เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องการช่วยกองทัพอินทรีเหิน นางทำได้เพียงต้องใช้ตัวตนของเมิ่งสิงโจวมาแก้ปัญหาเท่านั้นมิฉะนั้น สำหรับเซียวอวี้แล้ว การที่กองทัพอินทรีเหินมิอาจควบคุมได้ อย่างไรก็ต้องทำการประหารอย่างเดียวเมื่อรู้ว่ามีแม่ทัพน้อยเมิ่งอีกคนหนึ่งนั้น ทุกคนต่างก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปในทันทีองค์หญิงใหญ่ตกใจเป็นอย่างยิ่งนางหันหน้าไปมองเซียวอวี้สีหน้าของเซียวอวี้ดูสงบเงียบกว่านางมากนัก ราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วดวงตาจึงเจือไปด้วยไอสังหารที่มิอาจอธิบายออกมาได้จู่ ๆ เฉินจี๋ก็ตระหนักได้ในทันทีที่แท้ การที่เมิ่งเฉียวม่อมิได้สนใจความเป็นความตายของกองทัพอินทรีเหินนั้น นั่นเป็นเพราะนางมิใช่ท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งตัวจริง!เช่นนั้น นางย่อมมีโทษหลอกลวงเบื้องสูงขึ้นมาอีกหนึ่งกระทง!ทว่า สิ่งที่เฉินจี๋คิดไม่ตกก็คือ ในเมื่อเมิ่งสิงโจวยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ เหตุใดเขาจึงยอมให้เมิ่งเฉียวม่อมาสวมรอยเป็นตนเองด้วยเล่า?กองทัพอินทรีเหินจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความว่างเปล่า“ท่านแม่ทัพน้อย?”พวกเขามิอยากจะเชื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปที่พวกเขา เมื่อเห็นว่าพวกเขายังอยู่ท่วงท่าที่จะปลิด
โผละ!ป้ายคำสั่งพลันแตกออกมา พละกำลังความแข็งแกร่งของนิ้วเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น ทุกคนต่างก็เห็นได้ชัด“ไม่! ท่านแม่ทัพน้อย…” กองทัพอินทรีเหินทั้งหมดต่างก็พยายามอดกลั้นเอาไว้เฉียวม่อมองไปยังชิ้นส่วนของป้ายคำสั่งที่แตกหักด้วยความปวดใจศิษย์พี่ยอมที่จะมอบกองทัพอินทรีเหินให้ไปอยู่ในมือผู้อื่นจริง ๆ !เช่นนี้ไม่สู้ปล่อยให้พวกเขาช่วยนางออกไป ก่อนที่จะตายอย่างสมเกียรติดีกว่าหรือ!คิ้วของเซียวอวี้ขมวดเป็นปมไปในทันทีการกระทำของเมิ่งสิงโจวในครานี้ ถือว่าพลิกสถานการณ์ทุกอย่างได้ในทันทีเขาเข้าใจความรู้สึกของฝ่าบาท ทั้งยังรู้วิธีที่จะแลกเปลี่ยนอีกด้วย“เฉินจี๋ ถอยทัพ”“พ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากทหารของวังหลวงถอยทัพกลับไปแล้วนั้น จำนวนคนจึงน้อยลงไปมากกว่าครี่งหนึ่งในทันทีกองทัพอินทรีเหินปลอดภัยแล้วพวกเขาจะไม่ตายทว่า ภายในใจของพวกเขาก็รู้สึกแย่ยิ่งนักนับแต่นี้ต่อไป พวกเขาจักไม่ใช่คนของท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งอีกแล้วโทษประหารพลันหลีกเลี่ยงได้ ทว่า บทลงโทษยามมีชีวิตอยู่มิอาจหนีพ้นบทลงโทษที่พวกเขาช่วยกันแหกคุกในคืนนี้ยังคงต้องดำเนินต่อไปเซียวอวี้เอ่ยสั่งการออกมาอย่างเด็ดขาดว่า“นำตัวทุกคนเ
แสงสว่างวาบจากดาบ ทำให้เฉียวม่อล้มลงราวกับว่ากระดูกสันหลังของนางถูกฉีกกระชากออกไปในทันทีนัยน์ตาของนางเบิกโพลงขึ้น พร้อมทั้งหันหน้ากลับไปด้วยความหวาดกลัวเท้าของนาง...เส้นเอ็นร้อยหวายถูกตัดไปแล้ว!เมื่อมองเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ นั้น เฉียวม่อพลันตัวสั่นเทาไปในทันที“อย่า…อย่าเข้ามา! ไม่เอา…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้นึกสงสารไม่ พร้อมทั้งตวัดดาบอีกครั้งหนึ่งเพื่อตัดไปที่เส้นเอ็นข้อมือของเฉียวม่อ ทันใดนั้น เฉียวม่อพลันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา“อ๊าก—"นางเกลียดยิ่งนัก!เหตุใดต้องทำเช่นนี้กับนางด้วย!นางก็แค่อยากได้ในสิ่งที่นางสมควรจักต้องได้!องค์หญิงใหญ่พลันยืนชมภาพตรงหน้าอยู่บนกำแพงด้วยความเป็นสุขเมิ่งเฉียวม่อผู้นั้น กล้าดีอย่างไรมาแอบอ้างตนเองเป็นท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งกัน!สายตาของเซียวอวี้พลันเต็มไปด้วยความเย็นชา“นำตัวเมิ่งเฉียวม่อกลับไปที่คุกเทียนเหลา จักทำการประหารนางในวันพรุ่งนี้”“พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อเฉียวม่อเห็นว่าตนเองหมดหนทางที่จะมีชีวิตรอดแล้วนั้น จึงร้องคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดในทันที“ฝ่าบาทเพค่ะ! หม่อมฉันต้องการฟ้องคู่สามีภรรยาตระกูลเม
ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันแฝงไปด้วยความเย็นชา“ฝ่าบาทเพคะ เรื่องที่เฉียวม่อกระทำการแอบอ้างนั้น มีเพียงท่านอาจารย์รับรู้เพียงคนเดียวเท่านั้น”ในยามนี้ องค์หญิงใหญ่ก็เปิดปากพูดออกมาเช่นกันหาได้เหมือนเมื่อก่อนไม่ นางมิคิดจะช่วยเหลือเฉียวม่ออีกแล้ว“ฝ่าบาทเพคะ การที่เมิ่งเฉียวม่อแอบอ้างเป็นผู้อื่นนั้นถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมยิ่งนัก ในยามนี้ยังหันกลับมาแว้งกัดบรรพบุรุษที่สั่งสอนตนเองมานานหลายปีอีก นับว่าเป็นการกระทำที่เนรคุณเป็นอย่างยิ่ง!“คำพูดของคนเช่นนางนั้น จักสามารถเชื่อถือได้เท่าใดกัน?“มิจำเป็นต้องฟังคำนางที่หันมาแว้งกัดผู้อื่นเพคะ!”องค์หญิงใหญ่รู้ดีว่า มิมีทางที่ฮูหยินเมิ่งจักมิมีส่วนรู้เห็นในเรื่องที่เฉียวม่อแอบอ้างสถานนะนี้ทว่า นางเพียงแค่ต้องการปกป้องฮูหยินเมิ่งเอาไว้นางเชื่อว่าฝ่าบาทหาใช่คนไร้เหตุผลไม่หากว่าลงโทษทุกคนที่รู้เห็นเรื่องนี้จนหมดนั้น เกรงว่าค่ายทหารเป่ยต้าคงตกอยู่ในความอลหม่านอย่างแน่นอนเซียวอวี้ก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีอีกทั้ง เขายังคิดถึงฮองเฮาอีกด้วยหากว่ากันตามตรงแล้ว ฮองเฮาเองก็คงจะรู้เรื่องที่เฉียวม่อแอบอ้างตนเป็นเมิ่งสิงโจวด้วยเช
“ปิดประตู!” เซียวอวี้ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดปั้ง—ประตูคุกเทียนเหลาถูกปิดอย่างเต็มแรงเฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมิได้ขยับไปที่ใดด้านบนกำแพงนั้นองค์หญิงใหญ่แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่นางเพิ่งจะได้ยินศิษย์พี่? ฮองเฮา?เมิ่งเฉียวม่อต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ !ใช่ นางจะต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ !เมิ่งเฉียวม่อยิ้มเยาะออกมาราวกับคนบ้าถึงอย่างไรก่อนตายนั้น นางยังสามารถลากคนไปเป็นเพื่อนได้อีกคนป้ายทองไว้ชีวิตนั้น ศิษย์พี่เอามาช่วยเหลือท่านอาจารย์ไปแล้วเหตุใดถึงลืมไปแล้วเล่าว่ายังมีตัวเองอยู่!เฉียวม่อหันไปกล่าวกับฝ่าบาทที่อยู่บนกำแพงว่า“ฝ่าบาทเพคะ! ท่านคงมิทราบกระมัง! ว่าผู้ที่แอบอ้างเป็นเมิ่งสิงโจวนั้น หาได้มีเพียงหม่อมฉันไม่ ยังมีฮองเฮา…”ฉึก —ลูกธนูอันแหลมคมพลันบินทะลุมาที่ทรวงอกของเฉียวม่อในทันทีความหวาดกลัวต่อความตายพลันแผ่กระจายไปทั่วร่างในทันทีดวงตาของเฉียวม่อถึงกับเบิกโพลงขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะมองยังทิศทางที่ลูกธนูบินมา...นางมิเคยคิดเลยว่า ผู้ทำการสังหารนางนั้นจักเป็นฝ่าบาท!สายตาของเซียวอวี้พลันทอประกายความเย็นชาออกมา เขาง้างคันธนูออกมา
เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองออกสายตาของเซียวอวี้มิได้ละจากไปที่ใด ก่อนจะกำหมัดวางไว้บนเข่าหลังจากผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้วนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิอยากเก็บมันไว้อีกต่อไป“ฝ่าบาท หม่อมฉัน...”จู่ ๆ เซียวอวี้ตวัดสายตาหันมามองนางด้วยแววตาที่เย็นยะเยือกจนทำให้คนนึกขนลุก“ฮองเฮา เจ้าควรคิดให้ดีก่อนที่จะพูดอันใดออกมา“เรื่องงานมงคลสมรสแทนนั้น เป็นเรื่องใหญ่ที่ข้าพอจะถอยให้เจ้าได้”หากยังมีเรื่องอื่นที่ร้ายแรงกว่างานมงคลสมรสละก็ เขาจักไม่ปล่อยนางไปอย่างแน่นอนหากแต่สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเผยความแน่วแน่ขึ้นมา“หม่อมฉันมิอยากปิดบังท่าน...ฮึก!”จู่ ๆ เซียวอวี้ก็ดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมอก พลางก้มลงมาปิดปากนางในทันทีเขาบดจูบนางด้วยความรุนแรง ราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินนางลงไปยามที่เฟิงจิ่วเหยียนคิดจะผลักเขาออกไปนั้น เขาก็พลิกร่างของตนเอง กดนางลงไปกับเบาะภายในรถม้าในทันที...รถม้ายังคงแล่นเข้าไปในพระราชวังโดยมิมีผู้ใดขัดขวางรถม้าพลันหยุดลงเมื่อมาถึงด้านนอกของตำหนักจื้อเฉินเฉินจี๋ที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในรถม้า ราวกับว่ามีส
หลังจากเวลาผ่านไปสองถ้วยชา เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป็นเสียงของเซียวอวี้ที่กลับมาจากการสรงน้ำ เขายกเปิดม่านขึ้นมา พลางมองดูนางจากเบื้องบนอย่างน่าเกรงขามและเย็นชา สายตาของนางเคลื่อนมองตาม ได้เห็นเขาอยู่ในชุดบรรทม ปล่อยเส้นผมดำสยาย ใบหน้างดงามดุจหยกนั้นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสังหาร เปรียบเสมือนปีศาจร้ายที่เย้ายวนใจผู้คน ยามที่ได้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมจะต้องรักษาความระมัดระวังอยู่เสมอ หลังจากนั้น เซียวอวี้ก็ย่อกายนั่งลง เขาผินดวงพักตร์มาทางนาง นัยน์ตาเงียบสงัดเยือกเย็น เมื่อเขาไม่เอ่ยปากก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่พูดเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก ในม่านเงียบสงบผิดปกติ ไม่ต่างจากการตั้งป้อมคุมเชิงประจันหน้ากันเงียบ ๆ ก่อนเริ่มสงคราม ได้แต่หยั่งเชิงกันและยังหาทางออกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะข่มอารมณ์ไม่ไหวก่อนกัน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้น ถึงแม้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนอยากจะเมินเฉย ก็ยังหนีไม่พ้นความรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย นางชอบ
เวลานี้อารมณ์ของเซียวอวี้ซับซ้อนยิ่งนัก ใจหนึ่งก็รู้สึกโชคดีที่ความจริงนั้น เมิ่งเฉียวม่อไม่ใช่แม่ทัพน้อยเมิ่งตัวจริง ขณะเดียวกันอีกใจก็รู้สึกโกรธที่ถูกหลอกลวง เมิ่งเฉียวม่อหลอกลวงเขา ฮองเฮาก็หลอกลวงเขาเช่นเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ ไร้ซึ่งข้อแก้ตัวแต่อย่างใด “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ” ปัง! เซียวอวี้ตบกระดาษคำรับสารภาพลงบนโต๊ะ เอ่ยด้วยเสียงเข้มงวดเย็นชา “แน่นอนเป็นความผิดของเจ้าทั้งหมด! “มองคนผิดพลาด ลังเลไม่กล้าตัดสินใจ จึงทำให้เมิ่งเฉียวม่อได้มีโอกาสเหล่านั้น! “เจ้าคิดว่าเกิดปัญหาแล้วจะสามารถหาวิธีแก้ไขได้ อันที่จริงแล้วหลุมนี้มันขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ “เหตุใดจึงไม่รีบบอกความจริงต่อเราให้เร็วกว่านี้! “หากเจ้าบอกความจริงแต่แรก เราก็ไม่มีทางแต่งตั้งเมิ่งเฉียวม่อเป็นแม่ทัพหญิงคนแรก และไม่มีทางแต่งตั้งให้นางเป็นแม่ทัพกรมป้องกันเมืองอะไรนั่นด้วย “แล้วยามนี้...เจ้าจะให้เราเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ ย่อมยึดถือข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ ทว่า การรักษาเกียรติของราชวงศ์ และรักษาเสถียรภา
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร