหมือนกับฮองเฮาเช่นนี้ ก็เคยเจอมาบ้าง การเต้นรำและการขี่ม้า ถ้าหากรุนแรงเกินไป จะทำให้ผนังภายในของสตรีได้รับความเสียหายไม่มากก็น้อย”“ดังนั้นบ่าวจึงถามออกมาเช่นนี้”เซียวอวี้ถามด้วยเสียงเยือกเย็น“บอกเรามาก็พอว่าฮองเฮาบริสุทธิ์หรือไม่”หมัวมัวทั้งสองพยักหน้าทั้งคู่“กราบทูลฝ่าบาท ถึงแม้ผนังด้านในได้รับความเสียหาย ทว่าฮองเฮายังไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่า
เซียวอวี้เสด็จมาถึงตำหนักหย่งเหอ เห็นคนคุกเข่าอยู่ในสวนจำนวนมากพวกเขาแต่ละคนก้มหน้าก้มตา หัวหดด้วยความหวาดกลัว“ฝ่าบาท” เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ข้างประตูต้อนรับเขา สวมชุดธรรมดาสีน้ำเงินทั้งตัว ใบหน้าไร้ซึ่งการแต่งแต้ม ทว่าเปล่งประกายดึงดูดสายตาผู้คนเซียวอวี้เพียงชายตามองนางเล็กน้อย สีหน้าเยือกเย็นเดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนเดินตามไปอย่างนอบน้อม เมื่อถึงด้านใน จึงกราบทูลเขาอย่างตรงไปตรงมา“หม่อมฉันไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง หาคนที่ปล่อยข่าวลือได้แล้วเพคะ!”เซียวอวี้มองไปด้านนอกตำหนัก“คนเหล่านั้น ล้วนเป็นคนริเริ่มงั้นหรือ”“คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่หม่อมฉัน ‘เชิญ’ มาไต่ถาม ผ่านการซักถามในแต่ละขั้นตอน ท้ายที่สุดยืนยันได้ว่าข่าวลือนั้น สาวใช้ตำหนักหลิงเซียวเป็นคนป่าวประกาศเพคะ”เมื่อได้ยินว่าตำหนักหลิงเซียว เซียวอวี้สีหน้ามีการเปลี่ยนแปลง“ฮองเฮา จัดการเรื่องราวถูกผิดต้องดูตามข้อเท็จจริง ในช่วงเวลาสั้น ๆ สามวัน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคำให้การของคนเหล่านี้ไม่มีข้อผิดพลาด”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้แก้ตัว แต่กลับขออนุญาตเพิ่มเติมอีก“หากฝ่าบาทสามารถปฏิบัติกับตำหนักหลิงเซียวอย่างเท่า
เซียวอวี้หัวเราะเยาะอย่างเยือกเย็น“ได้ เพื่อส่วนรวมและส่วนตน”“ในเมื่อฮองเฮาพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมมั่นใจแล้วว่าเราจะอนุญาตให้เจ้าไปสืบสอบเพื่อความสงบสุขของสังคม?”เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับอย่างนอบน้อม : “หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิที่มีพระปรีชาสามารถ ห่วงใยราษฎรทั่วหล้า จะมิเพิกเฉยกับภยันตรายใด ๆ ที่จะคืบคลานเข้ามาทำลายแคว้นหนานฉีเป็นแน่”น้ำเสียงเซียวอวี้เย็นชา“ไม่จำเป็นต้องประจบสอพลอหรอก”“หากเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เหตุใดเราต้องส่งไม้ต่อให้เจ้าไปสืบสอบ? หรือผู้ใต้บังคับบัญชาเราไม่มีใครที่มีน้ำยาหรือกระไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ปฎิเสธ“ใช่เพคะ ความสามารถของหม่อมฉันมีขีดจำกัด ทว่าหม่อมฉันเป็นผู้ได้รับความเสียหายในเรื่องนี้ ไม่มีผู้ใดร้อนใจที่อยากจะสืบสอบความจริงไปมากกว่าหม่อมฉัน และไม่มีผู้ใดระมัดระวังตัวกว่าหม่อมฉันแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เรื่องลุกลามใหญ่โต ทำให้ทุกคนรู้ว่าราชสำนักกำลังไล่ล่าโจรภูเขา“ฝ่าบาทจะให้คนอื่นไปสืบสอบก็ย่อมได้ ทว่าทางที่ดีก็หวังคนเหล่านั้นแต่ละคนจะปิดปากเงียบสนิท”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่อยากต้องการคนรู้เรื่องนี้มากนักจริง ๆ “
