ฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน คนอื่นควบอาชา เหลียนซวงเป็นสตรี จึงนั่งบนคานรถม้า ด้านหน้าวัดต้าเจา เจ้าอาวาสเฝ้ามองรถม้าแล่นออกไป สามเณรที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างกังวล “อาจารย์ ฮองเฮากลับไปก่อนสวดอธิษฐานขอพรเสร็จ คงไม่มีผลกระทบอะไรใช่ไหมขอรับ?” เหลี่ยวคงพนมมือ กล่าวอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “ไม่หรอก คำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลแล้ว” ภายในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนตื่นขึ้นไวมาก ทว่ายังไม่ตื่นเต็มที่ การรับรู้ของนางยังไม่ชัดเจน ราวกับอยู่ในความฝัน หมอบอกว่านางติดเชื้อไข้หวัด ความจริงคือเกิดจากการเร่งรีบกลับเมืองหลวง บาดแผลจึงไม่ได้รับการดูแลที่ดี จึงทำให้เกิดมีไข้ขึ้นมา นางไม่สบายไปหมดทั้งตัว ในห้องโดยสารรถม้าก็ร้อนอบอ้าว นางจึงทำตามความต้องการโดยสัญชาตญาณ เปิดม่าน เพื่อรับลมบ้าง ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ยื่นมา จับนางกลับไปทันที ในโสตได้ยินเสียงเตือนที่เย็นชาแหบแห้งของบุรุษ “วุ่นวายอะไร!” เพียงแค่นั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ถูกบังคับให้กลับมาอยู่ที่เดิม การเดินทางโคลงเคลง นางกึ่งหลับกึ่งตื่น ยากที่จะทรงตัว ทิ้งร่างกายส่วนใหญ่พ
เหลียนซวงคิดหาวิธีได้ในยามคับขัน “ฝ่าบาท ฮองเฮามีเหงื่อออกมาก ให้บ่าวเช็ดตัวให้ฮองเฮาเถอะเพคะ” หลังจากนั้น เซียวอวี้จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากม่าน ภายในม่าน เหลียนซวงปลดเข็มขัดของฮองเฮา และเสื้อป้ายตัวใน บาดแผลปริแตกจริง ๆ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา เลือดจะซึมออกมาอย่างแน่นอน โชคดีที่ยังทันเวลา... ในขณะที่เหลียนซวงยุ่งอยู่ข้างใน เซียวอวี้นั่งอยู่ข้างนอก เขามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเย็นชา ราตรีมืดมิด ราวกับว่าอสูรกินคนกำลังซุ่มซ่อนอยู่ ฮองเฮามีคนคอยดูแลอยู่ที่นี่ เขาลุกขึ้นยืน เตรียมตัวกลับตำหนักจื้อเฉิน แต่แล้วทันใดเขากลับถูกดึงดูดโดยบางสิ่งตรงมุมห้อง กล่องใบนั้น คล้ายกล่องสินเดิมของฮองเฮา มังกรและหงส์ที่เสมือนจริงถูกแกะสลักบนกล่องนั้น งานฝีมือชิ้นนี้ แม้แต่ในพระราชวังก็หาชมได้ยาก เขาเดินไปทางนั้น พลันรู้สึกว่า ก้อนอิฐที่เหยียบย่ำ ให้ความรู้สึกผิดปกติ ดูไม่แน่น นัยน์ตาของเขามืดลง ก้มหน้ามองลงไป... ครั้งนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าการกำจัดพิษนั้นยากมาก ต้องใช้เวลาหลายวัน ในการถ่ายเ
หลังจากออกว่าราชกิจเสร็จสิ้น เซียวอวี้ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหอทันที เหลียนซวงกำลังรีบร้อน เพราะถึงเวลาออกไปรับยาแล้ว จึงเกือบชนเข้ากับขบวนเสด็จ นางรีบคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง “ตุบ” “ถวาย ถวายบังคมฝ่าบาท!” เซียวอวี้ตั้งหน้าตั้งตาเดินผ่านนาง เข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักหย่งเหอ ผู้ที่ดีใจที่สุดคือซุนหมัวมัว เหลียนซวงไปรับยาของฮองเฮา ซุนหมัวมัวได้โอกาสปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาท นางยกอาหารว่างและน้ำชาเข้ามา รอยยิ้มแผ่ออกจากดวงตา ขณะที่จะก้าวเข้าตำหนักบรรทม กลับถูกหลิวซื่อเหลียงที่เฝ้าอยู่นอกประตูหยุดไว้ ซุนหมัวมัวดูไม่เข้าใจ หลิวซื่อเหลียงกล่าวตักเตือนเบา ๆ “ฝ่าบาทกำลังสนทนากับฮองเฮา คนนอกห้ามรบกวน” รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนหมัวมัวแข็งค้างทันที เหลียนซวงขัดขวางนาง มิปล่อยให้นางรับใช้ฮองเฮา เวลานี้หลิวกงกงก็ขัดขวางนาง...นางคือหัวหน้านางกำนัล มันน่าอึดอัดใจนัก! ในตำหนักบรรทม เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งพิงหัวเตียง เซียวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง “ร่ายกายเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามอย่างเรียบเรื่อย เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ “ไม่เล
