ซูหนิงจิงกับกู่ซิงเดินทางมาถึงบ้านตระกูลจ้านก่อนเวลาอาหารเที่ยงหนึ่งชั่วโมง จ้านหย่งเหอกับจ้านเซียงชิงยังคงนั่งรอพวกเธออยู่ที่ห้องรับแขก ส่วนหลานชายพวกเขาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนซูหนิงเซียวที่ห้องด้านบนพร้อมกับแม่บ้าน
หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินขึ้นไปห้องของซูหนิงเซียวโดยมีพ่อบ้าน แม่บ้านช่วยกันยกกระเป๋าของพวกเธอตามขึ้นไปด้วย ระหว่างทางซูหนิงจิงยังได้รับการปลอบโยนจากสองผู้อาวุโสจนเธอใจชื้นขึ้นบ้างหลังจากที่กังวลมาตลอดตั้งแต่ทราบเรื่องของลูกสาว เมื่อซูหนิงจิงเห็นลูกของเธอกำลังนั่งอยู่บนเตียงคุยกับจ้านเกาที่นั่งเก้าอี้ข้างเตียงเข้า น้ำตาของเธอก็รื้นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะรีบเดินเข้าไปกอดซูหนิงเซียวเอาไว้อย่างแสนรักที่เตียงอีกด้านหนึ่ง คนอื่น ๆ เห็นซูหนิงจิงที่เข้มแข็งมาตลอดเป็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ว่าเธอคงเป็นห่วงลูกมาก จ้านหย่งเหอไม่อยากรบกวนสองแม่ลูก เขาจึงชวนทุกคนไปนั่งที่ห้องรับแขกบนชั้นสองรอให้ซูหนิงจิงพูดคุยกับลูกสาวสักพักก่อนเพื่อคลายความเป็นห่วง ซูหนิงเซียวที่ได้รับอ้อมกอดอุ่นจากแม่ของเธอก็สะอื้นขึ้นมาอีกครด้านหลงเอ้อหลางกับพวกที่ถูกคุมขังอยู่กลับไม่มีความสุขนัก พวกเขาถูกพ่อด่ากันอีกครั้ง แถมครั้งนี้ยังไม่ได้รับการประกันตัวเพราะเป็นคดีร้ายแรง ทำให้ทั้งหกคนถูกฝากขังที่ศาลก่อนจะถึงวันนัดสืบพยานครั้งแรกในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า บรรดาแม่ ๆ ของพวกเขาต่างร้อนรนที่ลูกต้องเข้าไปอยู่ในคุกแบบนี้ พวกเธออาละวาดจนสามีแทบจะทนไม่ไหว ยิ่งกับหลงฮ่าวที่ได้รับรายงานเรื่องทั้งหมดจากบอดี้การ์ดด้วยแล้ว เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกจนไม่คิดจะช่วยอะไรลูกชาย“คุณไม่คิดจะหาทางช่วยเอ้อหลางเลยหรือยังไง เขาเป็นลูกชายของคุณนะ!”“ฮึ แล้วใครใช้ให้มันไปลักพาตัวคู่หมั้นจ้านเกาล่ะ คุณคิดว่าผมจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อนี่เป็นคดีร้ายแรง”“คุณก็ไปบอกไอ้จ้านเกานั่นไม่ให้มันเอาเรื่องลูกชายฉันสิ”“นี่คุณคิดว่าเขาจะยอมง่าย ๆ เหรอ? คุณก็รู้ว่าเขาเกลียดผมมากแค่ไหนน่ะ”“ฮึ คุณมันไม่ได้เรื่อง ฉันไปให้พ่อฉันช่วยลูกก็ได้ คอยดูนะ ฉันจะจัดการไอ้จ้านเกานั่นให้ดู!” เจียวจูเดินปึงปังออกจากบ้านไปอย่างไม่เหลียวหลังมามองว่าสามีของเธอมี
วันนี้กว่าที่จ้านเกาจะเสร็จจากงานในบริษัท เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะสามทุ่มแล้ว เขาเก็บเอกสารส่งให้เค่อหานนำไปเก็บเพื่อส่งต่อให้บริษัทในเครือวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะออกจากห้องทำงานไปพร้อมบอดี้การ์ดส่วนตัวตามปกติ คนของเจียวจิ้งเหอเฝ้าดูกิจวัตรประจำวันของจ้านเกามาสองวันแล้ว วันนี้พวกเขาจึงคิดจะลงมือโดยดักซุ่มรอที่ทางผ่านกลับบ้านตระกูลจ้านซึ่งขณะนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมา พวกเขาจอดรถแอบเอาไว้ที่ซอยใกล้กับถนนใหญ่ ก่อนที่จะไปซุ่มรอที่หลังต้นไม้ริมทางทั้งสี่คน แต่ละคนเตรียมปืนออโตเมติกสมรรถนะสูงมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขารับงานมาจากเจ้านายแล้วจึงต้องทุ่มสุดตัว ขบวนรถของจ้านเกามาถึงจุดที่คนของเจียวจิ้งเหอดักรออยู่ในอีก 30 นาทีต่อมา ขณะที่รถทั้งสองคันกำลังจะผ่านทางไป กลุ่มกระสุนแถวแรกก็สาดเข้าใส่รถทั้งสองคันอย่างไม่สนใจว่าใครจะบาดเจ็บล้มตาย คนขับเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเร่งเครื่องให้ผ่านทางอันตรายไปโดยเร็ว ถึงแม้รถทั้งสองคันจะกันกระสุนได้ก็จริง แต่ปืนที่คนร้ายใช้กลับสามารถส่งคมกระสุนเจาะทะลุผ่านกระจกรถได้อย่างไม่ลำบาก แต่ยิ่งขับไปด้านหน้ามากเท่า
สายวันต่อมา จ้านหย่งเหอและจ้านเซียงชิงมาพร้อมพ่อบ้านที่จัดเตรียมอาหารสำหรับคนป่วยเพื่อเยี่ยมหลานชาย ซูหนิงจิงยังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าฝากพ่อบ้านนำมาให้ลูกสาวของเธอที่เฝ้าดูแลจ้านเกาเช่นเดียวกัน กู่ซิงวันนี้เธอต้องจัดการเรื่องรับสมัครพนักงานทางออนไลน์จึงไม่ออกมาด้วย มีเพียงซูหนิงจิงที่เดินทางไปทำงานพร้อมบอดี้การ์ดตามปกติ ระหว่างทางซูหนิงจิงให้เพื่อนของเธอสืบหาตัวการที่ทำร้ายจ้านเกาและบอกเขาให้เอาคืนคนที่กล้าทำร้ายว่าที่ลูกเขยของเธอด้วย โดยครั้งนี้ซูหนิงจิงจะช่วยเพื่อนขยายกิจการไปยังเมืองต่าง ๆ เป็นการตอบแทน เติ้งโหย่วมีหรือจะไม่ชอบใจกับข้อตกลงของซูหนิงจิง เขาอยากขยายสาขามานานมากแล้ว ติดเพียงแค่เงินทุนและระบบการจัดการบริหารเท่านั้นที่เขาไม่ค่อยจะมีความรู้ ส่วนลูกน้องของเขาก็มีมากมายที่สามารถวางใจให้ไปดูแลสาขาต่าง ๆ ได้ในอนาคต เมื่อได้รับการตอบรับจากเติ้งโหย่วแล้ว ซูหนิงจิงก็วางสายอย่างสบายใจ เธอไม่กลัวว่าเขาจะทำงานไม่สำเร็จ ในเมื่อเขามีอิทธิพลมากในวงการใต้ดิน มีหัวโจกหลายกลุ่มต้องการล้มเขามานาน แต่ด้วยระบบการจัดการที่ซูหนิงจิ
ณ คฤหาสน์ครอบครัวจ้าวในเมืองหลวงวันนี้ซูหนิงจิงไปรับลูกสาวกลับจากโรงเรียนในตอนเย็น เมื่อกลับมาถึงบ้านเธอกลับพบว่าสามีพาผู้หญิงสวยคนหนึ่งพร้อมกับเด็กชายหญิงอีกสองคนนั่งรอเธอกับลูกอยู่ที่ห้องรับแขก ซูหนิงจิงบอกให้ลูกขึ้นไปรอที่ห้องก่อน“แม่คะ หนูจะอยู่กับแม่”“แม่ไม่เป็นไรลูก ลูกขึ้นไปรอแม่อยู่ในห้องดี ๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังทีหลัง”“ก็ได้ค่ะ แม่ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”“แม่รู้จ๊ะลูก ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ รีบไปเถอะ”จ้าวหนิงเซียวได้แต่หันมองแม่ของเธอระหว่างที่เดินกลับขึ้นไปยังห้องของตนเองที่อยู่บนชั้นสองของบ้านด้วยความเป็นห่วง เธอไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความ สิ่งที่เธอเห็นก่อนหน้านี้เธอพอจะเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเธอซูหนิงจิงเดินไปนั่งที่เก้าอีกอีกตัวที่ว่างอยู่ เธอมองสามีด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดในสิ่งที่เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินจากคนที่เป็นสามีและคนที่ช่วยกันสร้างบริษัทขึ้นมาจนมีฐานะร่ำรวยอยู่ในทุกวันนี้“นี่หลิวอ้ายโหรวภรรยาอีกคนของผม ส่วนเด็กสองคนนั้นก็เป็นลูกของผมเช่นกัน บ้านหลังนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ ผมอยากให้เธอกับลูกเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย คุณคิดว่ายังไง
ซูหนิงจิงเดินไปถึงห้องอาหารแล้วก็เห็นว่าแม่บ้านตั้งโต๊ะพร้อมแล้ว ในบ้านหลังใหญ่นี้มีแม่บ้านอยู่ไม่น้อย เพียงแต่พวกเธอจะไม่ยุ่งเรื่องของเจ้านายมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำให้สามารถทำงานอยู่ที่นี่ได้นานเกือบสิบปีตั้งแต่ที่ซูหนิงจิงกับจ้าวไห่ถังซื้อบ้านหลังนี้มาเมื่อแปดปีก่อน“พวกคุณออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวคุณหนูก็ลงมาแล้ว ค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน”“ค่ะ คุณผู้หญิง”แม่บ้านทั้งสามคนที่ทำงานครัวออกจากห้องอาหารไปอย่างรู้งาน ช่วงหลายปีหลังมานี้คุณผู้ชายไม่เคยกลับมากินข้าวที่บ้านเลย จะมีก็แต่คุณผู้หญิงกับคุณหนูเท่านั้นที่กลับมาอยู่ที่นี่ตลอด แต่พวกเธอก็ไม่กล้าสอบถามอะไรให้ถูกไล่ออกเพราะสอดรู้สอดเห็นเรื่องเจ้านายไม่นานนักจ้าวหนิงเซียวก็มาถึงห้องอาหาร เธอนั่งลงที่เก้าอี้ประจำแล้วคอยตักอาหารใส่ถ้วยข้าวให้แม่อย่างเอาใจใส่ ซูหนิงจิงเองก็คอยตักอาหารให้ลูกสาวเช่นเดียวกัน สองแม่ลูกต่างมีรอยยิ้มมอบให้กันถึงแม้จะเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักหนาสาหัสมาได้ไม่นาน นี่เป็นเพราะซูหนิงจิงที่มั่นใจในตัวเองมากและวางแผนอนาคตเอาไว้เสมอไม่ว่าจะเกิดเรื่องดีหรือร้ายเข้ามา อย่างน้อยตอนนี้บริษัทที่เธอกับจ้าวไห่ถังสร้างมาก็ทำกำไรต่อปีได
เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ซูหนิงจิงเรียกให้แม่บ้านมาช่วยยกกล่องกระดาษขึ้นไปยังห้องของเธอและลูกโดยแบ่งกล่องกันคนละครึ่งจากที่ซื้อมา ส่วนเทปติดกล่องก็แบ่งกันคนละครึ่งเช่นเดียวกัน แม่บ้านไม่สอบถามอะไรมากมายเช่นเคย พวกเธอช่วยคุณผู้หญิงกับคุณหนูยกกันคนละไม้คนละมือขึ้นไปที่ห้องของเจ้านายแต่ละคน หลังจากยกขึ้นไปแล้ว ซูหนิงจิงก็บอกให้พวกเธอออกไปก่อน แล้วค่อยเตรียมอาหารเย็นให้เธอกับลูกทีหลัง แม่บ้านทั้งสามรับคำของคุณผู้หญิงก่อนจะออกจากห้องไปทำหน้าที่อย่างอื่นก่อนถึงเวลาทำอาหารเย็นให้พวกเธอซูหนิงจิงมองภาพห้องนอนที่มีสิ่งของต่าง ๆ มากมายของเธอพร้อมกับถอนหายใจยาว ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ซูหนิงจิงก็จะไม่คิดถึงวันเวลาที่แย่ ๆ อีกต่อไป เธอเริ่มเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดลงในกล่องและเหลือไว้เพียงชุดที่จะใส่พรุ่งนี้เท่านั้น ซูหนิงจิงเปิดเซฟที่มีเครื่องประดับที่เธอสะสมเอาไว้เก็บใส่กล่องกระดาษทั้งหมด ถ้าไปถึงที่ก้านโจวแล้วเธอค่อยหาซื้อตู้เซฟใหม่มาเก็บเอาไว้ทีหลัง โชคดีที่จ้าวไห่ถังไม่แอบเอาเครื่องประดับของเธอไปให้ผู้หญิงคนนั้นด้านซูหนิงเซียวเองก็เก็บหนังสือเรียนของเธอลงกล่องจนหมด แล้วจึงเริ่มเก็บเสื้อผ้ามากมายที่แม่ซื้
ซูหนิงจิงมองป้ายซอยตามที่เจ้าของบ้านบอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วขับนำรถขนของไปจนกระทั่งถึงหน้าบ้านที่เจ้าของบ้านโบกมือรออยู่ รถสองคันจอดต่อกันก่อนที่ซูหนิงจิงจะลงจากรถพร้อมกระเป๋าสะพายเพื่อจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าและค่าประกันทั้งหมดสองหมื่นหยวน ซูหนิงจิงอ่านเอกสารก่อนจะเซ็นสัญญาเช่าบ้านให้เรียบร้อยเจ้าของบ้านมอบกุญแจบ้านทั้งพวงให้กับซูหนิงจิง ก่อนจะขอตัวกลับบ้านของตัวเองที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันเช่นกัน“พวกคุณขนของเข้าไปวางไว้ในบ้านได้เลยค่ะ ฉันจะโอนค่าใช้จ่ายให้บริษัทของคุณตามที่ตกลงกันเอาไว้”“ครับ คุณผู้หญิง ขอบคุณมากครับ”ชายทั้งสองช่วยกันยกกล่องทั้งหมดลงจากรถไปโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จสิ้น ซูหนิงจิงเห็นว่าพวกเขาทำงานดีก็มอบเงินให้พวกเขาคนละหนึ่งพันหยวนเป็นค่าตอบแทนที่พวกเขาช่วยยกของให้พวกเธอสองแม่ลูกชายทั้งสองกล่าวขอบคุณก่อนที่จะพากันขึ้นรถเพื่อขับกลับไปยังเมืองหลวงทันที พวกเขาคิดว่าน่าจะไปถึงตอนมืดแล้วเป็นแน่ เพราะระยะทางไกลไม่น้อย“ลูกเข้าไปดูในบ้านก่อนสิว่าพอจะอยู่ได้สักสองเดือนไหม พรุ่งนี้แม่จะพาลูกไปหาที่เรียนแต่เช้า เราจะได้หาข้าวเช้ากินด้วย ถ้าออกไปซื้ออาหารตอนนี้น่
หลังทานข้าวและล้างถ้วยชามเอาไว้แล้ว ซูหนิงจิงก็ขึ้นไปเอากระเป๋าของตัวเองลงมาด้านล่างและบอกลูกสาวเอาของไปเก็บในรถก่อนไปเปิดประตูรั้ว ส่วนเธอจะล็อกประตูบ้านซูหนิงจิงถอยรถออกจากบ้านและรอให้ลูกสาวปิดประตูรั้วก่อนที่จะมาขึ้นรถและคาดเข็มขัดนิรภัย ซูหนิงจิงจึงขับรถออกจากหน้าบ้านไป“หนิงเซียวอยากเรียนโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนรัฐลูก แม่จะได้หาโรงเรียนให้ถูก”“หนูเรียนที่ไหนก็ได้ค่ะแม่ แต่เอกชนน่าจะมีสอนภาคภาษาอังกฤษหรือเปล่าคะแม่ ที่โรงเรียนเดิมหนูก็เรียนนานาชาตินะคะ”“อืม นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราหาโรงเรียนนานาชาติดูก่อน ถ้าไม่มีค่อยดูว่ามีโรงเรียนไหนที่สอนภาคภาษาอังกฤษก็แล้วกัน เพราะในอนาคตลูกต้องใช้ภาษาอังกฤษเยอะแน่ ๆ”“ได้ค่ะแม่ แล้วแม่พอจะรู้บ้างไหมคะว่าโรงเรียนอยู่แถวไหนบ้าง”“แม่ยังไม่ได้หาข้อมูลเลยลูก แค่เราลองขับรถวนดูในเมืองก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรมั้ง เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่เหมือนเมืองหลวงนะลูก แม่คิดว่าน่าจะมีโรงเรียนแค่ไม่กี่แห่ง”“อ่อ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไม่ต้องขับเร็วมากนะคะ เราจะได้มองเห็นโรงเรียนกันทัน”“จ้า ลูกช่วยแม่มองดูข้างทางด้วยล่ะ”“ได้ค่ะแม่”สองคนแม่ลูกขับรถไปเรื่อย ๆ ภายในเมืองก
สายวันต่อมา จ้านหย่งเหอและจ้านเซียงชิงมาพร้อมพ่อบ้านที่จัดเตรียมอาหารสำหรับคนป่วยเพื่อเยี่ยมหลานชาย ซูหนิงจิงยังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าฝากพ่อบ้านนำมาให้ลูกสาวของเธอที่เฝ้าดูแลจ้านเกาเช่นเดียวกัน กู่ซิงวันนี้เธอต้องจัดการเรื่องรับสมัครพนักงานทางออนไลน์จึงไม่ออกมาด้วย มีเพียงซูหนิงจิงที่เดินทางไปทำงานพร้อมบอดี้การ์ดตามปกติ ระหว่างทางซูหนิงจิงให้เพื่อนของเธอสืบหาตัวการที่ทำร้ายจ้านเกาและบอกเขาให้เอาคืนคนที่กล้าทำร้ายว่าที่ลูกเขยของเธอด้วย โดยครั้งนี้ซูหนิงจิงจะช่วยเพื่อนขยายกิจการไปยังเมืองต่าง ๆ เป็นการตอบแทน เติ้งโหย่วมีหรือจะไม่ชอบใจกับข้อตกลงของซูหนิงจิง เขาอยากขยายสาขามานานมากแล้ว ติดเพียงแค่เงินทุนและระบบการจัดการบริหารเท่านั้นที่เขาไม่ค่อยจะมีความรู้ ส่วนลูกน้องของเขาก็มีมากมายที่สามารถวางใจให้ไปดูแลสาขาต่าง ๆ ได้ในอนาคต เมื่อได้รับการตอบรับจากเติ้งโหย่วแล้ว ซูหนิงจิงก็วางสายอย่างสบายใจ เธอไม่กลัวว่าเขาจะทำงานไม่สำเร็จ ในเมื่อเขามีอิทธิพลมากในวงการใต้ดิน มีหัวโจกหลายกลุ่มต้องการล้มเขามานาน แต่ด้วยระบบการจัดการที่ซูหนิงจิ
วันนี้กว่าที่จ้านเกาจะเสร็จจากงานในบริษัท เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะสามทุ่มแล้ว เขาเก็บเอกสารส่งให้เค่อหานนำไปเก็บเพื่อส่งต่อให้บริษัทในเครือวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะออกจากห้องทำงานไปพร้อมบอดี้การ์ดส่วนตัวตามปกติ คนของเจียวจิ้งเหอเฝ้าดูกิจวัตรประจำวันของจ้านเกามาสองวันแล้ว วันนี้พวกเขาจึงคิดจะลงมือโดยดักซุ่มรอที่ทางผ่านกลับบ้านตระกูลจ้านซึ่งขณะนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมา พวกเขาจอดรถแอบเอาไว้ที่ซอยใกล้กับถนนใหญ่ ก่อนที่จะไปซุ่มรอที่หลังต้นไม้ริมทางทั้งสี่คน แต่ละคนเตรียมปืนออโตเมติกสมรรถนะสูงมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขารับงานมาจากเจ้านายแล้วจึงต้องทุ่มสุดตัว ขบวนรถของจ้านเกามาถึงจุดที่คนของเจียวจิ้งเหอดักรออยู่ในอีก 30 นาทีต่อมา ขณะที่รถทั้งสองคันกำลังจะผ่านทางไป กลุ่มกระสุนแถวแรกก็สาดเข้าใส่รถทั้งสองคันอย่างไม่สนใจว่าใครจะบาดเจ็บล้มตาย คนขับเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเร่งเครื่องให้ผ่านทางอันตรายไปโดยเร็ว ถึงแม้รถทั้งสองคันจะกันกระสุนได้ก็จริง แต่ปืนที่คนร้ายใช้กลับสามารถส่งคมกระสุนเจาะทะลุผ่านกระจกรถได้อย่างไม่ลำบาก แต่ยิ่งขับไปด้านหน้ามากเท่า
ด้านหลงเอ้อหลางกับพวกที่ถูกคุมขังอยู่กลับไม่มีความสุขนัก พวกเขาถูกพ่อด่ากันอีกครั้ง แถมครั้งนี้ยังไม่ได้รับการประกันตัวเพราะเป็นคดีร้ายแรง ทำให้ทั้งหกคนถูกฝากขังที่ศาลก่อนจะถึงวันนัดสืบพยานครั้งแรกในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า บรรดาแม่ ๆ ของพวกเขาต่างร้อนรนที่ลูกต้องเข้าไปอยู่ในคุกแบบนี้ พวกเธออาละวาดจนสามีแทบจะทนไม่ไหว ยิ่งกับหลงฮ่าวที่ได้รับรายงานเรื่องทั้งหมดจากบอดี้การ์ดด้วยแล้ว เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกจนไม่คิดจะช่วยอะไรลูกชาย“คุณไม่คิดจะหาทางช่วยเอ้อหลางเลยหรือยังไง เขาเป็นลูกชายของคุณนะ!”“ฮึ แล้วใครใช้ให้มันไปลักพาตัวคู่หมั้นจ้านเกาล่ะ คุณคิดว่าผมจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อนี่เป็นคดีร้ายแรง”“คุณก็ไปบอกไอ้จ้านเกานั่นไม่ให้มันเอาเรื่องลูกชายฉันสิ”“นี่คุณคิดว่าเขาจะยอมง่าย ๆ เหรอ? คุณก็รู้ว่าเขาเกลียดผมมากแค่ไหนน่ะ”“ฮึ คุณมันไม่ได้เรื่อง ฉันไปให้พ่อฉันช่วยลูกก็ได้ คอยดูนะ ฉันจะจัดการไอ้จ้านเกานั่นให้ดู!” เจียวจูเดินปึงปังออกจากบ้านไปอย่างไม่เหลียวหลังมามองว่าสามีของเธอมี
ซูหนิงจิงกับกู่ซิงเดินทางมาถึงบ้านตระกูลจ้านก่อนเวลาอาหารเที่ยงหนึ่งชั่วโมง จ้านหย่งเหอกับจ้านเซียงชิงยังคงนั่งรอพวกเธออยู่ที่ห้องรับแขก ส่วนหลานชายพวกเขาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนซูหนิงเซียวที่ห้องด้านบนพร้อมกับแม่บ้านหลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินขึ้นไปห้องของซูหนิงเซียวโดยมีพ่อบ้าน แม่บ้านช่วยกันยกกระเป๋าของพวกเธอตามขึ้นไปด้วย ระหว่างทางซูหนิงจิงยังได้รับการปลอบโยนจากสองผู้อาวุโสจนเธอใจชื้นขึ้นบ้างหลังจากที่กังวลมาตลอดตั้งแต่ทราบเรื่องของลูกสาว เมื่อซูหนิงจิงเห็นลูกของเธอกำลังนั่งอยู่บนเตียงคุยกับจ้านเกาที่นั่งเก้าอี้ข้างเตียงเข้า น้ำตาของเธอก็รื้นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะรีบเดินเข้าไปกอดซูหนิงเซียวเอาไว้อย่างแสนรักที่เตียงอีกด้านหนึ่ง คนอื่น ๆ เห็นซูหนิงจิงที่เข้มแข็งมาตลอดเป็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ว่าเธอคงเป็นห่วงลูกมาก จ้านหย่งเหอไม่อยากรบกวนสองแม่ลูก เขาจึงชวนทุกคนไปนั่งที่ห้องรับแขกบนชั้นสองรอให้ซูหนิงจิงพูดคุยกับลูกสาวสักพักก่อนเพื่อคลายความเป็นห่วง ซูหนิงเซียวที่ได้รับอ้อมกอดอุ่นจากแม่ของเธอก็สะอื้นขึ้นมาอีกคร
ก่อนที่หลงเอ้อหลางจะหายเจ็บและลงมือกับซูหนิงเซียวอีกครั้ง กำลังตำรวจและบอดี้การ์ดที่มาถึงก่อนรีบเข้าไปช่วยเหลือซูหนิงเซียวหลังจากจับกุมเพื่อนทั้งห้าคนของเขา หลงเอ้อหลางที่ถูกจับกุมด่าทอต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างสาดเสียเทเสียเหมือนคนบ้า เขาไม่คิดว่าตำรวจจะมาเร็วถึงขนาดนี้ก็ยิ่งโกรธแค้นซูหนิงเซียวมากขึ้นไปอีก เขายังไม่ได้ล้างแค้นเธอเลยแต่กลับถูกจับเสียแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เขามั่นใจว่าคุณตาจะต้องช่วยเขาออกไปได้แน่ อีกอย่างเขายังไม่ได้ทำอะไรซูหนิงเซียว เขาจึงไม่สนใจว่าตำรวจพวกนี้จะตั้งข้อหาอะไรเขา ซูหนิงเซียวที่ถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้ารีบม้วนตัวเข้าไปในผ้าห่ม โชคดีที่หลงเอ้อหลางไม่ได้มัดมือมัดเท้าเธอเอาไว้ ทำให้เธอยังพอที่จะต่อกรกับเขาได้จนกระทั่งความช่วยเหลือมาถึง แต่ด้วยความดีใจที่รอดพ้นจากเงื้อมมือคนเลว ซูหนิงเซียวก็ร้องไห้อย่างสุดจะกลั้น เธออับอายไม่น้อยที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ จ้านเกามาถึงก็ตรงเข้าไปต่อยหลงเอ้อหลางจนล้มลงไปกองกับพื้น แต่หลงเอ้อหลางที่บ้าไปแล้วกลับหัวเราะออกมาแล้วเยาะเย้ยจ้านเกาเร
ซูหนิงเซียวไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เธอมัวแต่รีบเข้าห้องน้ำจนกระทั่งสบายท้องแล้วจึงออกมาด้านนอก แต่กลับพบกลุ่มของหลงเอ้อหลางรอเธออยู่ ซูหนิงเซียวขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ เธอไม่คิดว่าจะมาเจอคนพวกนี้อีกในงานของมหาวิทยาลัยของเธอ“พวกคุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง นี่มันห้องน้ำผู้หญิงนะ”“ฮึ ถ้าเราไม่เข้ามาแล้วจะได้แก้แค้นเธอเมื่อไหร่กัน”“นั่นสิ เธอทำพวกเราเสียเงินไม่น้อยเลยนะคราวก่อน วันนี้อย่าหวังว่าจะหนีรอดจากพวกเราไปได้เลย”“จับเธอ!!!” หลงเอ้อหลางไม่ยอมเสียเวลาพูดมากเหมือนเพื่อน เขากลัวว่าวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิงที่สุด เพื่อนของหลงเอ้อหลางสามคนดาหน้าเข้าไปเตรียมล็อกแขนซูหนิงเซียวและปิดปากไม่ให้เธอร้องขอความช่วยเหลือได้ง่าย ๆ แต่ขณะที่พวกเขากำลังยื่นมือเข้าไป ซูหนิงเซียวก็เตะพวกเขาจนลงไปกองกับพื้น“โอ้ย! นังบ้า ฤทธิ์เยอะนักนะ พวกแกเข้าไปอีก คราวนี้ฉันจะช่วยด้วย” หลงเอ้อหลางเรียกเพื่อนอีกสองคน ซูหนิงเซียวพยายามต่อสู้กับหลงเอ้อหลางตามที่เธอ
จ้าวหลงเฉิงที่เริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่สองเดือนก่อน ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นจากละครที่แสดงเป็นน้องชายนางเอกเมื่อเดือนที่แล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับคัดเลือกให้แสดงบทนี้แต่แรก นี่เป็นเพราะหลิวอ้ายโหรวยอมจ่ายเงินสนับสนุนละครเรื่องนี้มากถึงสองล้านหยวนจนลูกชายได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดง หลังจากนี้หลิวอ้ายโหรวที่ทำให้ลูกชายมีชื่อเสียงมากขึ้นก็ไม่ต้องเสียเงินอีก ถึงแม้เธอจะจ่ายค่าชดเชยไปถึงสิบล้านหยวนแล้วก็ตาม แต่เธอยังมีเงินที่เหลือจากการจำนองที่ดินอยู่หลายล้านหยวน เธอจึงสามารถนำเงินมาต่อยอดให้ลูกชายเข้าวงการบันเทิงได้อย่างเต็มตัว จ้าวลี่ลี่เห็นน้องชายเริ่มดังก็ชักจะอยากเข้าวงการบันเทิงเช่นเดียวกัน เพียงแต่จ้าวไห่ถังไม่อนุญาตให้เธอไปยุ่งเกี่ยวกับวงการบันเทิงเหมือนจ้าวหลงเฉิง เขารู้ดีว่าผู้หญิงที่เข้าวงการมักจะถูกเอาเปรียบ ต่างกับผู้ชายที่ไม่ว่าจะได้รับบทอะไรก็ไม่เสียหายเหมือนดาราหญิง และเขามั่นใจแล้วว่าหลิวอ้ายโหรวจะสามารถดูแลลูกชายของเขาได้เป็นอย่างดี จ้าวลี่ลี่จึงทำได้แค่ตั้งใจเรียนให้มากขึ้นเพื่อจะได้รีบจบการศึกษาแล้วหางานทำ &n
