แสงสว่างวาบจากดาบ ทำให้เฉียวม่อล้มลงราวกับว่ากระดูกสันหลังของนางถูกฉีกกระชากออกไปในทันทีนัยน์ตาของนางเบิกโพลงขึ้น พร้อมทั้งหันหน้ากลับไปด้วยความหวาดกลัวเท้าของนาง...เส้นเอ็นร้อยหวายถูกตัดไปแล้ว!เมื่อมองเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ นั้น เฉียวม่อพลันตัวสั่นเทาไปในทันที“อย่า…อย่าเข้ามา! ไม่เอา…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้นึกสงสารไม่ พร้อมทั้งตวัดดาบอีกครั้งหนึ่งเพื่อตัดไปที่เส้นเอ็นข้อมือของเฉียวม่อ ทันใดนั้น เฉียวม่อพลันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา“อ๊าก—"นางเกลียดยิ่งนัก!เหตุใดต้องทำเช่นนี้กับนางด้วย!นางก็แค่อยากได้ในสิ่งที่นางสมควรจักต้องได้!องค์หญิงใหญ่พลันยืนชมภาพตรงหน้าอยู่บนกำแพงด้วยความเป็นสุขเมิ่งเฉียวม่อผู้นั้น กล้าดีอย่างไรมาแอบอ้างตนเองเป็นท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งกัน!สายตาของเซียวอวี้พลันเต็มไปด้วยความเย็นชา“นำตัวเมิ่งเฉียวม่อกลับไปที่คุกเทียนเหลา จักทำการประหารนางในวันพรุ่งนี้”“พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อเฉียวม่อเห็นว่าตนเองหมดหนทางที่จะมีชีวิตรอดแล้วนั้น จึงร้องคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดในทันที“ฝ่าบาทเพค่ะ! หม่อมฉันต้องการฟ้องคู่สามีภรรยาตระกูลเม
ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันแฝงไปด้วยความเย็นชา“ฝ่าบาทเพคะ เรื่องที่เฉียวม่อกระทำการแอบอ้างนั้น มีเพียงท่านอาจารย์รับรู้เพียงคนเดียวเท่านั้น”ในยามนี้ องค์หญิงใหญ่ก็เปิดปากพูดออกมาเช่นกันหาได้เหมือนเมื่อก่อนไม่ นางมิคิดจะช่วยเหลือเฉียวม่ออีกแล้ว“ฝ่าบาทเพคะ การที่เมิ่งเฉียวม่อแอบอ้างเป็นผู้อื่นนั้นถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมยิ่งนัก ในยามนี้ยังหันกลับมาแว้งกัดบรรพบุรุษที่สั่งสอนตนเองมานานหลายปีอีก นับว่าเป็นการกระทำที่เนรคุณเป็นอย่างยิ่ง!“คำพูดของคนเช่นนางนั้น จักสามารถเชื่อถือได้เท่าใดกัน?“มิจำเป็นต้องฟังคำนางที่หันมาแว้งกัดผู้อื่นเพคะ!”องค์หญิงใหญ่รู้ดีว่า มิมีทางที่ฮูหยินเมิ่งจักมิมีส่วนรู้เห็นในเรื่องที่เฉียวม่อแอบอ้างสถานนะนี้ทว่า นางเพียงแค่ต้องการปกป้องฮูหยินเมิ่งเอาไว้นางเชื่อว่าฝ่าบาทหาใช่คนไร้เหตุผลไม่หากว่าลงโทษทุกคนที่รู้เห็นเรื่องนี้จนหมดนั้น เกรงว่าค่ายทหารเป่ยต้าคงตกอยู่ในความอลหม่านอย่างแน่นอนเซียวอวี้ก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีอีกทั้ง เขายังคิดถึงฮองเฮาอีกด้วยหากว่ากันตามตรงแล้ว ฮองเฮาเองก็คงจะรู้เรื่องที่เฉียวม่อแอบอ้างตนเป็นเมิ่งสิงโจวด้วยเช
“ปิดประตู!” เซียวอวี้ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดปั้ง—ประตูคุกเทียนเหลาถูกปิดอย่างเต็มแรงเฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมิได้ขยับไปที่ใดด้านบนกำแพงนั้นองค์หญิงใหญ่แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่นางเพิ่งจะได้ยินศิษย์พี่? ฮองเฮา?เมิ่งเฉียวม่อต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ !ใช่ นางจะต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ !เมิ่งเฉียวม่อยิ้มเยาะออกมาราวกับคนบ้าถึงอย่างไรก่อนตายนั้น นางยังสามารถลากคนไปเป็นเพื่อนได้อีกคนป้ายทองไว้ชีวิตนั้น ศิษย์พี่เอามาช่วยเหลือท่านอาจารย์ไปแล้วเหตุใดถึงลืมไปแล้วเล่าว่ายังมีตัวเองอยู่!เฉียวม่อหันไปกล่าวกับฝ่าบาทที่อยู่บนกำแพงว่า“ฝ่าบาทเพคะ! ท่านคงมิทราบกระมัง! ว่าผู้ที่แอบอ้างเป็นเมิ่งสิงโจวนั้น หาได้มีเพียงหม่อมฉันไม่ ยังมีฮองเฮา…”ฉึก —ลูกธนูอันแหลมคมพลันบินทะลุมาที่ทรวงอกของเฉียวม่อในทันทีความหวาดกลัวต่อความตายพลันแผ่กระจายไปทั่วร่างในทันทีดวงตาของเฉียวม่อถึงกับเบิกโพลงขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะมองยังทิศทางที่ลูกธนูบินมา...นางมิเคยคิดเลยว่า ผู้ทำการสังหารนางนั้นจักเป็นฝ่าบาท!สายตาของเซียวอวี้พลันทอประกายความเย็นชาออกมา เขาง้างคันธนูออกมา
เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองออกสายตาของเซียวอวี้มิได้ละจากไปที่ใด ก่อนจะกำหมัดวางไว้บนเข่าหลังจากผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้วนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิอยากเก็บมันไว้อีกต่อไป“ฝ่าบาท หม่อมฉัน...”จู่ ๆ เซียวอวี้ตวัดสายตาหันมามองนางด้วยแววตาที่เย็นยะเยือกจนทำให้คนนึกขนลุก“ฮองเฮา เจ้าควรคิดให้ดีก่อนที่จะพูดอันใดออกมา“เรื่องงานมงคลสมรสแทนนั้น เป็นเรื่องใหญ่ที่ข้าพอจะถอยให้เจ้าได้”หากยังมีเรื่องอื่นที่ร้ายแรงกว่างานมงคลสมรสละก็ เขาจักไม่ปล่อยนางไปอย่างแน่นอนหากแต่สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเผยความแน่วแน่ขึ้นมา“หม่อมฉันมิอยากปิดบังท่าน...ฮึก!”จู่ ๆ เซียวอวี้ก็ดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมอก พลางก้มลงมาปิดปากนางในทันทีเขาบดจูบนางด้วยความรุนแรง ราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินนางลงไปยามที่เฟิงจิ่วเหยียนคิดจะผลักเขาออกไปนั้น เขาก็พลิกร่างของตนเอง กดนางลงไปกับเบาะภายในรถม้าในทันที...รถม้ายังคงแล่นเข้าไปในพระราชวังโดยมิมีผู้ใดขัดขวางรถม้าพลันหยุดลงเมื่อมาถึงด้านนอกของตำหนักจื้อเฉินเฉินจี๋ที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในรถม้า ราวกับว่ามีส
หลังจากเวลาผ่านไปสองถ้วยชา เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป็นเสียงของเซียวอวี้ที่กลับมาจากการสรงน้ำ เขายกเปิดม่านขึ้นมา พลางมองดูนางจากเบื้องบนอย่างน่าเกรงขามและเย็นชา สายตาของนางเคลื่อนมองตาม ได้เห็นเขาอยู่ในชุดบรรทม ปล่อยเส้นผมดำสยาย ใบหน้างดงามดุจหยกนั้นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสังหาร เปรียบเสมือนปีศาจร้ายที่เย้ายวนใจผู้คน ยามที่ได้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมจะต้องรักษาความระมัดระวังอยู่เสมอ หลังจากนั้น เซียวอวี้ก็ย่อกายนั่งลง เขาผินดวงพักตร์มาทางนาง นัยน์ตาเงียบสงัดเยือกเย็น เมื่อเขาไม่เอ่ยปากก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่พูดเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก ในม่านเงียบสงบผิดปกติ ไม่ต่างจากการตั้งป้อมคุมเชิงประจันหน้ากันเงียบ ๆ ก่อนเริ่มสงคราม ได้แต่หยั่งเชิงกันและยังหาทางออกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะข่มอารมณ์ไม่ไหวก่อนกัน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้น ถึงแม้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนอยากจะเมินเฉย ก็ยังหนีไม่พ้นความรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย นางชอบ