ตำหนักหย่งเหอ ชายแดนเหนือสงบแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงกลับมา เพื่อตามสืบเรื่องบุคคลลึกลับต่อ ทว่าเบาะแสหยุดอยู่ที่จดหมายสองฉบับนั้น ไม่มีอื่นใดอีก ราวกับว่านางติดอยู่ในทางตัน เดินหน้าไม่ได้ถอยก็มิได้ “ฮองเฮา ดื่มยาเพคะ” เหลียนซวงเข้ามาพร้อมถ้วยยา เห็นว่าฮองเฮายังอ่านจดหมายสองฉบับนั้นอยู่ เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้มือเดียวหยิบถ้วยยาขึ้นมา ดื่มหมดภายในไม่กี่อึก เหลียนซวงมองดูถ้วยเปล่า ด้วยความตะลึงงัน ยาขมขนาดนั้น ฮองเฮาทนได้อย่างไร? จู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนชายตาขึ้น มองไปไกลนอกตำหนัก ในตำหนักหย่งเหอ มีองครักษ์ลับเพิ่มอีกหลายคน เซียวอวี้คิดตรวจสอบนางเรื่องใดอีก? วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเฟิ่งเข้าวัง นางเห็นใบหน้าซีดเซียวของเฟิ่งจิ่วเหยียน หัวใจยากจะรับไหว “ฮองเฮา ร่างกายสำคัญที่สุด” แคว้นหนานฉีมีทหารมากมาย มิใช่หน้าที่ของจิ่วเหยียนในการนำทัพออกรบจริง ๆ นางในฐานะเป็นมารดา เพียงแค่หวังว่าพวกลูก ๆ ทุกคนจะแข็งแรงปลอดภัย เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่านางกังวลเรื่องใดอยู่ จึงพูดปลอบใจ “พักไม่กี่วันก็หายแล้ว” ฮูหยินเฟิ่ง
เซียวอวี้มองคนที่นอนอยู่บนหลังอาชาด้วยสายตาลึกล้ำ นางมีท่าทางราวกับเมามาย และสับสนมึนงง มือข้างหนึ่งห้อยลงมา มองเห็นได้ราง ๆ ว่าฝ่ามือมีเลือดออก... เหลียนซวงตามมาที่สนามม้าหลวง ก็ได้เห็นฝ่าบาทอุ้มฮองเฮาออกมาพอดี “ฝ่าบาท ฮองเฮา!” เหลียนซวงเร่งรีบคำนับ เกิดอันใดขึ้นกับฮองเฮา?! เซียวอวี้อุ้มนางกลับไปที่ตำหนักหย่งเหอ สั่งให้หมอหลวงรักษาบาดแผลให้นาง เหลียนซวงคุกเข่าลงบนพื้น ตัวสั่นระริก เซียวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง เสมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทำให้คนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากหมอหลวงพันแผลที่ฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนเสร็จ ก็รายงาน “ฝ่าบาท อาการบาดเจ็บที่มือของฮองเฮาไม่ร้ายแรง ทว่าร่างกายยังไม่ฟื้นตัว ยังขี่ม้าไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากหมอหลวงทูลลา เซียวอวี้ก็มองไปที่เหลียนซวง ดวงตาแหลมคมเยือกเย็น “ฮองเฮาบาดเจ็บได้อย่างไร” เหลียนซวงไม่รู้จริง ๆ “บ่าว...บ่าวได้รับคำสั่งให้พาฮูหยินเฟิ่งออกจากวัง จึงไม่เห็นเพคะ...” “ฮูหยินเฟิ่ง? นางพูดเรื่องใดกับฮองเฮา” ใบหน้าที่งดงามเย็นชาของเซียวอวี้
โดยปกติแม่ทัพเมิ่งเป็นคนอารมณ์ดี เวลานี้ก็สุดที่จะทนเช่นกัน เขาขยำจดหมายจนเป็นลูกบอล ยังไม่บรรเทาโทสะ จึงนำไปเผาทิ้ง “ฮูหยิน มิต้องสนใจ! จิ่วเหยียนเป็นลูกสาวของพวกเราตลอดไป! เว้นเสียแต่นางจะไม่ยอมรับพวกเราเอง ชั่วชีวิตนี้พวกเราก็ไม่ทอดทิ้งนางเด็ดขาด!” ฮูหยินเมิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของเขา จึงหลุดหัวเราะ “พรืด” ความโกรธเมื่อครู่นี้บรรเทาลงเช่นกัน แล้วนางก็ถามถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เฉียวม่อไปรายงานผลงานที่เมืองหลวงแทนจิ่วเหยียน สองวันนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง?” แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะ “ใกล้มากแล้ว” ฮูหยินเมิ่งถอนหายใจเบา ๆ “เดิมข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เวลานี้ก็ได้แค่หวังว่านางจะสามารถทำได้อย่างราบรื่น” แม่ทัพเมิ่งเกลี้ยกล่อมนางด้วยความอดทน “ฝ่าบาทมีพระราชโองการหลายครั้ง ทุกครั้งได้แต่อ้างเรื่องความไม่สงบของชายแดน เลื่อนการไปรายงานผลงานที่เมืองหลวงตลอด เวลานี้มีคนยื่นฎีกาแล้ว กล่าวโทษพวกเราว่าเย่อหยิ่งในกองทัพ ทำคุณงามความดีได้ก็ลำพองตน “ชัยชนะยิ่งใหญ่เหนือรัฐเหลียงครานี้ ชายแดนได้สงบสุข ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพ มีแม่ทัพอื่น
เซียวอวี้ลุกขึ้นมา พูดด้วยเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำว่า“เตรียมขบวน กลับตำหนักจื้อเฉิน”เขาไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ออกมาจากตำหนักหย่งเหอโดยตรงเฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูแผ่นหลังของเขา ด้วยแววตาเยือกเย็นชาเหลียนซวงไม่เข้าใจ“ฮองเฮา อยู่ดีๆ ทำไมฝ่าบาทถึงไปแล้ว?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่พูดอะไรช่วงยามไฮ่ ไฟในตำหนักฉางซิ่นสว่างไสว เซียวอวี้นั่งอยู่ในตำหนัก รออยู่หนึ่งชั่วยามเห็นว่าเวลาค่ำมืดแล้ว เฉินจี๋พูดขึ้นมาว่า“ฝ่าบาท น่าจะไม่มาแล้ว...”ทันใดนั้น ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดัง “ตูมๆ ” ขึ้นมาแววตาเฉินจี๋เป็นประกายขึ้นมานักฆ่าหญิงคนนั้น จะเป็นฮองเฮาไหม?เซียวอวี้ส่งสายตาไปมอง เฉินจี๋เปิดประตูทันทีทว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่นักฆ่าหญิงคนนั้น ทว่าเป็นขันทีน้อยธรรมดาคนหนึ่งขันทีน้อยคนนั้นเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในคือฝ่าบาท ก็รีบคุกเข่าอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาไม่หยุด“บ่าวๆ บ่าวๆ...บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท!”แววตาเซียวอวี้ลึกล้ำเฉินจี๋รีบถามขันทีคนนั้นว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”อีกฝ่ายตอบอย่างสั่นเทาว่า“บ่าวเดินผ่านตำหนักฉางซิ่น เห็นว่าข้างในมีไฟสว่างอยู่และไม่มีคนเฝ้าดู จึงนึกว่
เซียวอวี้ไม่ได้ไวต่อกลิ่นขนาดนั้น ถึงแม้เขาเคยได้กลิ่นบนตัวนักฆ่าหญิงคนนั้น แต่กลิ่นนั้นจางมาก ครู่เดียวก็ลืมแล้วเขาก็เคยบีบคอ บีบข้อมือผู้หญิงคนนั้นจริง ทว่ามือของเขาไม่ใช่สายวัด เป็นไปไม่ได้ที่ลองจับแล้วก็ทราบทันทียิ่งไปกว่านั้น ข้อมือผู้หญิงไม่ได้ต่างกันมาก อาศัยการคาดเดาด้วยมือตนเอง ไม่มีทางทำได้อย่างแม่นยำเขาเพียงแค่ แต่งเรื่องหลอกฮองเฮาเท่านั้นวิธีนี้ใช้กับคนอื่นได้ผลทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นผู้ใด?นางผ่านการรบมาเป็นร้อยครั้ง สอบสวนไส้ศึกบ่อยครั้งวิธีการต่างๆ นั้น นางเชี่ยวชาญอย่างมากหากเซียวอวี้มั่นใจว่านางคือนักฆ่าหญิงคนนั้น ก็จะไม่มีอ้อมค้อมเช่นนี้เบาะแสเพียงอย่างดียวที่มีในมือเขา ก็คือแส้เก้าท่อนนั้นสีหน้าของนางนิ่งสงบเหมือนน้ำ แฝงไปด้วยความสงบเห็นเป็นเรื่องง่าย“หม่อมฉันอธิบายได้“ข้างกายหม่อมฉัน นอกจากเหลียนซวงแล้ว ยังมีองครักษ์ลับหญิงผู้หนึ่ง ติดตามหม่อมฉันเข้ามาในวัง คอยปกป้องตลอดเวลา“สิ่งของพวกนั้น ล้วนเป็นของนาง”แววตาเซียวอวี้เยือกเย็นเล็กน้อย“องครักษ์ลับ?”คำโกหกของเฟิ่งจิ่วเหยียน พูดขึ้นมาได้ง่ายดายตามอำเภอใจ“ข้าช่วยนางไว้โดยบังเอิญ สถานะตั
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย