แชร์

บทที่ 424

ผู้แต่ง: หอมดังเดิม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-26 18:00:22
ลมหายใจอันเย็นเยือกของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ซูชิงลั่วรู้สึกไม่สบายใจ จึงหันหน้าหนี

ภาพคุ้นเคยผุดขึ้นมาในสมอง

ราวกับเย้อนกลับไปยังป่าไผ่เมื่อนานมาแล้ว เขาก็ทำแบบนี้กับนางเช่นกัน

ป่าไผ่สั่นไหวด้วยเสียงลม ราวกับกับเสียงลมในยามนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่เป็นจริง

ซูชิงลั่วพยายามจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่เพราะฝ่ามือของเขาที่วางอยู่บนไหล่อย่างแผ่วเบา ทำให้นางลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ

กิ่งไม้แห้งที่ถูกพายุพัดสั่นระรัว

ลู่เหิงจือสายตามองลงมา ราวกับจะเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องของนางเบาๆ แต่ก็อดทนไว้

ซูชิงลั่วก้มลงมอง เห็นเท้าของเขาอยู่ภายในประตู นางสงสัยว่านี่เป็นแผนของเขาหรือไม่

ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขามืดมิดราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

เขาออกแรงกดไหล่ของนาง

ซูชิงลั่วรู้สึกอึดอัด จึงยกไหล่ขึ้นเบาๆ เขาก็ยอมปล่อยนางทันที

นางมองออกว่าลู่เหิงจือไม่อยากจากไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้ากลับไปเถิด กลับไปพักผ่อนเถิด”

ซูชิงลั่วตอบ "อืม" เสียงเบา

ลู่เหิงจือเอ่ยต่อว่า “หากต้องการสิ่งใดเพิ่มก็ให้คนมาบอกข้าได้ ข้าอยู่เรือนข้างๆ”

ซูชิงลั่วตอบรับอีกครั้ง พอตอบเสร็จก็เงยหน้าขึ้นร
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 425

    มือที่แข็งชาสัมผัสกับความอบอุ่นของเตาอุ่นมือ ความรู้สึกชาก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ดีขึ้นลู่เหิงจือมองตามหลังซูชิงลั่วไปพลาง ปล่อยให้ลมพัดผ่านเสื้อผ้าอย่างไม่ใส่ใจทันใดนั้นก็รู้สึกว่าฤดูหนาวในเมืองหลวงก็ไม่หนาวเย็นอะไรนัก*ซูชิงลั่วรู้สึกเสียใจที่รับชุดคลุมของลู่เหิงจือมาในขณะที่เขายืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว นางรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันทีและรับชุดคลุมของเขาไปโดยไม่ทันคิดชุดคลุมในฤดูหนาวมักจะหนักอยู่แล้ว ยิ่งชุดคลุมของลู่เหิงจือซึ่งไม่รู้ว่าทำจากหนังอะไร จึงหนักเป็นพิเศษซูชิงลั่วเดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกหายใจไม่ทัน เพราะชุดคลุมสองผืนที่สวมอยู่ ทำให้เหงื่อแตกพล่านแต่ข้างนอกลมแรงมาก นางเองก็ไม่กล้าที่จะถอดชุดคลุมออก จึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อกลับถึงห้อง นางจึงถอดผ้าคลุมออก และรู้สึกตื่นเต้นในใจในค่ำคืนนี้ ลู่เหิงจือเปิดเผยความรู้สึกของเขาออกมาอย่างตรงไปตรงมา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจให้นางฟังทำให้นางรู้สึกมีความสุขมากตั้งแต่เข้ามาในห้อง จื๋อหยวนก็ก้มศีรษะลงด้วยความหวั่นกลัว คิดว่าจะถูกตำหนิในทันทีอันที่จริงแล้ว นางก็ลังเลใจที่จะส่งข่าวให้ลู่เหิงจือแบบลับๆแต่เ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 426