“ยืนงงอะไรอยู่เล่า? พระนางล่ะ!”ซุนหมัวมัวเห็นเหลียนซวงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม จึงผลักนางเบา ๆ เหลียนซวงได้สติกลับมา เหงื่อเย็นท่วมศีรษะทันที“ข้า...ข้าจะไปหาพระนางเดี๋ยวนี้”แย่แล้วนางจะไปหาพระนางจากที่ไหนกันเล่า!ซุนหมัวมัวรุดหน้าไปต้อนรับการเสด็จมาเยือนของฮ่องเต้ก่อนจักรพรรดินั่งอยู่ม้านั่งไม้สีทองขลับด้วยสีแดงด้านนอกตำหนัก เสื้อผ้าสีดำแก่ไม่มีแม้แต่รอยยับ เหมือนกับนิสัยของเขาไม่มีผิด มีความรับผิดชอบและละเอียดรอบคอบ เคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง“ฮองเฮาล่ะ”ซุนหมัวมัวประเคนชาให้ : “กราบทูลฝ่าบาท พระนางคงจะกำลังเสด็จมา คงจะสรงน้ำอยู่เพคะ”เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นก่อนหน้านี้ที่เขาออกจากตำหนักหลิงเซียวมา เดิมวางแผนจะกลับไปที่ตำหนักจื้อเฉินทันทีระหว่างทางผ่านตำหนักหย่งเหอ จึงเปลี่ยนใจชั่วคราว มาถามความคืบหน้าในการสืบสวนของฮองเฮาเสียหน่อยนางกลับมาสรงน้ำในยามนี้เสียอย่างนั้นผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ยังไม่เห็นฮองเฮาออกมาเซียวอวี้จวนจะหมดความอดทนซุนหมัวมัวเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกตินางรีบร้อนเข้าไปในตำหนัก กลับเห็นเหลียนซวงยืนแข็งทื่อราวกับตอไม้อยู่ในด้านในฉากกั้นเมื่อเห็นเช่
เซียวอวี้เดินตรงมาหาเฟิ่งจิ่วเหยียน แววตาดูพินิจพิเคราะห์เฟิ่งจิ่วเหยียนวางตัวสงบนิ่ง มือข้างหนึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้าง “หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ”“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งออกมาจากห้องปลดทุกข์รึ” เซียวอวี้ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้ารับ“เพคะ ฝ่าบาท”เซียวอวี้ขมวดคิ้ว “มีกลิ่นคาวเลือด”จังหวะการหายใจของเฟิ่งจิ่วเหยียนแปรปรวนเล็กน้อยเพราะเปื้อนเลือดจำนวนมากของโจรภูเขา อีกทั้งยังไม่ได้ชำระกาย ดังนั้นย่อมต้องได้กลิ่นคาวเลือดในยามนี้นางแสร้งทำเป็นอ่อนแอ มองดูเหมือนบอบบางจนไม่อาจต้านทานแรงลม ไร้เรี่ยวแรงจะโต้ตอบ“ฝ่าบาท...หม่อมฉันมีรอบเดือนเพคะ”เซียวอวี้พลันหรี่ตาลงและเพ่งมองนางนี่เป็นครั้งที่สองที่นักฆ่าปรากฏตัวใกล้ตำหนักหย่งเหอจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนละสายตาลง ท่าทีนอบน้อม แต่ทันใดนั้น ฝ่ายบุรุษกลับคว้าข้อมือข้างหนึ่งของนางขึ้นมาดูเหมือนจะทำให้นางตกใจ ดวงตาพลันเบิกกว้าง“ฝ่าบาท...”นิ้วมือของเขากดที่ข้อมือของนางนี่กำลังทดสอบพลังภายในของนาง!ร่างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อนโชคดีมือที่คว้าไปเป็นข้างซ้าย ไม่
ณ ตำหนักหย่งเหอนอกจากไทเฮาและฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นี่ ยังมีหวงกุ้ยเฟยอยู่ด้วยหวงกุ้ยเฟยแอบบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ ในใจรู้สึกเย็นวาบเฟิ่งเวยเฉียงหญิงต่ำช้าผู้นี้ ไม่คาดคิดว่าจะกล้าเปิดโปงเรื่องลักพาตัว!นางก็อยากเห็นเช่นกัน หญิงต่ำช้าผู้นี้จะจัดฉากละครอะไรกัน!เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้คนพาโจรภูเขาออกมาเนื่องจากพวกเขามีจำนวนคนมาก จึงพาแค่หัวหน้ากลุ่มโจรออกมาสอบปากคำเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนขึ้นรายงาน“กลุ่มโจรภูเขาที่ลักพาตัวหม่อมฉันในวันนั้น บิดาของหม่อมฉันจับตัวพวกเขาไว้หมดแล้วเพคะ”“ตำแหน่งเบาะแสของพวกเขาไม่ธรรมดา ผ่านเหตุการณ์ไปหลายเดือน ถึงจะได้เจอตัวพวกเขา”“ยังโชคดีที่ฮ่องเต้ทรงรับปาก หม่อมฉันจึงได้รับโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และตามหาคนร้ายตัวจริง!”“หลังจากสอบสวนแล้ว โจรเหล่านี้ก็สารภาพว่า คนที่สั่งให้พวกเขามาลักพาตัวหม่อมฉัน ก็คือจ้าวเฉียน...คนสนิทข้างกายหวงกุ้ยเฟยเพคะ!”ประโยคสุดท้าย นางจงใจหยุดแล้วค่อยเอ่ยต่อ แสดงความหมายเป็นนัยที่ลึกล้ำ ในวินาทีนั้น แววตาของเซียวอวี้ราวกับคมดาบ ฉายประกายดุดันมาที่นางนี่เป็นสิ่งที่นางสืบหาจนรู้ หรือกำลังใส่ร้ายตำหนักหลิงเซียว?หวงกุ้ย
เฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่เรียกพยานออกมาทันที กลับถามหัวหน้าโจรผู้นั้นก่อน“เจ้ายืนกรานว่าเห็นจ้าวเฉียน เช่นนั้นเจ้าจำได้หรือไม่ วันนั้นเป็นวันอะไรเดือนอะไร”“จำได้! วันที่ 10 เดือน10”หวงกุ้ยเฟยยิ้มเยาะ “แน่ใจถึงเพียงนั้นเชียวรึ ความจำของเจ้าช่างดีเหลือเกิน ถ้าคนไม่รู้จะคิดว่าเจ้า...”นางมองฮองเฮาโดยมีความหมายอื่นแอบแฝง บอกเป็นนัย ๆ ว่าโจรผู้นี้รับสินบนจากฮองเฮาหัวหน้าโจรรีบแก้ต่างทันที“วันที่ 10 เดือน 10 ของทุกปีเป็นวันบูชาขุนเขา บรรดาพี่น้องเรากำลังกินดื่มสังสรรค์ และจ้าวเฉียนก็มาถึง...”จ้าวเฉียนเหมือนได้จับช่องโหว่ของอีกฝ่ายได้ จึงรีบร้อนตะโกนขึ้น“ปรักปรำ! บ่าวอยู่ในวังตลอดเวลา จะขึ้นไปบนภูเขาได้อย่างไร!”สิ่งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่ก็คือประโยคนี้ของเขา “จ้าวเฉียน แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไร วันที่ 10 เดือน 10 ตัวเจ้าอยู่ในวังหลวง?”จ้าวเฉียนกลอกตาไปมา“ไม่ใช่แค่วันที่ 10 เดือน 10 บ่าวอยู่ปรนนิบัติรับใช้หวงกุ้ยเฟยมาตลอด ครั้งก่อนที่ออกจากวัง ก็เพราะทำความดีความชอบเลยได้กลับไปอยู่พร้อมหน้าครอบครัว “หากฮองเฮามิทรงเชื่อ ก็ตรวจดูในสมุดรายชื่อผู้ที่เข้าออกวังได้พ่ะย่ะค่ะ“การ
เมื่อเป่ยเยี่ยนต้องการถอยทัพนั้น หาใช่เรื่องดีสำหรับหยางเหลียนซั่วไม่เขาจึงเข้าพบฉินเซียวในทันที“ท่านแม่ทัพ นี่เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมของพวกฉีเท่านั้น…”กองทัพใหญ่ได้เคลื่อนย้ายแล้ว ฉินเซียวมิต้องการฟังเรื่องไร้สาระอันใดจากเขาอีก“หยางเหลียนซั่ว เป็นเพราะเจ้ากล่าวว่าพวกเรามีโอกาสได้ชัย ฝ่าบาทจึงส่งกองกำลังเสริมมาให้กับพวกเราแน่! พวกเราหาได้มีความคิดที่จะต้องมารบกับหนานฉีจริง ๆ ไม่! ยามนี้งามหน้ายิ่งนัก เรื่องของเจ้าก็มิอาจจัดการได้สำเร็จ ยังมาทำให้พวกเราต้องสูญเสียกองกำลังอีกครึ่งหนึ่งไปอีก!“แม่ทัพเช่นข้านึกสงสัยยิ่งนัก ว่าเจ้าร่วมมือกับเซียวอวี้เพื่อมาทำลายเป่ยเยี่ยนของข้าใช่หรือไม่!“ไสหัวไป! คิดว่าตนเองเป็นใครกัน ถึงจะมาให้พวกข้าทำงานถวายชีวิตให้กับเจ้า?”ใบหน้าของหยางเหลียนซั่วพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาไปในทันทีเพียงแค่เขาโบกมือเล็กน้อยก็คว้าเข้าที่คอของฉินเซียวฉินเซียวตกใจยิ่งนักทั้งยังเจือไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“หยางเหลียนซั่ว...เจ้า...”ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ากำลังภายในที่ร่างกายของเขากำลังรั่วไหลออกมาหยางเหลียนซั่วที่กำลังดูดซึมกำลังภายใน พลางเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีเคร
เมื่อปีใหม่มาเยือน กองทัพหนานฉีจึงเริ่มโจมตีกลับเป็นระลอก ๆ การโจมตีกลับในครานี้เป็นเพียงแค่การยั่วยุเท่านั้น หาใช่การสู้รบจริง ๆ ไม่ดูเหมือนจะมิเป็นอันตรายอันใด ทว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งทั้งวันทั้งคืนเข้า ก็ทำเอาทั้งกองทัพเยี่ยนตกอยู่ในความวิตกกังวลตลอดเวลาหลังจากเป็นเช่นนี้ไปนานครึ่งเดือนนั้น ตกกลางคืน พลันเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นภายในค่ายกองทัพเยี่ยน...“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพ! ค่ายแตกขอรับ!”ค่ายแตกในที่นี่หมายถึงค่ายเกิดการจลาจลปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ทว่า นับเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อกองทัพเป็นอย่างมากฉินเซียวลุกขึ้นมาในทันที เหล่าองครักษ์จึงกรูเข้าอารักขาเขา พลางกล่าวคำรามออกมาว่า“คุ้มกันท่านแม่ทัพหนีออกไป!”การจลาจลในค่ายพลันเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิดเพียงแค่ทหารนายหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาว่า “ฆ่า” พลางทำเอาทหารภายในกองทัพหันมาห้ำหั่นกันเอง กองทัพเยี่ยนในยามนี้พลันตกอยู่ในความสับสนอลหม่านไปในทันทีเหล่าทหารกองทัพเยี่ยนในยามนี้คล้ายกับแมลงวันที่ไร้หัว พวกเขารีบร้อนลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า พลางกรีดร้องออกมาด้วยความโกลาหลวุ่นวายในส
มังกรไฟที่หนานฉีลากออกมา จะทำให้กองทัพเยี่ยนถูกโจมตีอย่างหนักก่อนหน้านี้ กองทัพเยี่ยนคิดไปเองว่า การสร้างปืนหอกไฟที่มีเฉพาะของหนานฉีขึ้นมา จะทำให้เป่ยเยี่ยนไร้คู่ต่อกร ผู้ใดจะคิดว่า หนานฉีก็แอบลักจำเช่นกัน!แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยน---ฉินเซียวก็มิอยากเชื่อ เขาจักต้องเห็นด้วยตาตนเอง มิเช่นนั้น ยากจะรับประกันได้ว่ากองทัพฉีมิได้หลอกลวง!หลังจากเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นฐานมังกรไฟของกองทัพฉี ก็เหมือนกับของเป่ยเยี่ยนพวกเขาทุกประการ!