ในเวลานี้ หวังฮุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็รีบถามว่า: "จ้วงจ้วง ที่หลานบอกว่าขาทั้งสองข้างมีความรู้สึกแล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบไหนเหรอ?"“ป้าหวังครับ ผมรู้สึกว่าขาของผมร้อนครับ ตั้งแต่ผมเป็นอัมพาตมา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าขาของผมร้อนครับ!” สวีจ้วงจ้วงพูดพร้อมสะอื้นพอได้ฟังเขาพูดแบบนี้ ป้าหลิวก็รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วกอดเขาเอาไว้่ทันทีสองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ฟูมฟายกันยกใหญ่หวังฮุ่ยที่อยู่ด้านข้างเช็ดหางตาเพราะภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้รู้สึกตื้นตันใจประดุจว่าเป็นตนเองตอนนั้นจางหยวนกลายเป็นคนปัญญาอ่าน จางต้าซานก็เป็นอัมพาตอยู่บนเตียงเธอเป็นผู้หญิงตั้วคนเดียว ที่ต้องประคับประคองครอบครัวตามลำพังถ้าเทียบกับป้าหลิวในตอนนี้แล้ว ลำบากกว่ามาก!อย่างน้อย สามีของป้าหลิว เสาหลักของตระกูลสวีไม่ได้มีปัญหาอะไรเมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว หวังฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่จางหยวนลูกชายของตนหากไม่ใช่เป็นเพราะจางหยวนกลับมามีสติสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และแสดงศาสตร์ทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ออกมาตอนนี้ตนเองคงจะเป็นเหมือนเพื่อนสนิทคนนั้น ที่น้ำตานองหน้าตลอดทั้งวัน!จากนั้นไม่นาน เมื่
ป้าหลิวรีบลุกขึ้นเพื่อชักชวนทั้งสองให้อยู่ต่อ โดยบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเย็นพวกเขา แต่ถูกหวังฮุ่ยปฏิเสธไปในเวลานี้ จู่ๆป้าหลิวก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ จึงรีบกลับไปที่ห้องของตนเองเธอกลับออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเงินหนึ่งแสนบาทที่อยู่ในมือ" อาหยวน ขอบคุณที่หลานรักษาจ้วงจ้วง ตอนนี้ป้าหลิวมีเงินอยู่ในมือแค่หนึ่งแสนบาท หลานเอาไปก่อนนะ ! วันหน้าถ้าป้าหลิวมีเงินมากขึ้น เป้าจะเอาเงินรักษาให้หลานอีก!" ป้าหลิวพูดกับจางหยวน“ป้าหลิวครับ คือว่า…” สีหน้าของจางหยวนเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็มองป้าหลิวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เงินนี้ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ!”หวังฮุ่ยยังพูดด้วยน้ำที่เสียงทุ้มว่า: "ใช่แล้ว น้องหลิว ครอบครัวของเธอใช้เงินเป็นจำนวนมากในการรักษาจ้วงจ้วง! เป็นเวลาที่จะต้องใช้เงินพอดี!"“ตอนนี้ถ้าเธอเอาเงินหนึ่งแสนบาทออกมา ก็เท่ากับว่าไม่เห็นแก่หน้าพี่นะ? เพราะพี่เห็นว่าพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกัน ถึงได้ขอให้อาหยวนมาช่วยดูอาการจ้วงจ้วงให้!”“ไม่ว่ายังไงก็ตาม จ้วงจ้วงก็เรียกพี่ว่าป้าหวัง! เอาแค่ประเด็นนี้ อาหยวนจึงไม่สามารถรับเงิน ค่ารักษาเขาได้!”คำพูดของหวังฮุ่ย ทำให้นัยน์ตาของป้าหลิวเปลี
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกลับมา ลุงจางต้าเฉิงก็กล่าวคำอำลาเช่นกันก่อนไป จางต้าเฉิงยังถามหวังฮุ่ยเรื่องหนึ่งด้วย“พี่สะใภ้ พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมบอกว่า อยากจะขายที่ดินหนึ่งไร่ข้างทางหลวง! พี่ช่วยเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย อย่าให้เขาขายที่ดินเลย!” จางต้าเฉิงกล่าว“จะว่ายังไง นั่นก็คือหลุมศพของบรรพบุรุษเชื้อสายเดียวกันกับพวกพี่! อย่าไปรบกวนคุณปู่รองคุณย่ารองทั้งสองท่านของผมเลย!”คนชนบทให้ความสำคัญกับหลุมศพของบรรพบุรุษเป็นอย่างมากในด้านนี้ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจะดีกว่าเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุสุดวิสัย ไม่เช่นนั้นจะไม่ย้ายหลุมฝังศพของบรรพบุรุษเด็ดขาดหลังจากได้ยินจางต้าเฉิงพูดแล้ว หวังฮุ่ยก็รีบพูดขึ้นว่า“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก! ที่ดินติดทางหลวง พวกเราจะไม่ขายเด็ดขาด!”ก่อนหน้านั้น หวังฮุ่ยและจางต้าซานเคยคิดที่จะขายที่ดินไร่นั้นตอนนั้นครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นมาก ทั้งสองคนจึงได้ตัดสินใจด้วยความจนปัญญาแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!ไม่ต้องพูดถึงว่าครอบครัวของพวกเขาเพิ่งได้รับเงินสี่หมื่นบาทจากการที่จางหยวนขายโสมแม้ว่าจะไม่มีเงินสี่หมื่นบาท แต่แค่ศาสตร์ทางการแพทย์ของจางหย
การรักษาโรคให้สัตว์ ก็แค่รักษาไปตามโอกาส!เช้าของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่จางหยวนกินข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ถีบรถสามล้อไปที่บ้านของคนที่จางต้าซาน พูดถึงบังเอิญว่า อีกฝ่ายก็เป็นคนหมู่บ้านต้าหลิว ชื่อว่าหลิวเซียนไห่พอมาถึงหมู่บ้านต้าหลิวแล้ว ไม่นาน จางหยวนก็ได้พบกับคนที่รู้จักคนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือสามีของป้าหลิว สวีเฟิง!เมื่อก่อนตอนที่จางหยวนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน สวีเฟิงไปที่บ้านของเขากับป้าหลิว และพบจางหยวนอยู่หลายครั้งตอนนี้บังเอิญเจอกัน สวีเฟิงก็จำจางหยวนได้ทันทีที่จำได้ไม่ใช่เพราะหน้าของจางหยวน แต่เป็นรถสามล้อที่เขาถีบอยู่คันนั้นตอนนี้ หลายคนเริ่มหันมาซื้อรถสามล้อไฟฟ้ากันหมดแล้วคนที่ถีบรถสามสับปะรังเคเหมือนครอบครัวจางหยวน มีน้อยมาก!“นายคือ... อาหยวน?” สวีเฟิงจอดรถสามล้อไฟฟ้าไว้ข้างถนนจางหยวนจึงทำได้แค่ยิ้มทักทายสวีเฟิง“สวัสดีครับลุงสวี! ผมก็คือจางหยวนครับ!”เมื่อเห็นจางหยวนที่อยู่ตรงหน้ากลับมามีสติสัมปชัญญะ และไม่มีลักษณะท่าทางปัญญาอ่อนเหมือนตอนนั้นแล้ว สวีเฟิงก็รู้สึกปลงว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้เขาคิดว่า จางหยวนจะต้องเป็นคนปัญญาอ่อนไปตลอด
ทันทีที่เข้าไปในลานบ้าน ผู้หญิงคนนั้นก็ตะโกนไปทางห้องโถงของบ้าน“พ่อของหงเหมย ออกมาเร็วเข้า! พ่อหนุ่มจางหยวนคนนั้นมาถึงแล้ว!”ในไม่ช้า ชายวัยกลางคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขาจางต้าซานก็เดินออกมาจากห้องโถง น่าจะเป็นหลิวเซียนไห่เมื่อหลิวเซียนไห่เห็นจางหยวน ก็ยิ้มเหอะๆแล้วเดินขึ้นไปจับมือกับเขา"เสี่ยวจาง! ขอบคุณนายมากที่สามารถมาได้! หมูที่บ้านฉันเลี้ยงเอาไว้มีปัญหานิดหน่อย ช่วงนี้ความอยากอาหารน้อยลงมาก!รบกวนนายช่วยตรวจให้หน่อยนะ"จางหยวนพยักหน้า และกำลังจะขอให้หลิวเซียนไห่พาตนเองไปดูหมูคิดไม่ถึงว่าในขณะนี้ ก็มีเสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความประชดประชันดังขึ้น“เขาเหรอ? คู่ควรที่จะรักษาโรคให้หมูบ้านพวกเราหรือเปล่า?”จางหยวนหันกลับไป และเห็นว่าคนที่พูดเป็นหญิงสาวที่แต่งตัวทันสมัย สวมเสื้อยืดอินเทรนด์และกางเกงยีนส์ขาสั้นคนหนึ่งขาเรียวยาวอันขาวผ่องที่อยู่ใต้กางเกงขาสั้นนั้น สะดุดตาเป็นอย่างมากผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างสวย แต่แต่งหน้าเข้มไปหน่อยในขณะนี้เธอกำลังยืนกอดอกอยู่ที่ประตูห้องโถง แล้วมองจางหยวนด้วยใบหน้าที่ประชดประชันจางหยวนขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?ทันใดนั้นสีหน้า
เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้นี้ จางหยวนก็ปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณในเมื่อหลิวเซียนไห่หาคนอื่นแล้ว เขาก็จะไม่ต้องยุ่งวุ่นวาย!คิดไม่ถึงว่าเจิ้งปินที่อยู่ด้านข้างกลับพูดเยาะเย้ยขึ้นมาว่า: "ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าเพิ่งไปเลย! ฉันจะให้คนป่าเถื่อนอย่างนายเปิดหูเปิดตาสักหน่อย จะได้รู้ว่าหมอสัตว์เลี้ยงมืออาชีพมันเป็นยังไง!"คำพูดของเจิ้งปิน กระตุ้นความโกรธของจางหยวนแม้ว่าจางหยวนจะไม่เคยอ้างว่าตนเป็นสัตวแพทย์แต่อีกฝ่ายเหยียดหยามกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ ทำให้จางหยวนรู้สึกเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมากเขาเหลือบมองเจิ้งปิน: "เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากจะดูว่า คุณมีความสามารถมากแค่ไหน!"เมื่อหลิวเซียนไห่เห็นดังนี้ หลิวเซียนไห่ก็รีบเรียกพาทุกคนไปที่ลานหมูด้านหลังระหว่างทางไปลานหลังบ้าน หลิวหงเหมยก็เดินขึ้นไปที่ข้างๆเจิ้งปิน ขมวดคิ้วแล้วถามว่า“เจิ้งปิน ทำไมคุณต้องให้นายคนนี้อยู่ต่อด้วย? ให้เขาไปเลยไม่ได้เหรอ?”เจิ้งปินกหลับยิ้ม: "หงเหมย ถ้าไม่ให้เขาอยู่ต่อ แล้วความสามารถของฉันจะโดดเด่นขึ้นมาได้ยังไง?"เมื่อพูดถึงจุดนี้ จู่ๆเจิ้งปินก็ลดเสียงให้ต่ำลง น้ำเสียงของเขาก็ดูเลวร้ายขึ้นมาทันที“หงเหมย พวกเราสองคนตกลง
ก็เห็นว่าจางหยวนมีสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกในเวลานี้ เขาได้หมุนเวียนแก่นพลังลมปราณปิดกั้นการรับกลิ่นในจมูกของเขาแล้วหลิวเซียนไห่ที่ไม่รู้เรื่อง เห็นจางหยวนไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย กลับไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นสาปหมูเลยแม้แต่น้อย ก็อดไม่ได้ที่จะตาเป็นประกายในความคิดของเขา ในฐานะสัตวแพทย์ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จะต้องเป็นเหมือนจางหยวนถึงจะถูก!แพทย์สัตว์เลี้ยงที่สําอางค์อย่างเจิ้งปิน เข้ามาในฟาร์มหมูก็ต้องสวมหน้ากากอนามัย ดูไม่เหมือนสัตวแพทย์เลยแม้แต่น้อยหลังจากได้ตัดสินจางหยวนและเจิ้งปินอย่างเงียบๆในใจแล้ว หลิวเซียนไห่ก็กล่าวว่า:“นี่ก็คือหมูที่ฉันเลี้ยง! ดูสิพวกมันสิ ผอมลงกว่าเดิมมาก! อีกอย่างพวกมันยังอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ! ครั้งที่แล้วตอนที่ให้อาหารหมู เกือบจะโดนพวกมันกัด!”เมื่อได้ยินดังนี้ เจิ้งปินก็เหลือบมองจางหยวน: "เฮ้ นายก่อนหรือฉันก่อนดีล่ะ? ถ้าฉันลงมือก่อน นายก็ไม่มีความหมายแล้ว!"“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เชิญนายก่อนเลย! ถ้านายรักษาหมูให้หายได้ ฉันจะรีบหันหลังกลับแล้วจากไปทันที!” จางหยวนพูดอย่างสงบนิ่ง“นาย ฮึ่ม!” เจิ้งปินทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วก็ยิ้มกับหลิวหงเหมยอย่า
"เดี๋ยวก่อน ผมเหมือนเคยได้ยินโรคพลาสเทอร์โรซีสในหมู เหมือนว่าหมูที่เป็นโรคพลาสเทอร์โรซีส จะเปลี่ยนไปฉุนเฉียวและโมโหง่าย อีกทั้งมักจะต่อสู้กัน ปริมาณอาหารก็ลดลง!"“อาการเหล่านี้ เหมือนกับหมูที่ครอบครัวของพวกผมเลี้ยงเอาไว้เป๊ะ ๆ เลย!” หลิวเซียนไห่พูดกับตัวเองจางหยวนพยักหน้า: "ไม่ผิด! คุณหลิว คุณใช้ลานบ้านเลี้ยงหมู เป็นวิธีการที่ดีที่แปลกใหม่แหวกแนวกว่าผู้อื่นจริง ๆ นั่นแหละครับ แต่สภาพแวดล้อมของที่นี่แย่เกินไป!""สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงหมูนั้นแย่เกินไป ประกอบกับการจัดการที่ไม่เหมาะสม ก็ทำให้หมูเป็นโรคพลาสเทอร์โรซีสได้ง่าย!"หลิวเซียนไห่เข้าใจในทันทีถึงแม้ตอนนี้เขาจะเลี้ยงหมูเป็นสิบกว่าตัว แต่ยังใช้วิธีการแบบเก่าที่เลี้ยงหมูแบบขังในคอกหนึ่งถึงสองตัวเหมือนเมื่อก่อนวิธีการแบบเก่าเลี้ยงหมูหลายตัวขนาดนี้ ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้ว!เขาตบท้ายทอยตัวเองอย่างแรง: "ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! ผมผิดเองครับ ตอนที่เลี้ยงหมูไม่ได้ใช้สมอง! ผลปรากฏว่าเกิดปัญหาขึ้นมา!"ครู่หนึ่ง หลิวเซียนไห่ก็มองไปทางจางหยวนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง"เสี่ยวจาง ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าหมูของครอบครัวผมเป็นโรคพล