    "ไม่ได้" ซูชิงลั่วปฏิเสธเสียงเรียบทันทีลู่เหิงจือนี่ช่างคำนวณได้รอบคอบเสียจริง นางแค่ขอร้องเขาเล็กน้อย เขาก็รีบขอกลับทันทีแล้วซ่งเหวินไม่ใช่ลูกน้องของเขาหรอกหรือเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของนางคนเดียวลู่เหิงจือรออยู่หน้าประตูจวนตระกูลซูตั้งแต่เข้าเฝ้าเสร็จ เห็นคำปฏิเสธว่า "ไม่ได้" แล้วอดที่จะเอามือไปขยี้ขมับไม่ได้ถือว่าคาดการณ์ไว้แล้วพอหันกลับไป ก็เจออวี๋ซื่อชิงพอดีอวี๋ซื่อชิงถือไก่สดสองตัวมาด้วย มองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม"โอ้ ใต้เท้าลู่ท่านยังเข้าไปไม่ได้อีกหรือ?อากาศเย็นขนาดนี้ จะให้คนไปเอาสุรามาสักกามาอบอุ่นร่างกายหน่อยหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ "ไม่จำเป็น"เขาเงยหน้ามองและเอ่ยเสียงเรียบว่า "ข้าอยู่เรือนข้างๆ หากท่านอวี๋ต้องการ ก็แวะมาได้"“……”“เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าง” อวี๋ซื่อชิงเอ่ยเสียงเบา “หลังจากเยี่ยมแม่แล้ว ข้าก็ต้องมาพบแมานางซู ถึงตอนนั้นให้ข้าออดอ้อนแม่นางซูแทนเจ้าหรือไม่?”ลู่เหิงจือ "......"นี่เป็นการโอ้อวดที่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งเสียจริงๆอวี๋ซื่อชิงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”ลู่เหิงจือมองตามหลังเขา แล้วเรียกฉางชิงมาถามว

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 1

    สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 2

    ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 3

    แม้ว่าลู่เหิงจือจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในตรอกปาเถียว ที่นั่นอยู่ใกล้กับราชสำนัแถมยังเงียบสงบ แต่ละเดือนเขาจะกลับมาพักที่บ้านตระกูลลู่ในวันหยุดเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะเขามีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนั้นทุกครั้งที่เขากลับมา บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตื่นตัวราวกับมีข้าศึกมาเยือนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฐานะของซูชิงลั่วในบ้านนี้แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยซูชิงลั่วสั่งให้คนต้มน้ำร้อนมาล้างหน้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแม้ว่าร่มกระดาษน้ำมันจะเป็นสีขาวที่ไม่โดดเด่น แต่นางก็ไม่กล้านำมันออกมาวางข้างนอก จึงให้จื๋อหยวนตากข้างในห้องแทนจากนั้นก็เก็บชุดคลุมกันลมไว้เองอย่างดี รอวันที่อากาศดีๆ แล้วค่อยแอบเอามาซักและตากแห้ง จากนั้นค่อยเอาไปคืนเขาพร้อมกับร่มแม้ว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ของพวกนี้นางก็ไม่กล้าให้ใครเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจากคนที่มีใจอิจฉาวุ่นวายมาครึ่งวัน ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ซูชิงลั่วทั้งเหนื่อยทั้งหิว และไม่มีแรงจะคิดเสียใจเรื่องลู่เหยียนอีกแล้วแต่เนื่องจากตอนนี้ผ่านเวลามื้ออาหารไปแล้ว นางก

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 4

    ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจการถูกเขาเห็นว่าร้องไห้สองครั้งในวันเดียว เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินเมื่อกี้แค่มองผาดๆ ไปที่ในศาลา ก็คิดว่าไม่มีคน แต่ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าคงถูกเสาบังอยู่แน่เมื่อลมพัดเบาๆ กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวผู้ชายก็ลอยมาวันนี้เขาเพิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลลู่ ย่อมมีการจัดงานเลี้ยงดื่มเหล้ากับคนในบ้านตระกูลลู่ คิดว่าหลังจากดื่มเหล้าไปก็คงมาที่นี่เพื่อพักผ่อน แต่กลับถูกนางทำเสียบรรยากาศเข้าเขาดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงลั่วไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก จึงทำความเคารพและพูดว่า "ไม่รู้ว่าท่านสามอยู่ที่นี่ ชิงลั่วเสียมารยาทแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ""หยุดเดี๋ยวนี้" ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยคำสั่งที่ไม่อาจขัด ซูชิงลั่วหยุดเดินโดยไม่รู้ตัวเขาถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า "ข้าถามว่าทำไมถึงร้องไห้อีกแล้ว?"ซูชิงลั่วเม้มปาก เรื่องแบบนี้จะบอกผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?นางไม่ตอบอยู่นาน จึงได้ยินเขาพูดอีกว่า "ทำไม? ขาพลิกอีกแล้วหรือ?"หน้าซูชิงลั่วแดงขึ้นมา แทบอยากจะหารูมุดหัวให้หายไปซะเลยเดี๋ยวนั้นโชคดีที่ซ่งเหวินมาถึงตอนนี้พอดีเขาถือโคมแก้วด้วยมือข้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 5