เวลานี้อารมณ์ของเซียวอวี้ซับซ้อนยิ่งนัก ใจหนึ่งก็รู้สึกโชคดีที่ความจริงนั้น เมิ่งเฉียวม่อไม่ใช่แม่ทัพน้อยเมิ่งตัวจริง ขณะเดียวกันอีกใจก็รู้สึกโกรธที่ถูกหลอกลวง เมิ่งเฉียวม่อหลอกลวงเขา ฮองเฮาก็หลอกลวงเขาเช่นเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ ไร้ซึ่งข้อแก้ตัวแต่อย่างใด “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ” ปัง! เซียวอวี้ตบกระดาษคำรับสารภาพลงบนโต๊ะ เอ่ยด้วยเสียงเข้มงวดเย็นชา “แน่นอนเป็นความผิดของเจ้าทั้งหมด! “มองคนผิดพลาด ลังเลไม่กล้าตัดสินใจ จึงทำให้เมิ่งเฉียวม่อได้มีโอกาสเหล่านั้น! “เจ้าคิดว่าเกิดปัญหาแล้วจะสามารถหาวิธีแก้ไขได้ อันที่จริงแล้วหลุมนี้มันขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ “เหตุใดจึงไม่รีบบอกความจริงต่อเราให้เร็วกว่านี้! “หากเจ้าบอกความจริงแต่แรก เราก็ไม่มีทางแต่งตั้งเมิ่งเฉียวม่อเป็นแม่ทัพหญิงคนแรก และไม่มีทางแต่งตั้งให้นางเป็นแม่ทัพกรมป้องกันเมืองอะไรนั่นด้วย “แล้วยามนี้...เจ้าจะให้เราเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ ย่อมยึดถือข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ ทว่า การรักษาเกียรติของราชวงศ์ และรักษาเสถียรภา
เซียวอวี้ระงับไฟโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในทรวง แลดูเหมือนว่าอารมณ์ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นของเขา ราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำค้างแข็ง ทั้งเยือกเย็นและลึกล้ำ เขาหัวเราะเยาะ และเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “หากเป็นเช่นนั้น ที่เจ้ายอมเสี่ยงกับการสูญสิ้นพลังภายในทั้งหมด เพื่อช่วยขับพิษวารีสวรรค์ให้เรา ในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ครานั้น ก็เสี่ยงชีวิตมาขวางลูกศรแทนเรา...ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าแม่ทัพน้อยเมิ่ง เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีนั่นเอง” เฟิ่งจิ่วเหยียนกดคางลงเบา ๆ “เพคะ” เมื่อไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวแม้สักนิด ก็ไม่จำเป็นต้องพูดโกหก นับตั้งแต่เข้าวัง นางก็ตระหนักได้ดีว่าตนเองนั้นต้องการสิ่งใด อาจารย์มักจะสอนนางว่าเมื่อได้ตั้งเป้าหมายแล้ว จักต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น อย่าได้สองจิตสองใจ โดยเฉพาะในเรื่องของความรู้สึก ทั้งความรักและมิตรภาพ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สิ่งใดที่ไม่ควรแตะต้อง นางก็จะไม่แตะต้อง ในใจของนางนั้น เห็นเขาเป็นฮ่องเต้ที่นางต้องภักดีด้วย หน้าที่ของนางคือการปกป้องเขาด้วยชีวิต ก็แค่นี้เอง... หมัดของเซีย
ทันใดนั้น มีเงาร่างขนาดใหญ่ทอดยาวอยู่ที่เบื้องหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน นางเงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้เห็นเซียวอวี้มายืนประชิดหน้านางแล้ว ดวงตาเจือความเย็นชา เขาเปิดริมฝีปากบางเบา ๆ น้ำเสียงเย็นชาไม่เปลี่ยน “เราจะให้เวลาเจ้าหนึ่งปี เพื่อจัดการกับเรื่องเหล่านี้ “ในอีกหนึ่งปีนับจากนี้ เจ้ายังต้องอยู่ในพระราชวัง และเป็นฮองเฮาของเรา “เหตุผลแรกเพื่อชดเชยที่เจ้าได้ละทิ้งหน้าที่ของฮองเฮาตลอดช่วงปีที่ผ่านมานี้ เหตุผลที่สอง เนื่องจากเมิ่งเฉียวม่อก่อปัญหาใหญ่หลวง เจ้ากลับปกปิดไม่ยอมรายงาน ก็ไม่ต่างจากการสมรู้ร่วมคิด ดังนั้น เจ้าควรรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาทั้งหลายเหล่านั้น จวบจนกว่าสถานการณ์จะมั่นคง “เช่นนี้ เจ้ามีข้อโต้แย้งอะไรหรือไม่?” เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่เงียบงัน ยังต้องอยู่ในวังอีกหนึ่งปีเชียวหรือ? นางเผลอแสดงความต่อต้านออกมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งปฏิกิริยานี้ทำให้พลังงานลบในร่างกายของเซียวอวี้แผ่ขยายยิ่งขึ้น นัยน์ตาของเขาฉายความเฉียบขาด “นอกจากนี้ ทั้งตระกูลเฟิ่ง และตระกูลเมิ่งจะได้รับการอภัยโทษที่หลอกลวงเบื้องสูงทั้งหมด “แม่ทัพน้อยเมิ่ง เรื่องที
เซียวอวี้ที่เกือบจะเดินไปถึงประตูหน้าตำหนักแล้วนั้น พลันได้ยินเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเรียกเขาขึ้นมา“กษัตริย์ของแผ่นดินควรจักมีความใจเย็นและควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง ยามนี้ท่านกำลังทำอันใดอยู่กัน?”เมื่อเซียวอวี้หันกายกลับมานั้น พลันเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยกฉากกั้นขึ้นมาแล้วฉากกั้นที่หนักเช่นนั้น นางกลับ “ยก” มันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เซียวอวี้จึงเอ่ยเยาะเย้ยออกมาด้วยความเย็นชา“หากเรายังไม่ใจเย็นพอ นั่นก็เป็นเพราะถูกความเย็นชาของเจ้าบีบบังคับมัน”ผู้ใดจักทนความเฉยเมยของนางได้กัน?เฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง“หากว่าข้าเอ่ยคำโกหกออกไป ท่านจักชอบฟังมันเช่นนั้นหรือ?”เซียวอวี้พลันตวาดออกมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์“ใช่ เราชอบฟังเรื่องโกหก!”“ได้ ข้าสนใจเรื่องนั้นเป็นอย่างมาก หากท่านไปโปรดปรานมู่หรงฉานแล้วไซร้ ข้าจะรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์นางตั้งใจที่จะทำให้เขารู้ว่า คำโกหกนั้นหาได้ฟังดูดีเสมอไปไม่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการทำให้เขาใจเย็นลง แล้วมานั่งหารือเรื่องจักทำเช่นไรถึงจะจัดการจับตัวผู้วางยาพิษให้ได้ไวที่สุดเซีย
เซียวจั๋วที่ขาดแคลนเงินทอง แต่ก็ยังคงพาเฟิ่งจิ่วเหยียนมาที่ร้านอาหารเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกสงสัยยิ่งนัก เขามิคิดจะมีท่าทีระวังตัวจากผู้อื่นเลยหรือ?“อาหารพวกนี้พอหรือไม่?” เซียวจั๋วแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อนาง ราวกับว่าเขาหาได้มีท่าทีสงสัยที่นางพยายามจะบุกรุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้านไม่ ทั้งยังเห็นนางราวกับเป็นสหายที่พามากินข้าวก็ไม่ปาน ทั้งยังมิคิดเอ่ยถามนามของนางอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดสายตามองเขาเซียวจั๋วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ทั้งยังมีรอยปะชุนอยู่บนเสื้อผ้าอีกหากใครได้พบะเจอคนผู้นี้ละก็ คงคิดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าครั้งหนึ่งเขาจักเคยเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานฉีมาก่อนเซียวจั๋วและเซียวอวี้มีความคล้ายกันยิ่งนัก หากแต่ลักษณะนิสัยของพวกเขากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเซียวอวี้มีท่าทีโหดเหี้ยวอำมหิต ทั้งยังเต็มไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจเซียวจั๋วกลับมีท่าทีคล้ายกับบัณฑิตที่มีความอ่อนโยนสง่างาม ทำให้ผู้คนอยากจะเข้าใกล้เขาลักษณะเด่นตรงจุดนี้คล้ายกับรุ่ยอ๋องยิ่งนักเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยเข้าประเด็นในทันที“เมื่อครู่ คุณชายรู้จักคนในครอบครัวนั้นงั้นหรือ?”เซียวจั๋วหาได้ตอบนางไม่ พ
มู่หรงฉานตกตะลึงไปในทันที“ร่วมบรรทม? กงกงมิได้ประกาศผิดไปใช่หรือไม่? ไทฮองไทเฮาประชวรหนักเช่นนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึง…”หลิวซื่อเหลียงพลันพยักหน้าลงด้วยท่าทีนอบน้อม“กุ้ยเหรินได้ยินไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวก็มิได้ประกาศผิดไปเช่นกัน ท่านเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉานมองยังประตูหน้าตำหนักด้วยท่าทีเป็นกังวล“กงกง ไทฮองไทเฮาในยามนี้เป็นเช่นไรบ้างเพคะ? หากข้ามิได้เข้าไปเยี่ยมคงมิอาจวางใจได้ ได้โปรด ท่านช่วยไปทูลขอเข้าเฝ้าให้ข้าที”มู่หรงฉานทำทีว่าตนเองหาได้สนใจเรื่องการร่วมบรรทมไม่ ทั้งยังเอาแต่สนใจเรื่องอาการป่วยของไทฮองไทเฮาเท่านั้นหลิวซื่อเหลียงจึงตอบกลับไปด้วยความพอดีว่า“เนื่องจากฝ่าบาทมีรับสั่งว่ามิให้ผู้ใดเข้าพบ กุ้ยเหรินรั้งรอก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวทูลกล่าวมากไปย่อมไร้ความหมาย”มู่หรงฉานจึงได้ยอมแพ้หลังจากออกจากตำหนักวั่นโซ่วแล้วนั้น นางกำนัลรับใช้ชิวหงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป“กุ้ยเหรินเพคะ อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะกลับมาโปรดปรานท่านเช่นเดิมแล้ว ทำเอาบ่าวนึกตกใจยิ่งนัก!”นางครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไทฮองไทเฮาประชวรหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงมีกระจิตกระใจทำเช่นนั้นได้?ทว่า
ภายในตำหนักวั่นโซ่ว หมอหลวงคล้ายกับมีดาบจ่ออยู่ที่ลำคอ พลางเอ่ยรายงานออกมาด้วยท่าทีระมัดระวัง“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ไทฮองไทเฮามีอาการเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวอวี้จึงรีบก้าวเดินเข้าไปด้านในใบหน้าของเขาพลันมืดมนไปในทันทีถึงอย่างไร ญาติที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ของเขาก็หาได้มีมากไม่ด้านในตำหนัก ไทฮองไทเฮานอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนแรง พลางมองเซียวอวี้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและมิอยากจาก“ฝ่าบาท……”เซียวอวี้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า พลางจับมือนางเอาไว้“เสด็จย่า” เซียวอวี้พยายามกดน้ำเสียงของตัวเองเอาไว้จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็ล้มป่วยลงเช่นนี้ ทำให้พระนางเอ่ยพูดออกมาได้อย่างติดติดขัดขัด ทั้งยังใช้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมากพระนางพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงของตนเองออกมา ทำเอาเส้นเลือดบนลำคอถึงกับปูดบวมขึ้น พลางเอ่ยออกมาว่า“ข้า...แก่มากแล้ว ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก“เจ้าที่มีชะตากรรมชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก… ข้าที่คอยมองดูอยู่ตรงนี้ ก็หวังว่าข้างกายของเจ้าจักมีคนรู้ใจ มี... มีลูก...“ฝ่าบาทก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เจ้าจักต้องมีครอบครัว อย่าได้ตำหนิข้าเลย.
คุกเทียนเหลาภายในห้องทรมาน พลันมีเสียงกรีดร้องดังออกมา“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมหาได้...หาได้ทรยศต่อแว่นแคว้นไม่! มิได้มีผู้ใดมาชี้นำกระหม่อม กระหม่อมทำทั้งหมดก็เพื่อยุทธภพของแคว้นหนานฉี...อ๊าก! กระหม่อมรู้สึกจากใจว่าท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนี้!”“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน...”ผู้ที่ถูกมัดติดเก้าอี้ไม้นั้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่คอยกระทำการปลุกปั่นผู้คนหลังจากที่เมิ่งเฉียวม่อตายไปบรรดาเหล่าขุนนางที่กระทำกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทำร้ายขุนนางผู้ภักดีนั้น ล้วนแต่เป็นขุนนางที่โง่เง่าหูเบา ทว่า ผู้ที่ชักใยคอยปลุกปั่นอยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ทั้งยังเป็นผู้ที่กระจ่ายข่าวลือออกไปนั้น คือผู้กระทำผิดที่แท้จริงต่างหากในเมื่อตามหาพวกมันพบแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยคนเหล่านี้ไปง่าย ๆ อย่างแน่นอนทำให้ข้าราชบริพารราษฎรมากมายในหนานฉีต้องเกิดความโกลาหลเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันจักต้องร่วมมือกับคนนอกแคว้นอย่างแน่นอนทว่า ถึงแม้จะทรมานเพื่อเค้นถามความจริงออกมาหลายวันแล้วก็ตาม พวกมันก็ยังคงปากแข็งอยู่วันนี้ เซียวอวี้จึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองเฉินจี๋โค้งกายคำนับมือ พล
“ฮองเฮาเพคะ...” เหลียนซวงกลับมาแล้วภายในใจของเหลียนซวงรู้สึกซับซ้อนยิ่งนักนางที่มิอาจทำตามแผนการหลบหนีที่ฮองเฮาสั่งการไว้ได้ กลัวว่าตนเองจักเป็นตัวถ่วงให้กับฮองเฮาทว่า นางยังอยากรั้งอยู่คอยรับใช้ข้างกายฮองเฮา ทั้งยังอยากจะอยู่เผชิญหน้าปัญหามากมายกับฮองเฮาเช่นนี้“ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทท่าน…” เหลียนซวงที่อยากจะพูดถึงเรื่องขององครักษ์เงาขึ้นมานั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า: “ข้ารู้แล้ว”เซียวอวี้ย่อมไม่มีทางนำความโกรธของตนเองไปลงที่เหลียนซวงเพียงเพราะเรื่องที่นางปกปิดสถานะตัวตนของตนเองอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว หากให้เหลียนซวงอยู่ในวังหลวงต่อไปก็คงจะมิเป็นปัญหาอันใดนักเหลียนซวงรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ยิ่งนักนางได้แต่ก้มหน้าก้มตาลง “หากว่าบ่าววิ่งไวกว่านี้...”“นี่หาใช่ความผิดของเจ้าไม่” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉนเมย ก่อนจะมองไปยังองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักนั่นคือคนของเซียวอวี้ และยังเป็นคนที่ส่งตัวเหลียนซวงกลับมาอีกด้วยหลังจากที่ซุนหมัวมัวรู้ว่าเหลียนซวงกลับมาที่วังแล้วนั้น ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนักหากแม่นางผู้นี้กลับมา เช่นนี้ฮองเฮาก็ม
ในช่วงบ่ายขันทีได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้ไปตำหนักซินฮุ่ยเพื่อประกาศราชโองการชิวหงตามจิ้งเฟยไปรับราชโองการด้วย โดยคิดว่าจะต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นทว่าไม่นานนัก สีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงและตื่นตระหนก “...จิ้งเฟยถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ยกเลิกอำนาจในการช่วยควบคุมวังหลังทั้งหกตำหนัก ลดลงมาเป็นกุ้ยเหริน นับแต่วันพรุ่งนี้ให้ย้ายออกจากตำหนัก!”“เป็นไปไม่ได้!” ชิวหงตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว “ฝ่าบาททรงไม่มีทางทำเช่นนี้กับพระนาง!”พระสนมไม่ได้ทำผิดอันใด เหตุใดจึงถูกถอดถอน!จิ้งเฟยยังคงวางตัวเหมาะสมตามชาติตระกูลสูงศักดิ์ ฝืนยิ้มพร้อมกับรับราชโองการ และขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างนอบน้อมหลังจากขันทีที่มาประกาศราชโองการผู้นั้นกลับไป นางถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างโดยทันที ทั้งจ้องมองบนพื้นด้วยแววตาหม่นหมอง และในมือยังกุมราชโองการนั้นไว้แน่น ชิวหงจิตใจว้าวุ่น“พระนาง นี่เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?“เห็นชัดว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานท่าน...เขาจะถอดถอนตำแหน่งเฟยของท่านได้อย่างไร!”เจ้านายรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองกันหมด เจ้านายตกต่ำก็ตกต่ำกันหมด นางยิ่งร้อนใจกว่าจิ้งเฟยเสียอีกจิ้งเฟยยังคงนิ่ง
ณ ตำหนักซินฮุ่ยจิ้งเฟยสีหน้าดูคร่ำเคร่ง ไม่อ่อนโยนและสุขุมเหมือนที่ผ่านมานางขยี้ดอกไม้ตูมในมือจนป่นปี้“ได้ยินข่าวแล้วหรือไม่”ชิวหงก้มหน้าก้มตา รับรู้ถึงความโกรธของพระสนม พร้อมเอ่ยอย่างระวังตัว“แม้ชาวบ้านจะตีกลองร้องทุกข์ เพื่อให้ถอดถอนฮองเฮา ทว่าฝ่าบาท...”นางแอบเงยหน้าขึ้น เหลือบมองดูสีหน้าของจิ้งเฟย “ฝ่าบาททรงคัดค้านความเห็นของฝูงชน ไม่ทำตามใจราษฎร”จู่ ๆ จิ้งเฟยก็ยิ้มขึ้นมาทันทีรอยยิ้มของนางดูอ่อนโยนเป็นที่สุด“ฝ่าบาททรงต้องการจะปกป้องฮองเฮาจริง ๆ”“พระนาง พวกเราควรทำอย่างไรดี?”จิ้งเฟยมองออกไปด้านนอก พระอาทิตย์ตกแล้ว ราตรีกำลังมาเยือน“ฝ่าบาททรงคิดจะปกป้องฮองเฮา ก็ต้องดูว่าชาวบ้านกับเหล่าทหารจำนวนมหาศาลจะเห็นด้วยหรือไม่”นางรอได้ การตายของแม่ทัพน้อยเมิ่ง ยังไม่กระจายเป็นวงกว้างอย่างเต็มที่อย่างน้อย ชายแดนเหนือและค่ายทหารเป่ยต้าทางนั้นก็ยังไม่ได้รับรู้ข่าวนั่นคือทหารทั้งหมดของเมิ่งเฉียวม่อทันทีที่พวกเขาก่อความวุ่นวาย ชายแดนเหนือจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมฮ่องเต้ทรงไม่มีทางนิ่งเฉยโดยไม่แยแส......ณ ตำหนักหย่งเหอประมาณยามจื่อ เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้กล
สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนชะงักงัน สันหลังเหยียดตรง และไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆมือข้างหนึ่งของนางถูกเซียวอวี้กุมเอาไว้เมื่อรู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด นางจึงรีบแกะมือของเขาออกทันทีเซียวอวี้พลันเปลี่ยนเป็นจับคางของนาง ทำท่าเหมือนต้องการจะจูบนางนางรีบถอยหลบทันที ทว่ากลับเห็นเขาหยุดนิ่ง และส่งยิ้มมาให้นางในรอยยิ้มนั้นแฝงทั้งการหยอกล้อและการเย้าแหย่“เราคิดว่าเจ้าไร้ยางอายถึงขั้นว่าไม่หวาดกลัวสิ่งใดเลย ทำไม ก็เข้าใจเป็นอย่างดีมิใช่หรือ? แม่ทัพน้อย...ไม่ใช่ประสบการณ์โชกโชนหรอกรึ”นิ้วเรียวยาวของเขาเกี่ยวคางของนางให้ยกขึ้นเบา ๆ เผยให้เห็นส่วนโค้งของลำคอ เขาจูบลงไปเบา ๆ บนคอของนางโดยไม่ทันตั้งตัวแผ่นหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกชาขึ้นมาทันที“ปล่อย...”เซียวอวี้คว้าเอวของนางไว้ ทันใดนั้นพลันก้มศีรษะลงไปที่ซอกคอของนาง“มันทรมานมาก ขอเราพักหน่อยเถอะ” ดูเหมือนคนที่เหนื่อยล้าอย่างเต็มที่ผู้นี้ พบเจอสถานที่ที่ได้พักผ่อนอย่างสงบ ทั้งตัวรู้สึกผ่อนคลายทั้งดูเหมือนสัตว์ป่าที่ก่อนหน้ายังดุร้าย ตอนนี้กลับเชื่องลง และขดตัวหมอบอยู่ข้าง ๆ ขาเจ้านาย ดูสงบนิ่งกระทั่งว่านอนสอนง่าย ผ่านไปไม่นา