ตำหนักหย่งเหอ ชายแดนเหนือสงบแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงกลับมา เพื่อตามสืบเรื่องบุคคลลึกลับต่อ ทว่าเบาะแสหยุดอยู่ที่จดหมายสองฉบับนั้น ไม่มีอื่นใดอีก ราวกับว่านางติดอยู่ในทางตัน เดินหน้าไม่ได้ถอยก็มิได้ “ฮองเฮา ดื่มยาเพคะ” เหลียนซวงเข้ามาพร้อมถ้วยยา เห็นว่าฮองเฮายังอ่านจดหมายสองฉบับนั้นอยู่ เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้มือเดียวหยิบถ้วยยาขึ้นมา ดื่มหมดภายในไม่กี่อึก เหลียนซวงมองดูถ้วยเปล่า ด้วยความตะลึงงัน ยาขมขนาดนั้น ฮองเฮาทนได้อย่างไร? จู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนชายตาขึ้น มองไปไกลนอกตำหนัก ในตำหนักหย่งเหอ มีองครักษ์ลับเพิ่มอีกหลายคน เซียวอวี้คิดตรวจสอบนางเรื่องใดอีก? วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเฟิ่งเข้าวัง นางเห็นใบหน้าซีดเซียวของเฟิ่งจิ่วเหยียน หัวใจยากจะรับไหว “ฮองเฮา ร่างกายสำคัญที่สุด” แคว้นหนานฉีมีทหารมากมาย มิใช่หน้าที่ของจิ่วเหยียนในการนำทัพออกรบจริง ๆ นางในฐานะเป็นมารดา เพียงแค่หวังว่าพวกลูก ๆ ทุกคนจะแข็งแรงปลอดภัย เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่านางกังวลเรื่องใดอยู่ จึงพูดปลอบใจ “พักไม่กี่วันก็หายแล้ว” ฮูหยินเฟิ่ง
เซียวอวี้มองคนที่นอนอยู่บนหลังอาชาด้วยสายตาลึกล้ำ นางมีท่าทางราวกับเมามาย และสับสนมึนงง มือข้างหนึ่งห้อยลงมา มองเห็นได้ราง ๆ ว่าฝ่ามือมีเลือดออก... เหลียนซวงตามมาที่สนามม้าหลวง ก็ได้เห็นฝ่าบาทอุ้มฮองเฮาออกมาพอดี “ฝ่าบาท ฮองเฮา!” เหลียนซวงเร่งรีบคำนับ เกิดอันใดขึ้นกับฮองเฮา?! เซียวอวี้อุ้มนางกลับไปที่ตำหนักหย่งเหอ สั่งให้หมอหลวงรักษาบาดแผลให้นาง เหลียนซวงคุกเข่าลงบนพื้น ตัวสั่นระริก เซียวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง เสมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทำให้คนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากหมอหลวงพันแผลที่ฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนเสร็จ ก็รายงาน “ฝ่าบาท อาการบาดเจ็บที่มือของฮองเฮาไม่ร้ายแรง ทว่าร่างกายยังไม่ฟื้นตัว ยังขี่ม้าไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากหมอหลวงทูลลา เซียวอวี้ก็มองไปที่เหลียนซวง ดวงตาแหลมคมเยือกเย็น “ฮองเฮาบาดเจ็บได้อย่างไร” เหลียนซวงไม่รู้จริง ๆ “บ่าว...บ่าวได้รับคำสั่งให้พาฮูหยินเฟิ่งออกจากวัง จึงไม่เห็นเพคะ...” “ฮูหยินเฟิ่ง? นางพูดเรื่องใดกับฮองเฮา” ใบหน้าที่งดงามเย็นชาของเซียวอวี้
โดยปกติแม่ทัพเมิ่งเป็นคนอารมณ์ดี เวลานี้ก็สุดที่จะทนเช่นกัน เขาขยำจดหมายจนเป็นลูกบอล ยังไม่บรรเทาโทสะ จึงนำไปเผาทิ้ง “ฮูหยิน มิต้องสนใจ! จิ่วเหยียนเป็นลูกสาวของพวกเราตลอดไป! เว้นเสียแต่นางจะไม่ยอมรับพวกเราเอง ชั่วชีวิตนี้พวกเราก็ไม่ทอดทิ้งนางเด็ดขาด!” ฮูหยินเมิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของเขา จึงหลุดหัวเราะ “พรืด” ความโกรธเมื่อครู่นี้บรรเทาลงเช่นกัน แล้วนางก็ถามถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เฉียวม่อไปรายงานผลงานที่เมืองหลวงแทนจิ่วเหยียน สองวันนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง?” แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะ “ใกล้มากแล้ว” ฮูหยินเมิ่งถอนหายใจเบา ๆ “เดิมข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เวลานี้ก็ได้แค่หวังว่านางจะสามารถทำได้อย่างราบรื่น” แม่ทัพเมิ่งเกลี้ยกล่อมนางด้วยความอดทน “ฝ่าบาทมีพระราชโองการหลายครั้ง ทุกครั้งได้แต่อ้างเรื่องความไม่สงบของชายแดน เลื่อนการไปรายงานผลงานที่เมืองหลวงตลอด เวลานี้มีคนยื่นฎีกาแล้ว กล่าวโทษพวกเราว่าเย่อหยิ่งในกองทัพ ทำคุณงามความดีได้ก็ลำพองตน “ชัยชนะยิ่งใหญ่เหนือรัฐเหลียงครานี้ ชายแดนได้สงบสุข ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพ มีแม่ทัพอื่น
เซียวอวี้ลุกขึ้นมา พูดด้วยเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำว่า“เตรียมขบวน กลับตำหนักจื้อเฉิน”เขาไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ออกมาจากตำหนักหย่งเหอโดยตรงเฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูแผ่นหลังของเขา ด้วยแววตาเยือกเย็นชาเหลียนซวงไม่เข้าใจ“ฮองเฮา อยู่ดีๆ ทำไมฝ่าบาทถึงไปแล้ว?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่พูดอะไรช่วงยามไฮ่ ไฟในตำหนักฉางซิ่นสว่างไสว เซียวอวี้นั่งอยู่ในตำหนัก รออยู่หนึ่งชั่วยามเห็นว่าเวลาค่ำมืดแล้ว เฉินจี๋พูดขึ้นมาว่า“ฝ่าบาท น่าจะไม่มาแล้ว...”ทันใดนั้น ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดัง “ตูมๆ ” ขึ้นมาแววตาเฉินจี๋เป็นประกายขึ้นมานักฆ่าหญิงคนนั้น จะเป็นฮองเฮาไหม?เซียวอวี้ส่งสายตาไปมอง เฉินจี๋เปิดประตูทันทีทว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่นักฆ่าหญิงคนนั้น ทว่าเป็นขันทีน้อยธรรมดาคนหนึ่งขันทีน้อยคนนั้นเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในคือฝ่าบาท ก็รีบคุกเข่าอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาไม่หยุด“บ่าวๆ บ่าวๆ...บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท!”แววตาเซียวอวี้ลึกล้ำเฉินจี๋รีบถามขันทีคนนั้นว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”อีกฝ่ายตอบอย่างสั่นเทาว่า“บ่าวเดินผ่านตำหนักฉางซิ่น เห็นว่าข้างในมีไฟสว่างอยู่และไม่มีคนเฝ้าดู จึงนึกว่
เซียวอวี้ไม่ได้ไวต่อกลิ่นขนาดนั้น ถึงแม้เขาเคยได้กลิ่นบนตัวนักฆ่าหญิงคนนั้น แต่กลิ่นนั้นจางมาก ครู่เดียวก็ลืมแล้วเขาก็เคยบีบคอ บีบข้อมือผู้หญิงคนนั้นจริง ทว่ามือของเขาไม่ใช่สายวัด เป็นไปไม่ได้ที่ลองจับแล้วก็ทราบทันทียิ่งไปกว่านั้น ข้อมือผู้หญิงไม่ได้ต่างกันมาก อาศัยการคาดเดาด้วยมือตนเอง ไม่มีทางทำได้อย่างแม่นยำเขาเพียงแค่ แต่งเรื่องหลอกฮองเฮาเท่านั้นวิธีนี้ใช้กับคนอื่นได้ผลทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นผู้ใด?นางผ่านการรบมาเป็นร้อยครั้ง สอบสวนไส้ศึกบ่อยครั้งวิธีการต่างๆ นั้น นางเชี่ยวชาญอย่างมากหากเซียวอวี้มั่นใจว่านางคือนักฆ่าหญิงคนนั้น ก็จะไม่มีอ้อมค้อมเช่นนี้เบาะแสเพียงอย่างดียวที่มีในมือเขา ก็คือแส้เก้าท่อนนั้นสีหน้าของนางนิ่งสงบเหมือนน้ำ แฝงไปด้วยความสงบเห็นเป็นเรื่องง่าย“หม่อมฉันอธิบายได้“ข้างกายหม่อมฉัน นอกจากเหลียนซวงแล้ว ยังมีองครักษ์ลับหญิงผู้หนึ่ง ติดตามหม่อมฉันเข้ามาในวัง คอยปกป้องตลอดเวลา“สิ่งของพวกนั้น ล้วนเป็นของนาง”แววตาเซียวอวี้เยือกเย็นเล็กน้อย“องครักษ์ลับ?”คำโกหกของเฟิ่งจิ่วเหยียน พูดขึ้นมาได้ง่ายดายตามอำเภอใจ“ข้าช่วยนางไว้โดยบังเอิญ สถานะตั
ประตูเมืองเปิดกว้าง คนทุกบ้านพากันออกมาจากตรอกซอย ต้อนรับกองทัพกลับมาอย่างมีชัยชนะพวกชาวบ้านยืนอยู่ข้างทาง เงยหน้าขึ้นมองดู“แม่ทัพน้อยเมิ่งล่ะ? เขาคือคนไหน?”“คือคนที่ขี่ม้าอยู่ข้างหน้าสุดคนนั้น!”“ทำไมถึงสวมหน้ากากไว้? ดูไม่เห็นว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร!”“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว แม่ทัพน้อยเมิ่งหน้าตาหล่อเหลาสง่าเกินไป จึงสวมหน้ากากบดบังไว้ เพื่อเสริมความทรงพลัง”“ไม่ถูก เพราะบนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็น อัปลักษณ์อย่างมาก จึงไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงต่อสาธารณะ!”ความเห็นที่แตกต่าง จมอยู่ในเสียงคำรามของผู้คนทั้งหมดแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ทุกคนต่างสงสัยนั้น เวลานี้คือเฉียวม่อปลอมตัวมานางมองดูชาวบ้านพวกนั้นอยู่บนที่สูง ตลอดการเดินทางนี้ ทุกหนแห่งที่ไปถึง ล้วนมีชาวบ้านต่างออกมายืนรอต้อนรับตามถนนอยู่ตรงชายแดน บางคนถึงขั้นคุกเข่าอยู่บนข้างถนน โขกศีรษะขอบคุณนาง“ชายแดนเหนือ ไม่มีแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่ได้!”“แม่ทัพน้อยเมิ่ง สมกับที่เป็นเทพสงครามจริงๆ !”ความกระตือรือร้นของประชาชน มาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่ลดน้อยลงพวกเขานำผลไม้ ผักสดให้กับทหาร ยังมีพวกพ่อค้าผู้มั่งคั่ง นำจี้หยก อัญมณีล้ำ
วันต่อมา เหล่าขุนนางมารวมตัวกันอยู่ในวัง มาร่วมงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพจักรพรรดิหฮองเฮานั่งอยู่บนตำแหน่งสูง เหล่านางสนมนั่งตามลำดับตำแหน่งทว่าการปรากฏตัวของแม่ทัพทั้งหลาย จึงจะเป็นสิ่งสำคัญในงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพนี้เฉียวม่อเดินอยู่ข้างหน้าสุด พาพวกแม่ทัพถวายความเคารพ“ฮ่องเต้อายุยืนหมื่นปี!”เซียวอวี้ยกมือขึ้นมา อาภรณ์ยาวคลุมอยู่กับพื้น“ทุกท่าน ไม่ต้องมากพิธี!”ทุกคนล้วนดูออก ความชื่นชมที่ฝ่าบาทมีต่อเมิ่งสิงโจวนั้น ไม่มีการปกปิดหลังจากเฉียวม่อยืนตรงแล้ว สายตาสบกับเฟิ่งจิ่วเหยียน ที่นั่งบนตำแหน่งฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนก็จำนางได้ทั้งสองคนไม่ได้สื่อสารผ่านสายตาอะไรกันมาก แล้วก็หลบเลี่ยงกันไปงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพนี้ หนิงเฟยเป็นคนรับผิดชอบจัดงาน ตามกฎตามจรรยาบรรณ ทว่าก็ไม่เป็นที่พอใจมากระหว่างงานเลี้ยงมีการเต้นรำเพิ่มความสนุกสนาน และมีเพลงบรรเลงประกอบการดื่มสุราสาวงามสุราดี สามารถชะล้างความเหนื่อยล้าของทหารที่ได้รับชัยชนะกลับมาพวกเขากินดื่มอย่างอิสระรื่นรมย์ ไม่ยึดติดกับกฎหนิงเฟยยังไตร่ตรองถึงนิสัยการกินของแม่ทัพแต่ละคนด้วย มีการเตรียมของว่างต่าง ๆ ไว้สำหรับพวกเขาโดยเฉ
สีหน้านางสนมเจียงขาวซีด เมื่อได้ยินเสียงฮองเฮาดังขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความรอคอยหนิงเฟยก็หันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างมุ่งร้ายเวลานี้ หากฮองเฮาปฏิเสธการถวายการเต้นรำของนางสนมเจียง ถือเป็นการทำร้ายจิตใจของพวกทหารนางพูดขึ้นมาอย่างท้าทายว่า “ฮองเฮา หรือท่านคิดว่า เหล่าทหารไม่คู่ควรที่จะชมการรำกลองของนางสนมเจียง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจหนิงเฟย เพียงพูดขึ้นมาอย่างนอบน้อมว่า“ฝ่าบาท ใช้กลองทงเทียน[1]ไหม?”กลองทงเทียนมักจะใช้ในการเซ่นไหว้ดังชื่อที่บ่งบอก ใช้สื่อสารกับเทพเจ้าผ่านเสียงกลอง ไม่ว่าจะอธิษฐานหรือแก้บนกลองทงเทียนนี้แลดูไม่ได้แตกต่างอะไรกับกลองปกติธรรมดา แต่หน้ากลองที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ สามารถทำให้เสียงกลองดังก้องขึ้กว่ากลองธรรมดาพวกทหารรักษาการณ์อยู่ชายแดน ไม่เคยเห็นกลองทงเทียน ล้วนรู้สึกแปลกใหม่เซียวอวี้ขมวดคิ้วเข้ม“ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงอธิบายขึ้นมาว่า“หม่อมฉันได้อธิฐานขอพรให้กับเหล่าทหาร ยามนี้ได้ชัยชนะกลับมา เดิมควรที่จะแก้บน แต่ด้วยสุขภาพไร้เรี่ยวแรง”“พอดีที่จะได้ใช้โอกาสในวันนี้ พวกทหารล้วนก็อยู่ด้วย ให้นางสนมเจียงตีกลองทงเทียนแทนหม่อม
“ท่านแม่! ท่านว่าอะไรนะ ข้ายังมีน้องสาวอีกคนรึ?!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่อยากจะเชื่อน้องสาวอีกคนนึงของเขา เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวออกไปแล้วที่ฮูหยินเฟิ่งบอกเขาก็เพราะหวังว่าบุตรชายจะได้รู้ว่าเขายังมีน้องสาวที่ต้องปกป้องอีกคนหนึ่งเฟิ่งเหยียนเฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง“ท่านแม่ เดี๋ยวนะ เหตุใดคนที่แต่งกับฮ่องเต้แต่แรกถึงเป็นจิ่วเหยียน ไม่ใช่เวยเฉียงเล่า?“เช่นนั้นเวยเฉียงล่ะ? เวยเฉียงไปไหนแล้ว?”แววตาของฮูหยินเฟิ่งแฝงไปด้วยความโกรธแค้น“เป็นท่านพ่อของเจ้า สามีชั่วนั่น! เขาคิดว่าหลังจากเวยเฉียงถูกลักพาตัวไปก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าวังไปเป็นฮองเฮาได้ จึงส่งเวยเฉียงออกไปเสีย ทั้งยังโกหกว่านางตายแล้ว! เขาหลอกพวกเราทุกคน!”“หากไม่ใช่เพราะจิ่วเหยียน ยามนี้เวยเฉียงจะเป็นหรือตายอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้!”เฟิ่งเหยียนเฉินที่น่าสงสารถูกปกปิดจนไม่รู้อะไรเลย แม้แต่เรื่องที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไป สูญเสียความบริสุทธิ์ เขาก็เพิ่งได้รู้ความจริงเอาตอนนี้เขารู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งหึ่งสวรรค์!ในช่วงที่เขาตกอยู่ในความกลัดกลุ้มนั่น ที่แท้ตระกูลเฟิ่งกลับเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เขาที่เป็นพี่ชาย ช่
ณ ค่ายเป่ยต้าสีหน้าของเมิ่งฉวีเขียวคล้ำ เขามองไปที่ฮ่องเต้เบื้องหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ฝ่าบาท ท่าน...” ตรัสว่าอะไรนะ ถุงยาง?ยังอยากให้ฮูหยินทำถุงยางให้มากหน่อย?จากที่เขารู้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทำให้ไปสิบอันหรอกหรือ?ใช้หมดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?!เมิ่งฉวีอดไม่ได้ที่จะคิดว่า...หนุ่มแน่นช่างกำลังวังชาดีเสียจริงเซียวอวี้ไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินเมิ่ง จึงคิดจะพูดกับเมิ่งฉวีแทนถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษด้วยกันเมิ่งฉวีรู้สึกลิ้นจุกปาก “ฝ่าบาท เรื่องนี้ยากนัก กับฮูหยิน กระหม่อมเองก็พูดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในกระโจม ท่าทางดูผ่อนคลายสงบนิ่งเขากล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า“จิ่วเหยียนกับฮูหยินเมิ่งผูกพันดุจมารดาและบุตร นางต้องแต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวง เราตัดสินใจว่าจะให้ฮูหยินเมิ่งติดตามไปด้วย”เมิ่งฉวี: !!!ฝ่าบาทจะมาพรากพวกเขาสามีภรรยาออกจากกันได้อย่างไร!นี่กำลังขู่เขาอย่างนั้นหรือ?……ณ จวนแม่ทัพเวยเฉียงกับสาวใช้นามไฉ่เยว่ย้ายมาอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้างยังดีที่นางคุ้นเคยกับท่านพี่และฮูหยินเมิ่ง จึงไม่ถึงกับประหม่าฮูหยินเมิ่งสงสารที่เวยเฉี
วินาทีที่ถอดหน้ากากของนางออก เซียวอวี้เห็นนางยิ้มดั่งดอกไม้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางยิ้มอย่างปล่อยตัว มีความสุขอาจเป็นเพราะดื่มจนเมา ทิ้งเกราะป้องกันตัว นางล้มสู่อ้อมกอดของเขา เกาะไหล่ของเขา แล้วลุกขึ้นมา“ข้าไม่ได้เมา...”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเดินยังไม่มั่นคง ยังบอกว่าไม่เมา?“ตงฟางซื่อส่งเจ้ากลับมา” เขาไม่ได้ถาม ทว่าเป็นการพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจหยิ่นลิ่วคอยปกป้องนางอยู่ตลอดตอนที่ตงฟางซื่อไปหาถึงเซียวเหยาจวี เซียวอวี้ก็รู้แล้วภายหลังนางตามตงฟางซื่อไปยังหอสุรา ดื่มสุราทานข้าวกับคนเหล่านั้น เขาก็รู้เขาอดกลั้นไม่ไปรบกวนนาง เพราะเขารู้ดี นั่นคือเพื่อนสนิทของนาง เป็นวิถีชีวิตของนางถึงแม้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเขา นั่นก็คือสิ่งที่นางไม่อาจทอดทิ้งทว่า นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ดื่มอยู่ข้างนอกจนดึกขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้วเซียวอวี้วางหน้ากาก จับปลายคางของนางไว้“ดื่มไปมากเท่าไหร่? ถึงได้เมาเป็นสภาพเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคลี่มือของเขาออก แววตาเต็มไปด้วยความมัวหมอง ไม่เย็นชาเหินห่างเหมือนทุกวันที่ผ่านมา“ก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้เมา”นางลุกขึ้น อยากหาน้ำดื่มทว่าเวลาถัดมา ตรงแขนมีแรง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ตงฟางซื่อยิ่งอยู่ยิ่งดำเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาต้อนรับ“เจ้ามาได้อย่างไร?”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้มแย้ม “ข้าได้เจอกับอู๋ไป๋ จึงถามเขาว่าเจ้าอยู่ที่ใด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับข้ากระมัง?”สหายเก่ามาพานพบ มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เป็นไปได้อย่างไร เชิญนั่ง”สายตาของตงฟางซื่อหันไปมองเฟิ่งเวยเฉียง เห็นนางหน้าตาเหมือนกับซูฮ่วน ก็เดารู้ว่าพวกนางเป็นพี่น้องกันเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เขารู้จัก“คนนี้คือน้องสาวข้า เวยเฉียง”“เวยเฉียง คนนี้คือคุณชายตงฟาง”ทั้งสองคนต่างผงกศีรษะเป็นการทักทายตงฟางซื่อพูดเข้าเรื่องทันที“เรื่องของหยางเหลียนซั่ว ข้าได้บอกพวกเหล่าฝานแล้ว ทุกคนกำลังตามสืบร่องรอยของเขา ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะปรึกษา”เฟิ่งจิ่วเหยียนให้เวยเฉียงกับต้วนเจิ้งกลับห้องไปก่อนเวยเฉียงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านพี่ คุณชายตงฟาง พวกเจ้าคุยกันตามสบาย”ต้วนเจิ้งกลับไม่ยอม“ข้าไม่ไป หยางเหลียนซั่วทำให้พี่ชายข้าตาย เป็นศัตรูของข้า ข้าจะไปตามหาเขาพร้อมกับพวกเจ้า แล้วก็ฆ่าเขา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจ เพียงเร่งเร้าตงฟางซื่
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ปิดบังแล้วนางพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา“ท่านดูไม่ออกหรือ ข้าไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องนั้น?”ตลก ผู้ลี้ภัย ลิงผอมตัวดำ! ตอนกลางวันเขาพูดว่านางเช่นนี้ !นางอยากยอมรับสิแปลก!เวลานี้ เซียวอวี้ก็คิดขึ้นมาได้ นางกำลังไม่พอใจอะไรที่แท้ก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่อยากยอมรับว่านางคือลิงน้อยคนนั้นเขาเสียใจอย่างมาก รีบพูดขอโทษขึ้นมา“เราผิดไปแล้ว ตอนนั้น...เรากลัวว่าเจ้าจะเข้าใจผิด จึงตั้งใจพูดแบบนั้น ความจริงแล้ว เราจดจำเจ้ามาตลอด วีรชนน้อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเซียวอวี้จูบบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็หยิบผ้าแห้งผืนนั้นมา เช็ดผมที่เปียกให้กับนางด้วยตนเอง กระทำอยู่อย่างอ่อนโยน ราวกับในมือถือสิ่งของล้ำค่าเอาไว้“ปีนั้นเมืองซีซิ่นเกิดทุพภิกขภัย เราเพิ่งเข้าเมืองมาก็ถูกปล้นแล้ว ไม่สามารถที่จะลงมือทำร้ายประชาชน โชคดีที่เจ้ามาปรากฏ เวลานี้เราพูดความจริง เจ้าในตอนนั้นถึงแม้ยังเด็ก ทว่าท่าทีขี่ม้า ดูสง่างามยิ่งกว่าบุรุษจริงๆ”“ไม่ใช่ตลกหรอกหรือ?” นางยังคงไม่ยิ้มแย้ม คำพูดแฝงไปด้วยความเหน็บแ
เซียวอวี้จำได้ดี ตอนนั้น ขนมเกาลัดที่ยัยเด็กคนนั้นให้เขา ก็ละเอียดแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ กระทั่งละเอียดเป็นเศษกลับอร่อยมากเขารู้สึกหัวใจเต้นราวกับตีกลอง พร้อมลองถามฮูหยินเมิ่ง“มีเพียงนางที่กินแบบนี้?”ฮูหยินเมิ่งผงกหัวอย่างยิ้มแย้ม“ก็ใช่นะสิ มีแค่นางคนเดียว เพราะตอนอายุห้าขวบเคยสำลัก ทั้งรักทั้งเกลียดขนมเกาลัด คิดว่าทุบแล้วค่อยกิน เหมือนอย่างกับมันจะเชื่อฟังขึ้น ภายหลังจึงเคยชิน กินแบบนี้มาตลอด”คิดถึงจิ่วเหยียนตอนเด็กที่น่ารักดื้อรั้น และยังมีท่าทีดุร้าย บนใบหน้าฮูหยินเมิ่งปรากฏความอ่อนโยนของความเป็นแม่ “เด็กคนนั้น พริบตาเดียวก็โตขนาดนี้แล้ว...”เมื่อพูดเสร็จ แววตาฮูหยินเมิ่งก็กลายเป็นเฉียบคมขึ้นมาทันที ทุบฝ่ามือลงไป ผ่านบนไม้กระดาน ขนมเกาลัดชิ้นหนึ่งถูกทุบจนแบนเฉินจี๋ : ! ! !ฝ่ามือของฮูหยินเมิ่ง ดุเดือดมากเวลานี้ สีหน้าเซียวอวี้แข็งทื่อใช่ !อยู่ดี ๆ ใครจะทุบขนมเกาลัดที่เป็นชิ้นสมบูรณ์ให้แหลก !และปีนั้น ยัยเด็กคนนั้นอายุเพียงสิบขวบ เมื่อนับดูแล้ว ก็อายุไม่ต่างอะไรกับเฟิ่งจิ่วเหยียนบังเอิญบวกกับบังเอิญ นั่นก็จะไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว !แล้วก็คิดถึงความผิดปกติของนาง
เมื่อครู่เซียวอวี้วู่ว่ามไปหน่อย เวลานี้สงบสติลง ก็รู้ตัวว่าตนเองตื่นตระหนกตื่นตูมไปแล้วพวกนางปรึกษาเรื่องตั้งกองกำลังหญิง คำนึงถึงแผ่นดินราษฎรเขากลับใจแคบ ยอมรับไม่ได้ ช่างเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเอาเสียเลยเมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาดับความขุ่นเคืองในใจด้วยตนเองหลังจากนั้นก็ล้วงเอาขนมเกาลัดออกมาหลายชิ้น พวกมันถูกกระดาษมันห่อเป็นชั้น ๆ ยังร้อนอยู่เลย“ขนมเกาลัดที่ฮูหยินเมิ่งเพิ่งทำวันนี้ ข้าเอามาให้เจ้ากิน”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังยืนยันคำพูดเดิม “ข้าไม่ชอบกิน”เซียวอวี้ดึงมือของนางมา วางขนมเกาลัดไว้บนฝ่ามือของนาง“ยังคิดจะโกหกข้า?“อาจารย์กับอาจารย์หญิงของเจ้าก็พูดแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าชอบทานขนมเกาลัดที่สุด“เรารู้ ทำไมเจ้าถึงโกหกเรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมาเขารู้?หลังจากนั้น เซียวอวี้ก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจในตนเอง“เจ้าถือสาเรื่องที่เราพูดถึง รู้สึกไม่พอใจ ใช่หรือไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียน : ...เซียวอวี้อธิบายให้นางฟังอย่างจริงจัง“เราจำได้จนถึงตอนนี้ แค่ขนมเกาลัดชิ้นเดียว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ให้ขนมเกาลัดเลย“เจ้าไม่รู้ ยัยเด็กคนนั้นป่าเถื่อนมาก
เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนอึ้ง เซียวอวี้ถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา“ทำไมหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้สติกลับมา สายตาจ้องบนใบหน้าของเขา “ไม่เป็นไร"เซียวอวี้นึกว่านางยังเข้าใจผิดอยู่ จึงพูดขึ้นมาอีก“ไม่ได้โกหกเจ้า เป็นยัยเด็กคนนั้นจริง ๆ “ตัวผอม ๆ บนใบหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่น ไม่รู้ว่าลี้ภัยมาจากไหน...”“ตลกมากใช่ไหม” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขัดจังหวะเขา พร้อมถามขึ้นมาด้วยเสียงต่ำเซียวอวี้ผงกหัว“อืม”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองข้างนอกรถม้า ไม่พูดอะไรอีกทว่า แอบกำหมัดแน่นไม่นาน เฉินจี๋ซื้อขนมเกาลัดกลับมาแล้วเซียวอวี้ยื่นมาให้เฟิ่งจิ่วเหยียนหนึ่งชิ้น นางส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นมา “ขอบพระทัย ทว่าข้าไม่ชอบทานสิ่งนี้”ตอนที่พูดประโยคนี้ นางไม่ได้มองดูเขาแต่ละคนชอบทานไม่เหมือนกัน เซียวอวี้ไม่สงสัยว่ามีอะไรระหว่างทาง เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงสั่งให้หยุดรถม้าอาจารย์หญิงพูดไม่ผิด จะแต่งตัวเป็นชายอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ควรที่จะซื้อชุดสตรีบ้างแล้ว“ข้าขอทำธุระส่วนตัว ท่านกลับไปก่อน”พูดเสร็จ นางก็กระโดดลงจากรถม้าเซียวอวี้เปิดม่าน มองเงาแผ่นหลังของนาง แล้วก็ย้อนครุ่นคิดเขาทำอะไรผิด พ
“พี่สาว...”เฟิ่งเวยเฉียงเพิ่งวิ่งมาหา ก็เห็นบุรุษด้านข้างพี่สาวคนผู้นั้นสวมชุดผ้าแพรสีม่วง ดูออกว่าเขาพยายามที่จะไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ทว่าก็ยังคงไม่สามารถปกปิด ความสูงศักดิ์อย่างไม่ธรรมดารอบตัวเขาโดยเฉพาะใบหน้าเผด็จการน่าเกรงขาม ดูก็รู้ว่ามีสถานะสูงส่ง ไม่ให้มีการฝ่าฝืน“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท” เฟิ่งเวยเฉียงก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้ามองอีกฝ่ายสาวใช้ไฉ่เยว่ ก็รีบถวายความเคารพตามได้เห็นพระพักตร์จักรพรรดิ พูดว่าไม่ตื่นเต้นนั้นเป็นความเท็จ ฝ่ามือของนางเหงื่อไหลชุ่มฝ่าบาทแตกต่างจากที่นางคิดไว้ไม่มาก...สูงส่งเย็นชา ยากที่จะคาดเดาว่ารู้สึกอย่างไรไม่รู้เลยจริง ๆ ว่า คุณหนูจิ่วเหยียนเคยชินกับการอยู่ข้างกายเขาได้อย่างไรเมื่อเซียวอวี้เห็นเฟิ่งเวยเฉียง ก็รู้ว่านางกับเฟิ่งจิ่วเหยียน สมกับที่เป็นฝาแฝดกัน ใบหน้าเหมือนกันเลยทว่าลักษณะนิสัย ดูก็รู้ว่าไม่เหมือนกันนางเพียงยืนอยู่ไม่พูดอะไร เขาก็สามารถมองทะลุถึงใจนาง เป็นคนไร้เดียงสา เป็นสตรีที่ไม่หวั่นไหวกับเรื่องทางโลกคนหนึ่ง“ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี” เซียวอวี้พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า เฟิ่งเวยเฉียงยังคงรู้สึกว่าเขาเยือ