    ซูชิงลั่วได้ยินดังนั้นก็แน่นิ่งไปการที่อาการของท่านยายไม่ดีไม่เป็นความลับ หมอบอกว่าถ้าผ่านฤดูหนาวปีนี้ได้ก็จะมีเวลาอีกหนึ่งปี แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นปีนี้เมื่อนางหลิ่วเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางไม่กล้า จึงรีบพูดต่อว่า "เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเอาเปรียบในเรื่องนี้ แต่มันไม่ถึงขั้นต้องถอนหมั้นหรอก""นอกจากนี้ การที่ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ เกรงว่าแม้แต่ท่านยายของเจ้าก็คงจะบอกให้เจ้าอดทนนั่นแหละ""เจ้าลองคิดดูสิ ผู้หญิงที่ถอนหมั้นแล้ว ชื่อเสียงไม่ดี ต่อไปยังจะแต่งงานกับใครดีๆ ได้อีก?""เหยียนเออร์รู้ตัวแล้วว่าผิด เอาอย่างนี้ไหม ก่อนถึงงานแต่งของพวกเจ้า ข้าจะไม่ให้เขาออกไปไหนอีก ให้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น เช่นนี้เจ้าจะหายโกรธได้ไหม?""เจ้าคิดดูนะ ท่านยายของเจ้าหวังอยากจะเห็นเจ้าแต่งงานขนาดไหน..."นางหลิ่วถึงขั้นยกท่านยายขึ้นมาอ้างซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก รู้สึกว่าตัวเองถูกนางหลิ่วบีบบังคับสำเร็จ ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงต้องกลับไปคิดทบทวนให้รอบคอบถ้าไม่ถอนหมั้น นางกลัวว่าจะซ้ำรอยฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าถอนหมั้นจริงๆ ชื่อเสียงของนาง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 6

    แค่ชั่วครู่ ลู่เหิงจือก็กลับมาเป็นปกติเขามองหญิงสาวที่อ่อนโยนและสวยงามตรงหน้า แล้วถามด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "การถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เจ้าคิดดีแล้วหรือ? จะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม?"ซูชิงลั่วพยักหน้า "เจ้าค่ะ ชิงลั่วคิดดีแล้ว จะไม่เสียใจเด็ดขาด"ดวงตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อยซูชิงลั่วพูด "ท่านสาม ข้ากับลู่เหยียน...""เรียกข้าว่าพี่สาม" ลู่เหิงจือพูดแทรกนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียงของเขาไพเราะเหมือนน้ำพุใสไหลผ่านก้อนหินซูชิงลั่วงงกับคำพูดที่ไม่มีต้นไม่มีปลายของเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องใส่ใจกับคำที่นางใช้เรียกเขาด้วยเมื่อหลายปีก่อนในงานเลี้ยงครอบครัว นางเคยเรียกเขาว่าพี่สามตามคนอื่น แต่ตอนนี้นางโตขึ้นแล้ว มีความแตกต่างระหว่างชายหญิง การเรียกอย่างสนิทสนมแบบนั้นรู้สึกไม่เหมาะสมเลยเหมือนจะเข้าใจความกังวลของนาง ลู่เหิงจือรีบพูดต่อ "ในเมื่อให้ข้าจัดการให้ ยังจะทำตัวห่างเหินกับข้าอีกหรือ?"ที่แท้เขาหมายถึงอย่างนี้เองซูชิงลั่วไม่คิดมาก จึงรีบเอ่ยปากออกไปว่า "พี่สาม"เสียงของหญิงสาวใสกังวานและมีความล่องลอยอยู่บ้าง ฟังแล้วไพเราะยิ่งกว่าเสียงนกขมิ้นทองอีกลู่เหิงจือมองนางอย

บทล่าสุด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 426

    "ไม่ได้" ซูชิงลั่วปฏิเสธเสียงเรียบทันทีลู่เหิงจือนี่ช่างคำนวณได้รอบคอบเสียจริง นางแค่ขอร้องเขาเล็กน้อย เขาก็รีบขอกลับทันทีแล้วซ่งเหวินไม่ใช่ลูกน้องของเขาหรอกหรือเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของนางคนเดียวลู่เหิงจือรออยู่หน้าประตูจวนตระกูลซูตั้งแต่เข้าเฝ้าเสร็จ เห็นคำปฏิเสธว่า "ไม่ได้" แล้วอดที่จะเอามือไปขยี้ขมับไม่ได้ถือว่าคาดการณ์ไว้แล้วพอหันกลับไป ก็เจออวี๋ซื่อชิงพอดีอวี๋ซื่อชิงถือไก่สดสองตัวมาด้วย มองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม"โอ้ ใต้เท้าลู่ท่านยังเข้าไปไม่ได้อีกหรือ?อากาศเย็นขนาดนี้ จะให้คนไปเอาสุรามาสักกามาอบอุ่นร่างกายหน่อยหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ "ไม่จำเป็น"เขาเงยหน้ามองและเอ่ยเสียงเรียบว่า "ข้าอยู่เรือนข้างๆ หากท่านอวี๋ต้องการ ก็แวะมาได้"“……”“เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าง” อวี๋ซื่อชิงเอ่ยเสียงเบา “หลังจากเยี่ยมแม่แล้ว ข้าก็ต้องมาพบแมานางซู ถึงตอนนั้นให้ข้าออดอ้อนแม่นางซูแทนเจ้าหรือไม่?”ลู่เหิงจือ "......"นี่เป็นการโอ้อวดที่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งเสียจริงๆอวี๋ซื่อชิงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”ลู่เหิงจือมองตามหลังเขา แล้วเรียกฉางชิงมาถามว

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 425

    มือที่แข็งชาสัมผัสกับความอบอุ่นของเตาอุ่นมือ ความรู้สึกชาก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ดีขึ้นลู่เหิงจือมองตามหลังซูชิงลั่วไปพลาง ปล่อยให้ลมพัดผ่านเสื้อผ้าอย่างไม่ใส่ใจทันใดนั้นก็รู้สึกว่าฤดูหนาวในเมืองหลวงก็ไม่หนาวเย็นอะไรนัก*ซูชิงลั่วรู้สึกเสียใจที่รับชุดคลุมของลู่เหิงจือมาในขณะที่เขายืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว นางรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันทีและรับชุดคลุมของเขาไปโดยไม่ทันคิดชุดคลุมในฤดูหนาวมักจะหนักอยู่แล้ว ยิ่งชุดคลุมของลู่เหิงจือซึ่งไม่รู้ว่าทำจากหนังอะไร จึงหนักเป็นพิเศษซูชิงลั่วเดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกหายใจไม่ทัน เพราะชุดคลุมสองผืนที่สวมอยู่ ทำให้เหงื่อแตกพล่านแต่ข้างนอกลมแรงมาก นางเองก็ไม่กล้าที่จะถอดชุดคลุมออก จึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อกลับถึงห้อง นางจึงถอดผ้าคลุมออก และรู้สึกตื่นเต้นในใจในค่ำคืนนี้ ลู่เหิงจือเปิดเผยความรู้สึกของเขาออกมาอย่างตรงไปตรงมา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจให้นางฟังทำให้นางรู้สึกมีความสุขมากตั้งแต่เข้ามาในห้อง จื๋อหยวนก็ก้มศีรษะลงด้วยความหวั่นกลัว คิดว่าจะถูกตำหนิในทันทีอันที่จริงแล้ว นางก็ลังเลใจที่จะส่งข่าวให้ลู่เหิงจือแบบลับๆแต่เ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 424

    ลมหายใจอันเย็นเยือกของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม ซูชิงลั่วรู้สึกไม่สบายใจ จึงหันหน้าหนีภาพคุ้นเคยผุดขึ้นมาในสมองราวกับเย้อนกลับไปยังป่าไผ่เมื่อนานมาแล้ว เขาก็ทำแบบนี้กับนางเช่นกันป่าไผ่สั่นไหวด้วยเสียงลม ราวกับกับเสียงลมในยามนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่เป็นจริงซูชิงลั่วพยายามจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่เพราะฝ่ามือของเขาที่วางอยู่บนไหล่อย่างแผ่วเบา ทำให้นางลืมทุกอย่างไปชั่วขณะกิ่งไม้แห้งที่ถูกพายุพัดสั่นระรัวลู่เหิงจือสายตามองลงมา ราวกับจะเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องของนางเบาๆ แต่ก็อดทนไว้ซูชิงลั่วก้มลงมอง เห็นเท้าของเขาอยู่ภายในประตู นางสงสัยว่านี่เป็นแผนของเขาหรือไม่ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขามืดมิดราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนเขาออกแรงกดไหล่ของนางซูชิงลั่วรู้สึกอึดอัด จึงยกไหล่ขึ้นเบาๆ เขาก็ยอมปล่อยนางทันทีนางมองออกว่าลู่เหิงจือไม่อยากจากไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้ากลับไปเถิด กลับไปพักผ่อนเถิด”ซูชิงลั่วตอบ "อืม" เสียงเบาลู่เหิงจือเอ่ยต่อว่า “หากต้องการสิ่งใดเพิ่มก็ให้คนมาบอกข้าได้ ข้าอยู่เรือนข้างๆ”ซูชิงลั่วตอบรับอีกครั้ง พอตอบเสร็จก็เงยหน้าขึ้นร

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 423

    อวี้จู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “จื๋อหยวนน่าจะอยู่ที่ประตูใหญ่เจ้าค่ะ”ซูชิงลั่วถามว่า “นางไปทำอะไรที่ประตูใหญ่หรือ”อวี้จู๋ตอบว่า “ใต้เท้าเรียกนางไปซักถามหลายวันแล้ว”ถามเรื่องอะไร?หรือว่าสาวใช้ของนางจะกลายเป็นสายลับของเขาไปแล้ว?ซูชิงลั่วขมวดคิ้ว จับเตาอุ่นมือและคลุมด้วยชุดคลุม แล้วเดินออกไปข้างนอกยามค่ำคืนในเมืองหลวงฤดูหนาว ลมพัดโชยมาเฉียดแก้มราวกับมีดคมนางเดินเร็วตามทางเดินที่คดเคี้ยว เมื่อใกล้ถึงประตู นางหยุด แล้วเดินอย่างระมัดระวังจนแทบไม่มีเสียงนางอยากรู้ว่าลู่เหิงจือถามจื๋อหยวนเรื่องอะไรณ ประตูใหญ่ยังแขวนโคมไฟไว้สองดวงแสงไฟสีเหลืองอ่อนสาดส่องลงใบหน้าคมสันของลู่เหิงจือดวงตาของเขาเย็นชา ด้านหนึ่งของใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด เสียงของเขาก็เย็นเฉียบราวกับน้ำค้างแข็งที่ลอยอยู่บนพื้นดิน“ฮูหยินวันนี้เจริญอาหารหรือไม่”จื๋อหยวนตอบ “ฮูหยินเจริญอาหารมากวันนี้ อาเจียนเพียงเล็กน้อยสองถึงสามหน อาจเป็นเพราะครรภ์แก่ จึงอาเจียนน้อยลงกว่าแต่ก่อน”ลู่เหิงจือพยักหน้า “ช่วงนี้กลางคืนหนาว นางชอบเตะผ้าห่ม เจ้าทั้งหลายดูแลนางให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”จื๋อหยวนก้ม

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 422

    หลี่ว์เผิงเทียนใบหน้ามืดมนลงทันที ในใจด่าทอลู่เหิงจือไปหลายรอบ ก่อนจะออกไปอย่างไม่เต็มใจผลปรากฏว่าเมื่อเขาเดินออกไปถึงประตูท่ามกลางสายลมหนาว ลู่เหิงจือผู้อำมหิตก็จากไปแล้วเหลือเพียงฉางชิงที่พูดคุยกับเขาว่า “ใต้เท้าข้าบอกว่า หากท่านไม่ย้ายออกไปภายในสามวัน ตำแหน่งพ่อค้าหลวงจะตกเป็นของคนอื่นทันที”หลี่ว์เผิงเทียนด่าทออย่างรุนแรงว่า “ไอ้เจ้าเล่ห์ ใต้เท้าของเจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก”*วันรุ่งขึ้นในการเข้าเฝ้า เซี่ยถิงอวี่ได้กำหนดวันขึ้นครองราชย์ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และมีพระราชโองการประทานบรรดาศักดิ์แก่ขุนนางทั้งปวงขุนนางที่ตามเสด็จจักรพรรดิหลวง ส่วนใหญ่ถูกลดตำแหน่งลงสองขั้น แต่ไม่มีใครกล้าบ่น เพราะนั่นถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงแล้วขุนนางที่ติดตามเซี่ยถิงอวี่ต่างได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์นอกจากลู่เหิงจือที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นไท่ซือแล้ว อวี๋ซื่อชิงได้รับพระราชทานมากที่สุดฮ่องเต้ไม่เพียงเลื่อนตำแหน่งงอวี๋ซื่อชิงขึ้นเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เท่านั้น แต่เมื่อทรงทราบว่าเรือนืั้พักของเขาถูกชาวเป่ยตี๋โจมตี ฮ่องเต้ก็ยังทรงพระราชทานที่อยู่อาศัยใหม่ให้แก่เขาอีกด้วยแต่ขุนนางจำน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 421

    ซูชิงลั่ว "......"จวนหลังใหญ่มาก แม้จะมีคนเข้ามาอยู่เพิ่มอีกสักสองสามคนก็ยังพอมีที่ว่างซูชิงลั่วแอบรู้สึกว่า ดูเหมือนทั้งสองคนจะมาขัดขวางลู่เหิงจือแต่เมื่อครุ่นคิดแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธเมื่อเดินเข้ามาในห้อง ซูชิงลั่วถึงได้สังเกตเห็นว่าทหารในจวนหายไปหมดแล้วอวี้จู๋เอ่ยว่า “ใต้เท้าบอกว่าก่อนหน้านี้ส่งทหารมาเพื่อความปลอดภัยของคุณหนู แต่ยามนี้คิดดูแล้วคงไม่เหมาะสม จึงสั่งให้ถอนทหารออกไปทั้งหมด”ซูชิงลั่วรู้สึกสบายใจขึ้นมากอันที่จริงแล้วนางไม่นึกว่าหลังจากกินอาหารเสร็จ ลู่เหิงจือจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อวี้จู๋เอ่ยต่อว่า “ใต้เท้าบอกว่า ท่านเก็บทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าจวน หากคุณหนูจะออกไปข้างนอก ก็ให้พวกเขาตามไปดูแล”หมายความว่า แม้จะยังมีทหารอยู่ แต่จะใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของซูชิงลั่วซูชิงลั่วโค้งมุมปากยิ้ม “เข้าใจแล้ว”นางมองไปยังห้องข้างๆ ผ่านหน้าต่าง “แล้วลู่เหิงจือล่ะอยู่ที่ใด”อวี้จู๋ตอบว่า “วันนี้ใต้เท้าไม่ได้เข้ามา”ซูชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น - เริ่มเชื่อฟังแล้วนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการอาหารใส่กระดาษแล้วส่งให้จื๋อหยวน “อาหารที่สั่งมาวันนี้อร่อย

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 420

    หลังจากลู่เหิงจือได้ยินคำพูดของเซี่ยถิงอวี่พู เขาก็ออกจากวังกลับไปที่จวน แล้วสั่งให้ทหารที่เฝ้าอยู่รอบๆ จวนถอนกำลังหลังถอนกำลัง แม้จะรู้สึกร้อนใจ แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และลึกๆ แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเดิมทีเขาตั้งใจจะเดินเข้าไปโดยตรง แต่พอนึกถึงคำพูดของซูชิงลั่ว ก็ชะงักฝีเท้าเขาถามว่า "ฮูหยินล่ะ?"บ่าวรายงานว่า "ฮูหยินออกไปข้างนอกกับใต้เท้าอวี๋และเถ้าแก่หลี่ว์ขอรับ""ไปที่ใด?""บอกว่าไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยม"ลู่เหิงจือใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย สั่งให้คนออกตามหา แล้วตัวเขาเองก็เดินไปที่ย่านร้านค้าหลังจากเป่ยตี๋ถอยทัพกลับไป ย่านร้านค้าแห่งนี้เพิ่งเปิดเป็นวันแรก ผู้คนจึงไม่ค่อยพลุกพล่านอากาศก็หนาวเย็น ทำให้ถนนทั้งสายดูเงียบเหงาเขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นรถม้าที่คุ้นเคยของจวนและท่าเสวี่ยม้าตัวโปรดของนางด้วยเขายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมซูชิงลั่วกำลังนั่งกินอาหารอยู่ข้างในกับชายอีกสองคนเขากลับมาแล้ว แต่ยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลยสักมื้อเขาไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในใจนี้อย่างไร หากเป็นในอดีต คงพุ่งเข้าไปนานแล้ว แต่คราวนี้กลับ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 419

    โชคดีที่ซูชิงลั่วออกมาช่วยได้ทันเวลานางทำเป็นไม่สนใจ “ถ้าเช่นนั้นลองชิมดูก็ได้”เถ้าแก่เหงื่อท่วมหน้า หลังจากรับรายการอาหารของลูกค้าทั้งสามเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะยาวหน้าร้าน แล้วบ่าวหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกเขาอย่างรีบร้อนว่า “ท่านเถ้าแก่ ท่านยังไม่รู้หรือว่า อัครมหาเสนาบดีลู่หย่าขาดกับฮูหยินลู่แล้ว”เถ้าแก่ “อะไรนะ?”“ก่อนหน้านี้ ฮูหยินลู่เกือบแต่งงานกับใต้เท้าอวี๋แล้ว หากไม่ใช่เพราะคนป่าเถื่อนอย่างเป่ยตี๋บุกโจมตีเข้ามา พงเขาทั้งสองคนคงแต่งงานกันไปแล้ว”เถ้าแก่ตกใจอีกครั้ง “อะไรนะ?”“แต่ก็มีคนพูดกันว่า ใต้เท้าลู่ยังตัดใจจากฮูหยินลู่ไม่ได้ เมื่อวานส่งทหารไปล้อมจวนของฮูหยินลู่แล้ว” บ่าวหนุ่มชี้ไปยังทหารสองแถวที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าประตูเถ้าแก่ตกใจจนแทบจะหัวใจวาย “อะไรนะ?”หลังจากได้รับข่าวร้ายถึงสามหน เขาก็ไม่มีกำลังใจจะไปพูดคุยกับลูกค้าผู้ทรงเกียรติอีกแล้ว จึงสั่งให้บ่าวหนุ่มไปดูแลลูกค้าแทนซูชิงลั่วคีบตีนเป็ดตุ๋นใส่ปากอาหารมีรสเผ็ดเล็กน้อย ไม่ฉุนเกินไปกำลังดี ตีนเป็ดก็เนื้อนุ่มอันที่จริงแล้วขณะที่อวี๋ซื่อชิงชวนนางออกมา นางเพิ่งจะทะเลาะกับลู่เหิงจือพอดี จึงตั้งใจจะออกมาเพื่อ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 418

    เมื่อรู้ตัวว่าพูดผิด นางก็รีบแก้ตัวทันทีว่า "คุณหนู ข้าหมายถึงคุณหนู"หลังจากที่ซ่งเหวินกลับมา เขาก็เรียกนางว่าฮูหยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนางเองก็เผลอเรียกตามไปด้วยซูชิงลั่วถึงกับยิ้มอย่างเย็นชาและยามนั้น อวี๋ซื่อชิงเดินเข้ามาจากประตูพอดีหลังจากปราบปรามเป่ยตี๋ได้แล้ว ในวังหลวงก็ยังมีเรื่องให้ต้องสะสางอีกจำนวนมาก เขายังไม่มีเวลาว่างที่จะไปรับมารดากลับ ได้แต่แวะเวียนมาเยี่ยมมารดาที่จวนเป็นครั้งคราว นึกไม่ถึงว่าวันนี้จวนจะถูกทหารปิดล้อมไม่แปลกใจเลยที่ลู่เหิงจือจะมีสีหน้าไม่สู้ดีขณะเข้าเฝ้า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับซูชิงลั่วแต่พอคิดถึงสีหน้าของลู่เหิงจือที่ดูอับอาย เขาอดรู้สึกสะใจไม่ได้เขาเหลือบมองซูชิงลั่ว เห็นได้ชัดว่านางก็ดูไม่ค่อยสบอารมณ์อวี๋ซื่อชิงเดินเข้าไปใกล้แล้วถามเสียงเบาว่า "ใต้เท้าลู่ไม่ให้ท่านออกไปข้างนอกรึ?"ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาว่า "ก็ไม่เชิง"อวี๋ซื่อชิงเลิกคิ้วขึ้น "ถ้าเช่นนั้นออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่ วันนี้ร้านค้าในตลาดตะวันออกเปิดใหม่พอดี และข้าก็ยังติดค้างบุญคุณท่านอยู่ อยากจะชวนท่านไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมสักมื้อ"ซูชิงลั่วมองอวี๋ซื่อชิงด้วยความสงส

DMCA.com Protection Status