กองทัพฉียังส่งคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ลากมังกรไฟไปทางด้านกองทัพเยี่ยนของพวกเขา มังกรไฟของทั้งสองแคว้นเฉียดผ่านกันไป สถานการณ์ทำเอาคนพูดไม่ออกกองทัพฉียังคงโห่ร้อง“ฮ่องเต้พวกเราตรัสว่า ขอบคุณเป่ยเยี่ยนที่ส่งกระสุนมังกรไฟมาให้!”ฉินเซียวมือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันทีกระสุนมังกรไฟลูกนั้นมอบให้กลุ่มกบฏพรรคเทียนหลง เพื่อช่วยพวกเขาก่อความวุ่นวาย และสังหารฮ่องเต้ตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ที่นี่!หากหนานฉีมีมังกรไฟจริง ๆ แผนการของเขาก็คงใช้กันไม่ได้แล้วมิใช่แค่เพียงกองทัพเยี่ยน แม้แต่เหล่าทหารหนานฉีในด่านเฉาอวี๋ ในเวลานี้ต่างตะลึงงัน และประหลาดใจอย่างที่สุดแม่ทัพใหญ่ก
เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดเกราะ เซียวอวี้เห็นแล้ว ในใจรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที“เจ้าจะทำอะไร มิใช่พูดแล้วหรือว่า เรื่องสำคัญอันดับแรกของเจ้าคือการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ”เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งและใจเย็น“อาการบาดเจ็บของหม่อมฉันไม่ร้ายแรง หากอยู่ที่นี่ไปตลอด ในทางตรงกันข้ามร่างกายจะยิ่งไม่สบาย“การขับไล่กองทัพเยี่ยน เรื่องนี้ไม่ควรรอช้า ยิ่งไปกว่านั้นหยางเหลียนซั่วก็อยู่ที่กองทัพเยี่ยนด้านนั้นด้วย การจัดการพวกเขาโดยเร็วที่สุด ถึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก”เซียวอวี้ไม่เห็นด้วยเขาขวางนางไว้ แววตาดูเคร่งขรึม“เราไม่อนุญาต อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี จะได้รับบาดเจ็บไม่ได้อีก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“หม่อมฉันจะดูแลตนเองให้ดี”“จิ่วเหยียน เจ้า...”เขายังคิดจะเกลี้ยกล่อมนาง ทว่าด้านนอกกลับได้ยินเสียงรายงาน“ฝ่าบาท กองทัพเยี่ยนตะโกนโวยวาย ให้เราส่งมอบตัวซูฮ่วน มิเช่นนั้นจะเปิดฉากสงคราม”ชายแดนด้านตะวันออกด้านนอกด่านเฉาอวี๋ กองทัพเยี่ยนมืดฟ้ามัวดิน ธงรบสีแดงถูกลมพัดเสียงดังพรึ่บพรั่บกองทัพทั้งสองประจันหน้ากัน แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยนฉินเซียวท่าทางหยิ่งทะนงเพราะด้านหลัง
เซียวอวี้โอบกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้ ไม่อยากให้นางเห็นน้ำตาที่ควบคุมไม่ได้นั้นโธ่เอ๊ย!บุรุษไม่ควรหลั่งน้ำตาง่าย ๆ แล้วเขาร่ำไห้ได้อย่างไร!ช่างอับอายขายหน้าจริง ๆ !ทว่า...รู้สึกอิ่มเอมใจในที่สุดจิ่วเหยียนก็บอกว่ารักเขาความรู้สึกของเซียวอวี้ผสมปนเปกัน เขาหอมที่แก้มนาง“เจ้าพูดอะไร? เมื่อครู่เราไม่ได้ยิน”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“ไม่ได้ยินหรือ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”มือสองข้างของเซียวอวี้ประคองใบหน้านางขึ้นมาทันที “ใจร้ายนัก เจ้าตั้งใจ เราก็แค่อยากได้ยินเจ้าพูดอีกครั้ง มิได้หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือของเขาออก จากนั้น เงยคางขึ้น แตะลงไปที่ข้างริมฝีปากเขาเบา ๆ“เพคะ หม่อมฉันรักท่าน…”ในสมองของเซียวอวี้ราวกับพลุดอกไม้ไฟระเบิดขึ้น โชติช่วง สุกสกาว ไม่มีวันร่วงโรยแขนสองข้างของเขาโอบตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ ราวกับได้กินน้ำผึ้งมิปาน รู้สึกมีความสุข“จิ่วเหยียน เราดีใจจริง ๆ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ตายก็ไม่เสียใจจริง ๆ!”ต่อมาฟังนางเล่าเรื่องราว ถึงรู้ว่าสิ่งที่นางประสบพบเจอนั้นเสี่ยงอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่หิมะถล่มใกล้เข้ามา ตามสามัญสำนึก ควรจะวิ่งไปด้านข้าง ทว่
เมื่อเห็นฮูหยินเมิ่งออกมา หร่วนฝูอวี้รีบเข้าไปทักทายทันที ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง และเอ่ยถาม“อาจารย์หญิง สารเลวนั่น...ฮ่องเต้นั่นดูแลคนเป็นหรือ” แม้ฮูหยินเมิ่งจะแก้ไขอยู่หลายครั้งก็ตาม นางยังคงยืนกรานที่จะเรียก “อาจารย์หญิง”ฮูหยินเมิ่งนึกย้อนไปถึงใบหน้าซีดเซียวที่อดนอนของฮ่องเต้ ก็พยักหน้าเบา ๆ“อืม”หร่วนฝูอวี้ไม่ยอมแพ้ ยังถามอีกว่า: “ถ้าเช่นนั้นเขารู้แล้วหรือไม่ว่าซูฮ่วนมิอาจให้กำเนิดบุตรได้?”ฮูหยินเมิ่งเหลือบมองดูนาง สีหน้าไม่สบายใจ“มันยาก แต่หาใช่ว่าจะเป็นไปมิได้เลย”เหตุใดนางจึงมีท่าทางเหมือนหวังว่าจิ่วเหยียนจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้?หร่วนฝูอวี้ยิ้มอย่างกระดากอาย “ ใช่เจ้าค่ะ ท่านพูดถูก ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ทรงทราบหรือไม่?”ฮูหยินเมิ่งส่ายหัวนางมิรู้ว่า จิ่วเหยียนบอกเรื่องนี้กับฮ่องเต้หรือไม่ราชวงศ์ให้ความสำคัญกับทายาท ฮองเฮาให้กำเนิดบุตรยาก ถือเป็นเรื่องต้องห้ามหร่วนฝูอวี้ยังคงยกยิ้มมุมปากถ้าเช่นนั้นนางจักต้องทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ! ขอเพียงเขาจากไป ซูฮ่วนก็จะเป็นของนางแล้ว!วันต่อมาในตอนรุ่งเช้า เซียวอวี้ชำระกายเสร็จ เริ่มจากไปที่กระโจมหลัก เพื่อหารือกับเ
ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงอารมณ์เท่าใดนัก แค่มองเซียวอวี้ด้วยท่าทีเรียบเฉย แววตาเยือกเย็น ใบหน้าซีดขาว และซูบผอมลงไปไม่น้อย“หากท่านใส่พระทัย หม่อมฉันจะไม่ตำหนิท่าน...”เขาเคยพูดอยู่หลายครั้งว่า ต้องการองค์ชายทว่า มีความเป็นไปได้ว่านางมิอาจมอบให้เขาได้เรื่องนี้ต้องอธิบายกับเขาให้ชัดเจน ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร นางก็จะไม่โกรธเคืองเซียวอวี้ได้ยินเช่นนั้น พลันรีบกุมมือนางไว้ และวางลงบนทรวงอกของเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ“เราใส่ใจอะไร?