คืนนั้นหลังจากหลิวอ้ายโหรวคุยกับจ้าวไห่ถังเรื่องจะให้ลูกสาวไปทำงานในวงการบันเทิง จ้าวไห่ถังรู้ว่าลูกสาวเขาเรียนไม่ค่อยเก่งแต่แรก เขาจึงไม่คัดค้านอะไร เช้าวันต่อมาระหว่างทานอาหาร หลิวอ้ายโหรวบอกจ้าวลี่ลี่ว่าจะให้ทำงานในวงการบันเทิง ทำให้จ้าวลี่ลี่ที่เคยดูถูกพวกดาราที่เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอไม่ก่อนไม่พอใจทันที“หนูไม่ทำหรอกนะคะแม่ ถ้าหนูไปทำงานในวงการบันเทิง ตระกูลหลงจะไม่ดูถูกหนูเหรอคะ หนูยังไม่อยากถูกถอนหมั้นจนเสียหน้าคนในวงสังคมนะ” จ้าวลี่ลี่พูดอย่างไม่พอใจ“เอ๊ะ แค่ทำงานงานวงการบันเทิงใครเขาจะดูถูกแกกัน เมื่อก่อนฉันก็ทำงานในวงการบันเทิงมาก่อน ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครในสังคมดูถูกฉันสักนิด ไม่รู้ล่ะ ถ้าแกไม่ทำงานก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแกไปซื้อเสื้อผ้าอีก” หลิวอ้ายโหรวยื่นคำขาด“นี่คุณจะเสียงดังทำไมกัน ถ้าลูกไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนี่นา คุณก็หัดอยู่บ้านซะบ้างจะได้ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ใช่หาแต่เรื่องออกไปซื้อของไม่จำเป็นพวกนั้นอยู่ตลอด ลูกก็ด้วยนะลี่ลี่ เลิกซื้อได้แล้วเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางพวกนั้น พ่อเห็
จ้าวไห่ถังกลับถึงบ้านก่อนเที่ยงวันเกือบหนึ่งชั่วโมง หลิวอ้ายโหรวที่ไม่ได้ไปไหนแปลกใจไม่น้อยที่เห็นสามีขนของกลับมาบ้านเวลานี้ เธอรอให้เขาวางกล่องของลงก่อนจะถามเขาอย่างสงสัย“นี่คุณเอาอะไรมาเยอะแยะคะ แล้ววันนี้คุณไม่ทำงานเหรอ?”“เฮอะ ของพวกนี้ผมเอามาจากห้องทำงานผมนั่นแหละ ตอนนี้ซูหนิงจิงเข้ายึดตำแหน่งประธานบริษัทไปแล้ว ผมยังจะมีหน้าทำงานอยู่ที่นั่นต่อได้ยังไงกัน หลังจากนี้คุณก็อย่าใช้เงินเปลืองนักก็แล้วกัน เสื้อผ้า เครื่องสำอางก็ไม่ต้องขนซื้อมาเหมือนเมื่อก่อนอีก เงินเดือนที่ผมจะได้ลดลงมาจากเดิมเกินครึ่งแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าเงินห้าหมื่นหยวนต่อเดือนจะพอจ่ายค่าคนใช้พวกนี้ไหม ไม่แน่ผมอาจจะต้องให้คนออกสักสองสามคน เหลือไว้แค่คนทำอาหารกับทำความสะอาดแค่สองคนพอ รอให้ลูกกลับมาผมจะบอกเรื่องนี้กับพวกเขาเอง” จ้าวไห่ถังพูดอย่างหนักใจ“อ้าว แล้วคุณปล่อยให้นังหนิงจิงไล่คุณออกได้ยังไงล่ะคะ ก็ไหนตอนที่หย่ากัน นังนั่นมันบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบริษัทของคุณอีกน่ะ ทำแบบนี้มันไม่ผิดสัญญาหย่าร้างกับคุณเหรอคะ แล้วคุณทำไมไม่หาทนายมาฟ้องเรียกค่าเสี