เมื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องมาพบหน้ากัน หาได้มีความอบอุ่นเหมือนเช่นเดิมอีกต่อไปไม่เฉียวม่อเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่รู้เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า“ฮองเฮาเอ่ยเรียกตัวหม่อมฉันเข้าวังมาด้วยเรื่องอันใดกันหรือเพคะ?”ภายในตำหนักที่มีเพียงคนสองคนเท่านั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า“เรื่องราวในวันนี้ เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”ใบหน้าเฉียวม่อที่ดูไร้เดียงสา “ฮองเฮาว่าอย่างไรนะเพคะ?”ทันทีที่เฉียวม่อพูดจบ ฝ่ามืออันรุนแรงของนางก็พุ่งโจมตีไปที่หน้าอกของเฉียวม่อในทันที...ผลัวะเฉียวม่อที่ถูกโจมตีนั้น ทั่วร่างของนางกระเด็นออกไปไหล แผ่นหลังของนางพุ่งไปชนกับเสากลมในทันที พร้อมทั้งคิ้วที่ขมวดเป็นปมไปด้วยความเจ็บปวดทว่า เมื่อได้เห็นท่าทีศิษย์พี่กำลังโกรธเกรี้ยวนั้น นางจึงหัวเราะออกมา“ศิษย์พี่ เป็นท่านที่ทำร้ายข้าก่อน“เป็นท่านที่เอาแต่กัดข้าไม่ปล่อย ทั้งยังจับตัวคนของข้าไป“เช่นนี้ ข้าเพียงแต่ขอให้ท่านรับรู้เอาไว้ว่า ข้าหาใช่ลูกพลับนิ่มไม่… เรื่องราวในวันนี้ เป็นเพียงคำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น“หากว่าท่านยังมิคิดคืนคนของข้ามาละก็ ในคราหน้าข้ามิรับประกัน ว่าจักทำอะไรกับคนของตระกูลเฟ
เซียวอวี้ใช้สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับพยายามจะมองให้ทะลุปรุโปร่งเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีท่าทีสงบเงียบ หาได้มีท่าทีตื่นตระหนกใด ๆ ไม่ในเมื่อนางเป็นถึงฮองเฮา เหตุใดนางถึงจะไม่ใช้อำนาจสิทธิพิเศษของฮองเฮาเล่า?หากจะลงโทษเฉียวม่อได้นั้น ด่านที่ต้องผ่านไปให้ได้ก็คือเซียวอวี้บางที เพียงแค่อาการบาดเจ็บของนางอาจจะยังไม่เพียงพอเฟิ่งจิ่วเหยียนที่เตรียมคำพูดของตนเองเอาไว้ ยามที่นางกำลังจะเปิดปาดกล่าวออกมานั้น กลับได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเซียวอวี้เอ่ยออกมาอย่างเสียงดังว่า“จับกุมเมิ่งเฉียวม่อเข้าคุก!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับเงียบไปในทันทีเขาจักตัดสินใจเช่นนี้จริง ๆ หรือ?ด้านนอกตำหนักเมื่อรู้ว่าฝ่าบาทต้องการจะลงโทษตนเองนั้น เฉียวม่อตกใจยิ่งนักนางที่เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อแคว้นหนานฉี มิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางมิได้เป็นคนลอบสังหารฮองเฮา ถึงแม้ว่านางจักทำจริง ๆ ฝ่าบาทก็มิอาจลงโทษนางเช่นนี้ได้ฝ่าบาทยังมิทันได้ฟังคำพูดของนางเลย เหตุใดถึงได้ตัดสินใจว่าคำพูดของฮองเฮาเป็นเรื่องจริงแล้วเล่า!“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันหาได้ทำการลอบสังหารไม่ หม่อมฉันมิได้ทำ!”ไม่ว่าเฉียวม่อจัก
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่คิดว่าตนเองฟังผิดไปนั้นนางคือฮองเฮาทว่า หร่วนฝูอวี้คิดจะทำร้ายนางเมื่อใดกัน?ผู้ที่หร่วนฝูอวี้ต้องการจะลอบสังหารคือเซียวอวี้ต่างหาก!เฟิ่งจิ่วเหยียนวางไหสุราในมือลง ก่อนจะจ้องมองไปที่เซียวอวี้ พลางเอ่ยถามว่า“ท่าน แน่ใจหรือ?”เรียวคิ้วของเซียวอวี้พลันขมวดเข้าหากันในทันทีซูฮ่วนผู้นี้ มิได้กล่าวว่าตนเองสอบถามเรื่องราวทั้งหมดแล้วงั้นหรือเซียวอวี้ที่มีการเตรียมการมาก่อนแล้วนั้น พลันหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งขึ้นมาด้านในเป็นแมงมุมพันร่างที่พวกเขาพบเจอภายในตำหนักหย่งเหอคืนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกงุนงงยิ่งนักหร่วนฝูอวี้จักสังหารคนนั้น นางฆ่าหนึ่งคน แถมอีกคนขึ้นมาเมื่อใดกัน!อีกทั้ง เซียวอวี้พบแมงมุมพันร่างในตำหนักหย่งเหอได้อย่างไร?จู่ ๆ เฟิงจิ่วเหยียนก็จำได้ในทันที งานเลี้ยงวันเกิดของเขาในคืนนั้น เขาเคยเรียกนางไปที่ตำหนักจื่อเฉินหรือว่าจะเป็นตอนนั้นกัน...ดวงตาของเซียวอวี้ที่พาดผ่านไปด้วยความเย็นชานั้น ราวกับว่าเรื่องนี้มิอาจหารือเจรจาต่อไปได้อีกหลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบสติอารมณ์ของตนเองแล้ว“สืบเรื่องต้องให้ลึกถึงตอ นั่นคือสงครามชายแดนระหว่างสองแคว้น
“หร่วนฝูอวี้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นใดกัน!”นางจักไปเป็นนายบำเรอได้อย่างไร!หร่วนฝูอวี้หาได้ฟังคำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ สายตายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน“ข้าว่าแล้ว จักต้องเป็นสารเลวผู้นั้นที่แย่งชิงท่านไป!”หร่วนฝูอวี้เป็นคนแรกที่เรียกขานฝ่าบาทว่าสารเลวผู้นั้นไม่ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจักเอ่ยปฏิเสธเพียงใด หร่วนฝูอวี้หาได้ฟังเข้าหูนางไม่ทั้งยังคิดว่าสิ่งที่ตนเองคิดเป็นเรื่องที่ถูกต้องอีกด้วย“เจ้ากล่าวว่าตนเองชอบบุรุษ อีกทั้งฮ่องเต้สารเลวผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าเขามิใคร่ชื่นชมสตรีเท่าใด อีกทั้งตำหนักในวังหลัง หาได้มีหวงกุ้ยเฟยไม่ เกรงว่าเขาคงใช้นางสนมเหล่านั้นเป็นฉากหน้า และคอยเก็บซ่อนชายบำเรอเช่นเจ้าเอาไว้อย่างแน่นอน!”ความคิดที่ผิดแปลกของหร่วนฝูอวี้กลับพูดถูกออกมาครึ่งหนึ่งยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่า “สารเลว” และ “ชายบำเรอ” จากปากของนางแล้วนั้น นางถึงกับหมดคำจะพูด“เจ้า……”ทว่า ยามที่หร่วนฝูอวี้กำลังมีอารมณ์ดุเดือดเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมมิอาจเอ่ยแทรกอันใดเข้าไปได้“เป็นเพราะสารเลวผู้นั้นหลอกลวงเจ้า! สามปีที่ผ่านมาของเจ้านั้น... เจ้าผ่านมันมาได้อย่างไร…”ยิ่งพูดมาก
จดหมายของอาจารย์หญิงที่ส่งมานั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งใจอ่านตัวอักษรทุกตัวมิให้ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียวแววตาของนางค่อย ๆ เย็นยะเยือกลง ราวกับธารน้ำแข็งที่มิมีวันละลายหายไปทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด เป็นฝีมือของเฉียวม่อจริง ๆ ด้วย!เฟิ่งจิ่วเหยียนกำจดหมายเอาไว้แน่น สีหน้าของนางแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างปิดไม่มิดนางอยากจะรีบวิ่งไปที่คุกหลวงเพื่อสังหารเฉียวม่อให้ตายคามือทว่า สติกลับเอาชนะความเลือดร้อนในกายของนางเอาไว้ได้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาเช่นนี้ นางยิ่งแต่ต้องเก็บงำอารมณ์กรุ่นโกรธของตนเองเอาไว้หากมิมีแผนการรับมือนั้น ย่อมมิอาจลงมือบุ่มบ่ามได้แม้จักสังหารเฉียวม่อลงไปแล้วก็ตาม ก็มิอาจทำให้นางถูกโทษทัณฑ์ใด ๆ ได้อยู่ดีเรื่องกองทัพมังกรพยัคฆ์ถูกลวงไปสังหาร เหตุการณ์ของเวยเฉียง บัญชีแค้นทั้งหมดนี้ นางจะต้องให้เฉียวม่อชำระคืนทีเดียวเลย!เนื้อหาในจดหมายที่อาจารย์หญิงส่งมานั้น ยังเอ่ยถึงจางฉี่หยางอีกด้วยเขาช่างเป็นคนกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก ขาดเพียงโอกาสที่จะให้เขาได้สร้างผลงานทั้งอาจารย์และอาจารย์หญิงต่างก็รับรู้แผนการของนางเป็นอย่างดี ทั้งยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยฝึกฝนจางฉี่หยา
เมื่อเผชิญหน้ากับการชี้ตัวของนางกำนัลนั้น หนิงเฟยจึงได้แต่ต้องปฏิเสธออกมา“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันหาได้รู้จักนางไม่เพคะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเงยหน้าขึ้น ก่อนจ้องมองมาด้วยแววตาเฉียบคม“ยังมิถึงคราวที่เจ้าจักต้องพูดออกมา”นางกำนัลผู้นั้นพลางชำเลืองมองหนิงเฟย ก่อนจะรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว พลางหลับตากล่าวออกมาว่า“เป็นหนิงเฟยที่ซื้อตัวบ่าวมาเพคะ ทั้งยังสั่งให้บ่าวช่วยนำพิษหอมที่ทำให้สตรีมิอาจตั้งครรภ์ได้ใส่ลงไปในของขวัญที่จิ้งเฟยจัดเตรียมเป็นของขวัญมอบให้กับฮองเฮาเพคะ…”“ไร้สาระ!” หนิงเฟยหันมาตวาดนางกำนัลด้วยความโกรธเกรี้ยวหนิงเฟยรีบเอ่ยแก้ตัวออกมาในทันที“ฮองเฮาเพคะ ท่านมิสามารถเชื่อเพียงลมปากของบ่าวไพร่แล้วคิดว่าหม่อมฉันมีฐานความผิดเช่นนี้นะเพคะ“สิ่งที่นางกำนัลผู้นี้กล่าวออกมานั้น หม่อมฉันหาได้เคยทำไม่!”นางกำนัลผู้นั้นมิอาจนำหลักฐานอื่น ๆ ออกมาได้แล้วนางจึงทำได้เพียงแต่ใช้หัวโขกลงบนพื้นเพื่อคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ฮองเฮาเพคะ บ่าวสมควรตายเพคะ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่หนิงเฟยเอ่ยสั่งการให้บ่าวกระทำเพคะ! หากหม่อมฉันพูดปดแม้แต่เพียงเล็กน้อย ขอให้ฟ้าผ่าตายได้เลยเพคะ!”น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”เซียวอวี้เข้ามาช่วยพยุงเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตัวเอง “มิจำเป็นต้องมากพิธี”ทันทีที่เซียวอวี้จับไปที่แขนของนางนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงท่าทีต่อต้านของเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ในทันทีเนื่องจากนางพยายามหลีกเลี่ยงเขาด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติคิ้วของเซียวอวี้ขมวดคิ้วลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นดังเดิมเดิมทีฮองเฮาก็มิชอบเข้าหาผู้อื่นหรือใกล้ชิดผู้อื่นอยู่แล้ว เกรงว่านี่คงเป็นเรื่องราวที่ฝังใจของนางก่อนหน้านั้นกระมัง“วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เราย่อมต้องมาอยู่กับเจ้า”เดิมทีเฟิ่งจิ่วเหยียนควรจะโค้งคำนับขอบคุณสำหรับความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีให้แก่นางหากแต่นางกลับแน่นิ่งไปเฉย ๆ ในความทรงจำของนางพลันมีเสียงดังขึ้นมาว่า – “จากนี้ไปวันเกิดของเจ้านั้น ข้าจักมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงรีบร้อนควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาในทันที“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”เซียวอวี้ที่เห็นว่านางมีท่าทีผิดปกติไปนั้น ก็หาได้เอ่ยถามอันใดให้มากความไม่ยามเช้าเขาได้สั่งให้คนนำของขวัญมามอบให้นางไปแล้ว ล้วนแต่เป็นสิ่งของล้ำค่าและเครื่องประดับราคาแพงทั้งนั้นทว่า ในยามนี้เองหลิวซื่อเหลียงก็ได
การเคลื่อนไหวของเซียวอวี้หยุดชะงักไปเล็กน้อยความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นเมื่อครุ่พลันกลายเป็นความหนาวเย็นในทันทีเซียวอวี้จ้องมองไปที่นาง“เราเป็นบุรุษ ก็แค่นั้น”พูดจบ เซียวอวี้ก็ก้มหน้าลงมาจูบนางหากว่ากันตามตรงแล้วหาใช่เป็นการจูบไม่ เซียวอวี้กัดลงมาที่ริมฝีปากของเฟิ่งจิ่วอวี้ถึงสองครั้ง พร้อมกับผละออกมาในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหลังจากที่เซียวอวี้ผละตัวออกมานั้น นางก็จับชายเสื้อของเขาเอาไว้ ก่อนจะกัดริมฝีปากเขากลับไปอย่างไม่ไยดีเซียวอวี้ตัวแข็งทื่อไปในทันที ราวกับถูกสกัดจุดก็ไม่ปานเฟิ่งจิ่วเหยียนกัดเข้าไปเต็มแรง จนทำให้เลือดออกใบหน้าของเซียวอวี้พลันมืดครึ้มไปในทันทีน่าตาย!สตรีบ้าผู้นี้!เซียวอวี้จับหลังคอของนางเอาไว้เพื่อที่จะสั่งสอนนางให้หลาบจำเฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้มีท่าทีเกรงกลัวเขาไม่หากเขากล้าทำอีกละก็ นางจะกัดให้ปากเขาเต็มไปด้วยเลือดเสีย!ทันใดนั้น ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูของเฉินจี๋ดังเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงที่ร้อนรน“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่จะต้องรายงานแก่พระองค์!!”เซียวอวี้จึงยอมลามือเขาเดินออกจากตำหนักไปแล
เจ็ดวันต่อมาณ เมืองไท่ชางกลุ่มของเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าพักในโรงพักแรมทันทีที่เข้ามาในโรงพักแรม นางก็เห็นคนคุ้นตาคนผู้นั้นอยู่ในชุดไหมสีแดง กำลังพูดคุยกับคนที่นั่งร่วมโต๊ะอย่างสนุกสนาน ขณะที่อีกฝ่ายบังเอิญเงยหน้าขึ้นมา ก็จำหน้ากากเงินของนางได้ เจียงหลินสวมใส่ชุดแดง ดูสะดุดตาท่ามกลางผู้คนอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวถอยหลังโดยพลันทำไมถึงมาเจอเจ้านี้อีกแล้ว นี่มันบุพเพอาละวาดชัด ๆ ให้ตายสิ…ชั่วขณะนั้น เหมือนเจียงหลินจะเห็นคนไร้หัวใจที่ทอดทิ้งตัวเอง พลันลุกขึ้นมา ตะโกนท่ามกลางผู้คนว่า “ซูฮ่วน! ข้าเห็นเจ้าแล้ว! เจ้าไม่ต้องหลบ!”เฟิ่งจิ่วเหยียน: นางไม่ได้หลบเสียหน่อยเจียงหลินเดินพรดพราดเข้ามา จับแขนของนางเอาไว้ “เจ้ากับซ่งหลีนี่แน่จริง ๆ ไปไหนก็ไม่คิดจะบอกกล่าว รู้ไหมว่าข้าตามหาพวกเจ้านานแค่ไหน!”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความน้อยใจ ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มุ่งมั่นตามหาพวกเขาเหมือนกันเขามีฐานะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเจียง จึงมีเรื่องให้จัดการมากมายในชีวิตประจำวัน ที่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา ก็แค่อยากให้ซูฮ่วนรู้สึกผิด และช่วยเบิกทางค้าขายให้เขาขณะที่กำลังพูด เขาพลันรู้สึกได้ถึงไ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้ามา ใบหน้านิ่งเฉยมองไปทางเซียวอวี้จู่ ๆ เขาก็บอกว่าตนเองจะกลับวังหลวง ไม่อธิบายล่วงหน้า กลับมาพูดเอาวันที่จะต้องจากไป ไม่ใช่เพราะตั้งใจ อยากเห็นนางลนลานหรอกหรือ“ไม่มีอะไรจะพูด” แววตาของนางสงบดั่งน้ำนิ่งสีหน้าของเซียวอวี้ตอนนี้ไม่น่าดูนักนางไร้น้ำใจเพียงนี้เชียวหรือ?เขาเริ่มสงสัยจริง ๆ แล้วว่านางเพียงต้องการร่างกายของเขาเท่านั้น!ระหว่างที่เซียวอวี้กำลังโศกเศร้านี้เอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ถามกลับว่า“ไม่ใช่ว่าพวกเราไปทางเดียวกันหรือ?”เขากลับเมืองหลวง นางไปเมืองโบ๋วโจว ล้วนต้องลงใต้ทั้งคู่แบบนี้แล้วหากจะบอกลากันตอนนี้ ออกจะเร็วไปเสียหน่อยเซียวอวี้จึงได้สติกลับมา “เจ้าจะออกเดินทางไปกับเราหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ“แน่นอน การเดินทางไปเมืองโบ๋วโจวเป็นเรื่องด่วน”......เมื่อรู้ว่าจิ่วเหยียนจะไปแล้ว แม้ฮูหยินเมิ่งจะไม่อาจทำใจได้ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรแต่ไหนแต่ไรมาเด็กคนนี้ก็ไปมาดุจลม อยู่ได้เพียงไม่นานคำพูดพร่ำบ่น นางก็ไม่คิดจะพูดแล้ว จึงส่งเค้กเกาลัดถุงหนึ่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนนำไปกินระหว่างทางเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง เฟิ่งจิ่วเหย
สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้หาใช่ถุงยางที่เฟิ่งจิ่วเหยียนคุ้นเคยไม่ แต่เป็นยาขวดหนึ่งยานี้...เป็นสิ่งที่อาจารย์หญิงทำเองเช่นกันนางชัดเจนในเรื่องนี้ดีนี่คือยาคุมกำเนิดสำหรับบุรุษ ที่หายากอย่างยิ่งเท่าที่นางรู้ อาจารย์หญิงทำขึ้นมาเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นเมื่อบุรุษกินยานี้เข้าไปหนึ่งเม็ด ภายในหนึ่งวันไม่ว่าจะทำอย่างไร สตรีจะไม่มีทางตั้งครรภ์เด็ดขาด...ปฏิกิริยาตอบโต้แรกของเฟิ่งจิ่วเหยียนคือ...รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง!ทว่าในชั่วพริบตาที่นางกำลังจะเคลื่อนตัวหนี เซียวอวี้ก็คาดการณ์ได้ถึงความเคลื่อนไหวของนาง แขนเสื้อยาวโบกสะบัด พลังภายในกลายเป็นแรงผลักโครม!โครม!ประตูและหน้าต่างถูกปิดลงทั้งหมดแล้ว!ขณะเดียวกัน แขนของเขาก็ยื่นออกไปโอบเอวของนางเอาไว้“คิดจะหนีรึ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนดูหงุดหงิดอยู่มากจากนั้นเซียวอวี้ก็ยกนางขึ้นไปพาดบนบ่า แล้วเดินอย่างมั่นคงไปยังเตียงตั่ง“ปล่อยข้านะ!”เซียวอวี้ตอบ “เจ้าพูดเอง การทหารไม่หน่ายกลอุบาย”เดิมทีเขาอยากให้เมิ่งฉวีออกหน้า ให้ฮูหยินเมิ่งทำถุงยางออกมาเพิ่มอีกหน่อยทว่าเมิ่งฉวีทำไม่สำเร็จฮูหยินเมิ่งกล่าวว่าคนหนุ่มสาวต้องรู้จักควบคุ
เฟิ่งเหยียนเฉินตกตะลึงอยู่นาน เขาไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินเลยแม่เฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง“เป็นจิ่วเหยียน หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามท่านพ่อของเจ้า“เมิ่งสิงโจวตัวจริงตายจากไปนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเป็นจิ่วเหยียนที่เสี่ยงชีวิตปลอมตัวเป็นเขา ทว่าผู้ที่สร้างความชอบทางการทหารตลอดมาล้วนเป็นจิ่วเหยียน น้องสาวของเจ้า”เมื่อเห็นท่านแม่สงบนิ่งเพียงนี้ มั่นใจถึงเพียงนี้ ลมหายใจของเฟิ่งเหยียนเฉินก็ช้าลง“ท่านแม่ จิ่วเหยียนมีความสามารถเพียงนี้จริงหรือ?”ปกป้องรักษาชายแดนเหนือเป็นเวลาเพียงสามปี นางก็กลายเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนตัวสั่นผลงานการรบอันเลื่องลือที่นางสร้าง แม้แต่บุรุษยังยากที่จะทัดเทียมได้เขายังคิดว่าจากนี้จะต้องปกป้องน้องสาวทั้งสองคนให้ดีทว่าตอนนี้ดูไปแล้ว...เป็นน้องสาวที่ปกป้องเขา ปกป้องราษฎรของหนานฉีต่างหาก!ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีน้องสาวที่เก่งกาจดุจเทพเช่นนี้!ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมิน่าเล่าคราแรกที่เห็นฮองเฮาในวัง ถึงได้รู้สึกว่านางแผ่บรรยากาศที่แข็งแกร่งออกมา ไม่เหมือนเวยเฉียงที่เขาคุ้นเคยยามนั้นเขายังนึกว่าเป็นลักษณะอันน่าเกรง
“ท่านแม่! ท่านว่าอะไรนะ ข้ายังมีน้องสาวอีกคนรึ?!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่อยากจะเชื่อน้องสาวอีกคนนึงของเขา เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวออกไปแล้วที่ฮูหยินเฟิ่งบอกเขาก็เพราะหวังว่าบุตรชายจะได้รู้ว่าเขายังมีน้องสาวที่ต้องปกป้องอีกคนหนึ่งเฟิ่งเหยียนเฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง“ท่านแม่ เดี๋ยวนะ เหตุใดคนที่แต่งกับฮ่องเต้แต่แรกถึงเป็นจิ่วเหยียน ไม่ใช่เวยเฉียงเล่า?“เช่นนั้นเวยเฉียงล่ะ? เวยเฉียงไปไหนแล้ว?”แววตาของฮูหยินเฟิ่งแฝงไปด้วยความโกรธแค้น“เป็นท่านพ่อของเจ้า สามีชั่วนั่น! เขาคิดว่าหลังจากเวยเฉียงถูกลักพาตัวไปก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าวังไปเป็นฮองเฮาได้ จึงส่งเวยเฉียงออกไปเสีย ทั้งยังโกหกว่านางตายแล้ว! เขาหลอกพวกเราทุกคน!”“หากไม่ใช่เพราะจิ่วเหยียน ยามนี้เวยเฉียงจะเป็นหรือตายอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้!”เฟิ่งเหยียนเฉินที่น่าสงสารถูกปกปิดจนไม่รู้อะไรเลย แม้แต่เรื่องที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไป สูญเสียความบริสุทธิ์ เขาก็เพิ่งได้รู้ความจริงเอาตอนนี้เขารู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งหึ่งสวรรค์!ในช่วงที่เขาตกอยู่ในความกลัดกลุ้มนั่น ที่แท้ตระกูลเฟิ่งกลับเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เขาที่เป็นพี่ชาย ช่
ณ ค่ายเป่ยต้าสีหน้าของเมิ่งฉวีเขียวคล้ำ เขามองไปที่ฮ่องเต้เบื้องหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ฝ่าบาท ท่าน...” ตรัสว่าอะไรนะ ถุงยาง?ยังอยากให้ฮูหยินทำถุงยางให้มากหน่อย?จากที่เขารู้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทำให้ไปสิบอันหรอกหรือ?ใช้หมดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?!เมิ่งฉวีอดไม่ได้ที่จะคิดว่า...หนุ่มแน่นช่างกำลังวังชาดีเสียจริงเซียวอวี้ไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินเมิ่ง จึงคิดจะพูดกับเมิ่งฉวีแทนถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษด้วยกันเมิ่งฉวีรู้สึกลิ้นจุกปาก “ฝ่าบาท เรื่องนี้ยากนัก กับฮูหยิน กระหม่อมเองก็พูดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในกระโจม ท่าทางดูผ่อนคลายสงบนิ่งเขากล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า“จิ่วเหยียนกับฮูหยินเมิ่งผูกพันดุจมารดาและบุตร นางต้องแต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวง เราตัดสินใจว่าจะให้ฮูหยินเมิ่งติดตามไปด้วย”เมิ่งฉวี: !!!ฝ่าบาทจะมาพรากพวกเขาสามีภรรยาออกจากกันได้อย่างไร!นี่กำลังขู่เขาอย่างนั้นหรือ?……ณ จวนแม่ทัพเวยเฉียงกับสาวใช้นามไฉ่เยว่ย้ายมาอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้างยังดีที่นางคุ้นเคยกับท่านพี่และฮูหยินเมิ่ง จึงไม่ถึงกับประหม่าฮูหยินเมิ่งสงสารที่เวยเฉี
วินาทีที่ถอดหน้ากากของนางออก เซียวอวี้เห็นนางยิ้มดั่งดอกไม้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางยิ้มอย่างปล่อยตัว มีความสุขอาจเป็นเพราะดื่มจนเมา ทิ้งเกราะป้องกันตัว นางล้มสู่อ้อมกอดของเขา เกาะไหล่ของเขา แล้วลุกขึ้นมา“ข้าไม่ได้เมา...”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเดินยังไม่มั่นคง ยังบอกว่าไม่เมา?“ตงฟางซื่อส่งเจ้ากลับมา” เขาไม่ได้ถาม ทว่าเป็นการพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจหยิ่นลิ่วคอยปกป้องนางอยู่ตลอดตอนที่ตงฟางซื่อไปหาถึงเซียวเหยาจวี เซียวอวี้ก็รู้แล้วภายหลังนางตามตงฟางซื่อไปยังหอสุรา ดื่มสุราทานข้าวกับคนเหล่านั้น เขาก็รู้เขาอดกลั้นไม่ไปรบกวนนาง เพราะเขารู้ดี นั่นคือเพื่อนสนิทของนาง เป็นวิถีชีวิตของนางถึงแม้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเขา นั่นก็คือสิ่งที่นางไม่อาจทอดทิ้งทว่า นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ดื่มอยู่ข้างนอกจนดึกขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้วเซียวอวี้วางหน้ากาก จับปลายคางของนางไว้“ดื่มไปมากเท่าไหร่? ถึงได้เมาเป็นสภาพเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคลี่มือของเขาออก แววตาเต็มไปด้วยความมัวหมอง ไม่เย็นชาเหินห่างเหมือนทุกวันที่ผ่านมา“ก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้เมา”นางลุกขึ้น อยากหาน้ำดื่มทว่าเวลาถัดมา ตรงแขนมีแรง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ตงฟางซื่อยิ่งอยู่ยิ่งดำเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาต้อนรับ“เจ้ามาได้อย่างไร?”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้มแย้ม “ข้าได้เจอกับอู๋ไป๋ จึงถามเขาว่าเจ้าอยู่ที่ใด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับข้ากระมัง?”สหายเก่ามาพานพบ มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เป็นไปได้อย่างไร เชิญนั่ง”สายตาของตงฟางซื่อหันไปมองเฟิ่งเวยเฉียง เห็นนางหน้าตาเหมือนกับซูฮ่วน ก็เดารู้ว่าพวกนางเป็นพี่น้องกันเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เขารู้จัก“คนนี้คือน้องสาวข้า เวยเฉียง”“เวยเฉียง คนนี้คือคุณชายตงฟาง”ทั้งสองคนต่างผงกศีรษะเป็นการทักทายตงฟางซื่อพูดเข้าเรื่องทันที“เรื่องของหยางเหลียนซั่ว ข้าได้บอกพวกเหล่าฝานแล้ว ทุกคนกำลังตามสืบร่องรอยของเขา ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะปรึกษา”เฟิ่งจิ่วเหยียนให้เวยเฉียงกับต้วนเจิ้งกลับห้องไปก่อนเวยเฉียงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านพี่ คุณชายตงฟาง พวกเจ้าคุยกันตามสบาย”ต้วนเจิ้งกลับไม่ยอม“ข้าไม่ไป หยางเหลียนซั่วทำให้พี่ชายข้าตาย เป็นศัตรูของข้า ข้าจะไปตามหาเขาพร้อมกับพวกเจ้า แล้วก็ฆ่าเขา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจ เพียงเร่งเร้าตงฟางซื่
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ปิดบังแล้วนางพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา“ท่านดูไม่ออกหรือ ข้าไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องนั้น?”ตลก ผู้ลี้ภัย ลิงผอมตัวดำ! ตอนกลางวันเขาพูดว่านางเช่นนี้ !นางอยากยอมรับสิแปลก!เวลานี้ เซียวอวี้ก็คิดขึ้นมาได้ นางกำลังไม่พอใจอะไรที่แท้ก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่อยากยอมรับว่านางคือลิงน้อยคนนั้นเขาเสียใจอย่างมาก รีบพูดขอโทษขึ้นมา“เราผิดไปแล้ว ตอนนั้น...เรากลัวว่าเจ้าจะเข้าใจผิด จึงตั้งใจพูดแบบนั้น ความจริงแล้ว เราจดจำเจ้ามาตลอด วีรชนน้อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเซียวอวี้จูบบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็หยิบผ้าแห้งผืนนั้นมา เช็ดผมที่เปียกให้กับนางด้วยตนเอง กระทำอยู่อย่างอ่อนโยน ราวกับในมือถือสิ่งของล้ำค่าเอาไว้“ปีนั้นเมืองซีซิ่นเกิดทุพภิกขภัย เราเพิ่งเข้าเมืองมาก็ถูกปล้นแล้ว ไม่สามารถที่จะลงมือทำร้ายประชาชน โชคดีที่เจ้ามาปรากฏ เวลานี้เราพูดความจริง เจ้าในตอนนั้นถึงแม้ยังเด็ก ทว่าท่าทีขี่ม้า ดูสง่างามยิ่งกว่าบุรุษจริงๆ”“ไม่ใช่ตลกหรอกหรือ?” นางยังคงไม่ยิ้มแย้ม คำพูดแฝงไปด้วยความเหน็บแ