“เราใส่ใจเพียงว่าเจ้ามีชีวิตอยู่หรือไม่ และอยู่เคียงข้างเราหรือไม่“จิ่วเหยียน เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น”เขาโอบนางเข้ามาในอ้อมแขนด้วยท่าทางอ่อนโยน คางแตะบนศีรษะของนาง ถูไถเบา ๆ ราวกับสุนัขป่าโดดเดี่ยวที่คลุ้มคลั่งได้พบคู่รัก ทั้งเหมือนราชสีห์รอนแรมในที่รกร้างได้พบครอบครัว ทั้งตัวคนจากดุร้ายกระสับกระส่าย เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังและสงบนิ่งเขาเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา “เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น...”แม้ว่านางจะไม่มีทางให้กำเนิดบุตรได้ นางก็ยังเป็นภรรยาของเขานางยังเป็นคนที่ไม่มีใครแทนที่ได้ในใต้หล้านี้ เป็นฮองเฮาที่เขายอมรับความรู้สึกที่เขาม
ภายในกระโจมหลัก บรรดาแม่ทัพเอ่ยกันทีละคน“ฝ่าบาท กองทัพเยี่ยนมีทหารสองแสนนาย ก่อนหน้านี้พวกเขาตีฝ่าแนวป้องกันที่เมืองเซวียนอย่างลับ ๆ ตัดเส้นทางกองกำลังเสริม เกือบจะทำให้เมืองหลวงถึงขั้นเป็นพื้นที่อันตราย”“ต้องขอบคุณกลยุทธ์ที่ถูกต้องของแม่ทัพน้อยเมิ่ง บวกกับการกลับมาอย่างทันท่วงทีของจู้กั๋วกง ที่นำกองทัพใหญ่ไปปกป้องเมืองเซวียนอย่างสุดชีวิต จึงทำให้กองทัพเยี่ยนทำไม่สำเร็จ หลายวันมานี้ พวกเราบีบกองทัพเยี่ยนให้ถอยกลับไปทางชายแดนตะวันออกแล้ว”“ฝ่าบาท ดูจากภายนอก กองทัพเยี่ยนอยู่นอกชายแดนตะวันออก หนานฉีไม่ตกอยู่ในอันตรายชั่วคราว ที่จริงแล้ว ท่านลองดู...”แม่ทัพผู้นั้นชี้ไปที่จุดหนึ่งบนโต๊ะทราย แล้วเอ่ยต่อ “แนวป้องกันตอนกลางของเมืองเซวียน จะมีเมืองเซวียน เมืองม่อ กานโจว และด่านเฉาอวี๋เป็นหลักสำคัญ โดยเชื่อมกันเป็นแนวป้องกันตามขวางจากตะวันออกไปตะวันตก ก่อนหน้านี้กองทัพเยี่ยนเคยตีฝ่าด่านเฉาอวี๋ การคุ้มกันของที่แห่งนี้พังทลายแล้ว หากสงครามเริ่มขึ้น ด่านเฉาอวี๋ไม่สามารถรวบรวมกำลังได้แน่ ดังนั้น ที่แห่งนี้จึงไม่เหมาะเป็นสนามรบหลัก แทบจะกลายเป็นสถานที่ที่สูญเสียการคุ้มกัน”เซียวอวี้นำธงเล็
ไทฮองไทเฮาทรงถูกส่งเข้ามาในคุกเทียนเหลา แต่ยังรักษาความน่าเกรงขามเอาไว้อย่างเต็มที่เหล่าท่านอ๋องมองเห็นนาง ทุกคนถึงกับตาค้างแม้แต่เสด็จย่าก็ถูกส่งเข้ามาในคุกเทียนเหลาด้วยหรือ?ถ้าเช่นนั้นพวกเขา...ดูเหมือนจะไม่ถูกปรักปรำแล้วช้าก่อน!หรือว่าพวกเขาจะก่อกบฏตามไทฮองไทเฮาจริง ๆ?สวรรค์!หญิงชราผู้นี้ ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นก็ยังทำร้ายตนเองด้วย!เหล่าท่านอ๋องพลันนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในเวลานี้ พลุดอกไม้ไฟนอกคุกเทียนเหลาอยู่ ๆ ก็ดังขึ้น พวกเขารู้สึกถึงความอ้างว้างคืนวันดี ๆ ส่งท้ายปีเก่า พวกเขากลับต้องอยู่ในคุกเทียนเหลา ช่างเป็นกรรมแท้ ๆ!ไทฮองไทเฮาทรงเข้ามาในห้องขังแห่งนี้ ก็เห็นมู่หรงหลันแม่ลูกอยู่ที่นี่ด้วยในใจนางรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อหันกลับมา ก็ประสานกับแววตาอันยั่วยุขององครักษ์ลับผู้นั้น และถูกเย้ยหยัน“คนสามรุ่นอยู่ร่วมกัน ไทฮองไทเฮา หญิงชราเช่นท่านช่างโชคดีเหลือเกิน”ขณะที่พูด หญ้าหางจิ้งจอกของคนผู้นั้นก็ขยับขึ้นลง แสดงออกถึงการยั่วยุไทฮองไทเฮาทรงทรมานพระทัยอย่างมากมู่หรงหลันได้รับบาดเจ็บหนัก ถูกโยนไว้ที่มุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ เอนพิงอยู่ข้างกำแพง ห