ลู่ซือไหวเอ่ยเสียงเบาว่า "ขออยู่ใกล้พี่สะใภ้ก็พอแล้ว"ซูชิงลั่วจับมือนางเบาๆ "ข้าพาไปดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ"ลู่ซือไหวรีบบอกว่า "ไม่รบกวนพี่สะใภ้แล้ว ให้จื๋อหยวนพาไปก็ได้"ลู่ซือไหวเพิ่งได้ยินชื่อจื๋อหยวนไปเพียงครั้งเดียวก็จำได้แล้วซูชิงลั่วเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า "ไม่เป็นไร แม่นมเหมยกำชับข้าให้ออกไปเดินเล่นทุกวัน"ซูชิงลั่วพาลู่ซือไหวไปดูเรือนสองหลังนางเห็นลู่ซือไหวดูเหมือนจะชอบเรือนหลังใหญ่กว่า แต่หลังจากดูเสร็จ นางก็เอ่ยเพียงว่า "ข้าขออยู่ใกล้พี่สะใภ้ก็พอแล้ว"ซูชิงลั่วยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า "เราอยู่จวนเดียวกัน จะไกลได้สักแค่ไหนเชียว? ชอบหลังไหนก็เลือกเลย จะว่าไปไกลกว่าแค่ไม่กี่ก้าว แล้วจะไม่มาหาข้ารึ?"ลู่ซือไหวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองนางอีกครั้ง ก่อนจะตอบว่า "ถ้าเช่นนั้นข้าขอเลือกหลังใหญ่ก็แล้วกัน"ซูชิงลั่วตอบว่า "ได้เลย ประเดี๋ยวข้าให้คนไปจัดการ"ลู่ซือไหวพยักหน้า แล้วค่อยๆ ก้มศีรษะลง มองเห็นภาพตรงหน้าพร่ามัวรู้สึกเหมือนนานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเองเลยตั้งแต่เจอพี่ชาย พี่ชายก็ดูแลนางดีมาก แต่พี่ชายมีเรื่องต้องสะสางจำนวนมาก ย่อมไม่มีเวลาใส่ใจในรายละ
ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจนางคิดว่าคำพูดที่ลู่ซือไหวบอกว่าจะอยู่ข้างนาง เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าเท่านั้น แต่แล้วในวันรุ่งขึ้น นางก็พิสูจน์ให้เห็นในทันทีนางเห็นลู่เหิงจือกระตุกมุมปากอย่างไม่สบอารมณ์ ก็อดขำไม่ได้และเมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาของลู่เหิงจือ นางก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “น้องสาวพูดถูก ท่านควรพักผ่อนอยู่ที่จวน”น้องสาวซูชิงลั่วจงใจแน่นอนลู่เหิงจือมองลู่ซือไหวเงียบๆ ลู่ซือไหวกะพริบตาให้เขาอย่างขี้เล่นซึ่งหมายความว่า - รอข่าวดีจากข้าลู่เหิงจือก้มสีรษะลง แล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ระวังกันด้วย ข้าจะอยู่ที่จวน หากมีอะไรให้คนมาบอกข้าก็แล้วกัน”ซูชิงลั่วพยักหน้าตอบตกลง แล้วลุกขึ้นเตรียมตัวขึ้นรถม้าลู่เหิงจือยื่นมือไปประคองนางอย่างเป็นธรรมชาติซูชิงลั่วยกมือขึ้นโดยสัญชาตญาณ เมื่อสัมผัสกับฝ่ามือเย็นของเขา นางก็รู้ตัวว่าถูกเขาประคอง หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นทันที แล้วรีบขึ้นรถม้าไปลู่ซือไหวอดยิ้มไม่ได้*ลู่ซือไหวคิดว่าซูชิงลั่วจะพานางไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับ แต่นึกไม่ถึงว่าซูชิงลั่วจะพานางไปที่ร้านช่างไม้ที่คุ้นเคยก่อนซูชิงลั่วบอกกับเถ้าแก่ว่าจะเตรียมเครื่องเรือ
นางก้มลงมองไม้เสียบในมือของเด็กชายผู้นั้นทิ่มเข้าไปที่แขนของลู่เหิงจือจากปลายแหลมไปถึงส่วนกลางของด้ามไม้เสื้อคลุมตัวยาวสีขาวนวลมีคราบเลือดสีแดงสดซึมออกมาเป็นจุดราวกับกลีบดอกท้อกลีบหนึ่งนางพลันสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งฟอดเด็กชายผู้นั้นเห็นว่าตนได้ก่อเรื่องเข้าแล้วก็เกิดอาการตื่นตกใจ ยืนอึ้งอยู่กับที่ระหว่างนั้นเองคนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ คนหนึ่งพูดขึ้นมา "ผู้นี้เป็นถึงท่านอัครมหาเสนาบดีเชียวนะ ยืนนิ่งอยู่ใย ยังไม่รีบคุกเข่าอีก"ทันใดนั้น หญิงสาวนางนั้นก็ตามมาถึงได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูนชน หญิงสาวรีบโอบเด็กชายไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะคุกเข่าลงไปพูดเสียงสั่น "ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยควรตาย ข้าน้อยดูแลลูกไม่ดีเอง ขอท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วย"หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าอย่างไรลู่เหิงจือก็ต้องลงโทษผู้ที่ชนซูชิงลั่วให้ได้แต่เขาเห็นเด็กผู้ชายไร้เดียงสาที่เพิ่งจะอายุได้สามสี่ขวบนั่งคุกเข่าด้วยความตื่นกลัวอยู่บนพื้น ก่อนจะหันไปมองท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยของซูชิงลั่ว พลันเกิดความกังวลว่าลูกของตนในอนาคตก็คงซุกซนเช่นนี้แววตาของลู่เหิงจืออ่อนโยนลงมา น้ำเสียงกลับยังคงเย็นชาเล็กน้อย "เด็กวัยนี้กำล
ลู่เหิงจือเหลือบมองลู่ซือไหวนิ่งๆ ปราดหนึ่ง ลู่ซือไหวไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีก เพียงแค่เลื่อนสายตาไปมองยังถังหูลู่สีแดงสดในมือนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดนางถึงได้ถือมาตลอดทางเช่นนี้ลู่เหิงจือทำทีเป็นมองคราบเลือดบนแขนเสื้อของตนอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเลิกแขนเสื้อขึ้นมาด้วยความธรรมชาติ เผยให้เห็นท่อนแขนที่กำยำเห็นเส้นเลือดชัดเจนทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าลู่เหิงจือจงใจให้นางมอง แต่ซูชิงลั่วก็ยังอดมองไม่ได้อยู่ดีบาดแผลไม่ใหญ่มาก แต่ลึกพอสมควร บริเวณรอบๆ บวมเป่ง ทั้งยังเป็นรอยช้ำสีม่วงซูชิงลั่วพลันรู้สึกบีบคั้นหัวใจไปชั่วขณะ ดูแล้วสาหัสอยู่ไม่น้อยลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย "แผลนี่ดูเหมือนจะเจ็บขึ้นเรื่อยๆ ข้าเข้าไปใส่ยาทำแผลใหม่ได้หรือไม่"น้ำเสียงขณะที่เขาพูดว่าแผลนี่ดูเหมือนจะเจ็บขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูแข็งเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติอย่างสังเกตเห็นได้ชัดความไม่เป็นธรรมชาตินี้ดึงซูชิงลั่วออกมาจากภวังค์ความรู้สึกเห็นใจทันทีซูชิงลั่วมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ "ท่านพักอยู่เรือนข้างๆ ไม่ใช่หรือ ท่านกลับไปทำแผลที่นั่นได้"ลู่เหิงจือ : "..."เขาตอบหน้าตาย "ครอบครัวของใต้เท
ซูชิงลั่วตะลึงงัน : "ยังมีเสี้ยนไม้อยู่อีกหรือ"หมอ : "ใช่ ฮูหยินช่วยจุดตะเกียงแล้วส่องให้ข้าหน่อยได้หรือไม่"ลู่เหิงจือ : "ไปเรียกจื๋อหยวนเข้ามาเถิด"ซูชิงลั่วตอบว่าไม่จำเป็น ก่อนจะจุดตะเกียงด้วยตัวเองภายใต้แสงไฟ บาดแผลบนแขนของลู่เหิงจือดูม่วงยิ่งกว่าเดิมท่านหมอใช้เข็มแทงเข้าไปพลางเอ่ย "หากด้านในไม่มีเสี้ยนไม้ แผลไม่มีทางเปลี่ยนเป็นสีเช่นนี้"ซูชิงลั่วรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบคั้นขึ้นมากะทันหันมองดูเข็มเงินแทงลึกเข้าไปในบาดแผลทั้งยังควานหาเสี้ยนไม้ไปทั่วทุกทิศ มือที่จับตะเกียงอยู่ของนางกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในใจได้แต่คิดว่าเหตุใดท่านหมอถึงได้ชักช้าเยี่ยงนี้ ไม่กลัวเขาเจ็บบ้างเลยหรืออย่างไรนางกังวลจนเหงื่อแทบจะไหลออกมา แต่เห็นสีหน้าของลู่เหิงจือ เขากลับไม่แม้แต่จะมุ่นคิ้วเลยแม้แต่น้อยไม่นานนัก ในที่สุดท่านหมอก็หาเสี้ยนไม้ด้านในบาดแผลชิ้นนั้นออกมาได้ ซูชิงลั่วโล่งใจในขณะที่นางคิดว่าเสร็จสิ้นแล้ว หมอผู้นั้นกลับใช้ผ้าขาวกดรอบๆ ปากแผลอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความจริงจัง "ยังมีอีก ใต้เท้าต้องทนอีกหน่อย"ลู่เหิงจือ : "ไม่เป็นไร"ท่านหมอพยักหน้า ก่อนจะสอดเข็มเงินเข้
ได้ยินมาว่าช่วงหลายวันนี้ซูชิงลั่วกินอาหารได้เยอะ แทบจะไม่อาเจียนแล้วไม่รู้ด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ ใบหน้าของนางจึงได้ดูมีน้ำมีนวลกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย ให้ความรู้สึกดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอย่างสังเกตเห็นได้เมื่อได้สัมผัสใบหน้าของนาง ลู่เหิงจือถึงได้พบว่าตนนั้นคิดถึงนางมากเพียงใดเดิมแค่ตั้งใจจะเข้าไปดูนางปราดหนึ่งเท่านั้น แต่ยามนี้กลับหักห้ามใจไม่อยู่ คิดอยากจะจูบนางซูชิงลั่วหลับตาพริ้ม แพขนตาชี้ลงด้านล่าง สีหน้าดูอ่อนโยน นอนหลับสนิทด้วยความสงบเงียบลู่เหิงจือคิดในใจ : แค่จูบทีเดียวมือของเขากำเข้าหากันเล็กน้อย พลางโน้มตัวเข้าไปประทับริมฝีปากนางเบาๆ อย่างอดไม่ได้หลังจากที่ได้สัมผัสเข้าจริงๆ กลับเกิดความรู้สึกถอนตัวไม่ขึ้นเขาไม่เคยสนใจเรื่องเช่นนี้ แต่เพียงแค่ได้สัมผัสนาง เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้เดิมทีตั้งใจแค่จะจูบเบาๆ ทีเดียวเท่านั้น ยามนี้กลับประครองใบหน้าของนางเอาไว้ แล้วเพิ่มความลึกซึ้งให้กับจูบนี้อย่างห้ามไม่อยู่ดีที่ซูชิงลั่วนั้นเหนื่อยล้าเหลือเกิน ถูกเขาจูบขนาดนี้แล้วยังไม่ค่อยมีท่าทีตอบสนองใดมากนักลู่เหิงจืออยู่บนเตียงในท่ากึ่งคุกเข่า มือจับที่หัวไหล่สองข้างของนาง
แต่หากไม่เขียน ก็ดูเหมือนจะไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆซูชิงลั่วยังคงไม่ยอมให้เขาเข้าเรือน อนุญาตให้เขาเข้าไปส่งของเท่านั้นเขาครุ่นคิดก่อนจะออกคำสั่งกับซ่งเหวิน "เจ้าไปซื้อหนังสือนิยายที่เป็นที่นิยมก่อนหน้านี้มาสักสิบกว่าเล่ม"ซ่งเหวินดีใจ รีบออกไปทันที*เซี่ยถิงอวี่กำลังตรวจฎีกาในห้องทรงพระอักษรไม่รู้ว่าเมิ่งชิงไต้เข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดกระทั่งนางเดินเข้าไปใกล้แล้วเขาถึงจะรู้สึกตัวเขาวางพู่กันในมือลง ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด "คิดถึงข้าหรือ"เมิ่งชิงไต้นั่งอยู่บนตักเขาเช่นนั้น ภายในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความตัดพ้อเล็กน้อย "ฎีกาของท่านเหตุใดถึงได้ตรวจไม่เสร็จเสียที"เซี่ยถิงอวี่พูดด้วยความงุนงง "ไม่รู้ว่าเจ้าลู่เหิงจือกำลังยุ่งสิ่งใด ถึงจะต้องขอลาหยุดหนึ่งเดือนให้ได้ อวี๋ซื่อชิงก็ยังเยาว์นัก เรื่องบางเรื่องข้าจำต้องจัดการด้วยตัวข้าเองถึงจะได้"ระหว่างที่เขาพูด มือก็สอดเข้าไปในกระโปรงของนาง "ข้าเฉยเมยต่อฮองเฮา ผิดนี้สมควรตาย"เมิ่งชิงไต้หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะหันไปขบริมฝีปากเขา*ลู่เหิงจือขังตัวเองอยู่ในห้อง ศึกษาทำความเข้าใจนวนิยายด้วย
นิยายเล่มนี้ต่างไปจากเล่มก่อนๆ ที่เคยอ่านมาจริงๆคืนนี้บัณฑิตหนุ่มไม่ได้แตะต้องตัวหญิงสาว พวกเขาทั้งสองยังคงปฏิบัติตนอยู่ในขนบธรรมเนียมหญิงสาวนอนอยู่บนเตียง บัณฑิตหนุ่มหลบอยู่ในมุมกำแพงทั้งสองต่างก็ทุกข์ทรมานเกินทน จนมักจะส่งเสียงเบาๆ ออกมาเป็นระยะ ไม่ว่าผู้ใดเปล่งเสียงออกมา ต่างก็กระอักกระอ่วนใจกันทั้งคู่โชคดีที่อดทนไปเรื่อยๆ ก็เลยช่วงเวลาออกฤทธิ์ของยาเสียทีท้องฟ้าสว่างแล้วสายตาที่หญิงสาวมองดูบัณฑิตหนุ่มในยามนี้ มีความซาบซึ้งใจอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้พูดคุยกัน ด้วยกลัวว่าจะมีคนมาตามหาอีก จึงต่างก็แยกย้ายไปคนละทางด้วยความรีบร้อนหลังจากที่หญิงสาวกลับไปที่บ้านก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าลูกพี่ลูกน้องจากแดนไกลจะมาเยี่ยมในวันรุ่งขึ้น บอกว่ามาสอบคัดเลือกขุนนางที่เมืองหลวง อยากจะมาขออาศัยที่จวนชั่วคราวนายหญิงเฒ่าบอกให้พวกนางเหล่าพี่น้องออกไปต้อนรับแขกหญิงสาวจำบัณฑิตหนุ่มได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ไม่คิดว่าเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ห่างจากนางหลายปีบัณฑิตหนุ่มเองก็จำนางได้เช่นกัน ภายในใจทั้งสองราวกับมีคลื่นโหมกระหน่ำ ทว่าภายนอกกลับดูสงบนิ่งราวกับ
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป