ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกวางลงบนเตียงนั้น นางก็ได้สติขึ้นมาในทันทีนางกัดลงไปที่ริมฝีปากของเซียวอวี้อีกครั้งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งราวกับกำลังกระตุ้นนาง พลางเรียกร้องให้นางใช้แรงกัดเพิ่มขึ้นไปอีกเฟิ่งจิ่วเหยี่ยนใช้แรงผลักเขาออกมา ทำให้นางกลับสู่ห้วงของความเป็นจริงในทันทีเซียวอวี้ผละจากริมฝีปากของนาง พลางซุกไปที่ลำคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนคล้ายกับว่าพยายามจะควบคุมอารมณ์บางอย่างหากแต่ลมหายใจอุ่น ๆ ยังคงอยู่ตรงนั้นจมูกเรียวโด่งของเขาสัมผัสอยู่ที่ซอกคอของนาง ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอันเร่าร้อนที่กำลังแผดเผานางได้ในทันทีนางพยายามออกแรงดันเขาอีกครั้ง เพื่อที่จะพยายามลุกขึ้นยืนเสียงแหบแห้งของเซียวอวี้พลางเอ่ยที่ข้างหูของนางว่า“จักอยู่ที่นี่หรือไม่?”ที่นี่คือตำหนักจื้อเฉินแม้แต่หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ที่เขาเคยโปรดปราน นางก็หาได้เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ไม่ที่เขาเอ่ยถามออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อถามนางว่า อยากจะร่วมบรรทมกับเขาหรือไม่เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงรีบตอบออกมาในทันที“หม่อมฉันต้องกลับไปแล้วเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ปฏิเสธออกไปตรง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เซียวอวี้เคืองใจความ
กลางดึกในยามราตรี หร่วนฝูอวี้ที่ยังมิได้เข้านอนนั้นยามจื่อที่มีพลังงานหยินอยู่มาก ทำให้นางต้องนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พลางจุดธูปหอมไปด้วยเพื่อฝึกฝนหนอนพิษเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมากมายจากด้านนอกนั้น นางก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งสายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย็นชาดีนัก นางจักได้ใช้พวกเขาในการฝึกฝนหนอนกู่ตัวใหม่ของนาง...ปั้งชายชุดดำพลบันบุกเข้าไปด้านในในทันทีห้องเล็ก ๆ กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหร่วนฝูอวี้แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับพวกเขา นางเพียงโบกมือไปมา ชั่วพริบตา แมลงพิษที่มีรูปร่างคล้ายกับตั๊กแตนตำข้าวก็ถูกโยนออกมาใส่พวกเขาในทันทีพวกมันบินไปตกอยู่บนร่างของชายชุดดำเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทั่วร่างของเหล่าชายชุดดำก็เกิดอาการแผ่ร้อนออกมาเขารู้สึกแปลก ๆ ออกมาในทันที ก่อนจะร้องตะโกนถอดเสื้อผ้าออกมา พลางตะโกนออกมาว่าร้อนความรู้สึกราวกับทั่วร่างถูกแผดเผา ถึงแม้จะถอดอาภรณออกมาหมดทั้งตัวแล้ว พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าร้อนอยู่ชายชุดดำที่ทนไม่ไหวนั้น จึงรีบกระโดดออกจากหน้าต่างไปในทันทีใบหน้าของเฉินจี๋จึงเผยความเย็นชาและแข็งกระด้างออกมาสตรีหนานเจียงผู้นี
เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเงยหน้าขึ้น พลางใช้สายตาเอ่ยห้ามปรามนางหร่วนฝูอวี้พลางทำท่าทีเหมือนรู้สึกผิดเมื่อถูกจับได้ พร้อมทั้งค่อย ๆ เอามือเปลี่ยนไปลูบไล้หน้ากากเหล็ก ราวกับว่าทำเช่นนี้คล้ายกับตนเองกำลังลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่“หนาวยิ่งนัก…ให้ข้า…ได้เห็นใบหน้าของเจ้า ได้หรือไม่?”ถึงแม้ว่านางจะทำตัวไร้เหตุผลไปบ้าง ทว่า นางกลับรู้จักวางตัวยิ่งนักไม่ว่านางจะทะเลาะกับซูฮ่วนเช่นไร เขามิเคยโกรธนางเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง ทั้งยังมิเคยตัดขาดความสัมพันธ์กับนางอีกด้วย ทว่า หากนางล่วงเกินกฎของซูฮ่วนโดยการถอดหน้ากากของเขาออกมาละก็ มิตรภาพระหว่างพวกนางก็จะสิ้นสุดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนมิตอบ หากแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้หร่วนฝูอวี้เช่นเดิมหร่วนฝูอวี้ที่กำลังภายในฟื้นคืนมาส่วนหนึ่งนั้น จึงเริ่มเอ่ยวาจาแทะโลมออกมาว่า“เจ้าที่เห็นเรือนร่างของข้าเช่นนี้แล้ว เจ้าจักรับผิดชอบอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกายกลับมาล้างมือ พลางเอ่ยขึ้นมาว่า“ข้าได้ยินว่าเจ้าจักแต่งเข้ามาเป็นสนม”หร่วนฝูอวี้พลางเอ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้มล้อเลียนว่า“อะไรกัน เจ้าหึงงั้นรึ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับมามองนางด้วยความเย็นชา ในแววตาขอ
โรงพักแรม ยามที่ราชทูตหนานเจียงตื่นขึ้นมายามเที่ยงวัน ก็พบว่าหร่วนฝูอวี้หายตัวไปแล้วระหว่างการเดินทางนั้น หร่วนฝูอวี้มักจะหายออกจากกลุ่มคณะไป นั่นจึงทำให้ราชทูตคิดว่าเป็นเรื่องปกติพวกเขาจึงคิดว่าหร่วนฝูอวี้ไปหาซูฮ่วนผู้นั้นอีกแล้วยามที่เขาถูกม้าลากไปเมื่อนั้น ร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมากมาย ทั้งยังบวมปวดออกมาอีกด้วย จึงไม่คิดจะละความพยายามในการตามหาตัวหร่วนฝูอวี้ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น หากแต่ราชทูตคนอื่น ๆ ก็นอนอยู่บนเตียง พลางร้องให้คร่ำครวญกับอาการบาดเจ็บของตนเองเช่นกันราชทูตจากแคว้นซีหนี่ว์ยังคงดื้อรั้น ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของนางจะยังมิอาจลงจากเตียงมาได้ แต่นางก็ยังเอ่ยออกมาว่า“พวกเราแคว้นซีหนี่ว์จักมิยอมให้มีการผูกขาดเหมืองหินเซวียนอิงอย่างแน่นอน!“ทุกท่าน! ตราบใดที่พวกเราร่วมมือกัน พวกเราย่อมสามารถทำให้แคว้นหนานฉียอมจำนนต่อพวกเราได้อย่างแน่นอน!“เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากแคว้นหนานฉีสามารถทำตามใจตนเองได้เมื่อใด รัฐเหลียงของเราในวันนี้ย่อมเป็นของพวกเราในวันพรุ่งนี้!”ห้องของราชทูตแดนเหนือที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้น เดิมทีทั่วร่างก็เจ็บปวดรวดร้าวจนต้องนอนพักรัก
ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ไม่กี่วัน เฉียวม่อสูญเสียข้ารับใช้ของตนเองไปถึงสามคนนางรู้ดีว่าคนเหล่านั้นจักต้องพบเจอกับความโชคร้ายมากกว่าเรื่องดีอย่างแน่นอนความแค้นนี้นางมิอาจกล้ำกลืนมันลงไปได้!ศิษย์พี่คิดว่า กำจัดคนของนางไปได้สามคนแล้ว นางจักไม่มีคนอื่นให้ใช้การอีกหรืออย่างไร?เฉียวม่อใช้แรงบีบถ้วยชาจนมันแตกคามือ แววตาพลันเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอย่างรุนแรง...สองวันต่อมาฮูหยินเฟิ่งพาลูกสะใภ้ไปถวายเครื่องหอมที่วัดอยู่นาน มิกลับมาเสียทีนายท่านเฟิ่งจึงนึกเป็นกังวลและไม่สบายใจยิ่งนัก ยิ่งเหตุการณ์ที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไปทำร้ายยังฝังใจพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้ นายท่านเฟิ่งเป็นกังวลว่าฮูหยินและลูกสะใภ้ของตนเองจักถูกพวกโจรจับไปด้วยเช่นกัน จึงรีบร้อนเรียกพ่อบ้านมาในทันที“รีบส่งข่าวไปหาคุณชายใหญ่ให้รีบกลับมาที่จวนเสีย! เร็วเข้า!”จากนั้นไม่นาน เฟิ่งเหยียนเฉินก็กลับเข้ามาเมื่อได้ยินว่าทั้งมารดาและฮูหยินของตนเองหายตัวไปนั้น ภายในใจเขารู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก“เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร? หายตัวไปนานเท่าใดแล้ว? เหล่าองครักษ์ที่ติดตามตัวไปด้วยเล่า?”นายท่านเฟิ่งกัดฟันกล่าวออกมา“ข้าสั่ง
เมื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องมาพบหน้ากัน หาได้มีความอบอุ่นเหมือนเช่นเดิมอีกต่อไปไม่เฉียวม่อเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่รู้เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า“ฮองเฮาเอ่ยเรียกตัวหม่อมฉันเข้าวังมาด้วยเรื่องอันใดกันหรือเพคะ?”ภายในตำหนักที่มีเพียงคนสองคนเท่านั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า“เรื่องราวในวันนี้ เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”ใบหน้าเฉียวม่อที่ดูไร้เดียงสา “ฮองเฮาว่าอย่างไรนะเพคะ?”ทันทีที่เฉียวม่อพูดจบ ฝ่ามืออันรุนแรงของนางก็พุ่งโจมตีไปที่หน้าอกของเฉียวม่อในทันที...ผลัวะเฉียวม่อที่ถูกโจมตีนั้น ทั่วร่างของนางกระเด็นออกไปไหล แผ่นหลังของนางพุ่งไปชนกับเสากลมในทันที พร้อมทั้งคิ้วที่ขมวดเป็นปมไปด้วยความเจ็บปวดทว่า เมื่อได้เห็นท่าทีศิษย์พี่กำลังโกรธเกรี้ยวนั้น นางจึงหัวเราะออกมา“ศิษย์พี่ เป็นท่านที่ทำร้ายข้าก่อน“เป็นท่านที่เอาแต่กัดข้าไม่ปล่อย ทั้งยังจับตัวคนของข้าไป“เช่นนี้ ข้าเพียงแต่ขอให้ท่านรับรู้เอาไว้ว่า ข้าหาใช่ลูกพลับนิ่มไม่… เรื่องราวในวันนี้ เป็นเพียงคำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น“หากว่าท่านยังมิคิดคืนคนของข้ามาละก็ ในคราหน้าข้ามิรับประกัน ว่าจักทำอะไรกับคนของตระกูลเฟ
เซียวอวี้ใช้สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับพยายามจะมองให้ทะลุปรุโปร่งเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีท่าทีสงบเงียบ หาได้มีท่าทีตื่นตระหนกใด ๆ ไม่ในเมื่อนางเป็นถึงฮองเฮา เหตุใดนางถึงจะไม่ใช้อำนาจสิทธิพิเศษของฮองเฮาเล่า?หากจะลงโทษเฉียวม่อได้นั้น ด่านที่ต้องผ่านไปให้ได้ก็คือเซียวอวี้บางที เพียงแค่อาการบาดเจ็บของนางอาจจะยังไม่เพียงพอเฟิ่งจิ่วเหยียนที่เตรียมคำพูดของตนเองเอาไว้ ยามที่นางกำลังจะเปิดปาดกล่าวออกมานั้น กลับได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเซียวอวี้เอ่ยออกมาอย่างเสียงดังว่า“จับกุมเมิ่งเฉียวม่อเข้าคุก!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับเงียบไปในทันทีเขาจักตัดสินใจเช่นนี้จริง ๆ หรือ?ด้านนอกตำหนักเมื่อรู้ว่าฝ่าบาทต้องการจะลงโทษตนเองนั้น เฉียวม่อตกใจยิ่งนักนางที่เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อแคว้นหนานฉี มิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางมิได้เป็นคนลอบสังหารฮองเฮา ถึงแม้ว่านางจักทำจริง ๆ ฝ่าบาทก็มิอาจลงโทษนางเช่นนี้ได้ฝ่าบาทยังมิทันได้ฟังคำพูดของนางเลย เหตุใดถึงได้ตัดสินใจว่าคำพูดของฮองเฮาเป็นเรื่องจริงแล้วเล่า!“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันหาได้ทำการลอบสังหารไม่ หม่อมฉันมิได้ทำ!”ไม่ว่าเฉียวม่อจัก
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่คิดว่าตนเองฟังผิดไปนั้นนางคือฮองเฮาทว่า หร่วนฝูอวี้คิดจะทำร้ายนางเมื่อใดกัน?ผู้ที่หร่วนฝูอวี้ต้องการจะลอบสังหารคือเซียวอวี้ต่างหาก!เฟิ่งจิ่วเหยียนวางไหสุราในมือลง ก่อนจะจ้องมองไปที่เซียวอวี้ พลางเอ่ยถามว่า“ท่าน แน่ใจหรือ?”เรียวคิ้วของเซียวอวี้พลันขมวดเข้าหากันในทันทีซูฮ่วนผู้นี้ มิได้กล่าวว่าตนเองสอบถามเรื่องราวทั้งหมดแล้วงั้นหรือเซียวอวี้ที่มีการเตรียมการมาก่อนแล้วนั้น พลันหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งขึ้นมาด้านในเป็นแมงมุมพันร่างที่พวกเขาพบเจอภายในตำหนักหย่งเหอคืนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกงุนงงยิ่งนักหร่วนฝูอวี้จักสังหารคนนั้น นางฆ่าหนึ่งคน แถมอีกคนขึ้นมาเมื่อใดกัน!อีกทั้ง เซียวอวี้พบแมงมุมพันร่างในตำหนักหย่งเหอได้อย่างไร?จู่ ๆ เฟิงจิ่วเหยียนก็จำได้ในทันที งานเลี้ยงวันเกิดของเขาในคืนนั้น เขาเคยเรียกนางไปที่ตำหนักจื่อเฉินหรือว่าจะเป็นตอนนั้นกัน...ดวงตาของเซียวอวี้ที่พาดผ่านไปด้วยความเย็นชานั้น ราวกับว่าเรื่องนี้มิอาจหารือเจรจาต่อไปได้อีกหลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบสติอารมณ์ของตนเองแล้ว“สืบเรื่องต้องให้ลึกถึงตอ นั่นคือสงครามชายแดนระหว่างสองแคว้น
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
การที่พวกเขาขอเข้าพบยามมืดค่ำเช่นนี้ เกรงว่าราชทูตเป่ยเยี่ยนเองคงมีเรื่องร้อนใจมากกระมังจางฉี่หยางนำกองทัพที่แข็งแกร่งบุกเข้าโจมตีเป่ยเยี่ยนสงครามในครานี้จึงต้องรีบระงับโดยไว แว่นแคว้นภายในถึงจักสามารถฟื้นตัวได้เสียที……เมืองเซวียนภายในเรือนจำฮ่องเต้เยี่ยนและเหล่าทหารมากมายถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่เขามิคิดเลยว่า ตนเองจักถูกพวกหนานฉีจับได้ ทั้งยังถูกคนของตนเองทรยศหักหลังอีก!เขาโกรธเกลียดยิ่งนักเมื่อฮ่องเต้ถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นนี้ กองทัพเยี่ยนที่เหลืออยู่บนภูเขาจิ่วเหลียนย่อมไร้ความสามารถเป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนหาได้แสดงออกท่าทีว่าตนเองพ่ายแพ้ไม่ หากแต่ยังคงทำตัวหยิ่งจองหอง ยโสโอหังไม่เลิก“เราจักไม่ตาย! พวกเจ้ามิกล้าสังหารเราหรอก!“กองทัพเยี่ยนที่มีทหารนับหมื่นนายนั้น พวกเขาจักยังคงทยอยโจมตีหนานฉีต่อไป จนกระทั่งหนานฉีพ่ายแพ้ราบคาบเป็นหน้ากอง!”นี่คือพระราชโองการที่เขาออกสั่งด้วยตนเอง ก่อนที่เขาจะทยานเข้าสู่ศึกสงครามไม่ว่าอย่างไร เป่ยเยี่ยนกับหนานฉีก็จักรบกันจนตัวตายไปข้างหนึ่ง!ทหารที่เฝ้าห้องขังนั้น ต่างพากันหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่“ทยอยโจ
ในวังหลวงหลังจากรับสำรับมื้อค่ำแล้วนั้น เซียวอวี้ก็มอบของขวัญให้กับตระกูลเฟิ่งมากมาย ทุกคนต่างก็ได้รับกันถ้วนหน้า รวมไปถึงเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยเฟิ่งเหยียนเฉินพลันลุกขึ้นยืน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกละอายใจยิ่งนัก!”โจวซื่ออุ้มบุตรสาวของตนเองขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับตามสามีของตนเองเซียวอวี้ที่มีงานราชกิจมากมายรออยู่นั้น หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเสร็จเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งการให้หลิวซื่อเหลียงส่งตระกูลเฟิ่งออกจากวังไปหลิวซื่อเหลียงที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้ การที่ได้เขาช่วยนำออกจากวังหลวงนั้น ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลเฟิ่งมากเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองหลานสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่เดินจากไปทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจึงฉายชัดขึ้นมาในทันทีตลอดการรับสำรับมื้อค่ำในครานี้ เซียวอวี้ลอบมองดูเด็กน้อยอยู่หลายครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขาเสมอสายตานั้น มิต่างอันใดกับเฟิ่งเหยียนเฉินที่มอบให้กับบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียน
สีหน้าของนายท่านเฟิ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีบุปผางามสาวสะพรั่งอีกมากมายให้เลือกสรร อย่างน้อย เขาก็สามารถแต่งกับสตรีที่รู้ความแตกฉานด้านอักษร หรือมีภูมิหลังที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หลิวอิ๋งผู้นี้ หาได้มีคุณสมบัติที่จักมาเป็นนายหญิงของตระกูลเฟิ่งไม่!หากแต่ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาหาได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักใคร่“นายท่าน สามีของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ข้ามิเคยลืมท่านเลยสักวันเดียว“ในเมื่อพี่สาวข้าหย่าขาดกับท่านเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันดีหรือไม่ ในครานี้ มิมีผู้ใดขัดขวางพวกเราได้อีกแล้ว”ทั่วร่างของนายท่านเฟิ่งพลันเหงื่อแตกไปในทันที ก่อนจะผลักนางออกไป“ใครเคยอยู่กับเจ้ากัน! เจ้าออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งในยามนี้ จัดการยากกว่าในปีนั้นยิ่งนัก!เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่มารดาของเขามิยินยอมให้นางแต่งเข้าจวนมา!ดวงตาของหลิวอิ๋งพลันหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับท่าทีที่พร้อมจะทุบหม้อข้าวหม้อแกงทุกอย่างทิ้งไป“ท่านไม่อยากแต่งกับข้างั้นหรือ?“
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั