“อาจารย์หญิง ข้าเพียงแค่...” เฉียวม่อรู้สึกอึดอัดใจ ฮูหยินเมิ่งเก็บจดหมายเหล่านั้นได้ทันเวลา นางจำได้ มันเป็นของจิ่วเหยียน เนื่องจาก หน้าซองจดหมายเขียนว่า——“อาเหยียนที่รัก” ฮูหยินเมิ่งสีหน้าเข้มขรึม เต็มไปด้วยการตำหนิ “เจ้าคิดจะทำอันใด? เหตุใดต้องเผาพวกมันทิ้งหมด!” เฉียวม่อกำชายอาภรณ์ ไร้ซึ่งความกล้าหาญเหมือนตอนนำการฝึกซ้อมทหารระหว่างวัน มีเพียงความรู้สึกผิด “ไม่ใช่...อาจารย์หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า ข้าแค่รู้สึกว่า เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ หากในอนาคตมีผู้ใดมาเจอเข้า มันจะทำให้ชื่อเสียงของศิษย์พี่เสื่อมเสีย” ฮูหยินเมิ่งค่อย ๆ กระตุกมุมปากขึ้น เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าคิดได้รอบคอบนัก “ทว่าสิ่งของเหล่านี้ ศิษย์พี่ของเจ้าดูเหมือนเป็นสมบัติอันล้ำค่า หากเจ้าตั้งใจเผาพวกมัน เจ้าได้ถามความคิดเห็นของศิษย์พี่หรือไม่?” เฉียวม่อส่ายหัวเบา ๆ พูดเสียงเบาเหมือนตัวริ้นบิน “อาจารย์หญิง ข้ามิได้คิดให้ดีพอ...ข้าแค่อยากจะปกป้องศิษย์พี่ ถึงอย่างไร เวลานี้นางเป็นฮองเฮาของแคว้น หากฝ่าบาททรงทราบว่า นางมีคำมั่นสัญญาชั่วชีวิตกับบุรุษอื่นแล้ว...” ต
แม้ว่าไทฮองไทเฮาอาศัยอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางเป็นเวลานาน ทว่ายังมีหูตาของนางอยู่ในพระราชวังมากมาย นางกล่าว “ในงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ฮองเฮาเอาตัวมาขวางลูกธนูแทนฝ่าบาท ยังมิได้รับรางวัลใด ๆ เลย เนื่องจากฝ่าบาทรับสั่งว่า ขอเพียงฮองเฮาเอ่ยปาก สิ่งใดก็สามารถให้ได้ แม้กระทั่งพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือนให้พี่ชายของนาง ฝ่าบาทสามารถรับปากอย่างง่ายดาย “ทว่า จวบจนบัดนี้ฮองเฮายังมิได้ขอสิ่งใด” ไทฮองไทเฮาแนะนำเพียงผิวเผิน มู่หรงฉานก็เข้าใจทันที ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ หากฮองเฮาออกหน้าขอร้องแทนตระกูลมู่หรง ฝ่าบาทมีแนวโน้มจะตกลงอย่างมาก มู่หรงฉานขอบคุณและขอตัวลา เมื่อออกจากตำหนักวั่นโซ่ว ก็ตรงไปที่ตำหนักหย่งเหอ…… ภายในตำหนักหย่งเหอ มู่หรงฉานคุกเข่าเป็นเวลานาน เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อย ๆ ดื่มยาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว นางมีสายตาเงียบสงบ ไร้ร่องรอยของระลอกคลื่นบนใบหน้า “แม้ว่าเจ้าคุกเข่าจนพิการ ข้าก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้” คนเช่นมู่หรงเจี๋ย ไม่มีค่าพอให้นางช่วย เขายักยอกเบี้ยหวัดทหาร มิใช่เพียงแค่เงินท
ณ ห้องทรงพระอักษร ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่รายงานด้วยความชอบธรรม “ฝ่าบาท เจ้าหน้าที่ทหารได้ค้นพบสมุดบัญชีเล่มนี้จากจวนของมู่หรงเจี๋ย ปรากฏว่าเขาไม่เพียงแต่ยักยอกเบี้ยหวัดทหาร ยังรับสินบนจากพ่อค้าในเมืองอวิ๋นด้วยพ่ะย่ะค่ะ “หลังจากรบชนะชนเผ่าชื่อโหยว ราชวงศ์หนานฉีครองเขตอำนาจศาลของแม่น้ำหงเหมยตอนล่าง ออกกฎห้ามขนส่งค้าขายทางเรือ ทว่ามู่หรงเจี๋ยให้พวกเขาสวมรอยเป็นเรือของทางการ ให้อภิสิทธิ์ในการผ่านน่านน้ำหงเหมย “พ่อค้าในเมืองอวิ๋นขายแร่เหล็กสีม่วงให้กับชนเผ่าชื่อโหยวในราคาแพง และมู่หรงเจี๋ยได้รับส่วนแบ่งสามในสิบของกำไรพ่ะย่ะค่ะ” ในดวงตาของเซียวอวี้เต็มไปด้วยความพิโรธแห่งราชา ขโมยขายแร่เหล็กสีม่วง ความผิดฐานทรยศแคว้นนี้ มากพอให้มู่หรงเจี๋ยตายนับสิบหน! ห้าม้าแยกร่าง มันน้อยไปสำหรับเขา ณ วันเดียวกัน มู่หรงเจี๋ยซึ่งยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำก็ถูกสอบปากคำ ไม่อาจรับการทรมานหนักกว่านี้ได้ จึงยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ตามคำสารภาพของเขานั้น เจ้าหน้าที่ทางการในเมืองอวิ๋น พ่อค้า และพวกโจรสมรู้ร่วมคิดกันทั้งสามฝ่าย แร่เหล็กสีม่วงที่ดำเนินการโดยทางการนั้น ถ
เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นพูด “ฝ่าบาท การปลอมตัวเสด็จประพาส สำคัญที่สุดคือการปกปิดตัวตนของท่านจากโลกภายนอก “หากท่านมีราชองครักษ์และข้ารับใช้รายล้อม ย่อมทำให้เกิดความสงสัยอย่างแน่นอน “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบางคนมีอำนาจครอบงำ มีสายลับทั่วทุกพื้นที่ เฝ้าระวังบุคคลต่างถิ่นเป็นพิเศษ เกรงว่าหากฝ่าบาททำเช่นนั้น ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเมือง จะกลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขาทันที “หากหม่อมฉันร่วมเดินทางกับท่าน เหตุผลแรกสามารถแสร้งเป็นภรรยาของท่านได้ “เหตุผลที่สอง พี่ชายใหญ่ของหม่อมฉันรู้จักผู้คนมากมายในยุทธภพ เมื่อตกอยู่ในอันตราย สามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้เพคะ” เซียวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ภรรยา” สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย นางอยากเดินทางออกนอกวังพร้อมเขามาก น่าจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขากระมัง อย่างไรก็ตาม นางยอมเสียสละพลังภายในเพื่อขจัดพิษให้เขา ทั้งยังยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสกัดลูกธนูให้เขา... เดิมเขาคิดว่า ฮองเฮาและฮ่องเต้ปลอมตัวเสด็จประพาสด้วยกัน มันไร้สาระมาก ทว่ามาคิดทบทวนอีกที การที่เขาออกนอกวังในคราวนี้ จะต้องมีอันตรายรอบด้าน และฮองเฮามีวิทยายุทธล้ำเลิ
เมื่อมองแวบแรกห้องนี้ดูธรรมดามาก ทว่าบนเตียงหลังนั้น มีเครื่องมือมากมายหลายขนาดวางอยู่ด้วย อ่างอาบน้ำวางอยู่ข้างเตียง นอกจากนี้ยังมีคันฉ่องขนาดใหญ่หลายบานตั้งอยู่รอบ ๆ ริมหน้าต่างมีม้านั่งตัวหนึ่งวางอยู่ ลักษณะคล้ายร่างกายมนุษย์ เจ้าของร้านเห็นว่าใบหน้าของพวกเขาไร้รอยยิ้ม จึงรีบถาม “ขออภัย ท่านทั้งสองไม่พอใจหรือ? ห้องพิเศษเช่นนี้เป็นที่ต้องการอย่างมากเลยขอรับ!” เซียวอวี้พูดเสียงทุ้มลึก “พอใจ” จากนั้นเขาโบกมือให้เฉินจี๋จ่ายเงิน เมื่อนั้นเจ้าของร้านจึงคลายความสงสัย หลังเซียวอวี้เดินเข้าห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เดินตามไปด้วยจิตใจที่เปิดเผย ก่อนอื่น นางดับไฟบนเตากำยานที่จุดไว้บนโต๊ะตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นเซียวอวี้มองมา นางเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “พี่ชายเคยกล่าวไว้ โรงพักแรมใต้ดินหลายแห่งใช้กลิ่นหอมนี้ทำให้แขกสลบ” ดูเหมือนว่าเซียวอวี้ไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้ จึงมองสำรวจไปรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกไป “ระวัง!” พลันเห็นมีตู้ลับใบหนึ่งปรากฏที่ผนัง พุ่งออกมาราวกับลูกธนู ทั้งสองหันหน้ามอ
แรงกระแทกของก้อนหินยักษ์เช่นนั้น สามารถทำให้รถม้าพังทลายได้อย่างแน่นอน เสียงตะโกนของเฉินจี๋ฟังเสมือนลำคอถูกฉีกขาดไป ดังสะท้อนก้องอยู่ในหุบเขาที่เงียบงัน ในช่วงเวลาวิกฤต เซียวอวี้กำลังมีความคิดจักลงจากรถม้า ทว่าสตรีที่อยู่ข้างกายได้ก้าวนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าว คว้าจับมือเขาไว้ และพาเขากระโดดออกไปข้างนอกรถม้าด้วยกัน ปฏิกิริยาว่องไวเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่านางได้คาดการณ์ถึงอันตรายของก้อนหินยักษ์ที่กำลังกลิ้งตกลงมา ก่อนที่เฉินจี๋จะรับรู้ได้ เกือบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับพวกเขากระโดดลงจากรถม้า รถม้าก็พลันถูกทำลายจนแตกกระจาย! ม้าเองก็ตื่นตระหนก หลังหลุดจากเชือกบังเหียน ก็วิ่งเตลิดจนพลัดตกจากหน้าผาไป มีเพียงคนทั้งสามที่ติดอยู่ระหว่างหินยักษ์สองก้อน เดินหน้าต่อไปมิได้ ถอยหลังยิ่งไร้หนทาง เฉินจี๋กำกระบี่ยาวไว้แน่น คุ้มครองอยู่เบื้องหน้าของเซียวอวี้ สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “นายท่าน ต้องมีคนซุ่มโจมตีอยู่ในที่ลับเป็นแน่ขอรับ!” เซียวอวี้ลดสายตามองลงไป——พบว่าฮองเฮายังคงจับมือของเขาไว้ ท่วงท่าเฉกเช่นเดียวกับเฉินจี๋ ใช้สายตาที่เฉียบคมกวาดมองไปโด
เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสายตาเย็นยะเยือกของบุรุษผู้นั้น “ข้าจักไปหา...” เซียวอวี้ขัดจังหวะคำพูดของนางอย่างเย็นชา ออกคำสั่งว่า “อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน” สิ้นคำพูดนี้ เขาพลันหมดสติลงไป ทว่าเขายังจับข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้แน่น เสมือนศพที่แข็งตัวแล้ว แม้นเกิดอันใดขึ้นก็แยกออกไปมิได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องออกแรงอย่างมากมาย ค่อย ๆ ง้างนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว จึงสามารถดึงข้อมือออกมาได้ ทว่ารอบข้อมือของนางมีรอยแดงประทับอยู่ แสดงให้เห็นว่าเขาใช้ความแข็งแกร่งมากเพียงใด…… เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตูลานบ้าน คู่สามีภรรยาชรายกน้ำร้อนเดินมาพอดี จึงบังเอิญเห็นเข้า พลันเร่งรีบตามมาขวางนางเอาไว้ และถามอย่างกังวลใจ “เฮ้! ช้าก่อน! แม่นาง เจ้า...เจ้าจะไปแล้วหรือ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาช่างเดาแม่นจริง ๆ หญิงชรากล่าวว่า “แม่นาง เจ้าไปไม่ได้! หากว่าเจ้าไปแล้ว คนผู้นั้น...คนผู้นั้นตายลงไปเล่า พวกเราสองชราจักไปตามหาใครมารับผิดชอบได้?” พวกเขากลัวว่านางจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง แล้วทิ้งปัญหาใหญ่ให้พวกตนจั
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซียวอวี้ ได้ทำลายแผนการหลบหนีของเฟิ่งจิ่วเหยียน ใบหน้าของนางคงไว้ซึ่งความเงียบสงบ “ทางเดินขึ้นเขานั้นยากลำบาก ข้าจึงอยากไปสอบถามจากชาวบ้าน ถึงเส้นทางไปหาหมอในเมือง” เด็กน้อยหยิบตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมา แล้วส่งคืนให้เฟิ่งจิ่วเหยียน ปากเล็กเอ่ยด้วยความไร้เดียงสาจริง ๆ “พี่สาว แค่มองก็รู้แล้วว่าทางเดินขึ้นเขานั้นเดินง่ายมากขอรับ” เซียวอวี้จ้องมองนางด้วยสายตาเฉียบคม อยากเห็นว่านางจะอธิบายอย่างไร เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้พูดมากนัก เพียงย้อนถามพวกเขาแทน “ทั้งสองคนออกมาทำไม” เด็กน้อยคนนั้นชี้ไปที่เซียวอวี้ “ผู้ชายของท่าน บอกให้ข้าพาเขามาหาท่าน พี่สาว พวกท่านรักกันดีจริง ๆ เหมือนกับพ่อแม่ของข้าเลย มิอยากอยู่ห่างกันสักก้าวเดียว!” เซียวอวี้มีรอยยิ้มคลุมเครือฉายบนใบหน้า “ดีมากจริง ๆ ” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจมลง หลังจากนั้น การขึ้นเขาเก็บยาพังลง และมิได้เดินทางเข้าเมืองด้วย ทั้งสามคนกลับไปที่บ้านชาวนาพร้อมกัน เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ทันใดนั้นเซียวอวี้คว้าข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ สายตาเย็นชากดดัน “เจ้าค
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
การที่พวกเขาขอเข้าพบยามมืดค่ำเช่นนี้ เกรงว่าราชทูตเป่ยเยี่ยนเองคงมีเรื่องร้อนใจมากกระมังจางฉี่หยางนำกองทัพที่แข็งแกร่งบุกเข้าโจมตีเป่ยเยี่ยนสงครามในครานี้จึงต้องรีบระงับโดยไว แว่นแคว้นภายในถึงจักสามารถฟื้นตัวได้เสียที……เมืองเซวียนภายในเรือนจำฮ่องเต้เยี่ยนและเหล่าทหารมากมายถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่เขามิคิดเลยว่า ตนเองจักถูกพวกหนานฉีจับได้ ทั้งยังถูกคนของตนเองทรยศหักหลังอีก!เขาโกรธเกลียดยิ่งนักเมื่อฮ่องเต้ถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นนี้ กองทัพเยี่ยนที่เหลืออยู่บนภูเขาจิ่วเหลียนย่อมไร้ความสามารถเป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนหาได้แสดงออกท่าทีว่าตนเองพ่ายแพ้ไม่ หากแต่ยังคงทำตัวหยิ่งจองหอง ยโสโอหังไม่เลิก“เราจักไม่ตาย! พวกเจ้ามิกล้าสังหารเราหรอก!“กองทัพเยี่ยนที่มีทหารนับหมื่นนายนั้น พวกเขาจักยังคงทยอยโจมตีหนานฉีต่อไป จนกระทั่งหนานฉีพ่ายแพ้ราบคาบเป็นหน้ากอง!”นี่คือพระราชโองการที่เขาออกสั่งด้วยตนเอง ก่อนที่เขาจะทยานเข้าสู่ศึกสงครามไม่ว่าอย่างไร เป่ยเยี่ยนกับหนานฉีก็จักรบกันจนตัวตายไปข้างหนึ่ง!ทหารที่เฝ้าห้องขังนั้น ต่างพากันหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่“ทยอยโจ
ในวังหลวงหลังจากรับสำรับมื้อค่ำแล้วนั้น เซียวอวี้ก็มอบของขวัญให้กับตระกูลเฟิ่งมากมาย ทุกคนต่างก็ได้รับกันถ้วนหน้า รวมไปถึงเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยเฟิ่งเหยียนเฉินพลันลุกขึ้นยืน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกละอายใจยิ่งนัก!”โจวซื่ออุ้มบุตรสาวของตนเองขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับตามสามีของตนเองเซียวอวี้ที่มีงานราชกิจมากมายรออยู่นั้น หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเสร็จเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งการให้หลิวซื่อเหลียงส่งตระกูลเฟิ่งออกจากวังไปหลิวซื่อเหลียงที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้ การที่ได้เขาช่วยนำออกจากวังหลวงนั้น ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลเฟิ่งมากเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองหลานสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่เดินจากไปทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจึงฉายชัดขึ้นมาในทันทีตลอดการรับสำรับมื้อค่ำในครานี้ เซียวอวี้ลอบมองดูเด็กน้อยอยู่หลายครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขาเสมอสายตานั้น มิต่างอันใดกับเฟิ่งเหยียนเฉินที่มอบให้กับบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียน
สีหน้าของนายท่านเฟิ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีบุปผางามสาวสะพรั่งอีกมากมายให้เลือกสรร อย่างน้อย เขาก็สามารถแต่งกับสตรีที่รู้ความแตกฉานด้านอักษร หรือมีภูมิหลังที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หลิวอิ๋งผู้นี้ หาได้มีคุณสมบัติที่จักมาเป็นนายหญิงของตระกูลเฟิ่งไม่!หากแต่ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาหาได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักใคร่“นายท่าน สามีของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ข้ามิเคยลืมท่านเลยสักวันเดียว“ในเมื่อพี่สาวข้าหย่าขาดกับท่านเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันดีหรือไม่ ในครานี้ มิมีผู้ใดขัดขวางพวกเราได้อีกแล้ว”ทั่วร่างของนายท่านเฟิ่งพลันเหงื่อแตกไปในทันที ก่อนจะผลักนางออกไป“ใครเคยอยู่กับเจ้ากัน! เจ้าออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งในยามนี้ จัดการยากกว่าในปีนั้นยิ่งนัก!เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่มารดาของเขามิยินยอมให้นางแต่งเข้าจวนมา!ดวงตาของหลิวอิ๋งพลันหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับท่าทีที่พร้อมจะทุบหม้อข้าวหม้อแกงทุกอย่างทิ้งไป“ท่านไม่อยากแต่งกับข้างั้นหรือ?“
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั